ตอนที่ 3 : PRAMUK-1-
-1-
“มึงจะชะเง้อชะแง้อีกนานไหม”
“กูยังไม่เห็นเขามาเลย...”
“อีมุข... เขาจะมาทำบ้าอะไรตั้งแต่ตีห้าหา!” สาวประเภทสองคนสวยจัดการโบกหลังเจ้าชายน้อยของคนทั้งมหา’ลัยอย่างแรงจนอีกคนร้องโอดโอย นี่ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยเธอคงไม่กล้าทำขนาดนี้หรอก กลัวโดนรุมตบ แต่เพราะโดนเพื่อนสนิทตัวดีลากมามหา’ลัยแต่เช้า โดยให้เหตุผลว่ากลัวคุณคนนั้นของมันจะมาแล้วไม่เจอ ตอนนี้เลยยังไม่มีใครให้กลัวสักคน ต่อให้ฆ่ามันหมกส้วมด้วยความหัวร้อนก็คงไม่มีใครรับรู้
“ก็ต้องมารอก่อนอยู่ดีไหมวะ” ประมุขบ่นพึมพำแล้วหดหัวกลับเข้าไปในโรงละครแบบหงอยๆ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเวลานัดของทุกคนคือเจ็ดโมงเช้า แต่เขาก็ยังอยากมาก่อนอยู่ดี เพราะกลัวว่าถ้ามาหาแล้วไม่เจอ คนที่รอมานานจะหนีกลับไปจนคลาดกันอีก
ครั้งนี้เขาคาดหวังมาก...มากจนคิดว่าตัวเองคงทนรับความผิดหวังไม่ไหว
ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกให้ประมุขรู้ว่าคนคนนั้นมีงานยุ่งมาก และพร้อมจะยกเลิกทุกสิ่งที่เคยพูดไว้ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายได้ตลอดเวลา ดังนั้นหลังจากครั้งแรกที่แอบเสียใจไปหลายวัน พอมีครั้งต่อไปเขาก็มักจะเผื่อใจไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่ผิดหวังมากเกินไปนัก เพราะถึงจะไม่ใช่คนฉลาดอะไร แต่เขาก็ยังเข้าใจว่าชีวิตของตัวเองและคนคนนั้นแตกต่างกัน จะให้งอแงเอาแต่ใจ โกรธไร้สาระไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี
ทว่าครั้งนี้เขาเฝ้าถามอยู่ทุกวันว่าจะมาจริงหรือเปล่า แล้วก็ได้รับคำตอบเดิมๆ ว่าจริงอยู่ทุกครั้ง กระทั่งเมื่อวานก็ยังได้รับคำตอบเดียวกัน เพราะแบบนั้นความหวังที่เคยกดข่มไว้ในใจถึงได้ทวีคูณขึ้นมามากมายขนาดนี้
“มุข มึงฟังกูนะ” สาวสวยที่มองเห็นใบหน้าลังเลไม่มั่นใจของเพื่อนสนิทกอบกุมไหล่ทั้งสองข้างของมันให้หันมามองหน้าเธออีกครั้ง “ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่มา มึงก็ต้องทำให้เต็มที่ แล้วถ้าสุดท้ายต้องผิดหวัง มึงค่อยมานั่งร้องไห้งอแงปัญญาอ่อนข้างๆ กู เข้าใจหรือเปล่า”
คนฟังเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเพื่อนรักที่ส่งผ่านกำลังใจมาให้แล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก แม้จะไม่อยากผิดหวัง แต่เขาก็ไม่อาจทำให้งานเสียเพียงเพราะเรื่องส่วนตัวได้ ดีดี้และนักแสดงคนอื่นๆ ทุ่มเทกับงานนี้มาก ถ้าเขาทำพังคงไม่มีหน้าไปเจอใครอีก
“กูจะทำให้เต็มที่”
คราวนี้ประมุขไม่ได้โผล่หัวออกไปดูบริเวณทางเดินด้านนอกทุกๆ ห้านาทีเหมือนเก่า แต่เขาก้มหน้าลงกดโทรศัพท์ พร้อมกับหยิบบทที่ท่องได้จนขึ้นใจมาทบทวนอีกครั้งเพื่อกันไม่ให้มีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น
GP.MUK : ผมจะรอจนกว่าคุณจะมา
ทิ้งข้อความไว้แล้วเขาก็เริ่มซ้อมเพียงลำพังอย่างจริงจัง บทบาท ‘พระเอก’ ที่ได้รับมีความสำคัญที่สุดในเรื่อง ละครเวทีที่ดีดี้กำกับเป็นละครย้อนยุคซึ่งคิดบทขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ไม่ได้อ้างอิงจากที่ใด หลังจากได้อาจารย์ช่วยดูและแก้ไขอยู่หลายรอบก็กลายมาเป็นหนึ่งในละครที่ได้รับการรอคอยมาที่สุด ทั้งบทประพันธ์หรือทีเซอร์ที่ปล่อยไปทางโซเชียลมีเดียล้วนได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เจ้าชายของคนทั้งมหา’ลัยมาเล่นเป็นตัวหลักแบบนี้
ขึ้นชื่อว่าศิลปกรรม... ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง
“ใส่อารมณ์ให้มากกว่านี้!” เสียงของผู้กำกับดังก้องไปทั่วโรงละครหลังจากสมาชิกทุกคนมาถึงกันหมดแล้ว เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะเริ่มเปิดให้ผู้คนเข้ามาจับจองที่นั่ง พวกเขามีเวลาซ้อมอีกเพียงรอบเดียวก่อนจะต้องเข้าไปเตรียมตัวด้านใน
“ดี้” ประมุขเดินเข้าไปสะกิดไหล่เพื่อนสาวแล้วพยักหน้า ส่งสัญญาณบอกให้รู้ว่าถึงเวลาต้องเข้าไปด้านในแล้ว อีกเพียงหนึ่งชั่วโมงคนจากด้านนอกก็จะเข้ามา พวกเขาต้องใช้เวลาจัดการตัวเอง ไม่อาจปรากฏตัวให้ใครเห็นในตอนนี้ได้
“โอเค... ทุกคนรีบเข้าไปเตรียมตัว!”
