ตอนที่ 18 : ตอนที่ 18
-18-
“เอาจริงๆ เลยนะ ผมว่าคุณชายดูอารมณ์ดีแล้วก็ยิ้มกว้างมากกว่าที่เคยยิ้มสี่ปีรวมกันอีกอะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ขนาดนั้นเลยแหละ... แล้วทำไมปากบวมแดงขนาดนี้ คุณชายโดนผึ้งต่อยมาเหรอ” นาวาเอ่ยล้อเลียนเพื่อนผู้สูงศักดิ์อย่างไม่กลัวตาย ประสบการณ์สี่ปีสอนให้เขารู้ว่าถ้าหากคุณชายอารมณ์ดีขึ้นมาเมื่อไร ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ยอมมองผ่านได้ทั้งนั้น แต่ที่นาวาไม่รู้ก็คือหากคุณชายอารมณ์ดีมากๆ เหมือนอย่างตอนนี้ นอกจากจะไม่ถือแล้วเขายังจะเล่นกลับด้วย
“วาเองก็ทำกับคุณนักรบอยู่บ่อยๆ น่าจะรู้ดีนะว่าปากผมเป็นแบบนี้เพราะอะไร”
“คะ...คุณชาย!” คนฟังเบิกตาโต สองแก้มแดงเถือกเป็นมะเขือเทศ “ตัวอะไรเข้าสิงคุณชายเนี่ย คายคุณชายออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”
หม่อมราชวงศ์คีรินทร์ส่ายหน้าหน่ายกับความเล่นใหญ่ของเพื่อนตัวน้อย ก่อนความสนใจทั้งหมดจะถูกดึงดูดไปเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะมีสายเรียกเข้าจากคนสำคัญ
“พี่พี...” น้ำเสียงที่ปกติก็อ่อนโยนอยู่แล้วดูคล้ายจะทวีความอ่อนโยนมากขึ้นไปอีกเมื่อได้พูดคุยกับคนรัก “มาถึงแล้วหรือครับ”
[พี่รออยู่ด้านนอกแล้วครับ]
เมื่อปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไม่แพ้กัน รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วก็ยิ่งขยับกว้างมากขึ้นไปอีกจนคุณชายเริ่มรู้สึกเมื่อยแก้ม ต่างจากนาวาที่นอกจากตื่นตะลึงก็มีแต่ความอิจฉาริษยาเต็มหน้าไปหมดโดยสิ้นเชิง
หลังจากผ่านวันหยุดยาวมาได้เพียงไม่กี่วัน นาวาก็กลายเป็นคนแรกที่ได้รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทกับคนที่เจ้าตัวแอบชอบ เขาสาบานได้ว่าในเวลานั้นมีแต่ความยินดีมอบให้ แต่แล้วเมื่อได้เห็นว่าคุณชายตกอยู่ในห้วงรักหนักมากแบบที่ทั้งชาติก็ไม่น่าจะถอนตัวกลับมาได้ จากยินดีก็กลายเป็นอิจฉาริษยาแทน
ก็คุณชายกับพี่พีได้เจอกันทุกวัน ได้อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลายกเว้นตอนมาเรียน แล้วดูเขากับพี่รบสิ!
“ตาจะลุกเป็นไฟแล้วนั่น”
“พี่รบ!”
นักรบหัวเราะเมื่อเห็นแฟนตัวน้อยหันมาทำหน้าบูดใส่ หลายวันมานี้เขาต้องฟังนาวางอแงเรื่องคุณชายโชว์ความหวานใส่ทุกวัน จากตอนแรกที่ได้แต่งุนงง ตอนนี้เริ่มกลายเป็นขบขันแทนแล้ว เพราะพอได้มาเจอหน้าก็ค้นพบว่าคำพูดของนาวาไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด
คุณชายอาการหนักมากจริงๆ...
