ตอนที่ 21 : PRAMUK-19-
-19-
เกรย์ไม่แน่ใจนักว่าบรรยากาศระหว่างลูกแกะกับแม่ของเขาเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร รู้เพียงว่ามันเริ่มขึ้นหลังจากที่เขาเดินกลับมาขึ้นรถ เมื่อพูดคุยเรื่องทางธุรกิจกับคู่ค้าเรียบร้อยแล้ว คาร่าไม่ได้พูดจาหวานหูหรือยิ้มแย้มให้ประมุขแต่อย่างใด ทว่าการที่เธอมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความไม่ชอบใจเหมือนก่อนหน้านี้ก็เป็นการกระทำที่ชัดเจนมากพอจะทำให้เกรย์รู้ว่าแม่ของเขาล้มเลิกความตั้งใจเดิมไปแล้ว
ลำพังคำพูดของท่านย่ากับอานิคคงไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด หากจะพูดไปแล้วคงต้องบอกว่าพวกท่านช่วยให้คิดได้มากกว่า เพราะถ้าลูกแกะของเขาไม่ดีจริง ต่อให้คนใหญ่คนโตขนาดไหนมาพูด มีหรือจะต้องสนใจเหมือนเช่นตอนนี้
“ว่าแต่เราจะไปไหนกันเหรอ”
ดูเหมือนคนที่นั่งรถมาเกินครึ่งทางแล้วจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าลืมถามเรื่องนี้ไป เมื่อครู่ประมุขเอาแต่สนใจโปรแกรมแชทที่ดีดี้ทักมาหา พูดคุยเรื่องงานกิจกรรมที่จะเริ่มต้นตอนเปิดเทอม กว่าจะนึกขึ้นได้ก็ตอนที่เพื่อนถามว่ากำลังนั่งรถไปไหนนี่เอง
“เดี๋ยวเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักก่อน เสร็จแล้วฉันจะพาไปทุ่งลาเวนเดอร์ที่ลูกแกะเคยบอกว่าอยากไป” คำตอบง่ายๆ แต่แสนจะใส่ใจของเกรย์ทำให้ประมุขอมยิ้มจนแก้มแทบปริ ขนาดเขาเองยังเกือบจะลืมไปแล้วว่าเคยอยากไปเที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ซึ่งได้เห็นจากโปสการ์ดที่เกรย์ส่งมาให้เมื่อหลายปีก่อน หากคนที่ในยามนั้นให้สัญญาว่าจะพาไปกลับไม่เคยลืม
“ขอบคุณครับ”
หลังจากนั่งรถมาด้วยกันหลายชั่วโมง และตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะลองเปิดใจมองดูประมุขใหม่ คาร่าก็เคยชินกับความใกล้ชิดของคนทั้งคู่ รวมถึงเริ่มมีภูมิต้านทานนิสัยประหลาดของลูกชายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขึ้นมานิดหน่อย เธอได้แต่คิดว่าตราบใดที่เกรย์เป็นแบบนี้แค่กับประมุขก็คงไม่เป็นไร ถึงจะน่าตกตะลึงขนาดไหน แต่การที่คนเย็นชาแสดงออกอย่างอ่อนโยนกับใครย่อมหมายความว่าคนคนนั้นเป็นคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษ พอเข้าใจเรื่องราวก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่แล้ว
“แล้วตอนเย็นฉันจะพาไปเดินเที่ยวในหมู่บ้าน น่าจะมีของฝากให้เลือกเยอะ ลูกแกะจะซื้อไปฝากพี่กับเพื่อนใช่ไหม”
“ใช่ครับ เต้ยังไม่เท่าไหร่ แต่ดีดี้นี่ถ้าไม่ซื้อไปให้ มีหวังโดนกระโดดกัดหัวแน่ๆ”
“เธอจะกลับตอนไหน” เสียงถามแทรกของคาร่าเรียกความสนใจจากคนที่นั่งติดกันจนแทบจะเกยตักให้หลุดออกจากโลกส่วนตัวอีกครั้ง ประมุขยิ้มซื่อส่งไปให้คุณผู้หญิง จากนั้นก็นั่งนับนิ้วอยู่สักพักก่อนจะตอบตามความจริง
“อีกหกวันก็ต้องกลับแล้วครับ ผมต้องไปช่วยกิจกรรมก่อนเปิดเทอม”
“ตอนนี้ข่าวเรื่องที่เกรย์มีคนสำคัญแพร่กระจายไปทั่ว แม้แต่พนักงานในบริษัทของฉันก็พูดถึง จากนี้ไปต้องระวังให้มากกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ช่วงที่ต้องห่างกับเกรย์ควรจะให้ทีมการ์ดที่เก่งที่สุดไปดูแล ครั้งนี้ไม่ใช่การละเล่นแบบเล็กๆ น้อยๆ อีกแล้ว ทุกย่างก้าวมีแต่อันตราย เธอต้องดูแลตัวเองให้ดี”
คำพูดที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นห่วง หากก็ไม่อาจมองเป็นการพูดออกมาเฉยๆ ของคาร่าทำให้คนฟังนิ่งค้างไปครู่ใหญ่ กระทั่งประมุขเผยรอยยิ้มกว้างออกมา เกรย์ที่ดูเย็นชากับมารดามาโดยตลอดจึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ
“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับคุณผู้...”