เมื่อผู้กำกับสาวพยักหน้า เหล่านักแสดงก็พากันกรูไปหลังเวทีอย่างรีบร้อนเพื่อทานข้าว ใส่เสื้อผ้า แล้วก็ทบทวนบทบาทของตน ประมุขเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้าไปด้านใน เขาตรงไปที่โต๊ะแต่งหน้า ปล่อยให้เพื่อนผู้หญิงเข้ามาจัดการทรงผมให้อย่างเคยชิน จากนั้นก็ใช้เวลาว่างไปกับการเล่นโทรศัพท์อีกครั้ง
ยังไม่ตอบเลย...
เขาถอนหายใจ กดเข้าไปดูในแชทของพี่ชายที่เพิ่งส่งข้อความมาหาแทน
HONGTAE: กูคงไปดูมึงไม่ได้นะ เคลียร์งานที่มหา’ลัยเสร็จก็คงดึก เดี๋ยวว่าจะโทรไปถามภีมเรื่องพี่จักรด้วย
GP.MUK : ไม่เป็นไร ภีมว่ายังไงมึงบอกกูด้วยก็แล้วกัน
HONGTAE: อือ ทำให้เต็มที่
GP.MUK : แน่นอน!
ประมุขขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเป็นห่วงเมื่อพี่ชายคนรองพูดถึงพี่ชายคนโตขึ้นมา เขากับฮ่องเต้เรียนอยู่คนละที่ ต่างคนต่างเลือกทางเดินของตัวเอง นานๆ จะได้กลับบ้านไปเจอกันสักที ไม่เหมือนเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ที่ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็ต้องกลับไปนอนบ้านเพราะไม่อยากให้พี่ชายคนโตอยู่เพียงลำพัง
หากไม่นับพ่อที่ทำงานอยู่ไกล เทียวไปเทียวมาระหว่างไทยกับต่างประเทศ ครอบครัวของประมุขก็มีกันเพียงสามพี่น้องเท่านั้น เขาอยู่กับฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก เพิ่งกลับมาเรียนต่อที่ไทยตอนปีหนึ่ง แล้วหลังจากกลับมาไม่นาน พี่ชายคนโตที่ถูกแม่พาตัวไปเพียงลำพังเมื่อสิบปีก่อนก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ตอนแรกประมุขไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายถึงกลับมาหาพวกเขา ทั้งที่อีกฝ่ายกลายเป็นคนใหญ่คนโตไปแล้ว แต่เมื่อได้เห็นที่สนามบินถึงได้เข้าใจ
พี่จักรประสบอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้...
