ตอนที่ 7 : ตอนที่ 7
-7-
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณชาย ผมขออนุญาตเข้าไปนะครับ”
บุคคลซึ่งได้รับอนุญาตจากเจ้าของเพนท์เฮ้าส์ให้เข้าออกทุกห้องได้ตามสบายแม้แต่ห้องเจ้านายเปิดประตูเข้าไปอย่างเชื่องช้า ระมัดระวังไม่ให้ถาดอาหารในมืออีกข้างกระแทกประตูจนส่งเสียงดัง
หลังกลับจากงานเลี้ยง พวกเขาต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อนโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย แต่คุณชายเคยบอกรพีเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหากวันไหนตัวเองตื่นสายให้เขายกอาหารเข้ามาให้ได้เลย ถือเป็นการปลุกไปในตัว เพราะบางครั้งเมื่อต้องทำงานดึก กระทั่งคุณชายเล็กผู้เคร่งครัดในมารยาทก็ยังลืมเวลาตื่นนอนได้เช่นกัน ด้วยเหตุนั้นเมื่อเห็นว่าเจ้านายยังไม่ตื่นลงมาตามเวลาปกติ รพีจึงยกถาดอาหารขึ้นมาให้ถึงห้อง
หากภายในห้องนอนกว้างขวางสะอาดสะอ้านกลับไร้ซึ่งวี่แววเจ้าของห้อง ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ทำงานหรือเตียงนอนล้วนแล้วแต่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าคุณชายเล็กไม่ได้กลับมานอนที่นี่ แต่รพีรู้ดีว่าอีกฝ่ายมักจะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว เขาไม่เคยต้องเข้ามาจัดผ้าห่มหรือจัดเตียงให้คุณชายเลยสักครั้งนอกจากเวลาต้องเปลี่ยนผ้าทั้งหมด ลักษณะนิสัยและการกระทำทุกอย่างของคุณชายล้วนแล้วแต่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นผู้ดีอย่างแท้จริง
“พี่พี...”
เสียงเรียกทักทายจากเจ้าของห้องดังขึ้นหลังรพีวางถาดอาหารลงบนโต๊ะหน้าโซฟาห่างจากเตียงนอนมากพอควร ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองตามสัญชาตญาณ แต่กลับต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าคุณชายเล็กเพิ่งออกจากห้องน้ำโดยมีเสื้อคลุมอาบน้ำติดกายมาตัวเดียว
ผิวกายขาวเนียนเปียกชื้นเช่นเดียวกันกับเส้นผมสีดำสนิทที่ลู่ลงละใบหน้าเนื่องจากเปียกน้ำก่อให้เกิดภาพงดงามสูงส่งที่อาจทำให้ใครต่อใครเผลอตัวหยุดมองจนลืมหายใจ รพีก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นไปในชั่วขณะหนึ่ง แต่สิ่งที่ตามมากลับแตกต่างจากผู้คนทั่วไปโดยสิ้นเชิง
“คุณชายเล็กรีบมานั่งเถอะครับ เดี๋ยวผมช่วยเป่าผมให้ เมื่อวานเหนื่อยมามากทั้งยังนอนดึก ปล่อยเอาไว้นานกว่านี้จะไม่สบายเอาได้” สีหน้าจริงจังของรพีทำเอาคนฟังป็นฝ่ายชะงักไปเอง ทว่าสุดท้ายคุณชายเล็กก็หัวเราะออกมาเบาๆ ท่าทางดูอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
“พี่พีทำให้เล็กประหลาดใจได้ตลอดเวลาจริงๆ”
“ผมเหรอครับ” รพีเลิกคิ้วด้วยความงุนงง แต่ยังไม่ลืมผายมือเชิญให้คุณชายมานั่งลงบนเก้าอี้ตามคำบอก การแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติเหล่านั้นยิ่งทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของคนมองขยายกว้างขึ้นกว่าเก่า
“พี่พีนั่นแหละ”
เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรต่อ รพีจึงทำได้เพียงใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้คุณชายอย่างเบามือ รอกระทั่งผมเริ่มแห้งขึ้นบ้างแล้วจึงเป่าผมให้จนเสร็จ เตรียมพร้อมจะออกไปด้านนอกเพื่อปล่อยให้เจ้านายได้ใช้เวลาส่วนตัวอย่างเต็มที่
“เดี๋ยวผมจะลงไปทำงานด้านล่างนะครับ”
“ปกติพี่พีรอทานอาหารเช้าพร้อมกันตามที่เล็กเคยขอไว้ แต่วันนี้เล็กลงไปช้า พี่พีได้ทานข้าวหรือยังครับ” หม่อมราชวงศ์คีรินทร์จ้องมองใบหน้าคมคายเพื่อจับสังเกต ไม่ต้องคาดเดาหรือรอคำตอบก็บอกได้แทบจะทันทีว่าพี่พียังไม่ได้ทานข้าวแน่นอน “ยกอาหารลงไปด้านล่างเถอะครับ เราลงไปทานพร้อมกันดีกว่า ขอโทษด้วยนะครับที่เล็กทำให้พี่พีต้องทานอาหารช้าไปด้วย”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ เมื่อวานนอกจากจะต้องไปงานเลี้ยง คุณชายเล็กยังกลับมาทำงานต่ออีก ผมเห็นไฟในห้องเปิดอยู่เกือบทั้งคืน” คนที่ยอมรับว่าตัวเองแอบมองอยู่ด้านนอกทั้งคืนพูดต่อด้วยความเป็นห่วง “นานๆ ครั้งยังพอว่า แต่ทำงานดึกดื่นต่อเนื่องแบบนี้บ่อยๆ ไม่ดีนะครับ”
“…แบบนั้นไม่เท่ากับพี่พีก็นอนดึกไปพร้อมเล็กหรือครับ” พอรู้ว่ามีใครบางคนแอบมองอยู่ด้านนอก คอยเป็นห่วงที่เขาทำงานดึก ในใจคีรินทร์ก็อดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้
ตัวเขาเคยชินกับการทำงานไม่เป็นเวลาเพราะต้องเรียนไปด้วย ช่วยพี่ชายใหญ่ไปด้วยมานานพอควร ถึงแม้ทางนั้นจะบอกให้เรียนให้จบหรือช่วยแค่เท่าที่จำเป็น แต่คีรินทร์ก็ไม่อาจปล่อยให้พี่ชายซึ่งเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวต้องเหนื่อยเพียงลำพัง ในเมื่อรู้ตัวว่ามีความสามารถ จะช่วยช้าหรือเร็วล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวเอง
หลังจากที่เปลี่ยนมาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเพนท์เฮ้าส์เพียงลำพัง นานๆ จึงจะได้เจอกับพี่ชายใหญ่สักครั้ง ตัวเขาเองก็แทบจะหลงลืมไปแล้วว่าเวลามีคนเป็นห่วงหรือพยายามสรรหาวิธีมาทำให้หายเหนื่อย มันช่วยให้รู้สึกดีมากขนาดไหน
ไม่สิ... ที่ทำให้รู้สึกดีน่าจะขึ้นอยู่กับตัวคนมากกว่า
“ปกติผมก็นอนดึกอยู่แล้วครับ” รพีพูดทั้งรอยยิ้ม คล้ายต้องการปลอบประโลมไม่ให้เจ้านายที่ชอบทำตัวไม่เหมือนเจ้านายต้องคิดมาก “ก่อนมาทำงานกับคุณชาย หลังจากเสร็จงานรอบเช้ากับบ่าย ผมมีเวลาพักแค่ตอนเย็นก่อนจะต้องไปทำงานในช่วงค่ำต่อ กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืน บางทีอาจจะเป็นตีหนึ่งหรือตีสองด้วยซ้ำ”
“ทำแบบนั้นซ้ำๆ ก็แย่เลยสิครับ” หม่อมราชวงศ์คีรินทร์ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“แย่จริงๆ ครับ ไม่ดีต่อสุขภาพเอามากๆ แต่ในเวลานั้นผมไม่มีทางเลือก และก็เพราะรู้ว่ามันไม่ดีผมถึงไม่อยากให้คุณชายต้องเป็นแบบนั้น”
ความหวังดีอย่างจริงจังที่ส่งผ่านมาทางคำพูดและแววตาทำให้คีรินทร์พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ วูบหนึ่งหัวใจรู้สึกปวดร้าวหลังจากได้ยินจากปากว่าพี่พีเคยลำบากมามากขนาดไหน แต่ความรู้สึกเช่นนั้นถูกฝังเอาไว้ภายใน คนที่จ้องมองกันอยู่จึงไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร
“หากเราได้เจอกันเร็วกว่านี้ก็คงดี...”
