ตอนที่ 1 : ตอนที่ 1
-1-
“พี!!”
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวก็โดนคนข้างบ้านว่าอีกหรอก”
“จะว่าก็ช่างหัวมันสิ อย่ามาเมินดิมแบบนี้นะพี”
“กินอะไรมาหรือยัง พี่ทำไข่ตุ๋นไว้ให้”
ดมิสถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความหน้ามึนของพี่ชายที่เอาแต่ยิ้มรับอย่างไม่รู้ความผิด แต่ก็คงเพราะความเป็นรพีนั่นเองที่ทำให้อารมณ์รุนแรงของเขาสลายหายไปในพริบตาเหมือนเช่นทุกครั้ง
“รีบกินให้เสร็จแล้วมาคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าคราวนี้ยังหลีกเลี่ยงอีก ดิมจะตามไปด่าคนสั่งงานพีถึงที่แน่”
“รู้แล้ว” รพีหัวเราะอารมณ์ดี ตามองน้องชายที่มีหน้าตาคล้ายคลึงแต่บรรยากาศกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิงเหมือนกำลังมองเด็กตัวเล็กๆ ที่แสดงความไม่พอใจออกมาผ่านอารมณ์รุนแรง
ชายหนุ่มดันคนที่มีรูปร่างและส่วนสูงพอๆ กันให้นั่งลงบนเบาะนิ่มอันเก่า ก่อนจะวางอาหารที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่กลับมาถึงลงบนโต๊ะทีละอย่าง
“พี บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำอาหารหลายอย่าง” ดมิสขมวดคิ้วมองอาหารสามอย่างที่เต็มไปด้วยเนื้อและผักบนโต๊ะอย่างอ่อนใจ
“ดิมต้องกินเยอะๆ จะได้มีแรงไปเรียน เรื่องพวกนี้พี่จัดการเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
แม้ฐานะของพวกเขาจะอยู่ในระดับย่ำแย่ แต่รพีก็ยังยืนยันจะเตรียมอาหารที่มีคุณภาพและเหมาะสมให้กับน้องชายในทุกวัน เงินจากการทำงานสารพัดอย่างของเขา นอกเหนือจากเอาไปใช้หนี้ที่ไม่ใช่ของตัวเอง ส่วนที่เหลือทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกใช้ไปกับการดูแลดมิส
“เลิกทำเหมือนดิมเป็นเด็กสักที เราเกิดปีเดียวกัน ลืมไปแล้วหรือไง” คนที่เกิดปลายปีพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ขณะที่มือตักอาหารเข้าปากคำโตทั้งหน้ามุ่ย ไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของตัวเองไม่เข้ากับหน้าตาและรูปร่างใหญ่โตแต่อย่างใด
พอเห็นการแสดงออกของน้องชาย รพีผู้เป็นพี่เพราะเกิดต้นปีก็ได้แต่ส่ายหน้าหน่าย เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นกับเวลาอยู่ต่อหน้าเขา ดมิสดูราวกับเป็นคนละคนโดนสิ้นเชิง ท่าทางน่ารักน่าชังแบบนี้ไม่รู้ว่าจะมีใครได้เห็นอีกบ้าง นอกจากเขาซึ่งเป็นพี่ชายและเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
“ดิมบอกตัวเองให้เลิกทำตัวเป็นเด็กก่อนไหม ตั้งใจเรียนไปเถอะเราน่ะ จะจบอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“อีกตั้งเกือบปีถึงจะจบ บอกให้ไปเรียนเองตั้งแต่แรกก็ไม่เชื่อ เรื่องงานดิมทำได้ดีกว่าแท้ๆ พีออกจะฉลาดทำไมต้องหยุดเรียน...”
