ตอนที่ 17 : ตอนที่ 17
-17-
เจ็ดโมงเช้าของวันถัดมา หม่อมราชวงศ์ปฐวีปรากฏกายขึ้นในเพนท์เฮ้าส์ของหม่อมราชวงศ์คีรินทร์เพื่อทวงคืนความรักจากน้องชายซึ่งกำลังจะถูกแย่งไป หรือบางทีอาจต้องบอกว่าโดนแย่งไปแล้ว
“พี่ชายใหญ่... คุณตรีภพบอกว่าอยู่ต่างจังหวัดไม่ใช่หรือครับ” ผู้เป็นน้องที่เพิ่งลงมาจากห้องนอนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง “ทำไมถึงมาที่นี่ได้ครับ”
“เมื่อวานน้องเล็กมีความสุขมากจนลืมพี่”
ไม่ว่าจะหน้าตาหรือน้ำเสียงของคุณชายใหญ่ล้วนแล้วแต่เย็นชา ถึงกระนั้นความหมายของคำพูดกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะเพียงได้ฟังก็สัมผัสถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของราชาแห่งวงการธุรกิจผู้นี้ได้อย่างชัดเจน
“เล็กขอโทษนะครับ” เพราะรู้ดีว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ คุณชายเล็กจึงไม่อาจปฏิเสธ ได้แต่ยอมรับอย่างสำนึกผิดแล้วตรงเข้าไปดึงแขนพี่ชายให้นั่งลงบนโซฟาเคียงข้างกัน “พี่ชายใหญ่รับน้ำอะไรดีครับ เล็กจะไปเอามาให้”
“พี่จำได้ว่าตัวเองเคยอนุมัติสัญญาจ้างวานพ่อบ้านคนหนึ่งให้น้องเล็ก ไม่ใช่ว่านี่เป็นหน้าที่ของเขาหรืออย่างไร”
“พี่พีไม่สบายเล็กเลยให้นอนพักอยู่ที่ห้องด้านบนครับ”
“ห้องของน้องเล็ก?” ดวงตาของผู้พูดเปล่งประกายเย็นเยียบ น่ากลัวเสียยิ่งกว่าเวลาไม่พอใจในที่ประชุม หากคนอื่นมาอยู่ตรงนี้คงขนลุกขนชันไม่กล้าพูดสิ่งใดต่อ แต่เพราะคนที่อยู่ตรงนี้คือคีรินทร์ นอกจากอมยิ้มขบขันเขายังตรงเข้าไปกอดแขนพี่ชายเอาไว้อย่างออดอ้อน ไร้ซึ่งความเกรงกลัวโดยสิ้นเชิง
“พี่ชายใหญ่อย่าโกรธเลยนะครับ จะอย่างไรพี่ชายใหญ่ก็เป็นที่หนึ่งสำหรับเล็กอยู่แล้ว”
“พี่เคยเป็นที่หนึ่งเพียงคนเดียว”
เพราะรู้ดีว่าน้ำหนักของคนคนนั้นในใจน้องชายมีมากขนาดไหน หม่อมราชวงศ์ปฐวีจึงเอ่ยประโยคนี้โดยไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย ทว่าผู้ฟังกลับไม่แม้แต่จะหยุดยิ้ม ซ้ำยังตอบกลับในทันทีราวกับตระเตรียมคำตอบเอาไว้ก่อนแล้ว
“เช่นนั้นเล็กจะให้พี่พีเป็นที่หนึ่ง ส่วนพี่ชายใหญ่ไม่อยู่ในอันดับเพราะประเมินค่าไม่ได้ แบบนั้นดีไหมครับ”
“ทำเป็นพูดดี” ปากพูดไปนั่นแต่แววตากลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หม่อมราชวงศ์ปฐวีเอนกายพิงพนักโซฟา แขนอ้าออกกว้างเพื่อรับร่างของน้องชายเข้ามากอดไว้เหมือนอย่างตอนที่พวกเขาเป็นเด็กๆ
“พี่ชายใหญ่ไม่ได้โกรธใช่ไหมครับ”
“จู่ๆ วันหนึ่งก็ถูกแย่งชิงน้องชายไปจากอก เป็นใครก็คงไม่พอใจทั้งนั้น แต่ว่า...” คุณชายใหญ่ลูบศีรษะของน้องน้อยในสายตาของเขาอย่างอ่อนโยน “นอกเหนือไปจากเรื่องที่น้องเล็กรักเขาหมดหัวใจ เขายังเคยช่วยชีวิตน้องเล็กเอาไว้ แล้วพี่จะทำอย่างไรได้”
“พี่ชายใหญ่...”