ต่อให้ไม่ต้องอธิบายอะไร สองพี่ร้องก็รู้ว่ามารดาต้องเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ชายของพวกเขากลับมาที่นี่แน่นอน เพราะตั้งแต่แรกก็คิดจะพาไปใช้ประโยชน์อยู่แล้ว พอเห็นว่าพี่เป็นแบบนี้ถึงได้เขี่ยทิ้งให้พ้นทาง ประมุขยังจำได้ดีว่าเขาคือเป้าหมายที่แม่ต้องการพาตัวไป แต่เพราะพี่ช่วยปกป้องถึงต้องก้าวไปอยู่ในจุดนั้นแทน ความรู้สึกผิดที่ได้เห็นพี่จักรกลายเป็นคนเย็นชาน่ากลัวทำให้เขาและฮ่องเต้ต้องการทดแทนทุกอย่างให้ด้วยใจ
พวกเขาช่วยกันดูแลพี่จักร ช่วยกันทำกายภาพให้ทุกวัน อ้อนวอนขอให้พี่ไปรักษา แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนพี่จักรชอบดอกไม้ ชอบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ชอบไปเล่นกับเพื่อนสมัยเด็กที่ชื่อภีม พวกเขาจึงติดต่อทางฝั่งนั้น ขอร้องให้พี่จักรไปพักผ่อนอยู่ที่นั่นสักระยะ ซึ่งแน่นอนว่าคุณอาเจ้าของสวนดอกไม้กับลูกชายยินดีเป็นอย่างมาก
หลังจากไปส่งพี่จักรเรียบร้อยแล้ว ประมุขกับฮ่องเต้จึงกลับมาเรียนอีกครั้ง ตั้งใจว่าถ้าหยุดเมื่อไหร่ก็จะไปหา แล้วก็คอยตามข่าวสารผ่านทางภีมอยู่ตลอด โชคดีที่คนคนนั้นยินดีจะช่วยดูแลพี่ชายคนโต เขากับพี่คนรองถึงได้สบายใจขึ้นมาก
“เสร็จแล้วจ้ะมุข รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ” เสียงเตือนพร้อมแรงตบเบาๆ ที่บ่าของพี่ช่างแต่งหน้าทำให้ประมุขรู้สึกตัว เขาเงยหน้ามองกระจก ยิ้มให้เงาของตัวเองที่ดูดีได้เสมอต้นเสมอปลายหนึ่งครั้งแล้วลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณมากนะครับ”
พื้นที่ด้านหลังเวทีวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้เวลาแสดงมากขึ้นทุกที เหล่านักแสดงต่างแยกกันทำสมาธิและขอให้การทำงานผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะมันไม่ใช่แค่แสดงให้จบๆ แต่เป็นการแสดงที่เป็นหน้าเป็นตาของคณะและมหา’ลัย มีแขกคนสำคัญมากดูงานมากมายหลายท่าน แล้วยิ่งบอกว่ามีการแสดงเพียงรอบเดียว ใครต่อใครเลยให้ความสำคัญยิ่งเข้าไปใหญ่
“ทำให้เต็มที่นะทุกคน” ผู้กำกับสาวยิ้มให้กำลังใจทีมงานทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกันกับที่เสียงปรบมือด้านนอกดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ประมุขหันไปมองโทรศัพท์เป็นครั้งสุดท้าย คาดหวังว่าจะได้เห็นข้อความจากใครบางคน ที่ปกติมักจะส่งกำลังใจมาให้กันเสมอ หากก็พบเพียงความว่างเปล่า
“มุข!”
ไม่มีเวลามาผิดหวังแล้ว...
“โอเค!” ประมุขสูดหายใจเข้าจนสุด เตรียมตัวเดินไปหาคนเรียกเพื่อรอขึ้นเวที แต่แล้วเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะกลับเรียกความสนใจได้ชะงัก เขารีบหันกลับไปหา ตากวาดมองข้อความที่เด้งขึ้นมาด้วยความคาดหวัง
M.GRAY: ทำให้เต็มที่ ฉันรอดูอยู่
เพียงเท่านั้นรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้า หัวใจที่หนักอึ้งด้วยความกังวลและหวาดกลัวพองโตจนคับอก ความตั้งใจที่มีมากอยู่แล้วราวกับจะทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก เขารีบกดส่งสติกเกอร์ลูกแกะยิ้มไปให้เพราะไม่มีเวลาพิมพ์ จากนั้นก็วิ่งไวๆ ไปเตรียมตัวขึ้นเวทีอย่างอารมณ์ดี
“เต็มที่นะมึง” เพื่อนสาวคนสนิทที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วตบบ่ากันเป็นเชิงให้กำลังใจ
ประมุขยิ้มให้เพื่อน หลับตาลงเพื่อทำสมาธิ แม้จะไม่ใช่การขึ้นเวทีครั้งแรก แต่ในฐานะของนักแสดงตัวหลักในงานใหญ่แบบนี้ จะไม่ให้ตื่นเต้นเลยคงไม่ได้
แล้วคนคนนั้นยังมาดูอีก...
ดวงตาใสซื่อเปล่งประกายอย่างมีความสุข หากเพียงชั่ววินาทีที่คนบนเวทีส่งสัญญาณว่าฉากพร้อมแล้ว ใบหน้าร่าเริงก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ สมบทบาทคุณชายเล็กผู้เป็นพระเอกของบทละครนี้
“เริ่ม!” ดีดี้หันไปมองเหล่านักแสดงที่ยืนรอคิว ในขณะที่ประมุขก้าวเท้าขึ้นไปด้านบน พร้อมกันกับที่ม่านสีเลือดหมูซึ่งปิดบังฉากไว้ถูกเปิดออก
โรงละครขนาดใหญ่ที่จุคนได้มากมายถูกจับจ้องพื้นที่จนทั่วไม่เว้นแม้แต่บริเวณชั้นสามซึ่งต้องยืนดู ประมุขอาศัยช่วงเวลาที่ต้องเดินพูดบทไปที่โต๊ะทำงานของฉากกวาดสายตาไปหาผู้ชม พยายามค้นหาความแตกต่างที่ซ่อนอยู่ หากความมืดที่บดบังบริเวณที่นั่งคนดูทั้งสองชั้นทำให้มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เขาดึงสมาธิกลับมาสนใจการแสดง พูดบทและใส่อารมณ์ตามที่ซ้อมมาอย่างจริงจัง
“คุณชาย...”