“ดิม” รพีขมวดคิ้วน้อยๆ เพื่อเตือนไม่ให้น้องชายพูดต่อ “เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้ว และมันก็ไม่มีทางกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก ถ้าอยากช่วยจริงๆ ก็ตั้งใจเรียนให้จบ อนาคตของดิมสำคัญมากนะ”
“แล้วอนาคตพีไม่สำคัญหรือไง”
“ดิม…”
“เลิกทำเหมือนตัวเองไม่มีอะไรต้องเสียสักทีเถอะ รู้เอาไว้ด้วยว่าถ้าพีทำงานหนักจนตาย ดิมจะตายตามไปในทันทีโดยไม่เสียเวลาคิดอะไรทั้งนั้น” ดมิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่ต่างจากแววตา เห็นได้ชัดว่าเขาคิดแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อข่มขู่เฉยๆ
“อย่าพูดเรื่องความเป็นความตายแบบนั้น”
“ถ้าไม่อยากให้พูดก็รู้จักใส่ใจตัวเองบ้าง แล้วก็เลิกรับปากช่วยชาวบ้านทำงานมั่วๆ สักที ไอ้ชัยมันเอาเปรียบพีขนาดไหน ดิมมั่นใจว่าพีรู้ หยุดเห็นแก่เงินแค่เล็กๆ น้อยๆ ทีเถอะ”
“ดิมก็รู้ว่าพี่ต้องเก็บเงินให้ได้มากๆ อีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาเรียกเก็บเงินแล้ว”
เวลาเรียกเก็บเงินที่ว่าย่อมหมายถึงเวลาจ่ายดอกเบี้ยของหนี้ที่พวกเขาไม่ได้ก่อ แต่จำเป็นต้องรับเอาไว้อย่างไร้ทางเลือก เพียงแค่ได้ยินคำพูดนี้ดมิสก็เงียบไปในทันที แม้ว่าดวงตาจะยิ่งวาวโรจน์ด้วยความโมโหก็ตาม
“แม่ง!” ท้ายที่สุดความโกรธก็ถูกระบายออกโดยการสบถ เพราะตัวเขาในตอนนี้ไม่อาจทำอะไรได้เลย
“ไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้พี่น่าจะออกไปก่อน คงไม่ได้เจอกันตอนเช้า เอาไว้ถ้าบังเอิญเจอที่มหา’ลัยแล้วไม่อายก็ทักด้วยแล้วกัน”
“พูดอะไรออกมา ทำไมต้องอาย” ดมิสขมวดคิ้วไม่พอใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะรู้ดีว่าพี่ชายเพียงแค่หยอกล้อเล่นเท่านั้น “เดี๋ยวพักเที่ยงดิมไปหา รอกินข้าวด้วยกัน”
“เข้าใจแล้ว”
รพีมองตามหลังน้องชายที่เดินขึ้นบันไดไปจนสุดสายตา แม้รอยยิ้มบนใบหน้าจะจางหายไปเมื่อไม่มีใครอยู่ แต่ความอ่อนโยนยังคงอบอวลอยู่รอบกาย เพราะเคยชินกับความเหนื่อยล้าเช่นนี้แล้วตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ในตอนนี้นอกจากเรื่องที่อยากหาเงินมาดูแลน้องชาย เขาจึงไม่มีความคิดอื่นใดอีก กระทั่งความท้อแท้สักนิดก็ไม่มี
สำหรับรพีน้องชายคือสิ่งสำคัญเพียงหนึ่งเดียว ด้วยเหตุนั้นต่อให้ไม่ได้เรียนต่อ ต้องทำงานมากกว่านี้หรือเหนื่อยมากกว่านี้ก็ไม่เป็นไร
รพีกับดมิสเป็นพี่น้องที่เกิดในปีเดียวกัน คนหนึ่งหัวปีอีกคนท้ายปี ชีวิตในวัยเด็กของพวกเขาเป็นเหมือนครอบครัวทั่วไปที่มีปัญหากันบ้างแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร ความผิดพลาดเริ่มต้นขึ้นตอนที่ทั้งคู่อายุครบสิบปี พ่อกับแม่ของพวกเขาทะเลาะกันบนรถ เหตุการณ์นั้นทำให้รถที่นั่งอยู่ประสบอุบัติเหตุ พ่อแม่ของรพีกับดมิสตายคาที่ ส่วนเขากับน้องที่รออยู่บ้านรู้ข่าวในวันรุ่งขึ้น นับจากนั้นมาครอบครัวที่เคยมีความสุขก็หลงเหลือเพียงสองพี่น้องที่อายุเพียงสิบขวบ
ฝันร้ายของเด็กสองคนเริ่มต้นขึ้นในตอนนั้น... รพีกับดมิสถูกญาติห่างๆ รับไปดูแล ทรัพย์สินของพ่อแม่ที่ทิ้งไว้ก็ถูกทางนั้นยึดไปด้วย ทว่าแทนที่จะดูแลพวกเขาให้ดี ญาติคนที่ว่ากลับทำตรงกันข้าม ทั้งเอาเงินไปใช้สุรุ่ยสุร่าย ทั้งทำร้ายร่างกายเขากับน้องสารพัด ผลเลยจบลงที่ความพังพินาศ
หลังผ่านไปได้สามปี ญาติคนที่ว่าทิ้งหนี้สินก้อนโตเอาไว้ให้เด็กสองคนแล้วหนีข้ามประเทศไป เจ้าหนี้ที่เป็นคนนอกกฎหมายไม่สนใจความยากลำบากของเด็ก ยืนยันเพียงต้องหาเงินมาคืนให้ครบจำนวน ความใจดีเพียงหนึ่งเดียวคือการอนุญาตให้พวกเขาผ่อนคืนระยะยาวพร้อมดอกเบี้ยมหาศาล รพีจึงต้องเริ่มต้นทำงานตั้งแต่ตอนนั้น เขากับน้องอยู่กันอย่างยากลำบาก วิ่งทำงานสารพัดพร้อมกับเรียนไปด้วย
จุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อพวกเขาเรียนจบมัธยมหก รพีถูกรถชนจนต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลานาน แม้เขาจะไม่ได้เสียค่ารักษาเอง แต่มันก็ทำให้ดมิสต้องหยุดคิดเรื่องการเรียนต่อเพื่อมาดูแลพี่ชายและทำงานให้มากขึ้นสำหรับส่วนของสองคนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันรวมไปถึงใช้หนี้ เมื่อผ่านไปได้สี่ปี หลังจากอะไรๆ อยู่ตัวมากขึ้น รพีจึงบีบบังคับให้น้องกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง แม้จะเริ่มช้ากว่าคนทั่วไปนานถึงสี่ปีก็ตาม
พอนึกถึงเรื่องราวในเวลานั้น ตอนที่พวกเขาเถียงกันว่าใครจะเป็นคนกลับไปเรียนต่อ รพีก็เผลอยกมือแตะศีรษะด้านขวาโดยไม่รู้ตัว
“เป็นดิมนั่นแหละดีแล้ว...”