“เขาดีกับน้องเล็กของพี่ใช่ไหม”
“ครับ” คุณชายเล็กตอบอย่างมั่นใจ “พี่พีดีกับเล็กมาก ดีกับเล็กมากที่สุด”
“เช่นนั้นก็ดี”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากน้องชาย หม่อมราชวงศ์ปฐวีก็ไม่พูดถึงเรื่องของรพีขึ้นมาอีก แต่ไหนแต่ไรมาน้องเล็กของเขาก็เป็นคนรู้จักคิดอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรขอเพียงอีกฝ่ายเอ่ยออกมา เขาจึงสนับสนุนโดยไม่คิดถามไถ่ให้มากความ ยิ่งเป็นเรื่องของหัวใจเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่ สิ่งที่ทำได้มีเพียงการย้ำให้แน่ใจว่าคนที่แสนโชดดี ได้หัวใจของน้องเล็กไปครองเป็นคนที่ดีและเหมาะสมจริงๆ เท่านั้น
“วันนี้พี่ชายใหญ่จะอยู่กับเล็กไหมครับ”
“พี่ีมีประชุมตอนเที่ยง”
“เล็กเข้าใจครับ”
คุณชายใหญ่หลุบตาลงมองน้องเล็กที่แนบแก้มอยู่กับอกตัวเอง ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยโดยไม่มีใครสังเกตเห็น น้องเล็กมักจะทำเหมือนเข้าใจเขาทุกอย่าง แต่ลึกๆ ในใจก็คงจะเหงาอยู่ไม่น้อย เพราะนับจากเจ้าตัวแยกมาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็แทบไม่ได้ทานอาหารร่วมกันเลย
“พี่จะอยู่ทานอาหารเช้ากับน้องเล็กก่อน”
“จริงหรือครับ!” คุณชายเล็กเบิกตากว้างแล้วเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นอาการเช่นนั้นของน้องชาย สายตาของคนเป็นพี่ก็ยิ่งอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ
“เราไม่ได้ทานอาหารร่วมกันที่บ้านแบบนี้มานานมากแล้วสินะ”
“ใช่ครับ นานมากจริงๆ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่บ้าน แต่เล็กคิดว่ามันไม่ได้ต่างกันเลยหากมีพี่ชายใหญ่กับเล็กอยู่ในนั้น” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้คุณชายเล็กก็มองหน้าพี่ชายด้วยสายตาจริงจัง “อันที่จริงเล็กมีเรื่องอยากพูดคุยกับพี่ชายใหญ่ครับ”
“เรื่องอะไรหรือ”
“หลังจากเรียนจบเล็กอยากกลับไปอยู่ที่บ้าน เล็กอยากเจอพี่ชายใหญ่ทุกวันเหมือนเมื่อก่อน หากเป็นไปได้พี่ชายใหญ่ช่วย...”
“ได้” หม่อมราชวงศ์ปฐวีตอบรับโดยไม่เสียเวลาหยุดคิดเลยแม้แต่น้อย “พี่จะพยายามกลับบ้านให้ได้ทุกวัน แต่อย่างน้อยเราต้องได้ทานอาหารร่วมกันเกินว่าสี่ครั้งต่ออาทิตย์ ยกเว้นว่าพี่จำเป็นต้องบินไปต่างประเทศ”
ถึงเรียนจบหม่อมราชวงศ์คีรินทร์จะได้ไปทำงานกับพี่ชายแน่นอน แต่เขากลับมั่นใจว่าคงไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับพี่ชายในที่ทำงานนัก ดังนั้นหากอยากจะพบหน้าก็มีแต่ต้องกลับบ้านเท่านั้น นี่คือสิ่งที่คีรินทร์ตัดสินใจมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ก่อนพบรพีอีกครั้ง และเขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตัวเองเช่นกัน
แต่ว่า...
“อันที่จริงเล็กมีเรื่องจะขอร้องด้วย...”
“ระหว่างนี้น้องเล็กไปชักชวนให้คนของตัวเองกับน้องชายย้ายมาอยู่ที่บ้านของเราก็แล้วกัน หากพวกเขาอึดอัดที่จะอยู่บ้านใหญ่ก็ให้ไปอยู่บ้านเล็ก เรามีที่ตั้งมากมายกับบ้านอีกหลายหลัง ไม่ได้ลำบากอะไรอยู่แล้ว”
ภายในอาณาเขตบ้านของสองพี่น้องประกอบไปด้วยบ้านใหญ่ที่พวกเขาอยู่อาศัยกับบ้านย่อยๆ อีกสามหลัง ถ้าไม่นับบ้านของคนงานและผู้ติดตามของเจ้าบ้าน ก็เท่ากับว่ายังมีบ้านอีกสองหลังที่ไม่มีใครใช้ เรื่องนั้นคีรินทร์รู้ดีอยู่แล้ว แต่เขากำลังดีใจปนขบขันที่พี่ชายรู้ทันกันไปหมดต่างหาก
“เล็กเพิ่งจะหาเรื่องชักชวนให้พี่พีกับน้องชายย้ายมาอยู่ที่ห้องด้านล่าง คงต้องรออีกสักพักถึงจะพูดเรื่องนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม...ขอบคุณนะครับพี่ชายใหญ่ ขอบคุณที่เข้าใจเล็ก”
“พี่เต็มใจทำทุกอย่างเพื่อน้องเล็กอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”
“เล็กเองก็เต็มใจจะทำทุกอย่างเพื่อพี่ชายใหญ่เช่นกันครับ” คุณชายเล็กคลี่ยิ้มสดใส หลังจากพูดจบแล้วก็โถมกายเข้ากอดพี่ชายเอาไว้อีกครั้งแล้วถูไถใบหน้ากับอกกว้างราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ “เล็กรักพี่ชายใหญ่ที่สุดเลย”