“ไม่งอแงสิคนเก่ง” นักรบลูบหัวปลอบคนตัวเล็กแล้วหันไปหาคุณชายคีรินทร์ที่ก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของไม่รอใคร “คุณรพีมาแล้วใช่ไหมครับคุณชาย”
“ครับ” หม่อมราชวงศ์คีรินทร์ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าพร้อมรอยยิ้มสดใส “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อยากไปด้วย...” นาวาที่กำลังจะงอแงใส่เพื่อนถูกคนรักปิดปากเอาไว้ก่อนจะพูดจบประโยค สุดท้ายจึงกลายเป็นนักรบที่เอ่ยคำอำลาแทน
“เที่ยวให้สนุกนะครับคุณชาย”
“ขอบคุณครับ... ไว้เจอกันวันจันทร์นะวา”
หลังจากโบกมือลาเพื่อนเรียบร้อยแล้ว คุณชายก็รีบหมุนกายเดินออกจากร้านไปด้วยความเร่งรีบเพราะไม่อยากให้คนด้านนอกต้องรอนาน
อีกไม่กี่วันก็จะถึงช่วงเวลาสอบปลายภาคเรียน นาวาที่อ่านหนังสือเองคนเดียวไม่ไหวขอร้องให้เพื่อนออกมาติวให้ในช่วงเช้าที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง รพีจึงขับรถมาส่งคุณชายตั้งแต่เช้า ตกลงกันไว้ว่าตอนเที่ยงจะมารับแล้วค่อยไปเที่ยวกันต่อ เนื่องจากคนขี้เกรงใจไม่อยากอยู่รบกวน ส่วนนักรบที่คิดแบบเดียวกันก็เพิ่งจะมาถึงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“พี่พี เล็กซื้อขนมมาฝากด้วยครับ” คุณชายเล็กเอ่ยปากบอกคนขับรถทั้งดวงตาเป็นประกาย ขณะเดียวกันก็หยิบถุงขนมออกมาจากกระเป๋ายื่นส่งให้รพีไปด้วย “เล็กเคยซื้อกลับไปครั้งหนึ่งแล้วพี่พีบอกว่าอร่อย วันนี้มาที่นี่พอดีเล็กเลยซื้อมาให้อีก”
“ขอบคุณครับ น้องเล็กก็กินด้วยกันนะ”
เพราะรพีคือคนที่ใส่ใจคุณชายยิ่งกว่าใคร แทนที่ได้รับของมาแล้วจะวางเอาไว้ เขากลับเลือกที่จะแกะถุงขนมออกแล้วส่งมันให้คนรักก่อนเป็นลำดับแรก คีรินทร์เห็นการกระทำอันแสนใส่ใจเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้ม ปากอ้ารับขนมโดยไม่เอ่ยอะไรแม้ว่าจะเพิ่งทานมาจากในร้านก็ตาม
“พี่พีจะทำให้เล็กหลงขนาดไหนถึงจะพอครับ”
“ไม่พอครับ ไม่ว่าจะรักหรือหลงก็อยากให้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดเลย” รพีตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เวลาผ่านมาขนาดนี้จะไม่ให้เขาปรับตัวเลยคงจะไม่ได้
ยิ่งรู้ว่ามีสิทธิ์ก็ยิ่งได้ใจ...
คิดได้ไม่ทันไรมือก็เอื้อมไปลูบแก้มขาวน่ามองของคนที่เอาแต่ยิ้มอย่างอ่อนโยน เห็นทีคนที่ทั้งรักทั้งหลงมากขึ้นทุกวันจะเป็นตัวเขาคนนี้มากกว่า
“เดี๋ยวนี้พี่พีหยอกล้อเล็กได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ดีจัง” คุณชายเล็กจับมือใหญ่แนบแก้ม สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความสุขที่ไม่เคยลดน้อยถอยลงเลยสักวัน
“เพราะรู้ว่าน้องเล็กชอบ พี่ถึงทำแบบนี้ครับ”
“เอาอีกแล้ว”
เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นภายในรถส่วนตัวที่มีกันเพียงสองคน หลังจากหยอกล้อกันอีกสักพักรพีก็ออกรถ พาคนรักมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่พวกเขาตกลงกันไว้ว่าจะไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน
ตรงกันข้ามกับนาวาที่ถูกนักรบบังคับให้อ่านหนังสือต่อ ไม่ยอมพาไปเที่ยวที่ไหน หม่อมราชวงศ์คีรินทร์ที่อ่านหนังสือจบล่วงหน้านานเป็นเดือนทำตามใจอยากได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะไปเที่ยวไกลหรือใกล้ก็ไม่ต้องกังวลอะไร เพราะเขามั่นใจว่าอย่างไรก็ทำข้อสอบได้ไม่มีปัญหาแน่นอน
อาทิตย์ก่อนคนที่ปกติไม่ค่อยว่างเนื่องจากต้องช่วยงานพี่ชายใหญ่ตลอดเวลาถึงขั้นเอ่ยปากขอพักผ่อนด้วยตัวเอง รพีที่สงสัยว่าคนรักอาจจะไม่สบายเป็นห่วงมากจนตัดสินใจบุกรุกเข้าไปในห้องโดยไม่ได้บอกก่อน แต่สิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นภาพของคุณชายเล็กที่กำลังนั่งขีดเขียนชื่อสถานที่ท่องเที่ยวมากมายลงบนกระดาษ
‘เล็กกำลังไล่รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวแถวๆ นี้อยู่ครับ นี่ก็ใกล้เสร็จแล้ว กำลังจะเอาไปให้พี่พีดูเลยว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง’