“น้า”
“ครับ?”
“ต่อจากนี้เรียกฉันว่าคุณน้า แล้วก็เรียกพ่อเกรย์ว่าคุณอา เมื่อไหร่ที่เรียนจบ พิสูจน์ตัวเองให้ฉันเห็นแล้วว่าเธอเหมาะสมจริงๆ ค่อยเปลี่ยนคำเรียกขานกันใหม่ตามที่ควรจะเป็น” คาร่าพูดออกมารวดเดียวจบโดยไม่หยุดพักหายใจ เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่รถจอดนิ่งพอดี และทันทีที่ประตูรถเปิดออก เธอก็ตรงออกไปด้านนอก ไม่สนใจใบหน้าดีอกดีใจจนออกนอกหน้าของคนที่หันไปเขย่าแขนเกรย์ยกใหญ่ราวกับทำอะไรไม่ถูก
“เกรย์!!” เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าประมุขจะหาเสียงตัวเองเจอ และเมื่อหาเจอเขาก็พูดได้เพียงคำเดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้หลวมๆ คล้ายจะให้กำลังใจ
“เก่งมาก”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“ไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่เป็นลูกแกะก็ชนะขาดแล้ว” เกรย์หัวเราะหึหึในลำคอ จากนั้นก็จูงมือพาลูกแกะน้อยเดินลงจากรถ ตรงเข้าไปในตัวที่พักซึ่งเป็นโรงแรมหรูหราท่ามกลางธรรมชาติ ขับรถไปไม่นานเท่าไหร่ก็ถึงทุ่งลาเวนเดอร์ที่เป็นจุดหมายปลายทางที่แรกของพวกเขาแล้ว
ห้องพักที่ชายหนุ่มให้คนจองไว้เป็นห้องสวีทขนาดใหญ่ ด้านในนอกจากจะมีห้องรับแขกกับครัวแล้ว ยังแบ่งห้องนอนออกเป็นสองห้องพอดี ทำให้คาร่าที่เพิ่งตัดสินใจเดินทางมาด้วยอย่างกะทันหันมีที่พักโดยไม่ต้องใช้อำนาจมืดขอห้องใหม่จากทางโรงแรม
หลังจากเอาของเข้าไปเก็บในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ประมุขก็เดินไปเคาะประตูห้องของคุณน้าคนใหม่อย่างกระตือรือร้นเพื่อบอกให้เธอออกไปเที่ยวด้วยกัน
“คุณน้า...”
ทั้งยังติดใจคำว่าคุณน้ามากเสียจนเรียกไม่ยอมหยุด เดี๋ยวก็คุณน้าอย่างนั้น เดี๋ยวก็คุณน้าอย่างนี้ หากเป็นคนอื่นมาทำคงมีถูกรำคาญบ้าง ทว่าพอมันออกมาจากปากของคนอารมณ์ดีที่มีใบหน้าใสซื่อ ความน่ารำคาญก็กลายเป็นความเอ็นดูที่ทำให้ต่อว่าไม่ลง ได้แต่ปล่อยให้เจ้าตัวพูดจ้อไปเรื่อยแทน
พอหายเกร็งคาร่า...หมายถึงจากที่ไม่ค่อยเกร็งอยู่แล้วกลายเป็นไม่เกร็งอีกเลย ประมุขก็หันไปพูดคุยด้วยมากขึ้น ทว่ากลับไม่เคยลืมหันมาสนใจคนข้างกายที่ใช้ช่วงเวลายามอยู่บนรถไปกับการทำงาน หากช่วงไหนที่รู้ว่าเกรย์เครียดอยู่ เขาก็จะไม่ชวนคุย แต่ส่งมือไปลูบนิ้วบ้าง แตะแก้มให้หันมามองแล้วยิ้มให้กำลังใจบ้าง จากนั้นก็หันไปคุยกับคาร่าต่อ เป็นแบบนี้ไปตลอดทางจวบจนไปถึงจุดหมายในที่สุด
“คุณก็มาด้วยเหรอครับ” ลูกแกะของเกรย์ตาโตเมื่อเห็นเซดริก การ์ดของคาร่าซึ่งเขาไม่ค่อยได้เจอนักเป็นผู้เดินมาเปิดประตูให้ด้วยตัวเอง หลังจากรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนของใคร ทั้งยังเข้าใจกันกับคาร่าแล้ว ประมุขก็สนิทใจที่จะพูดคุยด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ กลายเป็นการ์ดหนุ่มเองที่ไม่รู้ว่าควรจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรดีกับผู้ที่น่าจะกลายมาเป็นเจ้านายคนใหม่ในเร็วๆ นี้
“เขาเป็นคนสนิทของฉัน ถ้าจะออกไปไหนต้องตามไปด้วยอยู่แล้ว” กลายเป็นคาร่าเองที่ช่วยตอบคำถามนั้นให้ ก่อนจะตัดสินใจพูดเบี่ยงความสนใจของเจ้าเด็กพูดเก่ง เพื่อไม่ให้ถูกลากคุยยาวจนไม่ได้ไปไหนกันเสียที “รีบไปตามเกรย์ลงมาเถอะ เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