การแสดงออกเช่นนี้ไม่เคยมีใครได้เห็นแม้แต่รพี ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มเดินลงมาจากบันไดและเห็นภาพนั้นเข้า เขาจึงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่ได้นึกอิจฉาคุณชายปฐวีแต่อย่างใด เพราะเข้าใจดีว่าพี่น้องที่อยู่ด้วยกันและดูแลกันมานาน ทั้งยังเหลืออยู่เพียงสองคนในครอบครัวย่อมผูกพันกันมากเป็นธรรมดา
“สวัสดีครับคุณชายปฐวี”
เพราะเห็นว่าพี่ชายของคุณชายเล็กหันมาเห็นแล้ว เขาจึงทำได้เพียงรีบทักทายตามมารยาท แม้จะสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของคนที่ถูกขัดจังหวะ แต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งไปให้แล้วเดินลงไปด้านล่างเท่านั้น
“พี่พี ตื่นแล้วหรือครับ”
“ครับ” รพีส่งยิ้มให้เจ้าของดวงตาเป็นประกายที่หันมามองเขาพร้อมรอยยิ้มสดใส “ไม่ทราบว่าได้สั่งอะไรทานกันหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ได้สั่งผมจะรีบไปทำอาหารเช้าให้”
“ยังไม่ได้สั่งครับ แต่ว่าพี่พียังไม่หายดี เล็กว่าอย่าเพิ่งเข้าครัวดีกว่า”
“ผมไม่เป็นไรแล้วครับ ปกติถ้าเป็นหวัดไม่สบายแค่วันสองวันก็แทบจะหายเป็นปกติแล้ว” หลังจากย้ำให้คุณชายเล็กมั่นใจอีกครั้ง รพีก็ก้มศีรษะให้คุณชายใหญ่ที่นั่งหน้าตึงกอดน้องไม่ยอมปล่อย จากนั้นจึงเดินแยกไปเข้าครัวพร้อมรอยยิ้มขบขันที่พยายามกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
ไม่จำเป็นต้องเดาก็มั่นใจว่าคนคนนั้นจะต้องรับรู้ว่าสถานะระหว่างเขากับคุณชายแปรเปลี่ยนไปแล้วอย่างแน่นอน โชคดีที่อย่างน้อยคุณชายใหญ่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร เพราะหากเป็นเช่นนั้นขึ้นมาทุกอย่างคงจะยากลำบากมากแน่ๆ
เนื่องจากวันนี้มีผู้ร่วมโต๊ะอาหารเพิ่มขึ้นมา ทั้งยังเป็นพี่ชายของคนสำคัญ รพีจึงเลือกทำเมนูโปรดสำหรับคุณชายหลายอย่าง เพราะจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งอีกฝ่ายเคยกล่าวว่าพี่ชายใหญ่เองก็ชื่นชอบอาหารแบบเดียวกัน ด้วยเหตุนั้นตอนที่ทั้งสองคนเดินมานั่งที่โต๊ะ คนเป็นน้องจึงออกอาการดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาเป็นประกายลอบมองรพีอย่างมีความหมาย ไม่รอให้คนของตัวเองปิดหม้อหุงข้าวก็เดินเข้าไปแทนที่และตักข้าวใส่จานใบที่สามอย่างรวดเร็ว
“พี่พีมานั่งทานด้วยกันนะครับ กับข้าวเยอะแยะขนาดนี้ เล็กกับพี่ชายใหญ่ทานไม่หมดหรอก”
ปกติเพียงถูกอ้อนรพีก็ไม่อาจปฏิเสธคุณชายได้อยู่แล้ว นี่ยังมีเหตุผลเพิ่มเติมมาอีก ไม่ต้องถามเลยว่าผลจะเป็นยังไง เพราะสุดท้ายโต๊ะอาหารที่เคยมีเพียงสองพี่น้องก็เพิ่มคนเข้ามาอีกหนึ่ง และหม่อมราชวงศ์ปฐวีก็ไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจแต่อย่างใด
พวกเขาเริ่มทานอาหารกันเงียบๆ ไม่ได้มีหัวข้อพูดคุยอะไรมากมาย เพราะช่วงเวลาทานอาหารไม่ใช่ช่วงเวลาที่สองพี่น้องชอบใช้พูดคุยกันอยู่แล้ว รอจนจัดการอาหารหมดคุณชายใหญ่ถึงได้เช็ดมุมปากแล้วเริ่มพูดถึงเรื่องจริงจังที่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้
“เรื่องของคนที่คิดจะทำร้ายน้องเล็ก...” ดวงตาคู่คมเปล่งประกายเย็นเยียบเมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ “พี่จะให้ทนายจัดการตามกฎหมาย เห็นแก่ที่อย่างน้อยผู้หญิงคนนั้นก็มีสายเลือดเดียวกันกับคุณแม่ พี่จะไม่ซ้ำเติมอะไรไปมากกว่าที่ควรเป็น แต่เรื่องไหนที่ผิดจริงจะไม่มีการยกเว้นแม้แต่เรื่องเดียว กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็เช่นกัน”
“เล็กเห็นด้วยกับการตัดสินใจของพี่ใหญ่ครับ”
“ตอนนี้คงดำเนินการอยู่ พวกตัวเล็กตัวน้อยถูกจับไปหมดแล้ว เหลือก็แต่ตัวการใหญ่ที่อาจต้องใช้เวลาสืบสวนสักหน่อยจึงจะลากเข้าคุกได้”