เพราะการไปเที่ยวไกลๆ หาโอกาสได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก การค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลมากนักและไปกลับได้แบบสบายๆ จึงเป็นตัวเลือกที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวสำหรับคุณชายเล็กที่อยากพาพี่พีของตัวเองไปเที่ยว
ในอดีตพี่พีขาดสิ่งใดบ้างไม่สำคัญ เพราะปัจจุบันเขาจะเติมเต็มทุกอย่างให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง
“พี่พีมั่นใจหรือครับว่าไม่อยากเข้าไปเล่นเครื่องเล่น” คุณชายเล็กจ้องมองชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่เห็นได้จากจุดที่เขาจอดรถอยู่ด้วยความสนใจ
“มั่นใจครับ เราอยู่ตรงนี้กันดีกว่า”
ใช่แล้ว... สถานที่แรกที่รพีเลือกคือสวนสนุก ทว่าเขาเลือกที่จะมองมันจากด้านนอก ไม่ได้คิดเข้าไปทำกิจกรรมด้านใน
ในเวลานี้รพีจอดรถอยู่บริเวณริมแม่น้ำสงบเงียบแห่งหนึ่ง แถวนี้เป็นจุดที่คนไม่ค่อยให้ความสนใจ เนื่องจากไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ ถ้าจะมาท่องเที่ยวก็มักจะเลือกไปสวนสนุกหรือสวนสาธารณะขนาดใหญ่อีกฝั่งมากกว่า จะมีคนเยอะหน่อยก็คือช่วงเย็นที่มานั่งตากลมเล่นกันในวันที่อากาศดี
ด้วยเหตุนั้นในตอนนี้จึงมีเพียงพวกเขาสองคนที่อยู่ที่นี่ด้วยกันตามลำพังในเวลาบ่ายโมงตรง หม่อมราชวงศ์คีรินทร์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ดูจะเป็นใจต่อการพาคนรักมาเที่ยวของเขาเสียเหลือเกินพร้อมรอยยิ้ม รู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ช่วงเวลานี้แสงแดดไม่ได้เจิดจ้ามากเกินไป ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าฝนจะตกลงมาในเร็วๆ นี้
“ขอโทษนะครับที่พาพี่พีมาในเวลานี้ ถ้าไม่ใช่เพราะโชคดีที่อากาศเป็นใจ เราคงลงมาจากรถกันไม่ได้แน่ๆ”
เพราะคุณชายเล็กหาเวลาได้แค่ตอนนี้จึงจำเป็นต้องมาก่อนจะไม่มีโอกาส วันธรรมดาพี่พีเห็นเขาเรียนมาเหนื่อยๆ คงไม่ยอมให้พาตัวเองไปเที่ยวแน่ ไม่ว่าจะบอกว่าไม่เป็นไรขนาดไหนก็ตาม ส่วนวันหยุดในอาทิตย์นี้ทั้งสองวันก็ล้วนแล้วแต่มีเรื่องต้องทำ อย่างวันนี้ตอนเช้าต้องไปติวหนังสือให้นาวา ตอนเย็นก็ต้องไปทานอาหารกับพี่ชายใหญ่ หากจะมีช่วงที่ไปไหนมาไหนได้ก็เหลือเพียงตอนบ่ายเท่านั้น
ถ้าถามว่าทำไมไม่รออาทิตย์ถัดไป คุณชายก็คงจะตอบกลับอย่างมั่นใจว่านั่นเป็นเพราะเขาวางแผนจะพาพี่พีไปที่อื่นอีก
สถานที่ท่องเที่ยวที่รพีเลือกเอาไว้อาจจะมีเพียงที่เดียว แต่คีรินทร์เลือกต่อให้อีกหลายที่ คิดเอาไว้ว่าจะวนเวียนไปจนครบตามตั้งใจ ใช้เวลาของวันหยุดระหว่างที่ยังเรียนอยู่ให้เต็มที่ เพราะเขารู้ดีว่าหากจบไปแล้วคงหาโอกาสไม่ได้ง่ายๆ อีก
“วันหรือเวลาไหนก็ไม่ต่างกันหรอกครับ” รพีจ้องมองคนข้างกายด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะประสานมือของพวกเขาเข้าด้วยกันเพื่อบอกให้รู้ว่าความหมายเต็มๆ ของประโยคเมื่อครู่คืออะไร
ไม่ว่าจะสถานที่ไหน วันไหน หรือเวลาไหนล้วนไม่สำคัญ ขอแค่พวกเราได้มาด้วยกันก็พอ
“เมื่อไรเล็กถึงจะชินกับการพูดจาแบบนี้ของพี่พีเสียทีนะ” คุณชายเล็กหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี หลังจากนั้นจึงเป็นฝ่ายจูงมือพาอีกคนเดินตรงไปยังสะพานชมวิวที่ทอดยาวอยู่เหนือแม่น้ำด้วยตัวเอง
หากยืนดูจากตรงนี้พวกเขาจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของท้องฟ้ากว้างขวางและสวนสนุกได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ดูโดดเด่นเป็นอย่างมากเมื่อมองจากมุมนี้
“น้องเล็กรอตรงนี้ก่อนนะครับ”
“พี่พีจะไปไหนหรือครับ” คุณชายเล็กกะพริบตาพริบๆ มองคนรักที่ไม่ยอมตอบคำถาม แต่ส่งยิ้มมาให้กันด้วยความงุนงง กระทั่งแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายหายไปจากสายตาแล้วก็ยังไม่ได้รับคำตอบ สุดท้ายจึงได้แต่เงยหน้าสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อซึมซับบรรยากาศไปในระหว่างที่กำลังรอ
ผ่านไปยังไม่ทันถึงสองนาที แรงสะกิดจากด้านหลังก็เรียกสติของคนที่กำลังเหม่อมมองท้องฟ้าให้กลับคืนมาอีกครั้ง คุณชายเล็กหันกลับไปมองเจ้าของสัมผัส แล้วก็ต้องผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตอนนี้พี่พีคนดีของตัวเองไม่ได้กลับมามือเปล่า
…แต่มีลูกโป่งสามใบลอยอยู่ด้านหลังด้วย
“ลูกโป่ง...”