“ได้ครับ คุณน้ารอสักครู่นะ” ประมุขรับคำอย่างร่าเริงแล้วรีบมุดขึ้นรถไปอีกรอบเพื่อเรียกคนที่ยังติดพันงานอยู่ให้ลงมาเดินเล่นด้วยกัน เขาไม่ได้เข้าไปเขย่าตัวหรือพูดเร่งอะไรเพราะเข้าใจว่างานของเกรย์มีเยอะอยู่แล้ว แค่พามาเที่ยวทั้งที่ตัวเองยุ่งก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไง ดังนั้นลูกแกะน้อยแสนดีจึงทำเพียงจ้องหน้าคนที่กำลังทำงานเขม็งอย่างเฝ้ารอ ราวกับลูกสุนัขตัวน้อยรอเจ้าของพาออกไปเดินเล่น ต่างกันแค่ประมุขเป็นลูกแกะ ไม่ใช่ลูกสุนัขก็เท่านั้น
ฝ่ายคนที่โดนจ้องตลอดเวลามีหรือจะไม่รู้ตัว เขาให้ความสนใจลูกแกะอยู่ตลอดไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม แม้กระทั่งเรื่องที่อีกคนหันไปพูดคุยกับคาร่าก็จดจำได้ทุกคำ แต่ที่ยังนิ่งอยู่แบบนี้เป็นเพราะอยากจะรู้ว่าลูกแกะน้อยจะทนได้นานสักแค่ไหนกันเชียว ซึ่งเมื่อผ่านไปได้ห้านาที เกรย์ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ หันกลับไปบีบแก้มคนน่ามันเขี้ยวเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะจับมือพาเดินออกไปนอกรถด้วยกัน
ทุ่งลาเวนเดอร์ที่พวกเขาเดินทางมาเที่ยวชมเป็นทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด และเกรย์ก็คัดสรรเป็นอย่างดีเพื่อหาจุดที่สวยที่สุดรวมถึงไม่มีคนพลุกพล่านนักเพื่อความเป็นส่วนตัว เพราะยังไงพวกเขาก็คงเดินจนทั่วไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าเมื่อผนวกรวมสามเจ้านายเข้ากับบรรดาการ์ดทั้งของเกรย์และของคาร่า จำนวนคนที่มีจึงทำให้พวกเขาดูเหมือนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวขนาดกลางกลุ่มหนึ่ง ห่างไกลจากคำว่าเป็นส่วนตัวไปไกลในสายตาของคนนอก
ประมุขไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือไม่พอใจที่ต้องมีพี่การ์ดหลายคนล้อมหน้าล้อมหลัก เขาเคยชินกับการกระทำแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนปรับตัวได้แล้ว ทั้งยังชวนคนนั้นคนนี้พูดคุยเรื่อยเปื่อยอย่างสนิทสนมไปทั่ว เวลาจำชื่อใครไม่ได้ก็ถามใหม่ซ้ำๆ จนกว่าจะจำได้ ซึ่งคงต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่เกิดมามีพรสวรรค์อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ว่าจะพูดมากพูดซ้ำถามจุกจิกอะไรเพียงใดก็ไม่เคยทำให้ใครรำคาญเลยสักครั้ง หรือจะบอกว่าไม่มีใครรำคาญลงก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ถ่ายรูปๆ เรามาถ่ายรูปรวมกันเถอะครับ” คนที่เพิ่งนึกได้ว่ามาเที่ยวทั้งทีแต่ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลยสักใบร้องบอกด้วยความตื่นเต้น โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อหันไปมองก็ไม่มั่นใจนักว่ากล้องเล็กๆ นี่จะจับภาพได้หมดหรือเปล่า แล้วยังไม่รู้ว่าจะให้ใครถ่ายให้ด้วย
“ผมถ่ายให้เอง” วิคเตอร์ที่ทำตัวเป็นเงาของประมุขและไม่ยอมพูดอะไรสักคำตั้งแต่เดินทางมาถึงยื่นมือออกมาเพื่อรอรับโทรศัพท์ แต่เจ้าของมันกลับกำไว้แน่นแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“ถ่ายรวมกันทั้งหมดหนึ่งรูปก่อน”
“คงไม่เหมาะ...”
“เหมาะสิครับ ได้ไหมครับคุณน้า นะครับเกรย์ ผมอยากเอาไปให้เต้กับดีดี้ดู”
วิคเตอร์เริ่มทำสีหน้าปั้นยาก เช่นเดียวกันกับการ์ดคนอื่นๆ ที่มองว่ามันไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่ถามว่าจะมีใครปฏิเสธคำขอของคุณประมุขได้ไหมก็คงไม่มีอีก สุดท้ายก็เป็นคาร่าที่ดูจะเข้าใจเรื่องราวดีที่สุด และยังกล้าเอ่ยปากปรามประมุขอยู่บ้าง
ในตอนนี้น่ะนะ...