คุณชายเล็กเข้าใจดีว่าพี่ชายใหญ่ไม่อยากใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผลจึงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแบบแผน แม้จะช้าหน่อยแต่ก็แลกมากับการที่พวกเขาไม่ต้องยุ่งยากและไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนนอก
ถึงพวกเขาสองพี่น้องจะไม่ได้นับญาติกับไลลาและภาคภูมิ แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้ เพราะถึงอย่างไรไลลาก็ยังใช้นามสกุลของมารดาอยู่ หากกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ชื่อเสียงของตระกูลฝั่งนั้นก็จะตกตำ่ตามไปด้วย
…แต่ถ้าหาเรื่องอยากเป็นข่าวเองก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน
คงต้องยอมรับว่าหม่อมราชวงศ์ปฐวีกับหม่อมราชวงศ์คีรินทร์ไม่ใช่คนดีที่ขาวสะอาดไปหมดและพร้อมจะช่วยเหลือใครก็ตาม พวกเขาเห็นแก่มารดาจึงยอมไว้หน้าตระกูลทางนั้น แต่หากมีปัญหาขึ้นมาก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ เพราะถือว่าตัดขาดไปแล้วและไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ อีก
“พี่ชายใหญ่จะไปแล้วหรือครับ” คนเป็นน้องร้องถามเมื่อเห็นพี่ชายลุกขึ้นยืนและจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่
“พี่ไปเลยดีกว่า น้องเล็กจะได้พักผ่อน วันศุกร์พี่มีเวลาว่าง เดี๋ยวจะแวะมาทานอาหารเย็นด้วย”
พอได้ยินว่าอีกไม่กี่วันก็จะได้เจอพี่ชายใหญ่อีกครั้ง คุณชายเล็กก็ยกยิ้มกว้าง ยินยอมพยักหน้ารับคำพูดนั้นแต่โดยดี
“เดี๋ยวเล็กลงไปส่งข้างล่างนะครับ”
หม่อมราชวงศ์ปฐวีไม่ได้ปฏิเสธคำขอของน้องชายเมื่อเห็นว่าคนของอีกฝ่ายที่เพิ่งล้างจานเสร็จทำท่าจะตามไปด้วย ในเมื่อขากลับน้องเล็กไม่ต้องเดินคนเดียว เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธอะไร เพราะการได้อยู่กับน้องนานขึ้นอีกนิดย่อมต้องเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
ในทันทีที่ก้าวเท้าออกจากเพนท์เฮ้าส์ส่วนตัวของน้องชาย บรรยากาศรอบกายของหม่อมราชวงศ์ปฐวีก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน นอกเหนือจากแววตากับสีหน้าที่เย็นชาจนเหมือนก้อนน้ำแข็ง กระทั่งน้ำเสียงที่ใช้กับผู้ติดตามก็ดูน่ากลัวกว่าตอนพูดคุยอยู่ในห้องเป็นคนละเรื่อง
“ไปเถอะครับ” รพีที่ถูกคนรักแอบเกี่ยวนิ้วก้อยเอาไว้และมองมาด้วยสายตาเป็นกังวลยกยิ้มจาง ก่อนจะพยักพเยิดให้คุณชายเล็กขยับไปเดินเคียงข้างพี่ชาย ไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรเขา เพราะจะอย่างไรหลังจากนี้ก็มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันอยู่แล้ว
หากเทียบกันระหว่างสองครอบครัว รพียังได้ใช้เวลาร่วมกับดมิสมากกว่าคุณชายเล็กกับคุณชายใหญ่ อย่างน้อยเขาก็ได้เจอหน้าน้องชายทุกอาทิตย์ ยิ่งหลังจากย้ายมาอยู่ห้องด้านล่างจะบอกว่าเจอเกือบทุกวันก็คงไม่ผิด พอหันไปมองสองพี่น้องที่จำเป็นต้องห่างเพราะงาน แทบไม่มีเวลากินข้าวร่วมกันก็เข้าใจขึ้นมาทันที
เมื่อมีโอกาสเขาจึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเดินอยู่ด้านหลังแบบนี้เพื่อให้สองพี่น้องใช้เวลาร่วมกันได้อย่างเต็มที่และคุ้มค่าในทุกวินาที ถึงนี่จะเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้วในฐานะของลูกจ้างที่แม้สถานะจะเปลี่ยนไปแล้วแต่ก็ต้องทำงานอย่างเดิม หากสำหรับรพีควรจะใช้คำว่าเต็มใจมากกว่า เพราะต่อให้อยู่ในสถานะไหน เขาก็ยังใส่ใจคุณชายที่สุดอยู่ดี
เพราะใส่ใจ...จึงรู้ว่าคุณชายเล็กคิดถึงพี่ชายใหญ่ของตัวเองมากขนาดไหน
เมื่อพวกเขาทั้งหมดลงลิฟต์มาถึงด้านล่าง ความวุ่นวายที่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรก็โหมกระหน่ำเข้ามาจนคุณชายใหญ่กดหัวคิ้วลงเล็กน้อย ขณะที่คุณชายเล็กถูกพี่ชายดันตัวให้ขยับไปยืนด้านหลังเคียงข้างรพีดังเดิม
เบื้องหน้า...คือร่างของชายหญิงวัยกลางคนในสภาพดูไม่ได้ที่พยายามสู้แรงพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรม อ้าปากตะโกนโวยวายจะพุ่งเข้ามาหาพวกเขาให้ได้
“คุณชาย!! คุณชายช่วยพวกเราด้วย!”