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องคุกเข่า”
ประมุขสวมบทบาทเป็นคุณชายเล็กได้อย่างแนบเนียน สมกับที่ได้รับคำชมมากมายจากครูหลายท่าน แม้บุคลิกส่วนตัวจะไม่มีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกับบทบาทที่ได้รับเลยก็ตาม
ใครต่อใครต่างบอกว่าเขามีพรสวรรค์ในด้านการแสดง และการทำงานในครั้งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้นักแสดงทุกคน เนื่องจากมีผู้ใหญ่ในวงการหลายท่านให้ความสนใจกับโปรเจกต์ละครเวทีในครั้งนี้ หากได้อาจารย์ช่วยแนะนำอีกแรง จะเข้าวงการก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ แต่ว่า...
คนคนนั้นไม่อยากให้เขาเป็นนักแสดง และตัวเขาเองก็ล้มเลิกความฝันในวัยเด็กมานานมากแล้ว นี่เลือกเรียนด้านนี้ก็เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถนัดเท่านั้น
“ซับเหงื่อให้มุขเร็ว!” เสียงออกคำสั่งของใครสักคนดังขึ้นเมื่อเขากลับเข้ามาที่หลังเวทีเพื่อเปลี่ยนชุดสำหรับฉากถัดไป ขณะนี้บนเวทีเป็นฉากเปิดตัวของนางเอกที่กินเวลานิดหน่อย ประมุขรีบเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าชุดถัดไป จากนั้นก็เดินไปประจำที่ แอบมองออกไปด้านนอกผ่านช่องเล็กๆ ของเวทีเผื่อจะได้เจอคนที่ตามหา
“อยู่ตรงไหนนะ...”
“มุข เตรียมตัว”
ยังไม่ทันได้กวาดสายตาขึ้นไปมองบนที่นั่งชั้นสอง เสียงเตือนจากทางด้านข้างก็ดังขึ้นก่อน ประมุขพยักหน้า จับเสื้อผ้าให้เข้าที่เพื่อความมั่นใจ ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีอีกรอบเมื่อถึงเวลา
นักแสดงและทีมงานทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้จุดยืน ไม่มีใครก้าวก่ายหรือสร้างปัญหาอะไรให้ตามแก้ ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมเอาไว้หมดเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน และสุดท้ายก็ดำเนินไปได้ด้วยดีจนจบงาน เสียงปรบมือดังก้องโรงละคร แม้ไม่มีฉากเลิฟซีนใดๆ แต่กลับได้รับคำชื่นชมไม่ขาดสาย
ประมุขก้าวเท้าไปยืนอยู่ด้านข้างผู้กำกับคนสวยบนเวทีพร้อมนักแสดงและทีมงานทุกคน เขาฟังเพื่อนสนิทพูดขอบคุณด้วยความตื้นตัน หากสายตายังคงกวาดมองไปรอบด้านเพื่อตามหาใครบางคนที่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหน
หรือว่าจะหลอกกัน...
“ขอบคุณผู้ใหญ่เสร็จแล้ว จะเอาของให้ใครก็เชิญเลยจ้า” ดีดี้พูดออกไมค์ติดตลกทั้งที่มือยังยกขึ้นปาดน้ำตาไม่หยุด เรียกเสียงหัวเราะจากคนทั่วโรงละครได้เป็นอย่างดี
บรรดาผู้ชมที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาพากันลุกขึ้นยืน เอาดอกไม้ไปให้กำลังใจนักแสดงและทีมงาน ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้รับเยอะกว่าใครเพื่อนก็คือคุณพระเอกที่ได้รับคำชมมากที่สุด
“แหม น้องมุขของแฟนๆ ขนกลับไม่ไหวแล้วมั้งเนี่ย” ผู้กำกับสาวที่ถือครองไมค์อยู่เพียงคนเดียวเอ่ยแซวสร้างบรรยากาศ ความเครียดที่มีจางหายไปเมื่อผลงานทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาจนหมด ทั้งจากบทที่เธอสร้างขึ้นและจากนักแสดงที่ช่วยกันทำออกมาได้เป็นอย่างดี จะเครียดอีกทีก็คงเป็นตอนที่ต้องไปพูดคุยกับอาจารย์และพวกผู้ใหญ่หลังจากนี้
“ดี้ ทีมงานขนดอกไม้ไม่ไหว มึงมาช่วยหน่อย” ประมุขหันไปกวักมือเรียกเพื่อนที่ยืนกอดอกอยู่นิ่งๆ เล่นเอาคุณผู้กำกับที่ไม่ยอมรับดอกไม้สะดุ้ง พอรู้สึกตัวก็รีบหันไปถลึงตาใส่ คิดในใจเคืองๆ ว่านอกจากจะปั้นยิ้มส่งให้ใครไปทั่วจนน่าหมั่นไส้แล้วมันยังกล้ามาใช้เธออีก
“ดีจริงๆ นะมึงเนี่ย”
ประมุขยกยิ้มโดยไม่ตอบอะไร เขาหันไปให้ความสนใจกับรุ่นน้อง รุ่นพี่ แล้วก็เพื่อนๆ ที่เอาดอกไม้มาให้ พยายามดึงความสนใจไว้กับเรื่องตรงหน้า เพื่อไม่ให้เผลอแสดงความผิดหวังออกไปจนคนอื่นๆ สังเกตเห็น
ที่บอกว่าดูอยู่... โกหกงั้นเหรอ
“มุข... มาเถอะ” คนที่เฝ้ามองอาการของเพื่อนสนิทอยู่ตลอดตรงเข้าไปแตะไหล่ที่ลู่ลงเล็กน้อย ลากพาให้เดินกลับไปหลังเวทีด้วยกัน ดีดี้รู้ดีว่าเพื่อนกำลังเศร้า ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าที่ไม่ได้เจอกับคนที่อยากเจอมากที่สุด แต่เธอก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป ได้แต่พามันไปรวมกับคนอื่นๆ ที่กำลังยืนมุงกันอยู่
“พี่ดีดี้...”