“พี่เห็นคุณลุงยืนขายอยู่ไม่ไกลตอนที่ขับรถผ่านมา นี่ของน้องเล็กครับ” ลูกโป่งทั้งสามใบซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรูปหัวใจถูกส่งไปให้คนที่ตอนนี้ยืนมองตาเป็นประกาย ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าคนอย่างคุณชายคงไม่เคยถือลูกโป่งเล่นแน่ๆ
สำหรับคนอื่นการถูกเซอร์ไพรส์ด้วยอะไรแบบนี้อาจโดนมองว่าไร้สาระ แต่กับพวกเขาสองคนที่ฝ่ายหนึ่งแทบไม่เคยได้เล่นอะไรเหมือนเด็กทั่วไป กับอีกฝ่ายที่ถูกสอนสั่งอยู่ในรั้ววังอย่างคนสูงศักดิ์ การได้ทำอะไรเช่นนี้กลับมีความหมายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ทำมันด้วยกัน
“ขอบคุณนะครับพี่พี” รอยยิ้มงดงามถูกส่งมาให้พร้อมคำขอบคุณ และนั่นก็คือรางวัลที่รพีต้องการมากที่สุด เมื่อได้ฟังเขาจึงเผยรอยยิ้มที่มีความสุขมากไม่แพ้กันตอบกลับไปอย่างเท่าเทียม
ครั้งหนึ่งครูฝึกเคยถามว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาคืออะไรหากไม่นับดมิส ในเวลานั้นรพีไม่อาจตอบอะไรกลับไปได้เลยแม้แต่คำเดียว กระทั่งยูโดที่ชื่นชอบเป็นอย่างมากก็ยังไม่ใช่คำตอบ เขาจึงได้แต่ปล่อยผ่านคำถามนั้นไป หากมันก็ยังติดค้างอยู่ในใจเรื่อยมา
…แต่ในตอนนี้ดูเหมือนจะได้คำตอบแล้ว
ยิ่งคิดถึงคำถามนั้น แววตาของรพีที่กำลังทอดมอง ‘คำตอบ’ ก็ยิ่งทวีความอ่อนโยนมากขึ้นทุกที
น่าเสียดายที่ก่อนพวกเขาทั้งคู่จะได้พูดคุยและใช้เวลาด้วยกันตามลำพังไปมากกว่านั้น โทรศัพท์ของรพีกลับสั่นสะเทือนขึ้นมาพอดี ชายหนุ่มมองหน้าคนรักที่ยิ้มรับด้วยความเข้าใจก่อนจะยอมกดรับสาย ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะคนที่โทรเข้ามาคือน้องชายคนสำคัญที่ปกติไม่เคยรบกวนเวลาส่วนตัวของเขาหากไม่จำเป็น
“ดิม มีอะไรหรือเปล่า”
[พีอยู่กับคุณชายใช่ไหม ขอโทษนะที่โทรมากวน] ดมิสเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ทำให้คนเป็นพี่รับรู้ได้ในทันทีว่าการโทรมาในครั้งนี้ต้องมีเหตุจำเป็น
“ไม่เป็นไร ดิมไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
[ดิมไม่เป็นไร... พี ขอโทษนะ แต่ช่วยมาหาดิมก่อนได้ไหม]
เพียงแค่ได้ยินเสียงพูดอย่างเป็นกังวลจากปลายสาย รพีก็รีบหันกลับไปมองคุณชายทันที คล้ายว่าใครอีกคนจะสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของเขา นอกจากจะไม่ถามไถ่อะไร กลับกลายเป็นฝ่ายจูงมือพารพีเดินไปขึ้นรถด้วยตัวเองเสียอีก
“รีบไปหาดมิสกันเถอะครับ” คุณชายเล็กเอ่ยด้วยความเข้าใจ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวที่รู้สึกแย่เพราะถูกแย่งช่วงเวลาสำคัญ เพราะตั้งแต่ที่ได้รักกับคนข้างกาย น้องชายของอีกฝ่ายก็เปรียบเสมือนญาติคนหนึ่งของเขาไปแล้ว
“ขอบคุณนะครับ”
เพราะไม่อาจคลายกังวลเกี่ยวกับเรื่องของดมิส รพีจึงพูดอะไรไม่ออกไปตลอดทาง สิ่งเดียวที่ช่วยให้เขายังมีสติอยู่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์คือความอบอุุ่นจากฝ่ามือของคนที่แตะแขนกันเอาไว้อย่างอ่อนโยน ในช่วงเวลาแบบนี้หากไม่มีคุณชายอยู่เคียงข้าง เห็นทีเขาคงไม่สนใจกฎการจราจรใดๆ อาจจะใจร้อนจนมีปัญหาตามมาเสียด้วยซ้ำ แม้ดมิสจะบอกว่าไม่ต้องรีบเพราะตัวเองไม่เป็นไรก็ตาม
ไม่เป็นไรงั้นเหรอ...