ช่วยในที่นี้หมายถึงเรื่องอะไร ไม่ว่าคุณชายเล็กหรือคุณชายใหญ่ต่างก็รู้ดี
“พชร” หม่อมราชวงศ์ปฐวีเรียกเลขาฯ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพียงเท่านั้นพชรก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพร้อมกับพูดรายงานเจ้านายไปด้วยโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำสั่งแต่อย่างใด
“ผมจะเร่งให้ทนายจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็วที่สุดครับ”
ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่เมื่อเห็นว่าสองคนนั้นกล้าหน้าด้านมาหาถึงที่พักส่วนตัวของน้องชาย แววตาของคุณชายใหญ่ก็ดูราวกับจะมีไฟลุกท่วม เหตุผลหรือความคิดดั้งเดิมใดๆ สลายหายไปในพริบตา
การก้าวล้ำเส้นความอดทนของหม่อมราชวงศ์ปฐวีคือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด ทุกคนที่อยากทำความรู้จักกับเขาควรจะทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ก่อนเป็นลำดับแรก
“คุณชาย!!”
สองสามีภรรยาที่ไร้ซึ่งหนทางให้หันกลับยังคงตะโกนโหวกเหวกไม่รักษาหน้า ยามนี้เรื่องราวทุกอย่างพังทลายไม่มีชิ้นดี หากปล่อยไว้แบบนี้พวกเขามีแต่ต้องถูกจับ ศักดิ์ศรีใดๆ จึงถูกวางทิ้งไปจนหมดสิ้นแล้ว โดยเฉพาะกับไลลาที่พยายามอ้างว่าตัวเองไม่รู้เรื่องที่ภาคภูมิจ้างคนไปทำร้ายหม่อมราชวงศ์คีรินทร์เพราะความแค้น
“คุณชาย! น้าไม่รู้เรื่องด้วยเลย ไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ! น้าเป็นน้าของคุณชาย จะทำแบบนี้กับน้าไม่ได้นะ!”
“พูดอะไรออกมา เธอนั่นแหละเป็นคนวางแผน!!” ภาคภูมิที่ไม่ยอมรับผิดเพียงคนเดียวรีบเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง ภาพที่ปรากฏในเวลานี้จึงเป็นการทะเลาะกันของสองสามีภรรยาที่อยู่กินมานานหลายสิบปี
“ทำไมยังไม่รีบไล่ไปอีก ทำงานกันอย่างไรถึงปล่อยให้คนพวกนี้เข้ามาได้”
พลันเสียงทุ้มเย็นชาของหม่อมราชวงศ์ปฐวีก็ดังแทรกขึ้น ดวงตาที่ตวัดมองไปยังผู้จัดการคอนโดดูดุดันมากจนทางนั้นแทบสิ้นสติ รีบร้อนสั่งการให้พนักงานรักษาความปลอดภัยลากคนทั้งคู่ออกไปด้านนอกทันที
ส่วนหม่อมราชวงศ์คีรินทร์ที่บัดนี้ถูกรพีกอบกุมมือเอาไว้แน่น สีหน้าของเขาไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นปกติ เพราะมันเรียบนิ่งไร้ซึ่งรอยยิ้มหรือความอ่อนโยนใดๆ โดยสิ้นเชิง กระทั่งรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงจากคนข้างกาย ดวงตาที่น่ากลัวไม่แพ้พี่ชายจึงดูคล้ายจะอ่อนลงเล็กน้อย
“ช่วยพาเล็กออกไปด้านนอกหน่อยได้ไหมครับ”
คำพูดนั้นไม่ใช่เพียงรพีที่ได้ยิน เพราะหม่อมราชวงศ์ปฐวีก็ได้ยินเช่นกัน ชายหนุ่มหันหน้ากลับไปหาผู้พูด เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบในด้านลบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงพยักหน้าให้รพีพาน้องชายเดินนำออกไปด้านนอก ขณะที่ตัวเองกับผู้ติดตามเดินตามหลังไปติดๆ
ร่างของภาคภูมิกับไลลาไม่ได้ถูกลาออกจากหน้าคอนโดเพียงอย่างเดียว เพราะพนักงานรักษาความปลอดภัยตั้งท่าจะลากพวกเขาออกไปจนถึงประตูด้านนอก แต่แล้วทุกอย่างกลับหยุดชะงักเมื่อคนที่ตามมาด้านหลังเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก
“หยุดก่อนครับ”
พนักงานทุกคนของคอนโดหรูแห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าของเพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุด พวกเขาจดจำเสียงและหน้าตาของคุณชายคีรินทร์ได้จนขึ้นใจ ถูกย้ำวันละหลายรอบว่าห้ามทำให้คนคนนั้นไม่พอใจเป็นอันขาด เมื่อได้ยินคำพูดร้องขอที่เป็นคำสั่งในสายตาตัวเอง สองขาจึงหยุดชะงักและจับผู้บุกรุกหมุนกายให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่เดินตามมาอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ยังถือเป็นเวลาเช้าและแดดก็เริ่มออกแล้ว แต่คุณชายคีรินทร์และรพีกลับมีผู้ติดตามยืนกางร่มให้ ส่วนคุณชายปฐวีกับอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ยืนอยู่ใต้อาคารทางเข้า ไม่ได้ออกมาตากแดด เมื่อเปรียบเทียบกับสองสามีภรรยาตกอับที่ตั้งใจทำเรื่องสกปรกซึ่งตอนนี้ถูกลากออกมาด้านนอก สถานะของพวกเขาจึงดูแตกต่างกันอย่างชัดเจน
“คุณชาย...”