“ทุกคน หันมาฟังทางนี้หน่อย” ดีดี้ปรบมือเรียกให้นักแสดงและทีมงานล้อมวงเข้ามาหา รอกระทั่งทุกคนพร้อมกันหมดแล้วเธอก็ฉีกยิ้มกว้าง พูดด้วยใบหน้าสดใส ไม่เหลือคราบของผู้กำกับสุดโหดอีกเลย “ขอบคุณจริงๆ ที่พยายามด้วยกันมาโดยตลอด ถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งไปงานนี้ก็คงไม่สำเร็จ ทุกคำชมที่ได้รับ ดีดี้ขอมอบมันให้ทุกคนเลย ดังนั้น...”
“ดังนั้น...” เหล่าทีมงานต่างพากันทำตาโตอย่างคาดหวัง ในขณะที่ดีดี้หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมพยักหน้าหงึกหงัก
“ตอนนี้แยกย้ายกันไปดูงานกิจกรรมก่อน เจอกันตอนทุ่มตรงที่ร้านเดิม ดีดี้กับมุขเลี้ยงเอง”
“เย้!”
“เดี๋ยว...” ประมุขอ้าปากค้าง มองฝูงชนที่แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วแบบเหวอๆ เขาจำไม่ได้เลยสักนิดว่าไปรับปากจะออกเงินด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่
“กูไปหาอาจารย์ก่อนละ มึงก็ไปเดินงานให้สนุกแล้วกัน อย่าร้องไห้ตอนอยู่คนเดียวนะ” แซวเพื่อนเสร็จแล้วดีดี้ก็ไม่ปล่อยให้โดนเถียงกลับ เธอสะบัดผมเดินจากไปแบบสวยๆ ในทันที ทิ้งให้คุณพระเอกที่หอบกุหลาบช่อใหญ่ไว้ในอ้อมแขนยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง
ประมุขถอนหายใจ ก้าวเท้าเดินช้าๆ ผ่านบรรดาทีมงานที่กำลังเก็บของไปหาสัมภาระของตัวเอง พออยู่คนเดียวแล้วเรี่ยวแรงที่มีคล้ายจะหดหายไปจนหมด ไม่มีอารมณ์อยากไปเดินงานต่อเลยสักนิด แม้แต่โทรศัพท์ยังไม่อยากจะหยิบขึ้นมาดู
“โกหก...”
ครั้งนี้จะไม่ให้โกรธเลยคงไม่ได้...
ครืด
เขาสะพายกระเป๋า ยกโทรศัพท์ขึ้นมามองโดยไม่คาดหวัง คิดว่าอีกคนคงทักมาสารภาพว่าไม่ได้มาดู แล้วก็หาเรื่องมาทำให้หายโกรธเหมือนทุกครั้ง
แต่ข้อความภาษาอังกฤษที่เด้งขึ้นมาบนจอกลับทำให้ต้องเบิกตากว้าง...