เพราะต่อให้พยายามขนาดไหน เขาก็ไม่มีทางไล่ตามความฝันของตัวเองได้อยู่ดี
รพียกมือลูบใบหน้าของตัวเองเพื่อตั้งสติ หลังจากล้างจานเรียบร้อยแล้วจึงกลับไปพักผ่อนที่ห้องส่วนตัวเล็กๆ บนชั้นสองซึ่งมีข้าวของอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นและนั่งลงบนเตียงนอนที่ใช้มานานหลายปี
บ้านของรพีเป็นบ้านเช่าเก่าๆ ที่พวกเขาสองพี่น้องใช้อยู่กับญาติก่อนฝ่ายนั้นจะหนีหายไป เนื่องจากมันมีราคาถูกและเจ้าของก็มีน้ำใจ เขากับน้องจึงอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ไม่คิดจะย้ายไปไหน แม้ว่าสภาพบ้านจะเสื่อมโทรมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม
ปัง!
“พี!”
“บอกว่าอย่าเสียงดังไง” รพีถอนหายใจเมื่อเห็นน้องชายเปิดประตูเข้ามาเสียงดัง แต่คงเพราะคุ้นชินกับความเป็นดมิสแล้วเขาจึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
“พรุ่งนี้พีจะไปทำงานที่ตึกไหนชั้นไหน”
“น่าจะเป็นตึกคณะบริหารฯ ชั้นสิบห้านะ ”
พอได้ฟังคำตอบจากพี่ชายที่มีท่าทีงุนงงอยู่หน่อยๆ ดมิสก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นไปอีก
“จำเป็นต้องไปทำจริงๆ ใช่ไหม”
“พี่รับปากไปแล้วว่าจะไปทำงานแทนสองอาทิตย์ เปลี่ยนใจไม่ได้หรอก ดิมมีอะไรหรือเปล่า”
“ชั้นนั้นเป็นชั้นเรียนของพวกเด็กอินเตอร์ สำหรับที่อื่นเป็นยังไงดิมไม่รู้ แต่กับที่นี่... พวกนั้นค่อนข้างจะมีฐานะ เวลาสร้างปัญหาอะไรเลยไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งด้วย” ดมิสขมวดคิ้วจนหน้ายุ่ง เหมือนลำบากใจอยู่หน่อยๆ ที่ต้องพูด “เรื่องของเรื่องก็คือ...ดิมเคยมีเรื่องกับคนพวกนั้น”
“ทำไมพี่ไม่เคยรู้”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า เอาเป็นว่าดิมกำลังกลัวว่าพีจะมีปัญหากับพวกมัน”
“ทำไมพวกเขาต้องมามีปัญหากับพี่ด้วย ดิมก็รู้ว่าพี่ไปทำงานอะไร”
ทันทีที่ฟังมาถึงตรงนี้ดมิสก็ก้าวเท้าเข้าไปหาพี่ชาย ดึงแขนอีกฝ่ายที่ตัวพอๆ กันให้ลุกขึ้นเดินตรงไปหน้ากระจกบานใหญ่ข้างตู้เสื้อผ้า สองพี่น้องยืนเคียงข้างและจ้องมองเข้าไปในกระจก สะท้อนให้เห็นภาพของผู้ชายตัวสูงใหญ่สองคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก แตกต่างเพียงทรงผมกับบรรยากาศรอบกายเท่านั้น
ขณะที่ดมิสมีหน้าตาคมคายดุดัน รพีกลับดูอ่อนโยนนุ่มนวล ต่างกันคนละขั้วโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างนั้นหากมองผ่านๆ พวกเขาก็ยังดูเหมือนกันมากจนน่าตกใจอยู่ดี ไม่แปลกถ้าคนไม่สนิทสนมจะคิดว่าเป็นคนเดียวกัน หรือหากรู้มากหน่อยก็คงมองออกได้ง่ายๆ ว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรง
“ฟังนะพี ไอ้พวกนั้นมันชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ต่อให้รู้ว่าพีไม่ใช่ดิม แต่แค่เห็นหน้าตาเราเหมือนกันแบบนี้ ไม่ว่าใครก็มองออกแล้วว่าเราเป็นอะไรกัน ยังไงมันก็ต้องหาเรื่องแน่ๆ”
“แล้วยังไง ดิมกลัวว่าจะถูกล้อเรื่องที่มีพี่ชายทำงานเป็นภารโรงเหรอ”
“ถ้ายังกวนตีนอีกพีจะโดนจับมัด ไม่ต้องไปทำแม่งละงาน”
รพีหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของน้องชาย แต่สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันไปตบบ่าอีกฝ่ายด้วยความเข้าใจ
“พี่รู้ว่าดิมกำลังกังวลเรื่องอะไร อย่าคิดมากเลย ไม่ว่าพวกเขาจะดูถูกขนาดไหนพี่ก็ไม่สนใจหรอก”
ถ้าเด็กพวกนั้นจะทำตัวไร้เหตุผล มาดูถูกเขาเพราะความคิดส่วนตัวที่เกิดขึ้นจากคนอื่นและหาที่ลงไม่ได้ รพีก็ไม่มีอะไรจะพูด ตัวเขาเคยชินกับเรื่องพวกนั้นแล้ว อะไรที่แย่ยิ่งกว่าก็ผ่านมาจนมีภูมิต้านทาน ต่อให้เกิดเรื่องหนักหนากว่าที่ดมิสกังวลก็ไม่มีปัญหาหรอก
“พี อย่างน้อยไปขอเปลี่ยน...”
