ตอนที่ 16 : ตอนที่ 16
-16-
สองวันคือระยะเวลาที่คีรินทร์บอกรพีเอาไว้ เขาจดจำได้ดีว่าตัวเองกล่าวว่าอะไรไปบ้าง เพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการเวลาเพื่อขบคิดถึงเรื่องราวบางอย่างเพียงลำพังจึงตั้งใจจะอยู่ที่นี่ต่อแล้วตามกลับไปในภายหลัง เอาเข้าจริงสองวันที่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานอะไรนัก...สำหรับคนทั่วไปน่ะนะ
“คุณชายจะกลับเลยเหรอครับ” ตรีภพกะพริบตาปริบๆ มองเจ้านายที่ออกอาการลุกลี้ลุกลนผิดวิสัยด้วยความงุนงง ไม่ใช่เมื่อวานคุณชายเพิ่งบอกว่าจะตามคุณรพีกลับไปในอีกสองวันเหรอ
“ผมเป็นห่วงพี่พี” หม่อมราชวงศ์คีรินทร์เอ่ยความรู้สึกในใจออกมาโดยไม่ปิดบัง “หากพี่พียังไม่อยากเจอหน้า ขอแค่อย่างน้อยได้ไปอยู่ใกล้ๆ ก็ยังดี”
“เข้าใจแล้วครับ”
ตรีภพมองตามหลังเจ้านายที่รีบร้อนเดินไปขึ้นรถแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ดูเหมือนคุณชายจะตัดสินใจได้ตั้งนานแล้วจึงเก็บของเอาไว้พร้อมสรรพ ที่รั้งรออยู่นี่ก็แค่ลังเลถามตัวเองว่าควรหรือไม่ก็เท่านั้น ทั้งที่จริงๆ ไม่คิดเปลี่ยนใจอยู่แล้ว
เมื่อรู้ว่าเจ้านายอยากเดินทางกลับให้ไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บรรดาผู้ติดตามจึงเร่งยกข้าวของเตรียมพร้อม ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็ออกเดินทางอย่างไร้ความลังเล
สำหรับคีรินทร์ที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่กับรพีเอาแต่คิดว่าเวลาผ่านไปไวเหลือเกิน ในเวลานี้แทบไม่สนใจสถานที่พักผ่อนที่รู้สึกว่าชื่นชอบเลยด้วยซ้ำ นั่นเพราะสิ่งที่ทำให้เขายึดติดกับที่นี่ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นคนที่มาด้วยต่างหาก
“คุณตรีภพบอกเรื่องอะไรให้พี่พีทราบบ้างครับ” หม่อมราชวงศ์คีรินทร์เอ่ยถามทั้งที่ตายังจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์ คาดหวังให้ใครบางคนอ่านข้อความของเขาโดยไว ถึงจะอยากให้เวลาพี่พีมากขนาดไหน แต่จะไม่ให้เป็นห่วงเลยเขาทำไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยแค่ตอบกลับมาสักคำก็ยังดี
“ผมบอกเพียงเรื่องที่คุณชายให้บอกครับ”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากใคร่ครวญอยู่คนเดียวนานหลายชั่วโมง ในที่สุดคีรินทร์ก็เข้าใจว่าเรื่องอะไรที่รบกวนจิตใจของพี่พีอยู่ ยิ่งได้รู้จากคุณตรีภพว่าอีกฝ่ายเคยได้คุยกับดมิสเมื่อเจ็ดปีก่อน และบอกความจริงกับฝ่ายนั้นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็ยิ่งมั่นใจในความคิดมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะไม่ต้องการให้ครอบครัวของผู้บาดเจ็บต้องเป็นห่วงผู้ที่ตนช่วยไว้ ตรีภพจึงบอกให้ดมิสทราบว่าคีรินทร์จะไปอยู่ต่างประเทศ รวมถึงฝากขอบคุณพี่ชายของเขาที่ช่วยคุณชายเอาไว้ แต่น้องชายผู้ป่วยกลับสงสัยว่าทำไมเด็กคนที่พี่ชายตนช่วยจึงนั่งอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งตลอดเวลา เขาจึงบอกความจริงไปโดยไม่ได้คิดอะไรว่าผู้ที่เสียชีวิตคือบิดาของเด็กผู้นั้น
คงเพราะความจริงข้อนั้นเองที่ทำให้สองพี่น้องไม่เคยติดต่อขอความช่วยเหลือมาทางนามบัตรที่ตรีภพให้ไว้เลย ทั้งที่เขาพูดเอาไว้แล้วว่ายินดีจะช่วยเหลือทุกอย่างแท้ๆ
“รอก่อนนะครับ” คุณชายจ้องมองหน้าจอที่ขึ้นคำว่าอ่านแล้วด้วยความอ่อนโยน “ถึงจะไม่ได้เจอหน้าก็ไม่เป็นไร แค่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังดี"
พี่พีที่แสนดีของเล็กต้องทรมานเพราะเรื่องนั้นมานานแค่ไหนกัน...