ไม่สิ ต้องบอกว่าหากเขาเข้าหาพี่พีเร็วกว่านี้ก็คงดีต่างหาก
ถ้าตอนนั้นสงสัยอีกสักนิด ถ้าตอนนั้นได้ลองเข้าไปพูดคุยด้วย ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายไวกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไรคีรินทร์ก็ไม่มีทางปล่อยให้พี่พีต้องลำบากและเจ็บปวดมาเนิ่นนานถึงขนาดนี้แน่
“แค่ได้เจอกับคุณชายก็ถือว่าผมโชคดีมากแล้วครับ”
คำพูดนี้ของรพีไม่ใช่การพูดเพื่อเอาใจ เพราะเขาคิดว่าตัวเองโชคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ได้พบเจอกับคุณชายจริงๆ ในช่วงชีวิตที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน เรื่องดีๆ เพียงเรื่องเดียวในชีวิตของรพีคือการมีดมิสเป็นน้องชาย ไม่ได้เจ็บปวดและต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง เขาคิดว่าเท่านั้นก็มากพอแล้ว ความเจ็บช้ำในอดีตที่สั่งสมไว้ทำให้เขากดตัวเองลงต่ำ ไม่คิดหวังสูงว่าต้องมีชีวิตที่ดียิ่งกว่านี้อีก
การได้พบเจอกับคุณชายคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง รพีได้พบเจอกับเรื่องดีๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จู่ๆ ก็ดูราวกับได้รับการปลอบประโลม เขายอมรับได้อย่างง่ายดายว่าการมาทำงานกับคุณชายช่วยให้เขาได้รู้จักกับคำว่าสุขสบายทั้งกายและใจอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน และไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะดมิสเองก็ดูจะสบายใจขึ้นมากหลังจากเห็นเขามาทำงานกับคุณชาย ไม่ต้องไปรับจ้างหลายงานเพื่อเงินเพียงน้อยนิดอีกต่อไป
“เล็กต่างหากที่โชคดี” เจ้านายผู้มีพร้อมทุกอย่างพูดประโยคนี้ออกมาโดยไม่เสียเวลาหยุดคิดเลยแม้แต่น้อย รพีได้แต่จ้องมองรอยยิ้มบนใบหน้านั้นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
โชคดี... โชคดีที่ได้เจอคนที่ไม่มีอะไรสักอย่างแบบเขาน่ะเหรอ
“คุณชายเล็กจะโชคดีได้ยังไงครับ นอกจากแรงงานผมก็ไม่มีอะไรให้เลยนะ”
“ไม่หรอกครับ พี่พีมีหลายอย่างเลยต่างหาก” คนพูดหยุดเท้าหลังจากก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย ก่อนจะหันไปหารพีซึ่งยืนถือถาดอาหารอยู่ด้านข้างทั้งตัว แววตาฉายชัดถึงความจริงจังที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ “พื้นที่ข้างกายเล็ก ไม่มีทางที่คนอื่นจะได้รับโอกาสให้ขยับเข้าใกล้ หากวันนั้นคนที่เล็กเจอไม่ใช่พี่พี ทุกอย่างก็จะไม่กลายเป็นเช่นนี้”
“…”
“สำหรับเล็ก...หากไม่ใช่พี่พีก็ไม่มีความหมาย”
คนที่โชคดีคือตัวเขาต่างหากที่ได้พบเจอกับคนที่อยากตามหามานาน ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทั้งหมด...
เขาเรียกมันว่า ‘ความตั้งใจ’
รพีเดินทางกลับบ้านในช่วงบ่าย หลังพูดคุยกับน้องชายว่าจะกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนจะแยกย้าย เนื่องจากอาทิตย์หน้าพวกเขาไม่น่าได้กลับบ้านทั้งคู่ เพราะดมิสต้องฝึกซ้อมกีฬาที่จะต้องไปแข่งขันในอีกไม่นาน เมื่อรู้ว่าพี่ชายมีคนอยู่เป็นเพื่อนจึงคิดจะใช้เวลาซ้อมให้เต็มที่ และรพีก็เห็นด้วยตามนั้น
น้องชายของเขาเป็นเด็กทุนที่มีความสามารถรอบด้าน แต่เรื่องที่จริงจังที่สุดคือการเล่นกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยูโดที่ใช้เวลาฝึกฝนมานานและได้เข้าร่วมการแข่งขันต่างๆ มาตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ว่าดมิสจะบ่นว่าตัวเองไม่ได้เรื่องหรือไม่เก่งอย่างไร สำหรับคนทั่วไปและรพี เขาก็คือเด็กที่มีพรสวรรค์และความสามารถอยู่ดี
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ รพีก็มองเห็นชายร่างใหญ่หลายคนยืนกอดอกอยู่หน้าประตูบ้านของเขาเข้าพอดี ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แทนที่จะขับรถไปจอดหน้าบ้านจึงเปลี่ยนเป็นจอดข้างทางแล้วเดินตรงเข้าไปหากลุ่มคนพวกนั้นแทน
วินาทีที่ชายร่างใหญ่ซึ่งมีท่าทางคล้ายนักเลงเหล่านั้นหันมาเห็นรพีเข้า พวกมันก็สะกิดกันเป็นทอดๆ และเดินตรงเข้ามาหาด้วยท่าทีไม่ปกติ เห็นได้ชัดว่าต้องการหาเรื่อง ไม่มีทางมาดีแน่นอน
“มึงหายไปไหนมา รู้ไหมว่าพวกกูเกือบจะพังเข้าไปข้างในแล้ว”
“ขอโทษด้วยครับ ผมออกไปทำงานมา” รพียกมือไหว้ขอโทษหัวหน้ากลุ่มชื่อสิทธิ์ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เงินของเดือนนี้ผมให้ไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือน พวกพี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“มึงมีเงินให้ตรงเวลาแถมยังเกินดอกมาตั้งเยอะแบบนี้ แสดงว่ามีเงินแล้วใช่ไหมล่ะ” สิทธิ์เดินตรงเข้ามาวางแขนพาดไหล่รพีแล้วตบศีรษะเขาอย่างหยอกเย้า “ไอ้รพี กูก็ช่วยดูแลมึงมาตั้งนาน รู้ใช่ไหมว่าถ้ามีเงินมึงจะลืมลูกพี่ไม่ได้”
“…แต่ผมให้เงินเสี่ยไปแล้วนะครับ”
“เสี่ยก็ส่วนเสี่ยสิวะ นี่กูพูดถึงเรื่องของมึงกับกู ลืมไปแล้วหรือไงว่าเวลาไม่มีเงิน ใครเป็นคนไปคุยกับเสี่ยให้ช่วยขยายเวลาให้มึง”
ไปคุยเหรอ...