เพราะหมดสิ้นหนทางจึงยินยอมทำได้ทุกสิ่ง ไลลาจ้องมองหลานชายด้วยสีหน้าคาดหวัง ถึงกระนั้นกลับไร้ซึ่งวี่แววของความรู้สึกผิดใดๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือสามีก็ตาม
“สภาพ...ดูไม่ได้เลยนะครับ”
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดรุนแรง เมื่อออกมาจากปากของคนสุภาพจะมีอานุภาพเสียยิ่งกว่าคนทั่วไปพูดจาหยาบคาย ยิ่งเมื่อประกอบเข้ากับหน้าตาเฉยชาไร้ความรู้สึกอันตรงกันข้ามกับน้ำเสียงแสดงความเห็นใจ สองสามีภรรยาก็ยิ่งสะอึกจนไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้เป็นเวลานาน รู้ตัวอีกทีจึงมีเพียงความโกรธเคืองเข้ามาแทนที่
“คุณชายพูดแบบนี้ได้ยังไง”
“หากอยากขอความช่วยเหลือ ทำไมถึงไม่เลือกคนอื่นกันครับ พวกคุณลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าผมอยู่ตรงนั้นกับคุณแม่ด้วยในวันที่ท่านกลับไปที่บ้านเก่า” ทั้งที่คุณชายไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปหา แต่สองสามีภรรยากลับรู้สึกคล้ายถูกกดดันจนเกือบจะก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ “คุณภาคภูมิเคยถามว่าผมรู้อะไรมาในตอนที่เราเจอกันที่งานเลี้ยง... คงต้องกล่าวว่าผมรู้ทุกอย่างครับ”
“…”
“เพราะแกพ่อกับแม่ถึงต้องตาย มันผิดตั้งแต่แกเกิดมา...” น้ำเสียงเนิบๆ เอ่ยถึงถ้อยคำที่ยังจดจำได้ฝังใจแม้จะผ่านมานานเป็นสิบปีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ถ้าไม่มีแกสักคนทุกอย่างคงดีกว่านี้ แกจะเสนอหน้ากลับมาที่นี่ทำไม คนเนรคุณอกตัญญูอย่างแกไม่มีทางเจริญหรอก... ถ้อยคำหยาบคายต่อจากนั้น เกรงว่าผมพูดตรงนี้คงไม่เหมาะสม หรือว่าคุณไลลาอยากให้ผมพูดออกมาด้วย?”
“...”