“ดิมฟังพี่นะ” รพีจับบ่าทั้งสองข้างของน้องชายแล้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงบนิ่งไร้ซึ่งระลอกคลื่นใดๆ “สิ่งที่ดิมควรทำในตอนนี้คือตั้งใจเรียนให้จบแล้วออกมาหางานดีๆ ทำ ไม่ว่าดิมจะอยากทำงานด้านไหนพีก็จะสนับสนุน เพราะงั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ดิมก็รู้ว่าพีดูแลตัวเองได้”
“…ดิมจะรีบทำงานหาเงิน ถึงตอนนั้นจะให้พีอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้อีก” ดมิสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง สองมือกำแน่นเมื่อถูกพี่ชายลูบหัวเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนนั้น “ไอ้พวกที่มันเคยดูถูกเรา ดิมจะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
“อีกไม่นานแล้ว อดทนเอาไว้ก่อนนะ”
สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความเข้าใจ ก่อนดมิสจะเดินออกไปด้วยอารมณ์คงที่ต่างจากตอนมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พี่ชายก็ยังเป็นเซฟโซนสำหรับเขาเสมอ ต่อให้โมโหหรืออารมณ์เสียมากมายขนาดไหน รพีก็มีวิธีทำให้เขาสงบลงได้ทุกที คงเพราะว่าอยู่ด้วยกันมานาน และดมิสก็มองพี่ชายเป็นทุกอย่าง ขอแค่ทางนั้นพูดออกมาเขาจึงยอมลงให้เสมอไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม
และแน่นอนว่าถ้ามีไอ้ตัวไหนกล้ามาทำให้รพีเจ็บ เขาไม่มีทางยอมอยู่เฉยแน่ แม้ว่าพวกมันจะเป็นอภิสิทธิ์ชนเหนือคนธรรมดาขนาดไหนก็ตาม
รพีรู้จักกับชัย นายหน้าจัดหางานเล็กๆ คนหนึ่งตั้งแต่ตอนที่เขาออกจากโรงพยาบาลเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงเวลาที่กำลังหางานทำอย่างยากลำบากเพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ นายชัยเป็นคนเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือ แม้จะรู้ดีว่าทางนั้นค่อนข้างเอาเปรียบ แต่รพีก็ยังจำเป็นต้องปิดตาข้างหนึ่ง เนื่องจากเขาต้องการใช้เงิน
โชคดีที่ช่วงหลังๆ อะไรๆ อยู่ตัวมากขึ้น เขาจึงหางานทำได้ด้วยตัวเอง ถึงอย่างนั้นเวลานายชัยเสนองานอะไรแล้วไม่กระทบกับเวลาทำงานปกติ รพีก็ยังรับงานเหล่านั้นเช่นเดิม ครั้งนี้เองก็เช่นกัน
ร้านสะดวกซื้อที่เขาทำงานอยู่ในกะเช้าปิดปรับปรุงชั่วคราวเป็นระยะเวลาสองอาทิตย์ ในระหว่างนี้รพีจำเป็นต้องหางานอื่นทำชั่วคราว เมื่อนายชัยบอกว่าภรรยาตัวเองที่ทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดอยู่ที่มหา’ลัยแห่งหนึ่งต้องหยุดงานสองอาทิตย์พอดีและกำลังหาคนไปทำแทน เขาจึงยอมตอบตกลงอย่างง่ายดาย
ถึงชัยจะเป็นพวกเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่เคยนำความเดือดร้อนมาให้คนอื่น ทันทีที่อีกฝ่ายยืนยันว่าให้ไปทำงานแทนได้ จัดการเรื่องทุกอย่างเอาไว้พร้อมหมดแล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ แน่นอน รพีจึงเชื่อคำพูดนั้นอย่างง่ายดาย และเนื่องจากชั้นสิบห้าที่เขาได้ไปทำงานค่อนข้างจะพิเศษอยู่นิดหน่อย เพราะต้องทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ห้ามมีแม้แต่คราบเลอะเทอะเล็กๆ น้อยๆ ใดๆ ก็ตาม รพีจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปยุ่งกับชั้นอื่นอีก ถือได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างจะสะดวกต่อเขาซึ่งชื่นชอบการทำงานคนเดียวพอควร
ชายหนุ่มขยับหน้ากากอนามัยที่เด็กขี้เป็นห่วงวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะหน้าห้องให้เข้าที่ จากนั้นจึงสวมเครื่องแบบของภารโรงประจำชั้นทับชุดที่ใส่มาแล้วมองความเรียบร้อยในกระจกอีกรอบ