“การ์ดพวกนี้ไม่ควรแสดงตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพถ่ายร่วมกับเจ้านายแบบเห็นหน้าทุกคนชัดเจนแบบนี้ เกรย์ไม่เคยบอกเธอเหรอ”
“จริงด้วย” พอได้ฟังแบบนั้นเข้าคนฟังก็พยักหน้าเข้าอกเข้าใจ หันไปขอโทษขอโพยคนอื่นๆ ยกใหญ่ โดยมีเสียงถอนหายใจโล่งอกของทุกผู้ที่ได้ยินดังตามหลัง
ต่อให้ประมุขพยายามทำตัวสนิทสนมกับทุกคนขนาดไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่เขากำลังจะเป็นเจ้านายอีกคนของการ์ดทั้งหมดได้ แล้วนี่คุณผู้หญิงกับนายยืนอยู่ด้วยแล้วจะให้ถ่ายรูปร่วมกัน ใครกล้าก็คงบ้าเต็มทน
ส่วนเรื่องที่คาร่าพูดนั้นถือว่าจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง อันที่จริงพวกเขาไม่ได้เคร่งครัดอะไรในเรื่องที่ว่า ยกเว้นก็แต่คนในทีมเออย่างวิคเตอร์ซึ่งได้รับภารกิจลับให้ทำอยู่บ่อยครั้งเท่านั้นที่ไม่ควรเปิดเผยตัวตนโจ่งแจ้ง และการที่เธอเลือกพูดให้ประมุขเข้าใจผิดเพื่อรักษาน้ำใจไม่ให้อีกฝ่ายอึดอัดก็เป็นสัญญาณที่ดี เพราะมันบอกให้รู้ว่าเธอเริ่มเปิดใจให้เขามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
แน่นอนว่าคนที่จับสัญญาณนั้นได้และเข้าใจดีทุกอย่างย่อมต้องเป็นเกรย์
“งั้นเราถ่ายรูปกันสาม...”
“ฉันขอไปคุยโทรศัพท์เสียหน่อย เธอเดินเล่นกับเกรย์ไปก่อน”
เกรย์ยกยิ้มมุมปากเมื่อมารดาเดินชิ่งหนีไปอีกทางพร้อมการ์ดกลุ่มหนึ่ง นอกจากประมุขแล้วทุกคนล้วนรู้ดีว่าคนอย่างคาร่าไม่มีทางยอมถ่ายรูปแน่ๆ แต่เพราะการจะปฏิเสธลูกแกะแสนซื่อนั้นยากเต็มทน หนทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการเลี่ยงไปแบบเนียนๆ และปล่อยให้เจ้าตัวลืมไปเอง
“คุณน้าก็งานยุ่งเหมือนกันนะครับเนี่ย” คนมองโลกในแง่ดีหันไปยิ้มเด๋อด๋าใส่หน้าเกรย์ จากนั้นก็ได้รับรอยยิ้มขำขันตอบกลับมาตามระเบียบ
“ไม่อยากถ่ายรูปแล้วเหรอ”
“ถ่ายครับถ่าย วิคเตอร์ถ่ายให้ผมหน่อยนะ” ประมุขส่งโทรศัพท์ไปให้วิคเตอร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วก็รีบดึงแขนคนตัวสูงข้างกายให้วิ่งไปที่ทุ่งลาเวนเดอร์ หาจุดที่เหมาะสมนั่งเก๊กท่าอย่างมีชั้นเชิงจนเกรย์ที่ไม่ค่อยถนัดทำอะไรแบบนี้ได้แต่กะพริบตาปริบๆ
“ฉันต้องทำท่าแบบนั้นด้วยเหรอ”
“ไม่ต้องเหมือนผมหรอก คุณถนัดท่าไหนก็ทำท่านั้นเลย”
การถ่ายรูปแบบเก้ๆ กังๆ เริ่มต้นขึ้นเมื่อลูกแกะน้อยที่แสนใสซื่อมีวิญญาณนักแสดงเข้าสิง อยู่หน้ากล้องทีไรเป็นต้องหลงลืมความเป็นจริงทุกที ทั้งนั่งทั้งนอนยิ้มแย้มแจ่มใส หลากหลายท่าทางจนเหมือนนายแบบมาเอง สิ่งที่เหมือนกันในทุกรูปคงมีเพียงดวงตาที่เปล่งประกายมีความสุขของประมุข กับเกรย์ที่มีสีหน้าอ่อนโยนยามมองไปยังคนข้างกาย
สงสารก็แต่วิคเตอร์ที่ต้องตามน้ำถ่ายรูปให้เจ้านาย ทั้งนั่งยองๆ ทั้งนอนถ่าย ทำทุกอย่างเพื่อให้รูปออกมาดูดีที่สุดเท่าที่มือสมัครเล่นจะทำได้ ขัดกับใบหน้าโหดๆ โดยสิ้นเชิง ทำเอาการ์ดคนอื่นๆ หันหน้าหนีกันเป็นแถบ ถ้าลูคัสหรือทีมเอคนอื่นๆ อยู่ตรงนี้ด้วยคงมีการเก็บเอาไปแซวข้ามปีข้ามชาติแน่นอน