รพียังคงจดจำได้ดีว่าช่วงเวลาที่เขาต้องหาเงินมาใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่อในตอนยังเด็กและไม่มีงานทำมันยากลำบากขนาดไหน จริงอยู่ที่เสี่ยขยายเวลาใช้หนี้ให้ในระยะยาว แต่มันก็แลกมากับดอกเบี้ยมหาศาลซึ่งตอนนี้เขาใช้จนเลยเงินต้นไปแล้ว เรื่องที่สิทธิ์ช่วยไปคุยให้นั่น ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่อีกฝ่ายมาหาและชี้หน้าบอกว่าเขากับน้องต้องใช้หนี้แทนญาติต่างหาก
เพราะทางนั้นรู้ว่าเขาไม่มีเงินจ่ายจึงไปคุยกับเสี่ย และก็ได้คำตอบว่าเขากับน้องจะต้องใช้หนี้ในระยะยาว ไม่มีทางที่จะนับว่ามันเป็นบุญคุณได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทางนั้นเคยทำร้ายเขากับน้องมาแล้วในเวลาที่หาเงินมาให้ไม่ทัน รพียังจำได้ดีว่าตอนที่ครูฝึกยูโดช่วยเหลือพวกเขา เอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจ เขากับน้องต้องเจ็บตัวมากขนาดไหน
...แต่นั่นก็ยังไม่เท่าการได้เห็นครูของพวกเขากลายเป็นฝ่ายเจ็บตัวเสียเอง สุดท้ายครูธรรมดาๆ คนหนึ่งจะไปสู้พวกคนมีอำนาจได้อย่างไร ไม่ใช่เพียงภรรยากับลูกที่ขอให้ครูย้ายที่อยู่ แต่รพีกับดมิสก็ยังไปขอร้องด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เจอครูอีกเลย
ประสบการณ์สอนให้รพีรู้ว่าอำนาจที่เสี่ยมีนั้นซื้อได้แม้แต่ความถูกต้อง ส่วนตัวเขากับน้องก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับกรรม บอกตัวเองว่าจะใช้หนี้ให้หมด ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณของญาติที่หนีไป... ตอบแทนที่ทำให้เขากับน้องเคยชินกับความเจ็บปวดจนอดทนต่อความอยุติธรรมและความทรมานทั้งหมดได้ถึงตอนนี้
“ผมไม่มีเงินให้หรอกครับ กว่าจะได้เงินใหม่ก็ต้องรอเดือนหน้า เงินของเดือนนี้ผมจ่ายเกินให้เสี่ยหักเงินต้นไปหมดแล้ว” รพีพูดตามความจริงทุกประการ ไม่ได้โกหกเลยแม้แต่คำเดียว เพราะเงินเดือนจากคุณชายเล็ก นอกจากเอาไว้ใช้ซื้อของให้น้องชาย เขาก็จ่ายใช้หนี้ไปทั้งหมด คิดเอาไว้ว่าถ้าทำงานกับคุณชายครบปีก็น่าจะหักเงินต้นไปได้สักครึ่งหนึ่ง แล้วหากโชคดีคุณชายอยากให้ทำงานต่อ อีกปีสองปีก็น่าจะใช้หนี้หมดพอดี
“ไม่มีเงินอะไรวะ เด็กกูบอกว่ามึงขับรถราคาแพงอวดใครเขาไปทั่วไม่ใช่หรือไง” สิทธิ์ออกแรงบีบไหล่รพีเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามกัดฟันเจรจาต่อ เห็นได้ชัดว่าจุดมุ่งหมายในครั้งนี้ก็คือเงิน
“ไม่มีจริงๆ ครับ รถคันนั้นเป็นของเจ้านาย”
แม้ไม่ได้ขยับหนีไปไหน ยินยอมให้บีบไหล่จนเริ่มรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่รพีก็ยังยืนนิ่ง แสดงให้เห็นว่าเชื่อมั่นในคำพูดของตัวเองและไม่มีทางเปลี่ยนแปลงคำตอบไม่ว่าจะถูกบีบบังคับอย่างไรก็ตาม
“มึงจะเอาแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม” กลุ่มนักเลงที่ยืนอยู่ด้านหลังเริ่มขยับตัวโอบล้อมรพีเอาไว้ตรงกลาง ไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเลยสักนิด “กูจำได้ว่ามึงเคยผ่าหัวไปเมื่อหลายปีก่อน... คงไม่อยากเข้าโรงพยาบาลอีกรอบใช่ไหม ครั้งนี้อาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนั้นก็ได้นะ”