ตอนที่ได้รับข้อความตอบกลับมาว่า ‘ผมจะรอครับ’ คุณชายเล็กไม่ได้คิดเลยว่ารอที่ว่าของรพีหมายถึงรอจริงๆ เขาเข้าใจเพียงพี่พีของตนคงกำลังรอเวลาที่เขาจะกลับไปหา รอให้ทุกอย่างพร้อมเพื่อกลับมาคุยกันอีกครั้ง ด้วยเหตุนั้นนอกจากส่งรูปหน้ายิ้มตอบกลับไป คุณชายจึงทำได้เพียงพูดกับตัวเองในใจว่าอยากให้กลับไปถึงเร็วๆ
สายฝนที่โปรยปรายลงมาดูท่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนการจราจรเริ่มติดขัดตามไปด้วย หม่อมราชวงศ์คีรินทร์เบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง คิดในใจว่าหากเป็นเช่นนี้กว่าจะกลับไปถึงคงเข้าสู่ช่วงเย็นพอดี แล้วก็ไม่รู้ว่าฝนจะตกอีกนานแค่ไหนด้วย ดีไม่ดีฟ้าคงมืดเสียก่อน
รู้แบบนี้น่าจะออกมาไวอีกหน่อย
“ถ้าเป็นแบบนี้คงจะถึงคอนโดราวๆ ห้าหกโมง คุณชายจะแวะหาอะไรรองท้องก่อนไหมครับ” ตรีภพถามเจ้านายตามหน้าที่ แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไรก็ตาม
“แวะแค่ร้านสะดวกซื้อให้คนอื่นๆ หาอะไรทานก็พอครับ ผมไม่หิว”
พูดแบบนั้นแล้วใครจะกล้าแวะกัน... คนอื่นๆ ที่ถูกพูดถึงต่างคิดในใจโดยไม่ได้นัดหมาย
คุณชายเล็กที่ถูกฟ้าฝนกลั่นแกล้งใช้เวลาอยู่บนรถนานหลายชั่วโมง ยิ่งอยากรีบกลับไปให้ถึงไวๆ ฝนก็ยิ่งตกหนักอย่างไม่เป็นใจ พอเห็นเจ้านายขยับขยุกขยิกผิดวิสัยอยู่หลายรอบเหมือนร้อนใจเต็มทน ตรีภพก็ได้แต่รอบยิ้มแห้ง อยากจะปลอบก็รู้ดีว่าคงไม่ได้ผล จึงต้องนั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนอยู่อย่างนั้นไปตลอดทาง
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็เลี้ยวรถเข้าสู่คอนโดหรู หม่อมราชวงศ์คีรินทร์ที่เพิ่งกลับไปนั่งสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนจ้องมองไปยังทางเข้าคอนโดด้วยดวงตาเป็นประกาย ทว่าก่อนที่รถของเขาจะได้เคลื่อนผ่านเข้าสู่ลานจอดรถ สายตาที่แต่ไหนแต่ไรก็โฟกัสที่คนคนเดียวมาโดยตลอดกลับมองเห็นเงาร่างคุ้นเคยของใครบางคนยืนกางร่มอยู่หน้าทางเข้าล็อบบี้คอนโด
“หยุดรถ!”
เพราะไม่อาจเลี้ยวไปจอดด้านหน้าทางเข้าได้แล้ว เนื่องจากรถเคลื่อนผ่านทางมาเกินกว่าครึ่ง คุณชายจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะบอกให้หยุด และในเสี้ยววินาทีที่คนขับปฎิบัติตามคำสั่ง เขาก็เปิดประตูลงจากรถไปในทันทีโดยไม่สนใจว่าฝนจะตกหนักอยู่หรือไม่
“คุณชาย!” เสียงของตรีภพไม่อาจส่งผ่านไปถึงเจ้านาย เพราะยามนี้คนที่ถูกหยาดฝนปกคลุมร่างเอาแต่จับจ้องไปยังคนคนหนึ่งไม่ยอมละสายตา
ราวกับจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา รพีซึ่งยืนถือร่มอยู่หน้าประตูคอนโดหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ และในเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างสว่างสดใสของคนคนเดียวที่ดูคล้ายจะมีสีสันท่ามกลางความมืดครึ้มของสีขาวดำมากมาย สองเท้าของเขาก็พาตัวเองก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ ถือร่มสีดำเดินตรงเข้าไปหาคนคนนั้นโดยแทบไม่รู้สึกตัว
ระยะห่างที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ได้ทำให้พวกเขาทั้งคู่รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เมื่อได้พบเจอแทนที่จะเบาใจกลับกลายเป็นยิ่งอยากไขว่คว้ามาไว้ข้างกาย ท้ายที่สุดก็เป็นรพีที่วิ่งเข้าไปหาคุณชายเล็กของตัวเองแล้วคว้าร่างเปียกโชกเข้ามาสวมกอดเอาไว้แน่น ไม่สนใจร่มคันใหญ่ที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ที่พื้น
ทั้งที่ท้องฟ้ามืดมิดเพราะเมฆดำคล้ำ สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงโดยง่าย ทว่าคนสองคนที่โอบกอดกันแน่นกลับไม่ได้รู้สึกหนาวเย็นแต่อย่างใด พวกเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของกันและกัน เพียงแค่นั้นก็มากพอจะขับไล่อารมณ์ขุ่นหมองใดๆ ไปจนหมดสิ้น