“พอแล้วลูกแกะ” เกรย์คว้าแขนคนที่เดินลุยทุ่งมาไกลแบบไม่รู้ตัวเพราะถ่ายรูปจนเพลินเอาไว้ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์คืนมาจากวิคเตอร์ที่กำลังถอนหายใจโล่งอก ส่งให้ลูกแกะตัวน้อยดูผลงานรูปถ่ายเป็นร้อยๆ รูปของตัวเอง “เอาไว้เปลี่ยนที่แล้วค่อยถ่ายใหม่ วิคเตอร์เมื่อยตัวไปหมดแล้ว”
“จริงเหรอ... ขอโทษด้วยนะครับ” ลูกแกะแสนซื่อหันไปยิ้มแห้งใส่ช่างภาพจำเป็น รอจนวิคเตอร์พยักหน้ารับคำขอโทษแล้วจึงก้มลงดูรูปตัวเองกับเกรย์ในโทรศัพท์อย่างกระตือรือร้น “ผมเอารูปนี้ขึ้นจอดีกว่า”
“ส่งมาให้ฉันบ้างสิ”
“คุณก็จะเอาขึ้นจอเหมือนกันใช่ไหม”
เห็นแววตาเป็นประกายแบบนั้นแล้วจะพูดอะไรได้อีก เกรย์เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งให้ลูกแกะจัดการทุกอย่างให้โดยไม่ได้พูดอะไร ตั้งแต่มาถึงจนตอนนี้ สายตาของเขาก็ยังสนใจเพียงใบหน้าสดใสที่ดูจะสว่างจ้ากว่าเดิมของคนสำคัญเท่านั้น
หลังจากพวกเขาเก็บโทรศัพท์เข้าที่กันได้ไม่เท่าไหร่ คาร่าก็เดินกลับมาราวกับรู้เวลาอยู่แล้ว ประมุขเห็นแบบนั้นก็หันไปคุยกับคุณน้าด้วยความร่าเริง โดยที่มือยังจับกุมมือของเกรย์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย พวกเขาก้าวเดินไปพร้อมกัน มีกลุ่มบอดี้การ์ดร่างสูงคอยระวังหน้าหลังให้เหมือนเช่นเคย
ภาพที่ดูธรรมดาแต่กลับไม่ธรรมดาบ่งบอกให้รู้ว่าประมุขกำลังจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างแท้จริง
“เกรย์บอกว่าตอนเย็นเราจะไปเดินในหมู่บ้านกัน...”
“พวกเธอไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะนั่งรถอีกคันกลับโรงแรมก่อน มีธุระต้องจัดการนิดหน่อย” คาร่าตอบกลับก่อนที่จะถูกเจ้าเด็กอารมณ์ดีชักชวนไปด้วยจนปฏิเสธไม่ลง
“แต่ว่า...”
“มีเวลาอีกหลายวัน จะรีบไปไหนกัน”
คนที่วางแผนอยากสนิทสนมกับแม่ของเกรย์มากกว่าเดิมหงอยลงเล็กน้อยเพราะอะไรๆ ไม่เป็นไปตามที่คิด เห็นท่าทีเหมือนเด็กอดได้ของเล่นนั่นแล้ว หญิงแกร่งผู้รักษาสีหน้าได้ดีเสมอมาก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่คิดในใจว่าพอเปิดใจ เจ้าเด็กนี่ก็ดูจะอันตรายมากขึ้นทุกที
“ไปเดินเล่นเผื่อด้วยแล้วกัน” ฝ่ามือที่ไม่ได้อ่อนนุ่ม ทว่าอบอุ่นเอามากๆ ในความรู้สึกของประมุขวางทาบทับลงบนศีรษะของเขาและขยับลูบไปมาเบาๆ สองสามที หลังจากนั้นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มก็เหลือบไปมองเกรย์ที่กำลังเหยียดยิ้ม เชิดใบหน้าใส่เขาและหมุนตัวเดินกลับไปในทิศทางเดิม
“เกรย์ เกรย์...” ประมุขหันไปเขย่าแขนคนข้างกายด้วยความดีใจ ท่าทางน่ารักน่าชังเสียจนเกรย์อดใจไม่ไหว ต้องรวบตัวเข้ามากอดแล้วโยกตัวไปมา ฟังเสียงหัวเราะคิกคักซึ่งดังอยู่ที่อกอย่างอารมณ์ดีตามไปด้วย
“ดีใจมากหรือไงหืม”
“มากที่สุดเลย... แย่แล้ว!” จู่ๆ คนที่ซุกหน้าอยู่กับอกของเกรย์ก็เบิกตากว้าง รีบผละตัวออกกะทันหันแล้วหันไปมองทิศทางที่คาร่าเพิ่งเดินจากไป “ผมลืมบอกคุณน้า!”