รพีมีร่างกายสูงใหญ่เพราะเขาเล่นกีฬาและออกกำลังมาโดยตลอด แม้ว่าจะไม่ค่อยมีเวลา ไม่อาจทำอะไรหนักๆ ได้เหมือนในอดีต แต่เขาก็ยังออกกำลังโดยการวิ่งในทุกเวลาที่มีโอกาส ด้วยเหตุนั้นจนถึงตอนนี้ร่างกายของรพีจึงยังแข็งแรงดีดังเดิม ถึงเขาจะเคยประสบอุบัติเหตุจนมีปัญหาทางด้านสุขภาพตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อนก็ตาม
ดวงตาที่โผล่ออกมานอกหน้ากากอนามัยยังคงดูมีชีวิตชีวาเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ว่าจะพักผ่อนน้อยเพียงใดก็ตาม ทว่าเมื่อก้มลงมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือเก่าๆ ของตัวเอง ชายหนุ่มกลับต้องถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะดูเหมือนเขาจะมาไวเกินไปหน่อย ในช่วงเวลาเช่นนี้จึงทำได้เพียงเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาเช็ดนั่นเช็ดนี่บริเวณระเบียงไปเรื่อยเปื่อย เนื่องจากเขาไม่มีกุญแจเปิดเข้าห้องเรียน ต้องรอให้เพื่อนของแม่บ้านที่หยุดงานขึ้นมาเปิดห้องให้ในอีกเกือบๆ หนึ่งชั่วโมงข้างหน้าอย่างเดียว
“พ่อหนุ่ม มาทำงานแทนสำลีเหรอ”
รพีหันกลับไปมองป้าแม่บ้านที่เดินออกจากลิฟต์มาทักทายเขาแล้วยกยิ้มจางภายใต้หน้ากาก
“ใช่ครับคุณป้า”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรอหน่อยนะ คนถือกุญแจห้องเรียนชั้นสิบห้าอีกคนไม่เคยมาเช้าหรอก จริงๆ ในห้องก็ทำความสะอาดเอาไว้ตั้งแต่ตอนเย็นแล้วแหละ ชั้นอื่นๆ ไม่ต้องทำซ้ำก็ไม่มีปัญหา โชคร้ายที่พ่อหนุ่มมาเจอชั้นนี้” แม่บ้านจากชั้นอื่นที่ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่ในมือมองรพีด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
“ไปจัดการห้องน้ำก่อนก็ได้นะ พ่อหนุ่มน่าจะมีกุญแจห้องเก็บของใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นป้าไปก่อนนะ มีอะไรก็ไปหาที่ชั้นสิบสามได้”
“ขอบคุณนะครับคุณป้า” รพียกมือไหว้ขอบคุณอย่างมีมารยาท เรียกรอยยิ้มจากผู้เฝ้ามองได้เป็นอย่างดี ท้ายที่สุดพื้นที่บริเวณนั้นก็เหลือแค่เขาเพียงลำพังเหมือนเดิม
ชายหนุ่มเดินไปทางห้องน้ำตามที่ถูกแนะนำ ภายในนั้นมีห้องที่ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดโดยเฉพาะอยู่ด้วย ประสบการณ์การทำงานที่มีอยู่มากทำให้รพีรู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง เขาเริ่มจากการทำความสะอาดห้องน้ำซ้ำอีกรอบอย่างจริงจัง เมื่อเรียบร้อยแล้วถึงได้หยิบอุปกรณ์เดินออกไปด้านนอกเพื่อทำความสะอาดพื้นระเบียงพร้อมสำรวจทิศทางไปด้วย
ตึกคณะบริหารแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ห้องเรียนในชั้นนี้เป็นห้องเรียนสำหรับเด็กที่เรียนหลักสูตรนานาชาติ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีฐานะ และชื่อเสียงก็แพร่กระจายไปทั่วมหา’ลัยจนแม้แต่ดมิสที่ไม่ค่อยสนใจอะไรยังรู้เรื่อง การที่น้องชายของรพีเอาเรื่องพวกนี้มาเล่าให้ฟัง แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าตัวสนใจมากพอควร ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดรพีจะได้รู้ความจริงเมื่อวาน ว่าดมิสสนใจเนื่องจากเคยมีเรื่องกับคนเหล่านั้นมาก่อนก็ตาม
ข้อดีของชั้นนี้คือแม้จะมีขนาดกว้างขวาง ทว่ามีห้องเพียงแค่สามห้องใหญ่ๆ ที่เหลือเป็นพื้นที่โล่งกว้างเอาไว้ใช้สำหรับนั่งรอและอ่านหนังสือต่างๆ นานาบริเวณระเบียงด้านนอก การทำความสะอาดจึงไม่ได้นับว่ายากอะไร เพียงแค่ต้องเสียเวลากับพื้นโล่งกว้างนิดหน่อยเท่านั้น
“มึงจะลากกูมาทำไมตั้งแต่เช้า”
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราเป็นกลุ่มแรก ขืนมาช้าก็โดนปรับตกทั้งกลุ่มสิวะ”
“เออ จริงของไอ้ต้น ใครใช้มึงจับฉลากได้กลุ่มแรกวะไอ้ภาส”
“ไม่ต้องมาโทษกูเลย ถึงจะกลุ่มแรกก็ไม่จำเป็นต้องมาเช้าขนาดนี้เปล่าวะ อีกตั้งเป็นชั่ว...”
เสียงพูดคุยของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์หยุดชะงักกะทันหันยามพบว่านอกจากพวกเขาทั้งห้าคน ยังมีใครบางคนที่มาเช้ายิ่งกว่า แวบแรกภาสกรคิดว่าเจ้าของร่างสูงใหญที่ยืนอยู่เป็นนักศึกษาเช่นกัน แต่เมื่อเห็นเครื่องแบบกับอุปกรณ์ทำความสะอาด เขาก็แค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“เหอะ ที่แท้ก็ภารโรง”
รพีซึ่งซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งอยู่ภายใต้หน้ากากไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เขาแค่ทำหน้าที่ที่ควรทำ ถูพื้นไปเรื่อยๆ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง ทำราวกับน้ำเสียงดูถูกนั่นไม่ได้พูดถึงตัวเอง ทั้งที่มันไม่อาจหมายความเป็นคนอื่นได้เลย
“ชั้นนี้เปลี่ยนแม่บ้านแล้วเหรอวะ กูจำได้ว่าปกติเป็นป้าที่ชอบมาประจบขอเงินไม่ใช่หรือไง” หนึ่งในกลุ่มนักศึกษายื่นหน้าออกมามองภารโรงคนใหม่จากทางด้านหลัง ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย “ทำไมรูปร่างหน้าตาดูคุ้นๆ...”
“เออ กูก็ว่าคุ้นเหมือนกัน”
พอเห็นว่าเด็กนักศึกษาหันมาสนใจตัวเองอย่างจริงจัง รพีก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ หันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าก็ยังถูกมองตามมาตลอดทางจนกระทั่ง...
“รู้แล้ว! ภารโรงนั่นมันหน้าตาเหมือนไอ้ดิมที่เคยมีเรื่องกับมึงเลยนี่ไอ้ภาส”
ภาสกรกำมือแน่นเมื่อได้ยินชื่อของเด็กทุนจนๆ ที่เคยมีเรื่องกับเขาจนเข้าหน้ากันไม่ติดมาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้คนที่เดินหันหลังเข้าไปในห้องน้ำจะปกปิดใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับคนที่เคยมีเรื่องกันมา ไม่มีทางที่จะจำผิดแน่นอน เขาเองก็คิดเช่นเดียวกันกับเพื่อนว่าภารโรงนั่นหน้าตาคุ้นมาก
นักศึกษาชายทั้งสี่เดินตามหัวหน้ากลุ่มเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่มีใครรั้งใครเลยสักคน วินาทีที่ภาสกรดึงไหล่รพีให้หันกลับมาแล้วกระชากหน้ากากอนามัยของชายหนุ่มออก บรรยากาศโดยรอบพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นแทบจะทันที
“มึง…ไอ้ดิม”
“ไม่ใช่ครับ” รพีขยับยิ้มจาง ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจอะไรกับความไร้มารยาทของเด็กที่อายุน้อยกว่าตรงหน้า “ถึงจะหน้าเหมือนกันมากแต่ผมไม่ใช่ดิม”
“มึงเป็นอะไรกับมัน”
“เป็นพี่ชายครับ”
ภาสกรเผลอคลายแรงที่จับบ่าอีกคนเอาไว้ออกเพราะกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นรพีหมุนกายหันกลับไปหยิบของจากในห้องเก็บของอย่างไม่ใส่ใจ ภาพของดมิสที่เคยมองเขาราวกับกำลังมองมดปลวกก็ปรากฏขึ้นกะทันหัน ชายหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความโมโห สองมือผลักร่างของคนตรงหน้าเข้าไปในห้องเก็บของ ก่อนจะปิดประตูอย่างรวดเร็ว
“ไอ้ภาส...”