“รอของพี่พีคือแบบนี้หรือครับ”
ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องและเสียงฝนตกกระทบพื้นดังกึกก้อง คำพูดของคุณชายดังขึ้นชัดเจนราวกับผู้พูดเป็นเจ้าของเสียงเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่เขาอยากรับฟัง รพีโอบกระชับอ้อมแขนให้แน่นกว่าเก่า ใบหน้ากดลงแนบบ่าที่แบกรับกันเอาไว้อย่างคนเจอที่พึ่ง
“ขอโทษ...ที่ผมวิ่งหนีมา”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” คุณชายเล็กผละออกจากอ้อมกอดของรพีแล้วใช้มือลูบใบหน้าซีดเซียวด้วยความเป็นห่วง “ทำไมพี่พีหน้าซีดแบบนี้ รีบเข้าไปด้านในกันเถอะครับ”
เมื่อเห็นเจ้านายหลุดออกจากโลกส่วนตัว ตรีภพรวมไปถึงพนักงานของคอนโดที่ยืนรออยู่ตั้งแต่แรกก็วิ่งกรูกันเข้ามากางร่มให้คนทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
พวกเขาตรงขึ้นลิฟต์ไปยังเพนท์เฮ้าส์ส่วนตัวของคุณชาย เมื่อไปถึงคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันไปหมด เหลือเพียงเจ้าของห้องกับรพีที่เข้าไปด้านในเพียงลำพัง รพีถูกดันเข้าไปในห้องน้ำก่อนที่พวกเขาจะได้พูดคุยอะไรกัน ชายหนุ่มยินยอมทำตามคำสั่งของเจ้านายโดยง่าย เมื่อออกมาแล้วยังเห็นว่าคนที่ปกติมักทำทุกอย่างโดยไม่เร่งรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก่อนเขาเสียอีก
“มานั่งตรงนี้ครับ เดี๋ยวเล็กเป่าผมให้” เพราะต้องการดูแลรพี คุณชายเล็กจึงอาบน้ำแต่งตัวและเป่าผมตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่ออีกฝ่ายออกมาเขาก็พร้อมดูแลอย่างเต็มที่แล้ว นั่นรวมไปถึงการติดต่อไปหาดมิสเพื่อบอกว่าพี่ชายของเจ้าตัวถูกยึดมาอยู่ที่นี่ด้วย
“คุณชายเล็ก...”
“ไม่ลำบากครับ นั่งเร็วเข้า” คนพูดกดบ่ารพีให้นั่งลงหน้ากระจก ก่อนจะเริ่มจัดการกับเส้นผมชุ่มน้ำโดยใช้ผ้าขนหนูขยี้อย่างเบามือ
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“เล็กเดาได้จากนิสัยพี่พีอยู่แล้ว” ว่าจบก็เชิดหน้าอมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนสีหน้าจะกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อต้องเปลี่ยนเป็นเรื่องจริงจัง “แล้วนี่พี่พียืนรอเล็กอยู่นานแค่ไหนแล้วครับ ทำไมน้องชายถึงยอมให้ลงไปยืนตากละอองฝนแบบนั้นได้”
“อย่าโทษดิมเลยครับ ผมอาศัยช่วงที่น้องนอนกลางวันแอบลงมารอคุณชายเล็กเอง”
“พี่พีมารอเล็กตั้งแต่เมื่อไรครับ”
“…น่าจะสองชั่วโมงก่อน”
รพียกยิ้มจางเมื่อเห็นคุณชายขมวดคิ้ว แสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับคำตอบของเขาเลยสักนิด ถึงกระนั้นนอกจากเป่าผมให้กันอย่างตั้งใจกลับไม่เอ่ยปากต่อว่าออกมาเลยสักคำ ซ้ำยังจูงมือพาเขาเดินไปยังเตียงส่วนตัวอีกต่างหาก
“พี่พีรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวเล็กจะไปเอาอาหารขึ้นมาให้ ดมิสบอกเล็กว่าพี่พีต้องทานยาด้วย”
เพราะรู้ดีว่าคงขัดใจคุณชายไม่ได้แน่นอน รพีจึงทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณเสียงค่อยแล้วจ้องมองแผ่นหลังอีกฝ่ายเดินหายออกไปจากห้อง เขามองค้างอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกทรมานจากการรอคอยที่เพิ่งเข้าใจว่ามันเจ็บปวดมากขนาดไหน กระทั่งคุณชายเล็กกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมถาดอาหารกับถ้วยยา แววตาของเขาจึงกลับไปอ่อนโยนนุ่มนวลดังเดิม
พวกเขาทานอาหารที่ตรีภพไปซื้อมาให้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ครั้งนี้แม้ไม่ถามรพีก็รู้ว่าตัวเองคงต้องนอนที่ห้องเจ้านายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แบบนั้นก็ดี... เพราะวันนี้เขาก็อยากทำตามใจตัวเองอย่างเต็มที่โดยไม่จำเป็นต้องนึกกังวลถึงเรื่องอื่นใดเช่นกัน