น้องชายของรพีเป็นคนเข้มแข็ง ยิ่งโตขึ้นดมิสก็ยิ่งเก็บซ่อนอารมณ์เก่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุจนอีกฝ่ายถูกบีบบังคับให้เติบโตขึ้นไวกว่าเดิม แต่ถึงจะบอกอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสิ่งที่เด็กคนนั้นหวาดกลัว
ดมิสติดรพีมาตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากสูญเสียบิดามารดาไป พี่ชายก็เปรียบเสมือนโลกทั้งใบ ในช่วงแรกหลังจากที่รู้ว่าตัวเองไม่เหลืออะไรเลย เด็กคนนั้นจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ขณะที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทางตัน จู่ๆ พวกเขาสองพี่น้องก็ถูกรับตัวไปดูแลโดยญาติคนหนึ่งซึ่งเป็นน้องชายของบิดา
ญาติคนนั้นเลี้ยงดูพวกเขาเหมือนเป็นทาส นอกจากจะพูดจาด่าว่าหยาบคายยังทำร้ายร่างกายกันอยู่บ่อยครั้ง ฝันร้ายของดมิสเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น เด็กชายดมิสในวัยเด็กถึงขั้นเคยบอกว่าอยากหนีไปให้ไกล ไม่ว่าเมื่อไรที่ต้องกลับบ้านไปเจอหน้าอาคนนั้นมักจะตัวสั่นเทา ออกอาการหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
...และรพีก็เชื่อว่าจนถึงตอนนี้ ต่อให้พยายามปิดบังเอาไว้ ดมิสก็ยังหวาดกลัวคนคนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
“ดิมไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร แต่พี่พอจะเดาได้” รพีสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อควบคุมอารมณ์ ตาจ้องมองไฟจราจรที่กลายเป็นสีแดงด้วยความร้อนใจ “เสี่ยอำนาจถูกจับเข้าคุก พวกลูกน้องก็โดนจับกันเป็นทอดๆ ในเมื่อไม่มีเจ้าหนี้จ้องจะทำร้าย คนคนนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก”
“พี่พีหมายถึงอาของพี่พีกับดมิสใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ... ถึงจะไม่รู้ว่าเขากลับมาทำไม แต่พี่คิดว่าเหตุผลคงไม่ใช่เรื่องดี”
กับอาที่เคยทำร้ายหลานชายสารพัด ทั้งยังหนีไปเพียงลำพังทิ้งหนี้มหาศาลเอาไว้ให้ จู่ๆ วันหนึ่งก็กลับมาหาอีกครั้ง ทั้งยังบุกไปถึงมหาวิทยาลัยของดมิสโดยไม่บอกล่วงหน้า ไม่มีทางเลยที่คนเช่นนี้จะมีจุดประสงค์ที่ดี
“ตอนนี้ดมิสอยู่ที่ไหนครับ”
“ดิมพาคนคนนั้นไปที่คอนโดครับ พี่คิดว่าดิมคงจะทำอะไรไม่ถูก...” หรือไม่ก็เผลอทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายไปตามความเคยชิน
ยิ่งคิดรพีก็ยิ่งเป็นห่วงน้องชาย ความเร็วของรถจึงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โชคดีที่แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังระลึกอยู่เสมอว่าข้างกายมีใครนั่งอยู่ด้วย แม้จะขับรถไวเพียงใดก็ยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ
หลังจากใช้เวลาอีกพักหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางกลับไปถึงคอนโด รพีที่เอาแต่เป็นห่วงน้องชายหลงลืมไปเสียสนิทว่าเขาเองก็เป็นเหยื่อของความโหดร้ายที่เกิดจากอาคนนั้นเช่นกัน ถึงจะต้องทำหน้าที่ของพี่คนโต คอยปกป้องดมิสเอาไว้ด้านหลังอยู่เสมอ แต่แท้จริงตัวของเขาก็สั่นเทาไม่แพ้กันเลย
หม่อมราชวงศ์คีรินทร์หลุบตาลงมองมือที่กำแน่นและกำลังสั่นเทาของคนรักด้วยแววตาที่ดูเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เพราะสังเกตอาการของรพีมาตลอดทางจึงรับรู้ได้แทบจะทันทีว่าแขกไม่ได้รับเชิญคนนั้นไม่ได้มีอิทธิพลในด้านลบกับดมิสแค่คนเดียว แต่คนของเขาก็ได้รับผลกระทบนั้นเช่นกัน
ขนาดยังไม่ได้พบหน้ายังแสดงออกถึงขนาดนี้เลยหรือ...