รพีถอนหายใจ ถึงแม้แผลเป็นบนศีรษะจะถูกเส้นผมปกปิดไปหมดแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังจดจำความทรมานและความเจ็บปวดเจียนตายที่เคยเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ต้องรักษาตัวหรือตอนพักฟื้นก็ตาม
บาดแผลที่ว่านั่นไม่ใช่เพียงทำให้เขาจดจำความทรมานได้ หากยังทำให้เขารู้ตัวว่าความฝันและความภาคภูมิใจที่เคยมีไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้รพีพยายามไม่นึกถึงบาดแผลของตัวเอง และเป็นเหตุผลที่ดมิสแทบไม่เคยพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุขึ้นมาอีก
กว่าจะหลงลืมเรื่องราวพวกนั้นไปได้ รพีต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ จะมีคนมาสะกิดปากแผลแบบนี้
“มึงสิที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ไอ้สิทธิ์!” เสียงคำรามกึกก้องด้วยความโมโหไม่ได้ดังขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่มาพร้อมกันกับการกระทำดุดันไม่แพ้คำพูด
ฝ่าเท้าของดมิสที่ใช้สองมือแหวกลูกน้องของสิทธิ์เข้ามาด้านในกระแทกเข้าเต็มหน้าท้องของคนที่กอดไหล่รพีเอาไว้ตั้งแต่ต้น ร่างท้วมของสิทธิ์เสียการทรงตัว ล้มลงกระแทกพื้นและจุกจนต้องเอามือกอบกุมจุดที่โดนถีบเอาไว้แน่น
“อะ...ไอ้ดมิส!...อุก”
“ดิม” รพีดึงแขนน้องชายเอาไว้ไม่ให้เข้าไปซ้ำเติมคนที่ล้มอยู่ ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีทีท่าจะต่อว่าความใจร้อนของดมิสเลยแม้แต่น้อย ขณะที่สิทธิ์ซึ่งถูกลูกน้องพยุงขึ้นมาจ้องมองคนเท้าหนักด้วยความเกลียดชัง
“พวกมึงวอนหาเรื่องตายแล้ว... ไปจัดการมัน!” เสี้ยววินาทีที่สิทธิ์ออกคำสั่ง ดมิสดันร่างของพี่ชายไปอยู่ด้านหลังแล้วยืนบังเอาไว้ทั้งตัว รพีทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเงียบๆ ด้วยรู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจจบลงด้วยดีตามที่เขาตั้งใจ
“วิ่งก่อนเถอะ ทางนั้นมีกันหลายคน สู้ไม่ไหวหรอก”
“ถ้าจะหนีก็ต้องฝ่าออกไป” ดมิสกระซิบตอบพี่ชาย “พีระวังตัวเองดีๆ อย่าให้บาดเจ็บก็พอ เดี๋ยวดิมเปิดทางให้เอง”
สองพี่น้องมีท่าทีสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น จะมีก็แต่ดมิสที่แสดงอาการมากกว่าเนื่องจากเป็นห่วงว่าพี่ชายจะได้รับบาดเจ็บ พวกไอ้สิทธิ์มีกันอยู่เกือบสิบคน ตัวเขาคนเดียวคงสู้ไปด้วยทั้งที่มีรพีอยู่ด้านหลังให้ต้องห่วงไม่ได้
“ดิมก็ระวังให้ดีเหมือนกัน... ขวา” รพีผลักน้องชายไปทางด้านซ้ายแล้วก้าวถอยหลัง เมื่อเห็นหมัดของฝั่งตรงข้ามกระแทกมายังจุดบอดของดมิส ทำให้พวกเขารอดพ้นจากการโจมตีแรกมาได้อย่างหวุดหวิด
น่าเสียดายที่ถึงจะมีความสามารถมากขนาดไหนพวกเขาก็หลบไม่ได้ทั้งหมด ดมิสถูกต่อยและเตะไปสองรอบ ขณะที่รพีมีบาดแผลบริเวณมุมปากรวมถึงโดนถีบที่แผ่นหลังเพราะเข้าไปบังน้องเอาไว้ตามสัญชาตญาณ ในช่วงเวลานั้นเองที่ดมิสโมโหจนออกแรงไม่ยั้ง หลุดออกจากวงล้อมได้แล้วก็รีบลากพี่ชายให้วิ่งไปตามทางด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“พวกมึงหยุดเดี๋ยวนี้!”