“เรื่องคนที่ทำร้ายคุณชายเล็กในวันนั้นเป็นยังไงบ้างครับ” ทันทีที่ถึงช่วงเวลาพูดคุย รพีก็เอ่ยถามถึงเรื่องที่เขาเป็นห่วงที่สุดโดยไม่เสียเวลาคิด และมันก็เรียกสีหน้าบูดบึ้งจากคนฟังได้อย่างรวดเร็ว
“มาถึงก็ถามเรื่องนี้ก่อนเลยหรือครับ”
“ผมถามเพราะเป็นห่วงคุณชายเล็ก” รพีตอบอย่างซื่อตรง สายตาไม่ละออกจากใบหน้าของคุณชายที่คิดถึงมาโดยตลอด เขาจ้องมองอยู่เช่นนั้นไม่หันหลบไปทางไหนจนกลายเป็นคีรินทร์เสียเองที่ต้องเม้มปากแล้วหลบสายตาเพราะทำอะไรไม่ถูก
บทจะเปิดเผยก็เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรืออย่างไรว่าสายตาของตัวเองอันตรายขนาดไหน
“พี่ชายใหญ่บอกว่าจะจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นเองครับ แต่ตอนนี้เราได้ข้อสรุปแล้วว่าพวกนั้นถูกจ้างมาโดยสองสามีภรรยาคู่นั้นจริงๆ” เมื่อพูดถึงสองคนที่ว่า สีหน้าของคุณชายก็ดูคล้ายจะเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “พวกเขาคงจะแค้นแล้วทำอะไรไม่ได้จึงตัดสินใจทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้”
ถึงขั้นจ้างให้คนติดตามดูว่าเขาจะอยู่ตามลำพังตอนไหน ใช้เงินก้อนซื้อพนักงานของรีสอร์ทให้ส่งข่าวให้ แล้วยังจ้างพวกนักเลงวัยรุ่นให้เข้ามาทำร้ายเขา โดยใช้กลุ่มหนึ่งหลอกล่อพวกตรีภพเอาไว้ ส่วนอีกกลุ่มให้ทำตามเป้าหมาย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความสะใจส่วนตัวของหนูที่จนมุม ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกจึงหวังเพียงได้แว้งกัดผู้สูงศักดิ์สักครั้ง
สกปรกจริงๆ
“อาจจะเป็นเรื่องสิ้นคิด แต่ไม่ใช่อะไรที่จะให้อภัยกันได้เลยครับ” รพีออกความเห็นด้วยสีหน้าจริงจัง “หากตอนนั้นคุณชายบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง ให้คุณชายปฐวีจัดการก็ดีเหมือนกัน”
“เล็กไม่ยอมเป็นเหยื่อโดยเปล่าประโยชน์แน่นอนครับ พี่พีไม่ต้องเป็นห่วง” กล่าวจบคนพูดก็แสดงการกระทำอันไม่เหมาะสมออกมาเป็นครั้งแรกด้วยการเปิดผ้าห่มของรพีออกแล้วปีนขึ้นไปนั่งพิงพนักเตียงด้านข้างโดยไม่ถามไถ่ “ตอนนี้เลิกสนใจเรื่องนั้นชั่วคราว แล้วมาพูดคุยเรื่องของเราดีกว่าครับ”
“คุณชายเล็ก...”
“พี่พีไม่ต้องการเวลาขบคิดแล้วหรือครับ เหตุใดจึงไปรอเล็กอยู่ด้านนอก”
พอได้ฟังคำถามนั้น รพีที่เริ่มมีสติและกำลังลังเลว่าควรปีนลงจากเตียงของเจ้านายดีหรือไม่ก็หยุดชะงักทุกความคิดและการกระทำ เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุด ตัดสินใจหันไปพูดคุยกับคุณชายตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
“ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองต้องการเวลา แต่หลังจากกลับมาผมถึงได้เข้าใจว่าการกระทำของตัวเองมีแต่จะสร้างความทรมานให้ทั้งตัวผมและคุณชายเล็ก”
เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าตอนได้อยู่ด้วยกันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าและมีความสุขมากขนาดไหน ยามต้องกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้งจึงสร้างความเจ็บปวดให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดมิสเตือนสติจนรู้ตัวว่าเขาเลือกจะทิ้งคุณชายมาในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายเพิ่งพบเจอเรื่องเลวร้าย เมื่อรู้แบบนั้นรพีจึงยิ่งโทษตัวเอง
“พี่พีเลยเลือกจะออกไปรอเล็กหรือครับ”
“ผมออกไปรอเพราะอยากเจอคุณชายเล็กไวๆ” รพีพูดความรู้สึกในใจอย่างตรงไปตรงมา ดวงตาไร้ซึ่งความสั่นไหว ไม่มีกระทั่งความลังเลอย่างที่เคยเป็นมาโดยตลอด “ผมอยากบอกคุณชายเล็กว่าตัวเองเป็นอะไร อยากให้เราหาทางออกร่วมกันหากเป็นไปได้ หรือถ้าคุณชายเล็กไม่...”
ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากของรพีเป็นเชิงบอกให้หยุดพูด เพียงแค่ได้ยินประโยคแรกเขาก็ยิ้มกว้างจนไม่รู้จะกว้างอย่างไรแล้ว ส่วนประโยคหลังนั้นก็ถือว่าตรงตามความต้องการเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นคำว่า ‘หรือถ้า’ จึงไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย
“เล่าให้เล็กฟังนะครับว่าพี่พีเจ็บปวดเพราะอะไร เสร็จแล้วเรามาหาทางออกด้วยกัน ทั้งกับความรู้สึกของพี่พีและความรู้สึกของเล็ก”
รพีมองตอบคุณชายด้วยความอ่อนโยน มือข้างหนึ่งที่กอบกุมกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบถูกเขายกขึ้นมาวางบนตักอย่างถือวิสาสะ คนข้างกายไม่แม้แต่จะเอ่ยคำพูดใดเพื่อเร่งรัด ทั้งที่เขาเงียบไปเป็นระยะเวลายาวนาน จวบจนสุดท้ายเมื่อคิดว่าพร้อม รพีจึงเอ่ยคำพูดทั้งที่สายตาจ้องมองเพียงมือเรียวบนตักตัวเอง
“ผม...ไม่อาจปล่อยวางความรู้สึกผิดที่มีต่อผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุตอนนั้นได้ครับ” เพราะมั่นใจว่าคุณชายเล็กรู้เรื่องดีอยู่แล้ว เขาจึงพูดเรื่องนี้ออกมาโดยไม่เกริ่นถามอะไรให้ต้องเจ็บปวดกว่าเดิม “เจ็ดปีมานี้ ผมยังคงคิดว่าตัวเองคือต้นเหตุที่ทำให้คนผู้นั้นเสียชีวิต แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่”
“เพราะแบบนั้นพี่พีจึงไม่กล้าอยู่เคียงข้างเล็กใช่ไหมครับ”
เพราะแบบนั้นตอนที่รู้ว่าเขาคือเด็กคนนั้น คือลูกชายของคนที่เสียชีวิต พี่พีถึงได้เจ็บปวดจนเลือกที่ขอหนีหน้าไปให้ไกล
“ผมขอโทษนะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องที่พี่พีต้องขอโทษเลยครับ” คุณชายเล็กใช้มือข้างที่ว่างดันคางรพีให้หันกลับมามองหน้าเขาแล้วส่งยิ้มกลับไปให้ “พี่พีของเล็กทั้งอ่อนโยนและใจดี ไม่แปลกเลยสักนิดที่จะคิดแบบนั้น”
ขณะที่ตัวต้นเหตุของเรื่องทุกอย่างเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก สุขสบายกายไร้ความรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่สุดกลับต้องทนอยู่กับความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดร่วมเจ็ดปี ทั้งที่เขาคือพลเมืองดีที่ช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งเอาไว้แท้ๆ
ทั้งที่โลกใบนี้โหดร้ายกับพี่พีมาโดยตลอด แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมองทุกอย่างพร้อมรอยยิ้ม ไม่เคยอคติหรือคิดร้ายคิดอิจฉาใคร ท้ายที่สุดก็กลับกลายเป็นผู้ถูกรังแกวนเวียนเช่นนี้ไม่รู้จบ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพี่พีเป็นคนดีเกินไป... ดีจนคีรินทร์คิดว่าเขายินดีกลายเป็นคนร้ายกาจเสียเอง หากจะปกป้องคนคนนี้เอาไว้ได้
“อันที่จริงเล็กไม่อยากบอกเรื่องนี้เพราะกลัวว่าพี่พีจะมองว่าเป็นบุญคุณ แต่ดูเหมือนหากไม่บอกพี่พีจะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่” คนพูดปล่อยมือออกจากใบหน้าของรพีแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หม่อมเจ้าธราธร บิดาของเล็กเป็นผู้สั่งเสียเอาไว้ให้ช่วยดูแลพี่พี แต่อย่าเข้าใกล้หรือฝืนใจโดยไม่จำเป็น ด้วยเหตุนั้นคุณตรีภพจึงรอคอยให้พี่พีติดต่อกลับมาโดยตลอด”
นามบัตรที่ตรีภพมอบให้ดมิสคือคำยืนยันเรื่องนี้ แต่เพราะสองพี่น้องไม่เคยคิดรบกวน นามบัตรที่ว่าจนถึงเวลานี้จึงยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้ในกล่องเก็บของที่พวกเขาไม่ได้เปิดมานานหลายปี
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องค่ารักษาของผม...”
