ตอนที่ 20 : PRAMUK-18-
-18-
“จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับท่านย่า”
“ไม่เป็นไรหรอก เชื่อย่าสิ”
“แต่ว่า...”
ปัง!
“ลองทานนี่ดู ย่าให้คนอบมาจากบ้าน”
“ครับ...”
ปัง!
บนรถคันหรูที่มีพื้นที่มากพอจะจัดเป็นโต๊ะกินข้าว ประมุขกะพริบตามองหญิงชราผู้มีฐานะไม่ธรรมดาตาปริบๆ ก่อนจะหยิบคุ้กกี้ชิ้นเล็กบนโต๊ะขึ้นมาชิมอย่างเสียมิได้ หากเป็นเวลาปกติเขาคงชื่นชมและกินจนหมดจานแบบไม่ต้องสงสัย เพราะนอกจากจะเป็นขนมที่ชื่นชอบแล้วยังมีรสชาติถูกปากเอามากๆ อย่างกับคนทำรู้ว่าเขาชอบอะไร
ทว่าในยามที่มีเสียงกึกก้องของกระสุนปืนดังประกอบ เห็นทีคงไม่มีใครมีอารมณ์สุนทรีย์พอจะพูดถึงรสชาติของขนม อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาคนหนึ่ง
“ท่านย่าครับ ผมเป็นห่วงเกรย์ แล้วยังมีคุณท่านกับคุณผู้หญิงที่อยู่ในงานด้วย”
อลิเซียจ้องมองใบหน้าของเด็กน้อยจิตใจดีที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงคนที่ยังอยู่ในงานมากจริงๆ ด้วยความเอ็นดู ยิ่งได้ใกล้ชิด ได้พูดคุยก็ยิ่งชื่นชอบเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่ามากเสียจนอยากพามาอยู่ด้วยกัน ให้พูดจ้อนั่นนี่ให้เธอฟังทั้งวันเห็นทีคงไม่มีทางเบื่อ แต่หากทำเช่นนั้นจริง เห็นทีหลานชายคนโปรดคงจะโยนความเป็นย่าหลานต่างสายเลือดทิ้งและบุกมาชิงตัวคนรักคืนเป็นแน่
“น่าเสียดายจริงๆ” ถ้าคนที่ได้เจอเด็กคนนี้ก่อนเป็นหลานแท้ๆ ของเธอก็คงจะดี หากเป็นแบบนั้นเธอคงไม่ลังเลเลยที่จะรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
“ท่านย่า... ผมต้องกลับไปหาเกรย์จริงๆ ครับ” คราวนี้คนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่ดูกังวลอยู่ตลอดเวลาเริ่มอยู่ไม่สุข ดวงตาที่เคยอ่อนน้อมฉายแววมุ่งมุ่นไม่ยินยอม ราวกับจะบอกว่าหากยังคิดจะรั้งเขาไว้ ไม่ยอมพาไปส่งคืนทั้งที่เลยเวลามากว่าสี่สิบนาทีแล้ว คนที่อ่อนนอกแข็งในก็พร้อมจะเปิดประตูและวิ่งออกไปด้วยตัวเอง
“ใจเย็นๆ ก่อนเถอะพ่อมุข” หญิงชราจ้องมองท่าทีที่ได้เห็นด้วยความพอใจ ก่อนจะเอนกายพิงพนักนุ่มช้าๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หากเจอเหตุการณ์แค่นั้นยังมีบาดแผลกลับมา แสดงว่าเกรย์ยังไม่พร้อมจะดูแลใคร เชื่อเถอะว่าเขาจะตามหาเราจนเจอแน่ๆ”
“ผมถามได้ไหมครับว่าท่านย่าทำแบบนี้ทำไม”
“ทำอะไรเหรอ”
“ให้ผมพามาเดินเล่นแล้วก็บอกให้ขึ้นมานั่งพักเป็นเพื่อนบนรถคันนี้ที่อยู่ห่างจากงานมาไกลพอสมควร ท่านย่ากักตัวผมไว้ทำไมเหรอครับ” แม้ประมุขจะเป็นคนซื่อ แต่เขาไม่ใช่คนโง่ กระทั่งฮ่องเต้ที่ชอบด่ากันอยู่บ่อยๆ ก็รู้เรื่องนี้ดี บางทีอาจเป็นเพราะไม่ใช่เรื่องที่คิดว่าควรใส่ใจจึงปล่อยผ่านไปราวกับไม่ได้คิดจะฟังตั้งแต่แรก ทำให้ใครต่อใครเข้าใจไปเองว่าเขาเป็นพวกบื้อหัวช้า ทว่าเรื่องราวในครั้งนี้มีความสำคัญ ทั้งเกี่ยวพันกับตัวเองและคนที่รักมาก มีหรือที่ลูกแกะของเกรย์จะไม่สนใจ “ตอนที่พาท่านย่าเดินมาทางนี้ สองข้างทางในตอนแรกเป็นสวนดอกไม้ก็จริง แต่จู่ๆ ก็ทะลุเชื่อมมายังจุดที่คล้ายจะเป็นป่า เหมือนกับมีใครเตรียมทางไว้อยู่แล้ว ผมพอจะเข้าใจว่าท่านย่าต้องมีทางที่ปลอดภัยกว่าคนอื่น...”