สองพี่น้องวิ่งไวกว่าตามประสาคนที่ออกกำลังจนเป็นนิสัย ประกอบกับที่เคยชินกับพื้นที่มานาน ใช้เวลาพักหนึ่งก็สลัดพวกสิทธิ์หลุดหมดทุกคน พวกเขายืนพิงกำแพงบริเวณสี่แยกของหมู่บ้านแบบเปิดที่อาศัยอยู่ สายตาสอดส่องมองออกไปด้านข้างเป็นระยะ จวบจนมั่นใจว่าหนีพ้นแล้วถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า หัวเป็นอะไรไหม” ดมิสรีบถามพี่ชายแล้วสำเร็จศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล “ไปโรงพยาบาลเถอะ เดี๋ยวดิมพาออกไป”
“พี่ไม่เป็นไร โดนต่อยหมัดเดียวไม่ได้แรงมาก ส่วนหลังก็ไม่ได้เจ็บอะไรแล้ว ดิมยังแรงเยอะกว่าอีก”
“แต่ตอนนั้นพียังไม่ได้!...”
คนที่ตั้งท่าจะเถียงเม้มปากกลั้นเสียงเอาไว้ สีหน้าแสดงออกชัดถึงความไม่พอใจ พวกเขาต่างรู้ดีว่าเมื่อก่อนรพีแข็งแรงมากขนาดไหน การที่สองพี่น้องต่อสู้กันหรือเล่นกีฬาด้วยกันอย่างจริงจังไม่ออมแรงไม่นับว่าอันตรายเลยสักนิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว... เพียงการกระทบกระเทือนเล็กน้อยก็อาจทำให้รพีบาดเจ็บร้ายแรงได้ รอยแผลเป็นจากการผ่าตัดที่ศีรษะซึ่งถูกเส้นผมปิดบังเอาไว้คือสิ่งยืนยัน
“ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ไม่โกหกหรอก” รพีตบบ่าน้องชายเพื่อเพิ่มความมั่นใจ และเขาก็ไม่ได้พูดโกหกจริงๆ เพราะนอกจากความเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ ก็แทบไม่รู้สึกอะไรเลย
เมื่อเห็นรพียืนยันด้วยสีหน้าจริงใจที่รู้ดีว่าต่อให้โกหกดมิสก็ไม่มีทางรู้ ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายเหมือนเช่นทุกครั้ง พอรู้ว่ารพีปลอดภัยดีก็เริ่มกลับไปนึกถึงเรื่องเก่า อารมณ์หงุดหงิดโมโหที่สั่งสมมาดูคล้ายจะระเบิดออกมาในคราวเดียว
“ดิมจะโทรหาไอ้เสี่ย”
“ทางนั้นไม่สนใจหรอก” รพียิ้มอ่อนใจแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร รอจนดมิสเดินแยกไปคุยโทรศัพท์แล้วสบถเสียงดังออกมาหลายคำ เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ไหนแต่ไรมาเสี่ยอำนาจก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว หากทางนั้นใส่ใจจริงๆ มีหรือจะปล่อยให้เขากับน้องชายถูกลูกน้องตัวเองทำร้ายอยู่บ่อยๆ ทั้งที่บางครั้งแทบไม่ผิดอะไรด้วยซ้ำ อย่างเรื่องในคราวนี้ก็คงทำเมินไม่สนใจ บอกให้ไปจัดการเองเช่นกัน
…และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
“สักวันไอ้เสี่ยเวรนี่แม่งต้องไม่ตายดีแน่” ดมิสสบถถ้อยคำหยาบคายซ้ำอีกรอบด้วยความโมโห “มันบอกว่าลูกน้องมันก็เจ็บตัวเหมือนกัน อยากได้ความยุติธรรมก็ไปแจ้งความเอาเอง ก็ถ้าไอ้ความยุติธรรมนั่นมันมีจริง พวกมันคงไม่ได้ลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้หรอก”
“อย่านึกถึงเรื่องแย่ๆ เลย ดิมจะอารมณ์เสียเปล่าๆ มาคิดว่าตอนนี้จะเอายังไงต่อดีกว่า”
“ไม่ใช่จะเอายังไงต่อ แต่ต้องพาพีไปทำแผลก่อนต่างหาก” พอหันมาเห็นบาดแผลบนใบหน้าพี่ชาย อารมณ์ขุ่นมัวของดมิสก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สองพี่น้องพากันออกจากจุดที่ใช้หลบภัย ค่อยๆ เดินไปตามทางอย่างเชื่องช้า โดยตกลงกันว่าจะกลับไปเอารถของคุณชายที่รพีจอดทิ้งไว้ก่อน แต่ยังไม่ทันได้เดินไปถึงจุดหมาย พวกเขาก็มองเห็นพวกสิทธิ์ยืนเฝ้าอยู่แถวนั้น ดมิสรีบดึงพี่ชายหลบไปด้านข้าง ขณะที่รพีซึ่งมีท่าทีเงียบสงบมาโดยตลอดเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างเป็นกังวล
พวกนั้นจะทำอะไรรถของคุณชายเล็กหรือเปล่า...