ยังไม่ทันที่เกรย์จะได้อ้าปากถามว่าลืมบอกอะไร ลูกแกะตัวน้อยก็วิ่งผ่านฝูงการ์ดตามหลังคาร่าไป ทิ้งให้เกรย์ยืนเลิกคิ้วมองด้วยความงุนงง โชคดีที่วิคเตอร์รู้สึกตัวเร็ว รีบวิ่งตามหลังไปพร้อมกับการ์ดอีกสองสามคน เขาจึงพอเบาใจได้บ้าง และค่อยๆ เดินตามหลังไปช้าๆ
ฝ่ายคนที่วิ่งเร็วยิ่งกว่านักกีฬาทีมชาติเพราะมีเรื่องติดค้างในใจที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องบอกคุณน้าให้ได้ยืนหอบอยู่ครู่ใหญ่ โดยมีคาร่าที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถมองตามด้วยความไม่เข้าใจ หากก็ไม่ได้เร่งให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมา ซ้ำยังส่งสัญญาณบอกให้เซดริกที่อยู่ด้านข้างช่วยเข้าไปลูบหลังให้อีกต่างหาก
“คะ...คุณน้าครับ ผมมีเรื่องต้องบอกคุณน้า”
“ว่ามาสิ” คาร่าจ้องมองคนที่เริ่มควบคุมลมหายใจของตัวเองได้นิ่งงัน ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้พูด เห็นแบบนั้นประมุขก็ไม่รั้งรออะไรอีก เขาพูดเข้าเรื่องด้วยความรวดเร็วราวกับไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
“เกรย์จะไม่เหนื่อยขึ้นแน่นอนครับ”
“อะไรนะ...”
“คุณน้าเคยบอกว่าผมเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีกำลังพอจะช่วยเหลืออะไรเกรย์ได้ มีแต่เขาที่ต้องปกป้องดูแลผม นั่นเท่ากับผมเข้ามาเพื่อทำให้เกรย์เหนื่อยขึ้น...” ทุกประโยคและทุกคำพูดที่คาร่าเคยบอกออกไป ประมุขจดจำเอาไว้ทุกคำ และนั่งนึกถึงมันมาโดยตลอด เพราะไม่อาจหาข้อโต้แย้งใดๆ ได้เลย ทว่ามาถึงตอนนี้ ตอนที่คุณน้าเปิดใจแล้ว ตอนที่เขาได้เห็นว่าเกรย์ต้องการกันมากขนาดไหนถึงได้เข้าใจขึ้นมา “พี่ชายของผมเคยบอกว่าคนที่ไม่เปิดใจ ต่อให้เราพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางเห็นค่า”
“…”
“เพราะมีกำแพงกั้นอยู่ระหว่างเรา ผมถึงได้คิดนั่นคิดนี่สารพัด พอหาข้อดีของตัวเองได้ก็ต้องมีเหตุผลแย่ๆ มาหักล้างตลอด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีอะไรคู่ควรกับเกรย์เลยสักอย่าง แต่พอคุณน้าบอกว่าจะเปิดใจ ผมเลยนึกได้ว่าจริงๆ ตัวเองทำอะไรได้มากมายขนาดไหน...” ประมุขเงยหน้าขึ้นสบตาคาร่า จากนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ “ผมทำอาหารได้ เล่นกีฬาได้ แสดงละครเก่ง ถึงจะไม่ได้เกียรตินิยม แต่ถ้าเป็นเรื่องการแสดงหรือเบื้องหลังอะไรที่เกี่ยวกับการแสดง ผมมั่นใจว่าทำได้ดีไม่แพ้ใครแน่นอน แล้วก็อย่างที่คุณน้าเห็นว่าผมพูดเก่ง ยิ้มเก่ง แล้วยังเป็นคนสบายๆ ที่มองโลกในแง่ดีเอามากๆ ด้วย”
“อืม...แล้วยังไงต่อ” เมื่อผู้ฟังเริ่มยกยิ้มน้อยๆ อย่างที่ไม่อาจพบเห็นได้ง่ายๆ ประมุขก็เหมือนได้รับกำลังใจจนเต็มที่ เขาฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม พูดจ้อบรรยายสรรพคุณของตัวเองต่อไปโดยไร้ซึ่งความเขินอาย