M.GRAY: ลูกแกะของฉันเก่งที่สุด
ตั้งแต่ได้รู้จักมา ไม่ว่าจะผ่านทางจดหมายหรือทางไลน์ ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ประมุขร้องขอให้คนคนนั้นยอมรับโทรศัพท์ เขาไม่เคยกล้ากดคอลหา ทั้งที่อยากได้ยินเสียงใจแทบขาด หลายปีที่ผ่านมาคือความเสมอต้นเสมอปลาย และเพราะไม่ต้องการให้คนคนนั้นลำบากใจ เขาถึงไม่เคยล้ำเส้น ไม่เคยร้องขออะไรให้รำคาญเลยสักครั้ง
นี่จึงนับเป็นครั้งแรกที่สมองและเหตุผลไม่อาจต้านทานความรู้สึกและหัวใจได้
ถึงโอกาสจะน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ว่า...ช่วยรับทีเถอะ
[หืม…]
ประมุขมือไม้สั่น ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงพึมพำด้วยความประหลาดใจดังมาจากอีกฝั่ง เขาดึงโทรศัพท์ออกมามอง จ้องมองหน้าจอด้วยความตกใจยามเห็นว่ามันขึ้นตัวเลขจับเวลาอันเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าคนที่โทรหารับสายแล้ว
“คุณ...” เขาเม้มปากแน่น พยายามควบคุมความตื่นเต้นไว้ในใจ แต่เสียงก็ยังสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด “คุณได้มาดูผมหรือเปล่า”
[…]
“คุณไม่ได้ผิดสัญญาใช่ไหม” ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ถูกส่งกลับมาแม้แต่คำเดียว ทว่าคนพูดก็ยังไม่ยอมแพ้ ในเมื่อไม่ได้วางสาย แสดงว่าอย่างน้อยก็ยังฟังอยู่ “ถ้าครั้งนี้โกหก ผมไม่ให้อภัยแล้วนะ”
[…]
“อย่างน้อยถ้าจะไม่มาก็น่าจะบอกกันแต่แรก รู้หรือเปล่าว่าผมมองหาคุณตลอดเลย” ประมุขพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ไม่อาจปิดบังความผิดหวังเอาไว้ได้ “รู้ไหมว่าวันนี้ผมดูดีมากขนาดไหน ถ้าออกไปเดินข้างนอกต้องโดนมองตามเป็นแถบแน่”
[…หึหึ]
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอดังเล็ดลอดออกมา ใบหน้าของคนที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศตามบทคุณชายก็บูดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ
“แล้วก็จะไม่เปลี่ยนชุดด้วย จะเดินทั่วมหา’ลัยให้คนมองให้หมดเลย” คนพูดถอนหายใจแรงๆ หนึ่งทีเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆ เช่นเคย ความหงุดหงิดที่ไม่เคยกล้าแสดงออกกับใครอีกคนปะทุขึ้นมาจนควบคุมไว้ไม่ไหว เขากัดริมฝีปาก กระแทกเสียงใส่คนนิสัยไม่ดีที่ผิดสัญญาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกดวางสายอย่างรวดเร็ว “ผมไม่คุยกับคุณแล้ว!”
นอกจากจะไม่ยอมมาตามสัญญาแล้วยังไม่ยอมคุยด้วยอีก...
“บางทีอาจมีแค่เราที่อยากเจอ” ประมุขพึมพำกับตัวเองแล้วมองจอโทรศัพท์แบบหงอยๆ รู้ดีว่าต่อให้คนคนนั้นไม่ทักมาก่อน สุดท้ายเขาก็ต้องทักไปขอโทษอยู่ดี
เป็นแบบนี้มากี่ปีแล้วนะ...
เขาก้มลงมองสภาพตัวเอง ที่บอกว่าดูดีอะไรนั่นเหลวไหลทั้งเพ จริงๆ เสื้อแขนยาวข้างในเป็นเสื้อของเขาอยู่แล้ว ส่วนสูทตัวนอกก็ต้องถอดคืน จะเอาอะไรไปโดดเด่นให้คนมองอย่างที่พูดกัน
ประมุขเสียบหูฟังกับโทรศัพท์ จากนั้นก็เดินล้วงกระเป๋าออกไปด้านนอก ตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง จากที่นอนคิดมาหลายวันว่าจะพาคนคนนั้นไปไหนบ้าง ตอนนั้นกลับต้องเดินเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย จะกลับหอพักก็ไม่อยากทำ เพราะขืนกลับไปคงเอาแต่นั่งคิดถึงจนต้องทักไปขอโทษก่อน ดังนั้นทางเลือกเดียวที่มีก็คือการไปเดินดูงานกิจกรรมของคณะต่างๆ ที่จัดอยู่ในตอนนี้
เพราะเป็นพวกอัธยาศัยดีมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง เวลาเดินไปไหนมาไหนก็มักจะโดนทักเสมอ ต่อให้อยู่ในช่วงอารมณ์ที่ไม่อยากคุยกับใคร อย่างเช่นเวลางอแงใส่คนคนนั้นอยู่ เขาก็มักจะต้องส่งยิ้มและหันไปพูดคุยกับคนที่เข้ามาทักอยู่ดี แต่เมื่อมาใส่หูฟังแบบนี้ ใครต่อใครเลยแค่ยิ้มให้ ไม่ได้เดินเข้ามาพูดคุยเหมือนปกติ คงต้องขอบคุณคนที่แนะนำ...