เรื่องที่เขาคิดอยู่ในใจ หากดมิสรู้เข้าคงถูกต่อว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่รพีเผลอตัวคิดไปเองตามสัญชาตญาณโดยไม่ได้ตั้งใจ และในช่วงจังหวะนั้นเองที่ทำให้เขาก้าวขาช้าไปจังหวะหนึ่งจนคนพวกนั้นหันมาเห็นเข้าพอดี
“ไอ้รพี! ไอ้ดมิส!”
สองพี่น้องขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าจริงจัง ทว่ายังไม่ทันได้คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป ควรหนีไปทางไหน รถยนต์หรูหราสองคันที่ไม่ได้เข้ากันกับสถานที่ในแถบนี้เท่าไรนักก็ตรงมาจอดลงตรงหน้า พร้อมกันกับที่ร่างสูงใหญ่ของตรีภพและผู้ติดตามอีกสามคนซึ่งรพีคุ้นหน้าคุ้นตาดีอยู่แล้วปรากฏตัวขึ้น
“คุณตรีภพ?”
“เรื่องตรงนี้ผมจะจัดการให้เอง คุณรพีรีบขึ้นรถไปรับมือกับคุณชายก่อนเถอะครับ” ตรีภพยิ้มอ่อนใจแล้วพยักพเยิดไปทางรถซึ่งติดฟิล์มดำสนิทจนมองไม่เห็นด้านใน “ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเห็นคุณชายโกรธแน่ๆ”
“คุณชายมาด้วยเหรอครับ” รพีถามด้วยความตกใจ หลังหันไปสบตาน้องชายและเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา เขาก็รีบเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งของตัวเองแทบจะทันที
บนรถรถยนต์คันหรูซึ่งตอนนี้มีกันอยู่เพียงสองคน เนื่องจากคนขับกับตรีภพลงไปจัดการธุระด้านนอก หม่อมราชวงศ์คีรินทร์นั่งพิงเบาะด้วยท่าทีผ่อนคลาย ทว่าสายตากลับมองออกไปนอกหน้าต่างนิ่งงัน ไม่คิดจะหันกลับมาสนใจคนที่เพิ่งขึ้นมานั่งบนรถเลยแม้แต่น้อย
รพีทำได้เพียงจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเจ้านายเงียบๆ บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกเช่นไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติของคุณชายเล็ก ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศหรือการกระทำก็ตาม
“คุณชายเล็ก...”
“ครับ”
ถึงอย่างนั้นเมื่อได้ยินเขาเรียก คุณชายก็ส่งเสียงตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่มันไม่ได้ทำให้รพีสบายใจขึ้นเลยสักนิด
“…โกรธอยู่เหรอครับ” ท้ายที่สุดคำถามที่ติดอยู่ในใจก็หลุดออกจากปากโดยไม่อาจห้าม
ครั้งนี้คุณชายคีรินทร์เบนหน้ากลับมาหา นอกจากดวงตาซึ่งฉายแววเจ็บปวดยามจ้องมองบาดแผลบนใบหน้าของตน รพีไม่อาจสัมผัสถึงความรู้สึกอื่นใดได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
ไม่ใช่เพราะคุณชายไม่เป็นไร... แต่เป็นเพราะเก็บเอาไว้อย่างมิดชิด มีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นที่ไม่อาจปิดบังได้
ไม่ต้องพูดออกมาใครๆ ก็คงรับรู้ได้ว่ารพีสำคัญมากเพียงใดในสายตาของคนคนนี้
“เจ็บมากไหมครับ” ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนโหนกแก้ม บริเวณที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของรพีอย่างแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการตอบคำถามนั้น ซึ่งรพีก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ให้มากความ
“ไม่เจ็บครับ เมื่อก่อนผมฝึกซ้อมกับดมิส เจ็บตัวมากกว่านี้หลายเท่า”
“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เล็กพูดถูกไหมครับ” คุณชายดึงมือตัวเองกลับคืนมาช้าๆ “หากเล็กบอกว่าตัวเองให้คนไปสืบเรื่องราวบางส่วนของพี่พีมาแล้ว และทราบว่าพี่พีเคยผ่าตัดสมองมาก่อน พี่พีจะโกรธเล็กไหมครับ”