“คนที่ออกค่ารักษาให้พี่พีทั้งหมดก็คือคุณพ่อของเล็กเช่นกันครับ”
รพีนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ใจย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่เขาได้สติเต็มที่และพบว่าตนอยู่ในห้องพิเศษ แต่เพราะเวลานั้นไม่มีจิตใจจะคิดสงสัยถึงเรื่องนี้ เขากับน้องจึงคิดว่ามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลมาโดยตลอด
หมายความว่าทั้งหมดนั่น...ท่านชายเป็นคนช่วยเหลือเขางั้นเหรอ
“คุณชายเล็ก...”
“หากท่านโกรธเคืองหรือกล่าวโทษว่าพี่พีคือต้นเหตุ คำสั่งเสียสุดท้ายก่อนจะจากไปของท่าน พี่พีคิดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ครับ” คุณชายเล็กขยับเข้าไปใกล้รพีมากกว่าเก่า ก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนแก้มซีดของคนที่สองตาแดงก่ำอย่างอ่อนโยน “หากถามเล็ก เล็กคงจะบอกว่าเพราะท่านต้องการขอบคุณ”
“…”
“คุณพ่อของเล็ก...ต้องการขอบคุณที่พี่พีช่วยชีวิตเล็กเอาไว้ครับ”
ตั้งแต่ต้นจนจบหม่อมราชวงศ์คีรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่มั่นคง ไร้ซึ่งความหวั่นไหวและความหม่นหมองใดๆ โดยสิ้นเชิง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเขาใช้เวลาสามปีที่อยู่เมืองนอกโทษตัวเองและให้อภัยตัวเองมาจนเกินพอแล้ว
จดหมายฉบับน้อยที่บิดาแนบเอาไว้กับของขวัญวันเกิด จนถึงตอนนี้ก็ยังถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี และตัวเขาก็หยิบมันขึ้นมาอ่านทุกวันตอนอยู่เมืองนอก อ่านจนรับรู้และซึมซับความรักอันไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งถูกส่งผ่านมาทางตัวอักษรจนเข้าใจอย่างถ่องแท้
สิ่งเดียวที่ทำเพื่อบิดาได้...คือการมีความสุขให้มากที่สุด
และตอนนี้เขาก็เจอสิ่งที่จะทำให้ความต้องการนั้นกลายเป็นจริงแล้ว
“พี่พีจะยังรู้สึกผิดก็ไม่เป็นไร แต่อย่ารู้สึกผิดจนไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขเลยนะครับ” คุณชายเล็กประคองใบหน้าของรพีเอาไว้ด้วยสองมือ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงบนเปลือกตาของใครอีกคนช้าๆ แล้วกระซิบถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความหมายมากมายให้ได้ยินกันเพียงสองคน “ต่อจากนี้...พี่พีมีความสุขได้แล้ว”
ราวกับหัวใจได้รับการเยียวยา สองแขนของรพีโอบกอดร่างของคนข้างกายเอาไว้แน่น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยเปียกชื้นซุกลงบนบ่าของคนที่ดีที่สุดบนโลกใบเล็กๆ ของตัวเอง ใจนึกถึงประโยคที่วันนี้ได้ยินมาแล้วสองครั้งจากคนสำคัญทั้งสองคนซ้ำไปซ้ำมา
พีมีความสุขได้แล้ว
พี่พีมีความสุขได้แล้ว
รพีเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองปิดกั้นการมีความสุขมาโดยตลอดเพราะความรู้สึกผิดที่ติดค้างอยู่ในใจ เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นทุกข์มากมายขนาดไหนที่ต้องเกิดมาบนโลกใบนี้ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากดมิสที่เปรียบเสมือนสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียว
หากดมิสคือคนที่ทำให้รพียอมฝืนทนยิ้มสู้เพื่อให้ยังมีชีวิตต่อไปได้ เช่นนั้นคุณชายเล็ก...ก็คงเป็นกุญแจอันแสนสำคัญที่จะทำให้เขาได้รู้จักกับคำว่าความสุขอย่างแท้จริงเสียที
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ... ขอบคุณครับ”
คำขอบคุณที่ได้ยินซ้ำไปซ้ำมาข้างใบหูทำเอาคนฟังขอบตาร้อนผ่าวตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ คุณชายเล็กไม่ได้ตอบอะไรกลับไปในทันทีแต่เลือกที่จะกอดรพีอย่างแนบแน่นไม่แพ้กัน
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกครับ พี่พีไม่รู้เลยว่าตัวเองช่วยเล็กเอาไว้มากมายขนาดไหน”