“ไม่ต้องพูดมาก ล็อกกุญแจ”
เพื่อนของภาสกรมองหน้ากันคล้ายไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร แต่เมื่อถูกตวัดสายตามามองด้วยความหัวเสียก็ได้แต่ตรงเข้าไปทำตามคำสั่ง ขังภารโรงที่ผิดเพราะเกิดมาเป็นพี่ชายของดมิสเอาไว้ในนั้น และมองเพื่อนตัวเองหยิบถังน้ำถูพื้นที่วางอยู่ด้านนอกขึ้นมา จากนั้น...
ซ่า
น้ำสกปรกถูกสาดเข้าไปในห้องเก็บของด้วยฝีมือของภาสกร นักศึกษาหนุ่มกระตุกยิ้ม ใบหน้าฉายชัดถึงความสะใจราวกับคนที่อยู่ในนั้นไม่ใช่ภารโรงคนใหม่ แต่เป็นดมิสที่เขาเกลียดแสนเกลียด
“ถ้าจะโทษก็ไปโทษน้องมึงเถอะ... เหอะ มีพี่ชายเป็นแค่ภารโรงกระจอกยังกล้ามองกูด้วยสายตาแบบนั้น” ว่าจบก็หมุนกายเดินจากไปพร้อมกลุ่มเพื่อนอย่างไม่ใส่ใจ
รพีที่ถูกขังอยู่ในห้องเก็บของถอนหายใจเหนื่อยหน่าย มือลูบน้ำถูพื้นออกจากใบหน้าที่ไม่มีแม้แต่วี่แววของความไม่พอใจเงียบๆ ไม่ได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออะไรทั้งสิ้น ห้องเก็บของที่นี่เป็นเหมือนกับห้องน้ำเพราะมีประตูลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ด้านบนก็ระบายออก ไม่ได้เป็นผนังปิดมิด คนด้านนอกจึงสาดน้ำใส่เขาได้ ดังนั้นหากจะใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ข้างในปีนออกไปก็ไม่นับว่ายากเย็นอะไร
เพียงแต่...
ตอนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะขยับไปไหน แล้วก็ยังไม่อยากรีบออกไปเจอปัญหาด้วย เพราะเด็กพวกนั้นน่าจะยังเกาะกลุ่มกันอยู่ด้านนอกจนกว่าจะถึงเวลาเรียน
รพีไม่ได้โกรธที่ถูกปฏิบัติเช่นนี้ทั้งที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย เขาเคยชินกับการถูกทำเหมือนเป็นคนที่ไม่ใช่คนแบบนี้มานานแล้ว สำหรับคนที่สูญเสียทุกอย่างไปจนหมด ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความภาคภูมิใจ ขอเพียงสิ่งสำคัญอย่างสุดท้าย... สิ่งสำคัญที่เรียกว่าดมิสยังคงยืนได้อย่างสง่าผ่าเผย ตัวเขาจะต้องถูกทำเหมือนเป็นขยะไร้ค่าหรืออะไรก็ช่างมัน
แล้วอีกอย่าง...
“ทำตัวเหมือนเป็นเด็กสิบขวบไปได้” รพีพึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อนึกถึงเด็กพวกนั้นที่น่าจะอยู่ปีสี่แล้วแต่กลับทำราวกับเป็นเด็กตัวเล็กที่ไม่มีความคิด ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่คนแบบนั้นจะมีเรื่องกับดมิส เพราะอย่างไรน้องชายของเขาก็ไม่ยอมคนอยู่แล้ว แต่รพีมั่นใจเป็นอย่างมากว่าคนอย่างดมิสไม่มีทางหาเรื่องก่อนหรือคิดทำร้ายพวกที่ทำตัวราวกับเป็นเด็กขาดความอบอุ่นแบบนั้นแน่
หากให้เดาพอถูกหาเรื่องน่าจะจ้องมองทางนั้นด้วยความรำคาญใจ หลังจากพ่นคำพูดเจ็บแสบสองสามประโยคก็คงเดินหนีไปเลย ไม่รู้ว่าอะไรทำให้อีกฝั่งแค้นเคืองกันขนาดนั้น ถึงขั้นเอามาลงกับเขาที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันทั้งที่ก็รู้ว่าเป็นคนละคนนี่ คงต้องบอกว่าเป็นความไม่พอใจที่ออกจะมากเกินไปหน่อย
ในช่วงเวลาที่ความคิดกำลังล่องลอยไปไกล ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นช้าๆ แม้น้ำถูพื้นจะทำให้ร่างกายของเขาสกปรกไปหมด รพีก็ไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย จวบจนเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาทว่ามั่นคงของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก พร้อมกันกับที่กลอนประตูขยับอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่คมจึงเบนไปมองด้านหน้าโดยอัตโนมัติ
และในจังหวะที่ประตูถูกเปิดออกนั่นเองที่ทำให้เขาได้เห็นผู้ช่วยเหลือเต็มตา...