“เรื่องเป็นคนธรรมดาหรือต้องให้เกรย์คอยปกป้องผมคงจะเถียงไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องแค่นั้นไม่ทำให้เกรย์เหนื่อยขึ้นแน่นอน ผมจะไม่เป็นตัวถ่วงของเขา จะคิดให้เยอะๆ ว่าเรื่องไหนที่ไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้เขาต้องเหนื่อย แล้วก็จะคอยทำตัวเป็นที่ชาร์จพลัง ทำให้เขายิ้มได้ในทุกวันแล้วก็มีพละกำลังในการทำงานต่อไปด้วย อย่าหาว่าโม้เลยนะครับ แต่ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนคนเดียวที่ทำให้เกรย์ยิ้มออกมาจากใจได้ ไม่มีใครทำให้เขามีความสุขได้เท่าผมหรอก... แต่พูดมาเยอะขนาดนี้คุณน้าอาจจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าผมทำได้”
“…”
“แต่ขอแค่คุณน้าเปิดใจก็พอครับ ขอแค่เปิดใจ...แล้วผมจะแสดงให้เห็นเองว่าผมมีประโยชน์ต่อเกรย์ยิ่งกว่าใคร”
หลังจากได้พูดความในใจออกไปจนหมดแล้ว ประมุขก็ลูบอกตัวเองด้วยความโล่งอก ต่อจากนี้ไม่ว่าคุณน้าจะตอบกลับมาอย่างไรก็พร้อมรับฟัง คิดเอาไว้ตอนวิ่งมาว่าถ้าคำตอบเป็นไปในแง่ดีก็จะยิ้มให้ แต่ถ้าไม่ก็จะวิ่งกลับไปให้เกรย์ปลอบแล้วค่อยสู้ใหม่คราวหน้า แต่เหมือนอะไรๆ จะไม่เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อคำตอบที่ได้ยินไม่ใช่ทั้งดีหรือไม่ดี
“พูดจาอย่างกับตัวเองเป็นของกิน” คาร่าพูดแค่นั้นแล้วมองเลยไปทางด้านหลัง พอสบตาเข้ากับลูกชายของเธอ กำแพงหินในใจก็พังถล่มไม่เหลือชิ้นดี
แม้จะไม่ได้พูดจาดีๆ ใส่กันนัก แต่ลูกชายคนเดียวของเธอย่อมสำคัญยิ่งกว่าใคร ในเมื่อเขาเลือกแล้ว เธอจะขัดขวางไปเพื่ออะไรกัน คงจะเป็นอย่างที่คุณย่ากับคุณอาคนสนิทของเกรย์ว่าไว้
อายุปูนนี้แล้ว... อะไรจะสำคัญมากไปกว่าการได้เห็นลูกหลานมีความสุข
“ดูแลเขาให้ดี” เจ้าของใบหน้าสะสวยที่ไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไหร่นักเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้เธอดูเปล่งประกายขึ้นหลายเท่าออกมาเป็นครั้งแรก และเมื่อได้เห็นว่าที่ลูกอีกคนพยักหน้ารับแบบเหม่อๆ เธอก็หมุนตัวเดินขึ้นรถไปโดยไม่รั้งรออะไรอีก
ประมุขได้แต่มองตามหลังรถคันหรูไปจนสุดสายตา ไม่รู้ว่าควรจะตีความคำพูดนั้นอย่างไร หัวสมองคล้ายจะประมวลผลไม่ออกไปชั่วขณะ ทว่าเมื่อใครคนหนึ่งเดินมาหาจากทางด้านหลัง สองแขนแข็งแกร่งรวบกอดเอวเขาไว้ และวางคางลงบนบ่าอย่างนุ่มนวล สติสตังที่กระจัดกระจายก็กลับมาคืนมาอีกครั้ง ทั้งยังมีความรู้สึกตื้นตันบางอย่างแทรกเข้ามาในใจ จนทำให้ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวไปหมด
“คุณแม่ของคุณ...”
“อืม... ฉันได้ยินแล้ว” เกรย์รับคำเสียงแผ่ว ดวงตาคมทั้งสองข้างปิดลงช้าๆ ขณะที่สองแขนกระชับกอดเอวผอมของคนสำคัญเอาไว้แน่น “ลูกแกะคนเก่งได้รับการยอมรับแล้ว”
“ผมได้รับการยอมรับแล้ว...”
“ไหนขอฉันดูหน้าลูกแกะหน่อย” จบคำพูดนั้นเขาก็ผละตัวออก ปล่อยประมุขให้เป็นอิสระ ทว่ายังไม่ทันได้หมุนตัวอีกฝ่ายให้หันมาหาตามที่ใจคิด ร่างของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้ากลับหมุนมาหาด้วยตัวเองและพุ่งเข้ามากอดกันอย่างรวดเร็ว “ลูกแกะ...”