ไม่ใช่เพียงช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แต่ยังช่วยทำให้เขาได้รู้จักความรักและยังค้นพบความสุขที่ตามหา พี่พีอาจไม่เข้าใจว่าตัวเองคือคนที่มีค่ามากมายขนาดไหน แต่ไม่เป็นไร... เพราะเขาจะช่วยย้ำเตือนอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
คุณชายเล็กโอบกอดรพีเอาไว้แน่น มือข้างหนึ่งลูบศีรษะปลอบประโลมคนที่แสนดีของตัวเองเบาๆ พวกเขานิ่งค้างอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานาน กระทั่งรับรู้ได้ว่ารพีอารมณ์สงบลง เขาจึงผละออกแล้วค่อยๆ ดันอีกคนให้นอนลงบนเตียง พอเห็นสีหน้าซีดเซียวกับดวงตาแดงก่ำของคนป่วย หัวใจก็ปวดหน่วงขึ้นมาโดยไม่อาจห้าม
“นอนพักก่อนเถอะครับ พี่พีไม่สบายอยู่แล้ว เมื่อครู่ยังมาตากฝนอีก”
“…ผมยังมีเรื่องต้องบอกคุณชายเล็ก”
“หมายถึงเรื่องที่พี่พีติดค้างคำตอบกับเล็กเอาไว้ใช่ไหมครับ” คนที่ไม่เคยลืมเลือนเรื่องใดๆ ที่รพีบอกเอ่ยถามทั้งรอยยิ้ม “ตอนนั้นเราคุยกันว่าพี่พีมีเวลาห้าวัน เพราะอย่างนั้นจึงเหลือพรุ่งนี้อีกวัน ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ”
“ไม่รีบไม่ได้หรอกครับ” รพีส่ายหน้า ไม่คิดจะรั้งรอเวลาใดๆ อีก “ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องบอกคุณชายเล็ก”
“เล็กต้องทำใจไหมครับแบบนี้” รอยยิ้มขี้เล่นบังเกิดขึ้นบนใบหน้าของคุณชายที่นั่งพิงพนักเตียงเล่นปอยผมของคนป่วยอยู่ด้านข้าง
“ไม่ต้องหรอกครับ” ถึงกระนั้นรพีก็ยังตอบคำถามหยอกล้อนั้นพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเขาจะดึงมือที่จับปอยผมตนอยู่มาแนบริมฝีปากอย่างอ่อนโยน
“…”
“ผมรักคุณชายเล็ก”
รัก...ใช้คำนี้ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะตัวเขาไม่เคยให้ใครเข้ามาในโลกของตัวเองนอกจากน้องชาย ทั้งยังไม่เคยคิดมอบใจให้ใครเลยสักครั้ง เมื่อคราวนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้ สิ่งที่คุณชายได้รับไปจึงเป็นหัวใจทั้งดวงที่ไม่เหลือเผื่ออะไรเอาไว้เลย
แม้จะเป็นเพียงการสารภาพรักสั้นๆ ไม่มีการเกริ่นนำหรืออธิบายสิ่งใด แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอจะทำให้คนฟังคลี่ยิ้มงดงามและสว่างสดใสยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ออกมาได้อย่างง่ายดาย และค่าตอบแทนสำหรับความรู้สึกนั้น...
คีรินทร์เลือกที่จะโน้มใบหน้าลงกดจูบที่หน้าผากของรพี กระซิบคำสัญญาที่เขาตั้งมั่นว่าจะรักษามันไปตลอดชีวิตด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่ามั่นคง
“จากนี้พี่พีจะไม่ต้องเจ็บปวดหรือพบเจอกับเรื่องราวเลวร้ายอีกแล้ว เล็กสัญญา”
พวกเขาส่งยิ้มให้กันเงียบๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรมากไปกว่านั้น ทว่าบรรยากาศที่อบอวลไปทั่วห้องกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เมื่อหัวใจตรงกันและต่างฝ่ายต่างบอกให้ได้รับรู้ สถานะที่มีจึงก้าวข้ามไปอีกขั้นโดยไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยปาก เพราะจากนี้ไปพวกเขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร
คุณชายคีรินทร์ลูบศีรษะของรพีเบาๆ เพื่อกล่อมให้อีกฝ่ายพักผ่อน อาจเพราะฤทธิ์ยาจึงทำให้ชายหนุ่มนอนหลับไปจริงๆ โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน เมื่อเห็นดังนั้นคนที่ต้องออกไปพูดคุยธุระกับพี่ชายทางโทรศัพท์จึงตั้งท่าจะผละกายออกห่าง ในจังหวะนั้นเองที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่ถูกซ่อนอยู่ใต้กลุ่มผมของรพี
ไม่ต้องคาดเดาคีรินทร์ก็รู้ว่ามันคืออะไร
สัมผัสจากรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดสมองยังคงเด่นชัดแม้ไม่อาจมองเห็นด้วยสายตา ชั่วขณะหนึ่งดวงตาของคีรินทร์วูบไหวเพราะยังคงเจ็บปวดเมื่อได้รู้ว่าพี่พีเคยทรมานมากเพียงใด แต่เพียงไม่นานความสั่นไหวก็จางหายไป เพราะในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