พอคิดว่าสาเหตุที่ทำให้สองพี่น้องซึ่งดูเข้มแข็งเป็นอย่างมากแสดงความอ่อนแอออกมาคืออะไร ในใจคีรินทร์ก็ยิ่งขุ่นมัวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาเดินไปถึงหน้าห้องของดมิส เขาจึงเอื้อมมือไปกอบกุมมือของคนรักเอาไว้แน่น ดวงตาที่สบประสานบ่งบอกชัดเจนว่าจะไม่ปล่อยมือออกแม้ว่าจะต้องเข้าไปเจอกับใครก็ตาม
“ถ้าพี่พีสู้ไม่ไหว ไม่ต้องกังวลนะครับ” คุณชายส่งยิ้มอ่อนโยนให้คนรัก ช่วยสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่ายทั้งจากการกระทำและคำพูด “เล็กอยู่ตรงนี้”
....จะไม่ปล่อยให้มีอะไรมาทำร้ายพี่พีแน่นอน
บางครั้งการต่อสู้ด้วยตัวเองเพียงลำพังก็เหนื่อยและยากลำบากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหยื่อที่ต้องเจ็บปวดทรมานเพราะความเลวของผู้ร้ายที่ไม่เคยสำนึก การมีใครสักคนคอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างจึงมีค่ามากเสียยิ่งกว่าอะไร
สำหรับคนที่ต้องต่อสู้ด้วยความหวาดกลัว... คงไม่มีอะไรสำคัญเท่าการที่ได้รู้ว่ามีคนคอยพร้อมจะสนับสนุนเราอยู่ตลอดเวลาอีกแล้ว
“ขอบคุณครับ” รพีจ้องมองคนข้างกายด้วยแววตาลึกซึ้ง หลังจากสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อสงบสติอารมณ์และความหวาดหวั่นในใจ เขาจึงเปิดประตูเข้าไปด้านในโดยไม่เคาะ เพราะถึงอย่างไรตัวเองก็มีคีย์การ์ดของห้องนี้อยู่แล้ว
ปกติหากรพีกลับมาที่ห้องช้ากว่า ดมิสมักจะนั่งดูทีวีรออยู่ตรงโซฟา แต่ในวินาทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่รพีสัมผัสได้กลับเป็นกลิ่นแอลกอฮอล์ที่พวกเขาสองพี่น้องไม่เคยแตะเลยสักครั้ง ไม่ต้องรอให้ใครตอบคำถาม เงาร่างของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาของโซนรับแขกก็ปรากฏให้เห็น
ชายคนนั้นสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านที่มองครู่เดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของตัวเอง เพราะขนาดของมันดูใหญ่กว่าตัวมาก ที่กองอยู่บนพื้นกับข้างโซฟาคือขวดเหล้ามากมายอันเป็นที่มาของกลิ่นแอลกอฮอล์ซึ่งอบอวลไปทั่วห้อง
รพีก้มลงมองเสื้อผ้าเก่ามีกลิ่นเหม็นที่กองอยู่ตรงเท้าของคุณชายแล้วขมวดคิ้วมุ่น เขาใช้เท้าเตะมันออกห่างจากคุณชายอย่างรังเกียจโดยไม่หยุดคิดเลยแม้แต่น้อย ราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยเอาไว้นานกว่านี้ ความสกปรกจะแพร่กระจายมาสู่คนสูงศักดิ์ข้างกาย
“พี่พี...” คีรินทร์กระตุกมือคนรักแล้วหันไปมองในทิศทางของเคาน์เตอร์ครัว ในเวลานั้นเองที่รพีเห็นเงาร่างของน้องชายนั่งกำมือเม้มปากแน่นอยู่ตรงนั้น
“น้องเล็ก พี่...”
“ไปเถอะครับ” คนพูดเป็นฝ่ายปล่อยมือออกก่อนแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เห็นอย่างนั้นรพีจึงเอ่ยขอบคุณออกมาเบาๆ แล้วรีบตรงเข้าไปหาดมิสที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ดิม โอเคหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร” คนที่รู้แต่แรกแล้วว่ามีใครเข้ามาในห้อง แต่ไม่อาจหลุดออกจากความคิดกังวลมากมายในใจได้เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา “พี... มันเอาเสื้อผ้าดิมไปใส่”
ดมิสในเวลานี้ดูคล้ายกับได้กลายเป็นเด็กน้อยไร้ปากไร้เสียงคนเดียวกันกับเมื่อสิบกว่าปีก่อน ความโหดร้ายและเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในใจไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลา ทั้งที่รู้ตัวดีว่าอาคนนั้นไม่อาจทำอะไรตัวเองได้แล้ว แต่เมื่อถูกออกคำสั่งเขากลับเผลอทำตามความเคยชิน ทั้งหมดเป็นเพราะส่วนลึกในใจยังคงหวาดกลัวคนคนนั้นอยู่เหมือนเดิม
“พี่จะไม่ให้คนคนนั้นมายุ่งเกี่ยวกับเราอีก”
“...แต่มันบอกว่าจะมาอยู่กับเรา”
รพีเม้มปาก ทว่ายังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงจากผู้ที่เพิ่งรู้ตัวว่าเจ้าของห้องอีกคนกลับมาแล้วพลันดังขึ้นจากอีกฝั่ง ทำให้แผ่นหลังของเขาสั่นสะท้านไม่ต่างจากดมิส
“ไอ้พี มึงกลับมาแล้วทำไมไม่มาทักกูวะ”
คำพูดที่น่ารังเกียจไม่แพ้น้ำเสียงและการแสดงออกของพิษณุทำให้คิ้วของหม่อมราชวงศ์คีรินทร์กดลงเล็กน้อย ความไม่พอใจที่อีกฝ่ายใช้ถ้อยคำหยาบคายกับคนรักของเขาทำให้แววตาที่ดูสงบนิ่งแลดูเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะยังไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงได้แต่ทนยืนนิ่งหลบมุมอยู่ด้านข้าง จ้องมองสถานการณ์ทั้งหมดเงียบๆ