“ดีใจจัง”
เกรย์ก้มลงมองคนที่ซุกหน้าอยู่กับอกเขาไม่ไปไหน ทั้งยังไม่ยอมเงยขึ้นสบตากัน พยายามขอดูหน้าเท่าไหร่ก็ได้รับเพียงการปฏิเสธ สุดท้ายจึงได้แต่กอดตอบแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวลูบหลังคนขี้แยด้วยความรักใคร่
หลังจากปลอบโยนลูกแกะอยู่พักใหญ่ เกรย์ก็รับรู้ได้ว่าคนในอ้อมแขนอาการดีขึ้นแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือไม่ว่าจะทำอย่างไรลูกแกะก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่กอดเอวเขาไว้ กระทั่งเกรย์พาขึ้นมานั่งบนรถแล้วก็ยังเกาะเป็นลูกลิงอยู่เหมือนเดิม ผ่านไปสักพักเขาถึงได้รู้ว่าเพราะอะไรลูกแกะจึงดึงดันอยู่อย่างนี้
“แล้วพ่อล่ะ ไม่กลัวด้วยเหรอ”
สิ้นคำถามกลั่นแกล้งที่ได้ผลเกินคาดของเกรย์ ลูกแกะของเขาก็ผละออกแล้วเบิกตากว้าง เผยให้เห็นดวงตาแดงๆ ที่พยายามหลบซ่อนไม่ให้เห็นมาโดยตลอด เกรย์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ลูบไล้ใต้ตาช้ำของคนที่แอบงอแงในอ้อมกอดของเขาอย่างอ่อนโยน
“ผมลืมเรื่องคุณท่าน...หมายถึงคุณอาไปเลย”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พ่อพูดง่ายกว่าแม่มาก ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่ชอบลูกแกะอยู่แล้ว”
ประมุขได้แต่จ้องมองคนที่พูดจาสับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ ตอนแรกถามว่าไม่กลัวพ่อเหรอ พอเขาจะกลัวก็อธิบายว่าไม่ต้องเป็นห่วงเสียอย่างนั้น ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าลูกแกะตัวน้อยจะเข้าใจว่าเกรย์พูดแบบนั้นขึ้นมาเพื่อล่อให้เขาผละออก คิดได้แล้วริมฝีปากที่กำลังยิ้มแย้มยินดีก็คว่ำเป็นสระอิ
“คุณหลอกผม”
“ฉันไม่ได้หลอก แค่ถามว่าไม่กลัวเหรอ”
“คุณหลอกให้ผมผละออกเพื่อจะดูหน้าผม”
“ก็ใครใช้ให้ลูกแกะกอดฉันไม่ปล่อยเพราะจะซ่อนตาแดงๆ นี่กันล่ะ” เกรย์ลูบใต้ตาแดงๆ อีกหนึ่งทีเป็นการเตือน ก่อนจะมองคนที่เถียงอะไรไม่ออกอย่างอารมณ์ดี แล้วก็หัวเราะออกมาเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามากอดกันไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ซุกหน้าเข้าหาอกไม่ให้มองเห็นแบบตอนแรกแล้ว
“ผมอยากกอดคุณนานๆ ต่างหาก”
“เดี๋ยวนี้หัดโกหกเหรอ”
“ไม่ได้โกหกนะ แค่พูดไม่หมดเฉยๆ”
ความหมายของประมุขคือเขากอดเกรย์ไว้เพราะต้องการซ่อนดวงตาแดงช้ำหลังจากแอบร้องไห้ด้วยความดีใจของตัวเองเอาไว้ แล้วก็อยากกอดเกรย์ตามที่พูดจริงๆ ไม่มีส่วนไหนที่โกหกเลยแม้แต่นิดเดียว
“ชักเจ้าเล่ห์ใหญ่แล้วนะเรา” เกรย์ใช้แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ของลูกแกะยิ้มเก่งเอาไว้ ส่วนอีกข้างหันไปหยิบกล่องขนมที่เตรียมไว้เพื่ออีกคนโดยเฉพาะออกมาวางบนโต๊ะ “ขนมกล่องนี้แอนนาแอบเอามาให้ เห็นว่าเป็นสูตรพิเศษที่เพิ่งทำขึ้นมา”
“จริงเหรอ” พอได้ยินว่าแอนนาฝากของมาให้ตัวเอง ลูกแกะตัวน้อยก็ดี๊ด๊าออกจากอ้อมแขนเกรย์ หันไปทุ่มเทความสนใจให้ขนมที่ว่าทั้งหมดจนเขาได้แต่ส่ายหน้าหน่าย
คิดถูกแล้วจริงๆ ที่เอามาให้ตอนนี้ ขืนเขาเอาให้ตั้งแต่เช้า เห็นทีคงมีลูกแกะพุงป่องเพราะยัดขนมเข้าปากทีเดียวหมดแน่
“ค่อยๆ กิน”
“คุณกินด้วยกันสิครับ อันนี้อร่อยมากเลย รสนมแหละ”
“ลูกแกะกินเถอะ”
เกรย์จ้องมองใบหน้าด้านข้างของคนที่เชื่อฟังคำสั่งของเขา หันกลับไปกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่เซ้าซี้นิ่งงัน เพียงแค่ได้มองก็เหมือนมีพลังใจในการทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกมากมาย
ที่ลูกแกะบอกว่าตัวเองมีประโยชน์ต่อเขายิ่งกว่าใคร... นั่นไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
------------------
TALK: ตอนหน้าจบแล้วนะคะ จะลงวันที่ 21 น้า แล้วก็จะเปิดจองวันที่ 23 แล้วค่ะ ติดตามข่าวสารได้ทาง
FB: Chesshire.
Twitter: @Chesshire04
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เจ้าลูกแกะ ของหม่ามี้ หอมหัววววววววว
ลูกแกะน่ารักมาก และเก่งมากๆเหมือนที่คุณเกรย์บอกเลยลูก
เอ็นดูน้องมุขขขข