ชุดนักศึกษาเป็นระเบียบที่แท้จริงธรรมดาเป็นอย่างมากกลับดูราวกับเปล่งแสงได้เมื่ออยู่บนร่างของชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าตรงหน้า ต่อให้ไม่นับใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไว้ด้วยความงดงามบางประการ รพีก็ยังรับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายแตกต่างจากคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้มองสบกับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลแลดูอ่อนโยน หากกลับแฝงไว้ด้วยความถือตัวคู่นั้น
“เป็นอะไรมากไหมครับ”
...กระทั่งน้ำเสียงก็ยังนุ่มทุ้มเป็นจังหวะลงตัว เหมาะสมกับคำว่าผู้ดีอย่างแท้จริง
“ไม่เป็นไรครับ” คนฟังตอบคำถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปไหน
เมื่อเห็นอาการของคู่สนทนาที่ดูเหม่อลอยอยู่หน่อยๆ นักศึกษาหนุ่มก็ได้แต่ส่งยิ้มไปให้คนที่จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ก่อนจะยื่นมือออกไปด้านหน้าโดยไม่ใส่ใจสภาพของชายในชุดภารโรงซึ่งทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบสกปรกของน้ำถูพื้น
“รีบออกมาเถอะครับ หากไม่รีบล้างตัวอาจจะมีอาการคันหรืออาการอื่นๆ ตามมาได้”
รพีเม้มปากเล็กน้อย ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้คนตรงหน้าเสียน้ำใจ แต่อีกใจก็เป็นกังวลกับสภาพของตัวเอง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนที่ดูสูงส่งขนาดนี้... สูงส่งจนอดกังวลไม่ได้ว่าหากจับมือข้างนั้นไว้ ความสกปรกของตนอาจทำให้อีกฝ่ายแปดเปื้อน
“ขอบคุณครับ แต่ผมลุกเองได้ อย่าให้มือคุณเปื้อนเลย” ท้ายที่สุดความถูกต้องก็เอาชนะมารยาที่พึงมี ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ก่อนจะจับจ้องผู้ที่มีส่วนสูงน้อยกว่าไม่มากด้วยดวงตาที่ดูนุ่มนวลกว่าปกติเล็กน้อย “ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ช่วยปลดล็อกประตูให้”
“ไม่เป็นไรครับ”
แม้เขาจะยืนขึ้นแล้วและมองอีกคนจากมุมที่สูงกว่าเล็กน้อยเช่นนี้ แต่รพีก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองบางสิ่งที่อยู่สูงเกินเอื้อม เขาแอบเก็บภาพของผู้ที่มีดวงตากับรอยยิ้มงดงามเอาไว้ในความทรงจำ คิดว่าเมื่อนึกถึงคงทำให้รู้สึกดีได้ไม่น้อย เปรียบดั่งคนธรรมดาที่ได้พบเจอกับดาราในดวงใจและอยากเก็บความทรงจำเอาไว้นานๆ
“คุณออกไปด้านนอกเถอะครับ ตรงนี้สกปรกมาก เดี๋ยวจะเปื้อนกางเกงกับรองเท้าเอา” กล่าวจบรพีก็ยกยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อแสดงความขอบคุณอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็ผายมือเชื้อเชิญไปด้วย
ในสายตาของเขา นักศึกษาที่ดูสูงส่งผู้นี้เรียบร้อยและคุยด้วยง่ายเป็นอย่างมาก เจ้าตัวหมุนกายเดินออกไปด้านนอกตามที่เขาบอกโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เห็นดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของรพีจึงกว้างขึ้นกว่าเก่า เมื่อถูกหันมามองอีกครั้งก็พยักหน้าน้อยๆ กลับไปให้ทั้งที่ยังไม่หุบยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่าอย่างน้อยในวันนี้ก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นบ้าง
ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มของตนได้ประทับอยู่ในใจของใครบางคนไปแล้ว
...และยังประทับฝังลึกจนยากที่จะถอดถอนเสียด้วย
-----------------
TALK : สรุปใครหลงใครเนี่ย...
เรื่องนี้ พี่พี x คุณชาย ไม่มีสลับโพนะคะ บอกไว้เผื่อมีคนลงผิดเรือ
ไม่ว่าคุณชายจะหล่อขนาดไหนก็เปลี่ยนไม่ได้แล้ว XD
ช่องทางการติดตาม
FB : Chesshire.
Twitter : @Chesshire04
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอน้าา มาต่อเร็วนะค้าา
ต่างคนต่างหลง 2 อาทิตย์จะได้เจอกันกี่วันกันนะ ต่อไปคุณชายของเราจะมาเช้าหรือเปล่าน๊า > ชีวิตพี่พีคือขั้นกว่าของลำว่าลำบากเลย เก่งมากๆทั้งคู่ที่ผ่านมาได้จนถึงทุกวันนี้ เอาใจช่วยนะคะพี่พีพี่ดิม