“คุณมาที่นี่ทำไม” รพียืนขวางหน้าน้องชายแล้วจ้องพิษณุด้วยสายตาที่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นมิตรและไม่ต้อนรับเลยแม้แต่น้อย
“พูดกับกูแบบนี้หมายความว่ายังไง นี่มึงได้ดีแล้วลืมกูเหรอไอ้พี” ชายขี้เมาก้าวเท้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม คิ้วขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ “ทำไมไม่ทำตัวให้มันว่าง่ายเหมือนไอ้ดิมหน่อย กูหายไปแค่ไม่กี่ปีถึงขั้นลืมวิธีการปฏิบัติตัวกับผู้ใหญ่ไปแล้วหรือไง”
“ไม่กี่ปีงั้นเหรอ... พูดออกมาได้ยังไงวะ” ดมิสที่หลบอยู่ด้านหลังพี่ชายแค่นหัวเราะด้วยความรังเกียจ “มึงนี่มันเหี้ยเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ”
อาจเพราะตอนนี้มีพี่ชายคอยปกป้องอยู่ด้านหน้า ความกล้าที่มีจึงค่อยๆ หวนคืนกลับมาอีกครั้ง ดมิสด่าอาแท้ๆ ของตัวเองด้วยถ้อยคำหยาบคายโดยไร้ซึ่งความรู้สึกผิด และมันก็ทำให้ทุกคนที่ได้ยินตกใจไปตามๆ กัน
“ไอ้ดิม นี่มึงกล้าด่ากูเหรอ!” พิษณุเขวี้ยงขวดเหล้าในมือลงกับพื้นแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาสองพี่น้องด้วยความรวดเร็ว
ภาพอันคุ้นชินที่ในอดีตเคยเห็นจนกลายเป็นภาพติดตาทำให้รพีนึกอะไรไม่ออกไม่ชั่วครู่ ถึงกระนั้นเขาก็ยังเอาตัวบังดมิสเอาไว้ไม่คิดถอยไปไหน คำว่าญาติผู้ใหญ่สายเลือดเดียวกันยังคงค้ำคอ ทำให้ไม่อาจใช้กำลังหรือทำร้ายอีกฝ่ายได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงทำได้เพียงกัดฟัน เตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดที่ห่างหายไปนานอย่างไม่เต็มใจ
ดูเหมือนรพีจะหลงลืมไปว่าในที่นี้มีใครคนหนึ่งที่ไม่ได้หวาดกลัวพิษณุ ทั้งยังไม่อาจนับได้ว่ารู้จักกัน ดังนั้น...
โครม!
“โอ๊ย!!”
หม่อมราชวงศ์คีรินทร์จึงขัดขาอีกฝ่ายได้โดยไร้ซึ่งความรู้สึกผิดโดยสิ้นเชิง แม้จะเห็นว่าชายขี้เมาล้มลงไปกองอยู่กับพื้นร้องโอดโอย เขาก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงเดินเข้าไปหาสองพี่น้องที่ยืนมองสถานการณ์ด้วยความตกใจอยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล
“ในฐานะคนรักของพี่พี ช่วยอนุญาตให้เล็กจัดการเรื่องนี้แทนได้ไหมครับ”
สองพี่น้องจ้องมองสีหน้าอ่อนโยนของคุณชายด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก สำหรับพวกเขาที่ต้องพบเจอกับฝันร้ายมานาน สิ่งที่ต้องการที่สุดก็คือความยุติธรรม ให้คนผิดได้รับโทษตามสมควร ทว่าตลอดมาไม่เคยมีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้สำเร็จเลยสักครั้ง ความคิดนั้นจึงถูกฝังเอาไว้ในใจ หวังเพียงขอแค่ไม่ต้องพบหน้าอีกก็พอ
...แต่พวกเขาต่างรู้ตัวดีว่าการที่มีคนยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือคือสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดร้องขออย่างจริงใจจากคุณชาย หัวใจจึงอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรพีที่ต้องอดทนทำเหมือนไม่เป็นไรมาโดยตลอด
“น้องเล็ก...”
“พี่พีกับดมิสไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะอย่างนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของทั้งสองคนที่ต้องพยายามอดทนเผชิญหน้ากับสิ่งเลวร้าย แต่เป็นหน้าที่ของคนเลวที่ต้องไสหัวไปให้ไกล” แม้จะเพิ่งพูดถ้อยคำที่ไม่สมควรออกมา คุณชายเล็กก็ไม่คิดจะแก้ไข เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ก่อนจะเงยหน้าส่งยิ้มไปให้รพีอีกครั้ง “ให้เล็กช่วยนะครับ”
“พี…”
รพีหันกลับไปมองดมิสที่ร้องเรียกเขาเสียงเบา เพียงได้สบตากันในเสี้ยววินาที เขาก็เข้าใจความคิดในใจของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าน้องชายก็คิดเช่นเดียวกัน รพีจึงหันกลับไปมองคนรักอีกครั้งแล้วพยักหน้าโดยไม่ลังเล
“รบกวนด้วยนะครับ”
“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”
คุณชายเล็กหลุบตามองคนที่ยังร้องโอดโอยอยู่บนพื้น ก่อนจะเดินผ่านไปที่ประตูห้องอย่างไม่ใส่ใจ นอกเหนือจากมีความสุขที่พี่พียอมรับความช่วยเหลือ ความรู้สึกเดียวในใจคือชิงชังรังเกียจคนขี้เมาที่เคยทำร้ายคนของเขาในอดีต
“มึง... มึงเป็นใครวะ!”