“นึกถึงเขาอีกจนได้” ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็โยงไปหาได้เสมอ ขนาดในช่วงเวลาที่บอกว่าต้องโกรธให้นานๆ ยังทำไม่ได้อย่างที่คิดเลย
ในช่วงเวลาที่มีกิจกรรมของคนทั้งมหา’ลัยแบบนี้ ไม่แปลกที่ตามทางเดินจะมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ หนึ่งในข้อดีของการเดินอยู่กลางฝูงชนก็คือไม่มีใครเป็นจุดเด่นหรือจุดสนใจใดๆ ประมุขไม่ต้องฉีกยิ้มจนเมื่อยแก้ม เดินฟังเพลงไปเรื่อยๆ ทั้งที่ทำหน้าเศร้าอยู่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น
ทว่าผ่านไปได้ครู่หนึ่งเขากลับต้องชะงัก...
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รอบกายกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าราวกับทุกคนพากันตีตัวออกห่าง ประมุขหยุดเท้าอยู่กับที่ ถอดหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วมองซ้ายมองขวาด้วยความงุนงง สายตาที่จับจ้องมองมาเหมือนเป็นตัวประหลาดทำให้ต้องก้มลงมองตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า ทว่าเมื่อได้เงยหน้ามองชัดๆ กลับพบว่าจุดสนใจของทุกคนมันไม่ได้อยู่ที่เขา...
แต่อยู่ที่ด้านหลังเขาต่างหาก
เป็นเพราะเอาแต่เหม่อ ไม่ยอมเดินตีวงออกไปด้วย ตอนนี้เลยเหมือนถูกล้อมวงไว้กับใครบางคนที่เป็นเป้าสายตาของทุกคน
“โดนเดินตามมาตั้งนานยังไม่รู้ตัว แบบนี้จะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไง” เสียงพูดภาษาอังกฤษไม่คุ้นหูที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกความสนใจได้ชะงัก เขาค่อยๆ หันกลับไปหาคนพูด แล้วก็สบเข้ากับดวงตาสีฟ้าเป็นประกายเข้าอย่างจัง
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวสูงกว่าประมุขพอสมควร ดูแล้วอายุน่าจะพอกันกับจักรพรรดิที่เป็นพี่ชายคนโต เส้นผมสีเทากับดวงตาสีฟ้าและทุกองค์ประกอบบนใบหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นชาวต่างชาติ ทั้งยังเป็นชาวต่างชาติที่หน้าตาดีเอามากๆ ด้วย รูปร่างและการแต่งตัวทำให้เหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสารไม่มีผิด ยิ่งเมื่อประกอบเข้ากับตำแหน่งการยืนที่มีชายชาวต่างชาติตัวโตในชุดสูทยืนอยู่ด้านหลังเกินห้าคน คนคนนี้ก็ยิ่งดูเหมือนบุคคลที่ไม่อาจแตะต้องยิ่งเข้าไปใหญ่
“คุณ…” ประมุขเกือบจะอ้าปากค้าง มือปล่อยสายหูฟังที่ถือไว้ตั้งแต่แรกลงโดยไม่รู้ตัว แววตาแสดงความรู้สึกหลากหลายที่ไม่อาจอธิบายได้ แม้แต่หัวใจยังเต้นแรงขึ้นจนแทบทะลุออกมาจากอก
คนแปลกหน้าที่เขามั่นใจว่าไม่เคยเจอกันมาก่อนยกยิ้มจาง หันกลับไปรับดอกกุหลาบช่อใหญ่มาจากบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะก้าวเท้าเข้าหาช้าๆ จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“เห็นหรือเปล่าว่าฉันไม่ได้ผิดสัญญา”
“ก็คุณไม่ยอมคุยกับผม...” ถ้าออกมาหาตั้งแต่แรก เขาก็คงไม่ต้องนอยไปเองแบบนี้
“ทำไงได้ เห็นคนเอาดอกไม้ให้นายเยอะแยะเต็มไปหมด ฉันไม่รู้ว่าต้องให้ด้วยก็เลยออกไปหามา” ว่าแล้วก็ยื่นกุหลาบช่อโตที่ว่าไปให้ “รางวัลสำหรับคนเก่ง”
ประมุขไม่ได้รับดอกไม้มาถือไว้ในทันที แต่เขาเลือกจ้องมองใบหน้าของอีกคนนิ่งงัน มองราวกับต้องการสลักลึกไว้ในใจ ตอกย้ำให้รู้ว่าได้เจอกันแล้วจริงๆ ไม่ได้เป็นเพียงความฝันแบบที่คิด
เกือบสิบปีที่พูดคุยโดยไม่เห็นหน้า ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งจะได้เจอ ในที่สุด...