รพีชะงักไปเล็กน้อยเพราะไม่คาดคิดว่าคุณชายจะพูดออกมาตรงๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ประหลาดใจหรือโกรธเคืองอะไรอย่างที่อีกคนเป็นกังวล ชายหนุ่มจ้องมองสีหน้าเจ็บปวดและดูเศร้าหมองของคุณชายเงียบๆ กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“ผมจะโกรธได้ยังไงกันครับ... แค่คิดว่าหากอยากรู้เรื่องอะไร คุณชายเล็กมาถามผมตรงๆ ก็ได้” เขาจับมือของเจ้านายที่วางอยู่บนตักแล้วยกขึ้นมา ก่อนจะแตะปลายนิ้วของอีกฝ่ายลงบนศีรษะตัวเอง ค่อยๆ ลากฝ่ามือไปช้าๆ ให้คุณชายเล็กสัมผัสกับรอยแผลเป็นที่ถูกปิดบังเอาไว้อย่างใจเย็น “ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากพูดถึง... แต่ถ้าคุณชายเล็กเป็นคนถาม ผมจะตอบทุกอย่างครับ”
“พี่พี...” คนฟังเม้มปากแน่น ดวงตาร้อนผะผ่าวเมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของบาดแผลบนศีรษะของรพีจนต้องชักมือกลับแล้วหลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์และเก็บซ่อนความรู้สึกภายใน “เล็ก...เล็กขอโทษนะครับ”
“คุณชายเล็กขอโทษผมทำไมกันครับ” รพีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วถือวิสาสะจับมือเจ้านายเอาไว้อีกรอบ “แผลนี่ได้มาตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อน ผมไม่ได้เจ็บอะไรแล้วครับ”
“ไม่เจ็บแล้วจริงๆ หรือครับ”
“จริงครับ” เขารีบย้ำเมื่อเห็นคุณชายลืมตามองด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ก็แทบจะลืมนึกถึงไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนั้นพูดขึ้นมา บางทีผมอาจจะลืมไปเลยก็ได้”
“คนพวกนั้น...อา” หม่อมราชวงศ์คีรินทร์มองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาจับจ้องแผ่นหลังของพวกสิทธิ์ที่เดินจากไปนิ่งงัน จวบจนเมื่อพวกนั้นหายไปจากสายตาแล้วถึงได้หันกลับมามองรพีอีกครั้ง “พี่พีกล่าวว่าหากเล็กต้องการรู้อะไรจะบอกทุกอย่าง เช่นนั้นเล็กขอถามเรื่องของคนพวกนั้นได้ไหมครับ”
เมื่อคุณชายเอ่ยปากเองเช่นนี้ อีกทั้งรพียังบอกไปแล้วว่าจะตอบทุกอย่าง เขาจะทำอะไรได้อีกนอกจากยอมเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหนี้ให้ฟังโดยไม่ปิดบังเรื่องราวใดๆ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งตรีภพกับคนขับรถกลับขึ้นมาแล้วและบอกว่าดมิสอยู่ที่รถอีกคัน คุณชายก็ยังไม่พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
ตลอดทางกลับไปยังเพนท์เฮ้าส์ รพีทำได้เพียงลอบมองเจ้านายด้วยความเป็นห่วง อยากจะเรียกให้หันกลับมาสนใจกันหรือบอกว่าไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องของเขาก็ทำไม่ได้ เพราะถูกคนขับรถตักเตือนด้วยสายตาผ่านทางกระจกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร
ในเวลานั้นรพีอาจจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตรีภพกับคนขับรถที่อยู่กับคุณชายมานานต่างรู้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าตอนนี้เจ้านายของตนไม่ได้อยู่ในห้วงอารมณ์ปกติ แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยก็ตาม
ถึงอย่างนั้นในอีกไม่นานรพีก็จะได้รู้เองว่าคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้คืออะไร
‘…โกรธอยู่เหรอครับ’
คำตอบของคำถามนี้ไม่ได้เกิดจากคำพูด แต่ถูกบอกให้รู้ด้วยการกระทำ
ว่าเรื่องราวในคราวนี้... หม่อมราชวงศ์คีรินทร์โกรธมากเพียงใด
-------
TALK : ตอนก่อนหน้านี้เราขอแก้คำว่าอาเขยของภาคภูมิเป็นน้าเขยแทนนะคะ ขอบคุณคนที่เตือนด้วยค่ะ <3
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

บอกแล้วววแตะอะไรแตะได้แต่ไม่ใช่รพี รอดูผลเลยจ้าา / คุณชายขับรถชนรพีหรือเปล่านะเมื่อ7ปีที่แล้ว ฮืออ