จากนี้ไปพี่พีจะต้องยิ้มได้จากใจอย่างแน่นอน จะอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมให้ใครมาทำร้ายคนคนนี้ได้อีก ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจก็ตาม
แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างโต๊ะเรียกสติคีรินทร์ให้กลับคืนมาอีกครั้ง เขารีบลุกขึ้นจากเตียงหยิบโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้าจากพี่ชายมาถือเอาไว้ ขณะเดินตรงไปทางประตูก็กดรับสายไปด้วย
...ทว่ายังไม่ทันได้ยกขึ้นมาแนบหูเพื่อพูดคุยกับพี่ชาย
“...เล็ก”
“…”
“น้องเล็ก”
‘เอาไว้วันไหนพี่พีใจตรงกันแล้วค่อยเรียกก็ได้’
เสียงเรียกแผ่วเบาไม่ได้ดังมาจากปลายสาย ทว่าดังมาจากด้านหลัง หัวใจที่เพิ่งสงบนิ่งได้ไม่นานพลันเต้นรัวแรงเมื่อได้ยินคำเรียกขานที่แสดงความสนิทสนมมากขึ้นอีกขั้นทั้งยังเป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยินมาโดยตลอด
“พี่พี...” คุณชายเล็กหันหลังกลับไปมองพร้อมดวงตาเป็นประกาย ลืมเลือนไปเสียสนิทว่าตัวเองกำลังถือสายของพี่ชายเอาไว้อยู่ ถึงแม้จะยังไม่ได้พูดคุยกันสักคำก็ตาม
“มีอีกเรื่องที่อยากถาม” รพีพยุงกายลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า แม้จะยังหนักหัวเพราะไม่สบาย แต่ภาพของคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด “น้องเล็ก...”
“…”
“ช่วยให้เกียรติ...มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพี่ได้ไหมครับ"
ดวงตาของคนฟังเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจปะปนไปกับทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาปล่อยให้โทรศัพท์หลุดออกจากมือ จู่ๆ ขอบตาก็ร้อนผ่าวจนสัมผัสได้อย่างชัดเจน ส่วนความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุด...เห็นทีจะเป็นความดีใจ
ดีใจเท่ากับหรืออาจจะมากกว่าตอนที่พี่พีบอกรักเสียอีก
“พี่พี!” คุณชายเล็กวิ่งเข้าไปหาผู้พูดแล้วโถมกายเข้ากอดอีกฝ่ายจนล้มลงไปกองกับเตียงกันทั้งคู่ เขาส่งเสียงหัวเราะอารมณ์ดีทั้งที่หยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม หากใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ไม่คาดคิดว่าจะมากมายได้ถึงเพียงนี้ “ได้สิครับ ได้อยู่แล้ว เล็กยินดีมากๆ เลย”
ในโลกใบเล็กของรพีที่มีกันอยู่เพียงสองพี่น้องมาโดยตลอด ที่สุดแล้วก็มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาอีกคน แม้ไม่อาจเทียบเคียงกันได้เพราะต่างสถานะ ทว่าคนทั้งคู่ในโลกของเขาล้วนแล้วแต่มีความสำคัญไม่ต่างกัน
หนึ่งคือน้องชายผู้เปรียบดั่งชีวิต
ส่วนอีกหนึ่ง...คือคนรักที่เป็นเจ้าของหัวใจ
--------------
TALK : พรุ่งนี้เป็นวันแรกของงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ใครไปงานอย่าลืมไปรับคุณชายเล็กกับพี่พีกลับบ้านนะคะ ส่วนคนที่สะดวกช่องทางออนไลน์ สั่งได้กับทาง That's Y ตามลิงก์และ QR ได้เลยค่ะ
สั่งซื้อหนังสือ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

"ช่วยให้เกียรติ มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพี่ได้ไหมครับ"
นี่มันเป็นประโยคขอแต่งงานชัดๆ ไม่ใช่หรือไงพี่พี
คุณชายใหญ่ค่ะ คุณชายเล็กจะออกเรือนแล้วค่ะ
คงไม่มีอะไรที่น้องเล็กของพี่พียินดีเท่านี้แน่ๆ ตอนแรกที่บอกรักก็ว่าดีใจแล้ว ตอนที่พี่พีเรียกน้องเล็กคือกรี๊ดมาก แล้วยังมาขอให้เป็นคนในครอบครัวอีกจะร้องแทนน้องเล็กแล้วนะพี่พี ดีใจแทนทั้งคู่มากๆ รพีได้ปลดล็อคความรู้สึกผิดไปหมดแล้วความรู้สึกผิดในใจของทั้งสองไม่มีแล้ว อบอุ่นใจมาก ส่วนพี่ชายรอก่อนนะน้องเล็กดีใจอยู่ ฮือ