“ในที่สุดก็ได้เจอกัน” เขากอดช่อดอกไม้เอาไว้แน่น อาศัยมันบดบังดวงตาสั่นไหวร้อนผ่าวของตัวเองไม่ให้ใครเห็น แต่สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์ เมื่อคนตรงหน้ายื่นมือมาหา จ้องมองมาด้วยดวงตาแสนอ่อนโยนที่อยากเห็นมาโดยตลอด
“ไปกันเถอะ”
ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ ประมุขก็ยื่นมือออกไปหา กอบกุมมืออบอุ่นนั้นไว้แน่น แล้วเดินตามแรงชักจูงไปอย่างว่าง่าย ไม่คิดถามสักนิดว่าอีกฝ่ายจะพาไปไหน ไม่สนใจกระทั่งผู้คนรอบกายที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในโลกใบเล็กของเขามีคนเพียงไม่กี่คนที่มีความสำคัญมากพอจะอยู่ในนั้น หากไม่นับครอบครัวก็คงมีเพียงดีดี้ที่คอยประคับประคองไปในทิศทางที่ถูกต้อง และอีกหนึ่งที่ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในหัวใจไปเกือบหมดก็คือคนคนนี้
“คุณ…”
“เรียกว่าเกรย์” คนที่จูงมือกันอยู่หันมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ประโยคธรรมดาๆ ที่ได้ยินกลับทำให้ประมุขตาเป็นประกาย เขาอมยิ้มจนแก้มแทบแตก ก้มหน้าลงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับตัวเองคนเดียว
เมื่อก่อนตอนที่คุยกันทางจดหมาย ชื่อที่อีกคนใช้คือ Gin. ประมุขเลยเข้าใจว่าเป็นชื่อจริงๆ มาโดยตลอด พอมาคุยกันผ่านทางไลน์ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ แต่เพราะกลัวไปหมดว่าถ้าถามเรื่องส่วนตัวมากเกินไปจะถูกรำคาญ เขาจึงต้องติดอยู่กับความสงสัยว่าชื่อในไลน์ที่เขียนว่า M.GRAY ใช่ชื่อที่แท้จริงหรือเปล่ามาโดยตลอด
วันนี้ได้รู้แล้ว...
“คุณ...เกรย์” ประมุขเงยหน้าเรียกด้วยความไม่มั่นใจนัก ยามถูกจูงมาหยุดอยู่หน้ารถหรูที่จอดเรียงกันอยู่สามคัน
“เกรย์เฉยๆ ก็พอ ฉันอนุญาต” คนพูดดึงช่อดอกไม้ที่เขากอดไว้ออกไปส่งให้บอดี้การ์ดข้างตัว แล้วออกแรงดันเบาๆ ให้ตรงเข้าไปนั่งในรถ
ประมุขทำตามความต้องการนั้นอย่างว่าง่าย รอกระทั่งเกรย์ขึ้นมานั่งด้านข้างแล้วถึงได้หันไปจ้องเขม็ง จ้องจนอีกฝ่ายหันมามองพร้อมรอยยิ้มขำขัน มือยกขึ้นลูบหัวกันราวกับเห็นเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ
“เกรย์...”
“ว่าไง”
“เกรย์...”
เกรย์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะรวบตัวคนที่ทำตาแป๋วใส่ไม่หยุดเข้ามากอดไว้เต็มอ้อมแขน คนรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าปิดกระจกกั้นหน้าหลังให้อย่างรู้งาน พื้นที่ตรงนี้จึงมีเพียงเขากับลูกแกะตัวน้อยเท่านั้น
“ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักที...” คนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอมากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วสูดกลิ่นกายของคนที่รอมานานเข้าจนเต็มปอด รอยยิ้มอ่อนโยนจริงใจซึ่งไม่ได้เป็นเพียงหน้ากากปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“คุณจะไม่หายไปแล้วใช่ไหม”
“ไม่แล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง กดจูบลงบนขมับของคนที่แอบสูดน้ำมูกเงียบๆ เป็นเชิงปลอบประโลม “เราจะไม่แยกจากกันอีก”
“ถ้าโกหกผมจะโกรธ”
“คำนี้ได้ยินบ่อยจนชินแล้ว”
“ครั้งนี้ผมพูดจริงๆ นะ” ประมุขเขย่ามือที่กำเสื้อเกรย์แรงๆ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเขาพูดจริง แม้จะคิดแบบนี้มาเป็นร้อยรอบและไม่เคยทำสำเร็จสักรอบก็ตาม
เมื่อก่อนไม่เห็นหน้ากันยังโกรธได้ไม่นาน แล้วนี่มาอยู่ต่อหน้า...จะยังไงก็ไม่มีทางโกรธลงแน่
“ไม่ต้องห่วงหรอก จากนี้ไปจะไม่มีใครแยกเราออกจากกันได้อีกแล้ว” เกรย์โยกตัวไปมาพร้อมลูบผมคนที่ซุกหน้าอยู่กับอกเขาเบาๆ ดวงตาอ่อนโยนยามใช้มองใครอีกคนฉายแววเย็นเยียบเมื่อนึกถึงคำว่าแยกจาก หากก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่กะพริบตา “เราจะอยู่ด้วยกันไป...ตลอดกาล”
ตลอดกาล...คือจนกว่าจะตายจากกัน
------------------------
TALK: เล่นใหญ่เหลือเกิน...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เวอร์วังมาก