“รู้แบบนี้แล้ว... ยังคิดว่าผมกับพี่ชายใหญ่จะช่วยพวกคุณอยู่ไหมครับ”
คนชั่ว คนเลว หรืออะไรที่หยาบคายมากกว่านี้ ไม่ว่าจะคำหรือประโยคไหน หม่อมราชวงศ์คีรินทร์ที่ในเวลานั้นไม่เข้าใจความหมายเลยสักคำจดจำได้แม่นยำไม่มีวันลืม
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องที่ทั้งคู่จ้างวานคนมาทำร้ายเขา เพราะลำพังเรื่องที่ฝังอยู่ในใจก็เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม สองคนนี้ก็คือต้นเหตุที่ทำให้มารดาเสียชีวิตในสายตาของสองพี่น้อง เพียงแค่ยอมปล่อยให้ใช้ชีวิตตามใจตน ไม่คิดแค้นอยากเอาคืนก็ถือว่าดีมากแล้ว
อา... ไม่สิ จะบอกว่าไม่ได้เอาคืนก็คงไม่ถูก เพราะถ้ามองตามหลักความจริง เขากับพี่ชายคล้ายจะเป็นต้นเหตุทางอ้อมที่ทำให้ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือ รวมไปถึงมีหลายคนเลิกคบค้าสมาคมกับคนพวกนี้ด้วยนี่นะ
“ความใจดีสุดท้ายที่ผมกับพี่ชายมอบให้ได้คือการปล่อยให้พวกคุณรับผลจากการกระทำของตัวเองตามกฎหมาย โปรดจำเอาไว้ว่าหากทุกอย่างจบลงแล้วอย่าได้มายุ่งกับพวกเราสองพี่น้องอีก เพราะหลังจากนี้จะไม่มีคำว่าปราณีอีกต่อไป พวกคุณคงไม่อยากรู้หรอกว่าพี่ชายใหญ่ของผมทำอะไรได้บ้าง”
“…”
“ลาก่อนครับ”
ภาคภูมิกับไลลาที่พูดอะไรไม่ออกตั้งแต่ได้ยินคุณชายพูดถึงเรื่องในอดีตทำได้เพียงจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความหวาดหวั่น คำพูดประโยคสุดท้ายนั่นไม่ว่าใครก็เข้าใจว่ามันคือคำขู่ และแววตาของหม่อมราชวงศ์คีรินทร์ในเวลานั้นก็ไม่ได้ดูเหมือนกำลังล้อเล่นเลยสักนิด
ขณะเดียวกันกับที่สองสามีภรรยาถูกพาตัวออกไปนอกเขตคอนโด หม่อมราชวงศ์คีรินทร์ก็เดินกลับไปหาหม่อมราชวงศ์ปฐวีเช่นกัน สองพี่น้องสบตาเพียงชั่วครู่ ก่อนผู้เป็นพี่จะอ้าแขนออกกว้าง โอบกอดน้องชายที่เขาภาคภูมิใจและรักใคร่มากที่สุดเอาไว้อย่างแนบแน่น ไร้ซึ่งคำเอื้อนเอ่ยใดๆ
เหตุผลที่คุณชายเล็กไม่ชื่นชอบไลลากับภาคภูมิล้วนเป็นเพราะสิ่งที่คนทั้งคู่ทำกับมารดา ทว่าเหตุผลหลักๆ ที่คุณชายใหญ่ไม่ชอบสองคนนั้น เป็นเพราะทุกครั้งที่ได้เจอหน้าหรือนึกถึง น้องชายของเขามักจะแสดงท่าทีไม่สบายใจออกมาเสมอ
คุณชายเล็กแข็งแกร่งและเก่งกาจ เก็บอารมณ์เก่งกว่าใคร ทว่าต่อให้พูดดีเพียงใด ภาพความทรงจำในตอนเด็กของคนที่ได้ฟังคำพูดอันเป็นต้นเหตุสำหรับการเสียชีวิตของมารดากับหูก็ยังเลวร้ายเกินกว่าจะรับได้
“เล็กไม่เป็นไรครับ พี่ชายใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” คำพูดนี้ไม่ใช่การพยายามพูดให้พี่ชายสบายใจ แต่คุณชายเล็กหมายความแบบนั้นจริงๆ
ในวันนี้เขาไร้ซึ่งความอึดอัดหรือรู้สึกแย่โดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าเพราะวันนี้ได้พูดทุกอย่างที่อยากพูดออกไปหมดแล้วจึงถือว่าได้ตัดขาดกับคนพวกนั้นอย่างสมบูรณ์ หรือเพราะเคยได้รับการปลอบประโลมจากพี่พีในงานเลี้ยงครั้งนั้นมาแล้วกันแน่
“หากมีอะไรให้โทรมาหาพี่ทันที น้องเล็กจำได้ใช่ไหม”
“ครับ เล็กไม่ลืมแน่นอน”
คุณชายใหญ่พยักหน้าพอใจ เมื่อสำรวจจนแน่ใจว่าน้องชายไม่เป็นไรจริงๆ จึงปล่อยมือออก ยอมให้ใครบางคนขยับมายืนแทนที่ จากนั้นจึงจ้องหน้ารพีเป็นครั้งสุดท้ายแล้วขึ้นรถไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
คำฝากฝังล้วนไม่จำเป็น เพราะมันคือสิ่งที่อีกฝ่ายต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว
“คุณชายเล็ก...”