ยังไม่ทันที่รพีจะได้บอกให้อาแท้ๆ หยุดพูดจาหยาบคายกับคนรักของตัวเอง คุณชายเล็กที่เดินไปถึงหน้าประตูพอดีกลับเป็นฝ่ายหยุดเท้าแล้วหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา
“ผมเคยถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าถ้าคุณกล้าโผล่หน้ากลับมาจะทำอย่างไรดี กำลังคิดว่าจะให้คุณตรีภพไปสืบข้อมูลให้สักหน่อย ไม่คิดเลยว่าจะมาหากันเองแบบนี้”
หม่อมราชวงศ์คีรินทร์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่หลังจากได้ใกล้ชิดกับพี่พี ได้รู้ว่าในอดีตอีกฝ่ายเคยเจออะไรมาบ้างอย่างละเอียดในวันหนึ่งตอนที่พวกเขานอนเล่นอยู่บนเตียง เขากลับรู้สึกอยากเอาคืนขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ขณะที่กำลังคิดว่าจะค่อยๆ ออดอ้อนให้พี่พีอนุญาตให้เขายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของตัวเอง จู่ๆ คนที่เคยทำร้ายคนของเขาอย่างโหดร้ายกลับปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่ต้องร้องขอ เรียกว่ามาได้จังหวะมากจริงๆ
“มึงพูดเรื่องอะไร!” พิษณุที่เริ่มหวาดหวั่นกับสายตาน่ากลัวของคนแปลกหน้าเผลอขยับกายถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ครั้งนี้คุณชายไม่คิดเสวนาด้วยอีก หลังจากได้ยินคำถามก็แค่เปิดประตูห้อง พยักหน้าให้ตรีภพกับผู้ติดตามของเขาก้าวเข้ามาด้านในเท่านั้น
“ช่วยพาเขาไปหาตำรวจทีครับ”
เพียงแค่ได้ยินคำว่าตำรวจ พิษณุก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ หากยังไม่ทันได้คิดวิ่งหนีไปไหนก็ถูกคนแปลกหน้าสองคนรัดแขนเอาไว้แน่น
“ปล่อยกูนะ! ปล่อย!!”
“คุณชายต้องการให้แจ้งตำรวจในข้อหาอะไรครับ” ตรีภพเมินเสียงโวยวายของชายขี้เมาและหันหน้ามาถามเจ้านายด้วยความสุภาพ
“เริ่มต้นจากข้อหาข่มขู่หรือบุกรุกก่อนก็แล้วกันครับ... หลังจากนั้นช่วยหาหลักฐานเกี่ยวกับความผิดของเขาในอดีตและส่งตามไปด้วย เอาให้ละเอียดเท่าที่จะทำได้ก็ดีเหมือนกัน คุณตำรวจจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก”
...และคนคนนี้จะได้ไม่มีหน้ามาปรากฏตัวให้พี่พีเห็นอีก
“เข้าใจแล้วครับ” ตรีภพที่เข้าใจความหมายแฝงของเจ้านายทุกประการส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามพาพิษณุที่ร้องโวยวายไม่ยอมหยุดออกไปจากห้อง ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับรพีและดมิสด้วยความสุภาพ “อีกสักครู่ผมจะให้คนเข้ามาทำความสะอาดห้องให้นะครับ”
รพีมองโซนรับแขกที่มีขวดเหล้าวางกระจายอยู่มากมายแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จำเป็นต้องพยักหน้าให้ตรีภพ แม้จะเกรงใจมากเพียงใดก็ตาม
หากต้องทำความสะอาดห้องที่สกปรกจากฝีมือของญาติคนนั้น ภาพความทรงจำในอดีตคงปรากฏขึ้นอีกครั้งทั้งที่ไม่อยากนึกถึง รพีจึงทำได้เพียงยอมรับความหวังดีเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรู้สึกแย่มากไปกว่านี้
เมื่อต้องกลับมาเจอกับคนที่เคยทำร้ายอีกครั้ง ลึกๆ ในใจก็อดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้ ทันทีที่เห็นว่าคนคนนั้นถูกพาตัวไปและกำลังจะได้รับการลงโทษตามที่ควรเป็น เขาจึงโล่งอกมากจนเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้ในเวลานี้จะยังคงยิ้มไม่ออกก็ตาม
“ไม่เป็นไรแล้วครับ” พลันเสียงนุ่มนวลก็ดังขึ้นพร้อมกันกับที่ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากคนที่เดินมายืนอยู่ด้านข้าง
รพีก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกใครบางคนกอบกุมเอาไว้ จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมาช้าๆ หัวใจได้รับการเยียวยาจนเกือบจะลืมเลือนเรื่องแย่ๆ ที่ได้พบเจอไปจนหมดสิ้น
“ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณอะไรกันครับ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” คุณชายเล็กหัวเราะเสียงใส ไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดและการกระทำของตัวเองช่วยชีวิตคนคนหนึ่งเอาไว้กี่ครั้ง
“ยังไง...ก็ต้องขอบคุณอยู่ดีครับ”
ขอบคุณที่เราได้เจอกัน... ขอบคุณที่รักและทำเพื่อเขามากถึงขนาดนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ต่างคนต่างโชคดีที่มีกันและกัน และในที่สุดพี่พีก็อัพเวลเต๊าะน้องคืนบ้างแล้ววว
อืมๆ คลายไปอีกเปลาะ