“น้องเล็กครับ” เจ้าของชื่อหันไปยิ้มให้รพีจนดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ค่อยชินเพราะเพิ่งเปลี่ยนคำเรียกขาน แต่อีกไม่นานเดี๋ยวก็ชินเอง”
“จะเรียกแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นได้ยังไงครับ” รพีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ หากก็ยังเปลี่ยนคำเรียกขานตามใจคนรัก “น้องเล็กอยากไปไหนหรือเปล่าครับ ให้พี่ไปเอารถไหม”
“ไม่อยากครับ เล็กอยากอยู่เฉยๆ ที่ห้องมากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับห้องกัน”
คีรินทร์พยักหน้ารับ บางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจดูคล้ายจะถูกกำจัดให้หายไปจนหมดสิ้น ในเวลานี้เขารู้สึกว่าดีเหลือเกินที่ได้พบเจอกับเจ้าของหัวใจ เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของความโชคดีทุกประการที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้
“เล็กโชคดีมากๆ เลยที่ได้เจอพี่พี”
ไม่ใช่แค่การเจอกันในครั้งนี้ แต่เริ่มต้นตั้งแต่การได้เจอกันในอดีต ทั้งหมดนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
รพีหันหน้าไปมองคนที่จับมือเขาเอาไว้ตั้งแต่อยู่บนลิฟต์จนมาถึงห้องก็ยังไม่ยอมปล่อย พอเห็นคุณชายมีความสุข หัวใจของตัวเองก็พองฟูตามไปด้วย ถึงอย่างนั้นก็ยังอดเถียงไม่ได้
“พี่ต่างหากที่โชคดี”
“เล็กว่าถ้าเราเถียงกันเรื่องนี้ อีกสามวันก็ยังไม่จบหรอกครับ” คุณชายเล็กหัวเราะเสียงใส ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็รู้ตัวว่าวันนี้เขายิ้มกว้างมากขนาดไหน
หากถามว่าหลังจากกลายเป็นคนรักกันมีสิ่งใดเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ เห็นทีคนทั้งคู่คงตอบตรงกันอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือคำเรียกขานกับการสัมผัสใกล้ชิดที่ไม่จำเป็นต้องลังเลหรือเกรงใจอีกต่อไป
“มองหน้ากันแบบนี้หมายความว่ายังไงหืม” รพีลูบใบหน้าของคนเอนกายมาพิงอกตัวเองไว้แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่คนฟังกลับต้องเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นรอยยิ้มจนแก้มพอง ดวงตาเป็นประกายวิบวับด้วยความถูกใจ
“พี่พีที่เป็นแบบนี้ไม่ดีต่อใจเลย”
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
“ชอบสิครับ” คุณชายเล็กยกยิ้มกว้าง “เมื่อครู่พี่พีถามว่าเล็กมองหน้าแบบนี้หมายความว่าอย่างไรใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“หมายความว่าอยากให้จูบครับ”
“…” กลับกลายเป็นฝ่ายรพีเสียเองที่ไปไม่เป็นเพราะถูกโจมตีกะทันหัน “น้องเล็ก...”
“หรือพี่พีไม่อยาก...”
ไม่ต้องรอให้คุณชายพูดจบประโยค รพีก็ตอบคำถามด้วยการกระทำอย่างชัดเจน เขาดันคางของคนที่พิงอกอยู่ให้เงยหน้าขึ้น ก่อนจะโน้มใบหน้าลงแตะจูบที่ริมฝีปากได้รูปอย่างอ่อนโยน สัมผัสที่มอบให้เต็มไปด้วยความนุ่มนวล แม้ไม่ได้รุกล้ำหากก็ยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย
รพีแตะจูบซ้ำๆ ย้ำๆ อยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน ไม่ปล่อยให้คนอยากจูบรู้สึกตัวก็จัดการพลิกตัวอีกฝ่ายลงนอนราบกับโซฟาแล้วคร่อมอยู่ด้านบนเพื่อให้จูบได้ถนัดขึ้น ถึงกระนั้นกลับไม่มีน้ำหนักกดทับลงบนร่างของคุณชายเลยแม้แต่น้อย การกระทำที่เต็มไปด้วยความใส่ใจทำให้คีรินทร์อบอุ่นไปหมดทั้งใจ
คุณชายเล็กผู้ไร้ประสบการณ์ใช้สองแขนโอบรอบลำคอของคนด้านบน จากนั้นจึงเป็นฝ่ายเปิดริมฝีปาก ค่อยๆ จูบตอบอย่างใจเย็นและเปิดโอกาสให้รพีรุกล้ำเข้ามาด้วยความเต็มใจ
ขณะที่ปลายลิ้นอ่อนนุ่มเกี่ยวกระหวัดรัดกันตามอารมณ์ความรู้สึก รพียังคงควบคุมสติของตัวเองได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มประคองใบหน้าของคนรักเอาไว้ด้วยสองมือ จากนั้นจึงผละใบหน้าออกให้คุณชายพักหายใจทั้งที่หน้าผากยังแนบสนิท
“พี่รักน้องเล็กนะครับ”
“เล็กก็รักพี่พีครับ”
พวกเขาส่งยิ้มให้กัน จากนั้นจูบครั้งที่สองของคนที่เพิ่งมีประสบการณ์ในด้านความรักทั้งสองคนก็เริ่มต้นอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนและความรักลึกซึ้ง
คนโชคร้ายสองคนที่ได้เจอกับความเจ็บปวดมาทั้งชีวิต จู่ๆ วันหนึ่งก็ได้พบกันโดยบังเอิญ ความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียวก่อให้เกิดเหตุการณ์ลูกโซ่มากมายตามมา แม้จะมีเรื่องเศร้าหรือเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นบ้างพวกเขาก็ยังผ่านมันมาได้
...และก็กลายเป็นโชคดีของกันและกันในท้ายที่สุด
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น่ารักกกก รอน้าาาาา
ถ้าจะน่ารักกันแบบนี้คนทางนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันค่ะ เขินนนนน สองคนนั้นน่ะไม่มีท่าทางที่จะสำนึกเลยนะยังดีที่คุณชายใหญ่กับคุณชายเล็กเป็นคนเด็ดขาดไม่เช่นนั้นคนเลวนั่นคงไม่โดนลงโทษแน่ๆ แอบขำคุณชายใหญ่หวงน้องแต่ก็อยากให้น้องมีความสุขน่ารักกันจริงๆเลยยย