“แต่ที่ไม่เข้าใจคือย่าพาเรามาด้วยทำไมสินะ” อลิเซียหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดีจนใบหน้าสูงวัยมีร่องรอยยับย่นปรากฏให้เห็น “ไหนเกรย์เคยบอกว่าลูกแกะของตัวเองเป็นลูกแกะตัวน้อยๆ แสนใสซื่อกัน ดูท่าทางจะเก่งกว่าที่เห็นมากเลยนะนี่”
“คงเพราะผมไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของเกรย์”
“ย่าแค่ยื่นมือมาช่วยเท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าเกรย์จะโมโหหรอก เขารู้ดียิ่งกว่าใครว่าหากอยู่กับย่า มุขจะไม่เป็นไรแน่นอน อาจจะดูเป็นการคิดแทนไปสักหน่อย แต่งานในวันนี้จะมีคนเสียเลือดเนื้อ และย่าคิดว่ามุขยังไม่ควรได้เห็นอะไรพวกนั้น อย่างน้อยก็จนกว่าจะเรียนจบและได้มาอยู่เคียงข้างเกรย์ตลอดเวลา”
ประมุขหลุบตาลงต่ำเมื่อได้ฟังคำพูดของคนที่มองเขาออกจนทะลุปรุโปร่ง ต่อให้เป็นคนสบายๆ อย่างไร เขาก็ไม่ได้โง่พอจะทำอะไรโดยไม่รู้จักประมาณตนเอง อันที่จริงเขาหวาดกลัวมาโดยตลอด ทั้งกลัวว่าจะเผลอถอยหนีเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์น่าหวาดกลัว และหากทนผ่านมันไปได้ก็ยังกังวลว่าพอต้องแยกกับเกรย์เพื่อไปเรียนต่อให้จบจะต้องตกอยู่ในภวังค์ เห็นภาพหลอนของอะไรก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้นในวันนี้เพียงลำพัง
หากถึงตอนนั้นแล้วเกรย์ไม่อยู่เคียงข้างจะทำอย่างไร...
“ไม่จำเป็นต้องรีบ” อลิเซียวางมือทาบทับลงบนฝ่ามือที่กำแน่นของเด็กน้อยซึ่งกำลังสับสน ก่อนจะเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ “แค่เห็นแววตาของมุข ย่าก็รู้แล้วว่าเราเข้าใจดีทุกอย่าง แต่เพราะรักถึงเลือกหนทางที่จะช่วยเหลือเกรย์ได้มากที่สุด แม้ตัวเองจะต้องเจ็บหรือหวาดกลัวขนาดไหนก็ตาม"
“…”
"แต่จำเอาไว้ว่าการถอยหลังเพื่อมองหาหนทางใหม่ที่จะไม่ทำให้ใครต้องเจ็บปวดไม่ใช่เรื่องผิด และยิ่งไม่ได้หมายถึงความพ่ายแพ้ เพราะบางครั้งชัยชนะก็ไม่ได้หมายถึงการเผชิญหน้าเสมอไป”
“ท่านย่า...”
“หากอยากได้รับการยอมรับก็จงพยายามให้มาก จับจุดให้ถูกแล้วค่อยๆ คิดและลงมือทำ การพยายามเผชิญหน้ากับสิ่งสกปรกและความสูญเสียไม่ได้ช่วยยกใครให้สูงกว่าเดิม ถ้าเป็นไปได้ก็เลี่ยงมันเสียดีกว่า เพราะต่อให้เรายืนมองคนยิงกันได้โดยไร้ความรู้สึกใดๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ใครมองเราด้วยความเชิดชูอยู่ดี”
อลิเซียยิ้มให้เด็กน้อยที่เธอนึกเอ็นดูอีกครั้ง ก่อนจะเคาะกระจกรถเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณให้คนด้านนอกรับรู้ และหลังจากนั้นไม่นานนักประตูรถก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มตัวสูงผู้มีดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นซึ่งกำลังจ้องมองไปที่ประมุขโดยไม่ละสายตา
“ลูกแกะ... ฉันมารับแล้ว”
ผู้ถูกเรียกหันกลับไปหาอลิเซียเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มจาง เขาก็สูดลมหายใจเข้าจนสุดและเดินลงจากรถ ตรงเข้าไปกอดใครอีกคนเอาไว้แน่น
“คุณไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”
“ไม่มีใครเป็นอะไร เรากลับบ้านกันเถอะ” เกรย์อาศัยช่วงเวลาที่ลูกแกะยังซุกอยู่กับอกเบนสายตาไปมองท่านย่าของเขาด้วยความสงสัย แต่เมื่อไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ กลับมา นอกจากสีหน้าที่เหมือนจะบอกให้กลับไปถามกันเอง เขาก็ถอนหายใจและผงกหัวร่ำลาตามมารยาท “กลับบ้านดีๆ นะครับ”
“อย่าลืมพามุขมาหาย่าบ้างล่ะ”
“ถ้าเกรย์ลืม ผมจะเตือนให้เขาพาไปแน่นอนครับท่านย่า” เสียงพูดแทรกของคนร่าเริงทำให้เกรย์ที่กำลังจะตอบชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ เพราะดูท่าลูกแกะของเขาคงไม่ยอมผิดคำพูดแน่ๆ
“แล้วเจอกันครับท่านย่า”
หลังจากแยกกับอลิเซีย เกรย์ก็จูงมือพาลูกแกะไปขึ้นรถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลพร้อมการ์ดสี่คนที่คอยระแวดระวังภัยให้ตลอดเวลา กระทั่งขึ้นมาอยู่บนรถแล้วลูกแกะตัวน้อยก็ยังเกาะติดอยู่กับอกไม่ไปไหน โดนโจมตีด้วยท่าทีออดอ้อนที่แสนแพ้ทางเข้าไป สุดท้ายก็ต้องหยุดปากที่กำลังจะถามว่าเจ้าตัวคุยอะไรกับท่านย่าบ้าง แล้วกลายเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังแทน
“จำตอนที่พวกเราเดินเข้าไปทักลุงโทมัสได้หรือเปล่า...”
“จำได้ครับ”
“ตอนนั้นเขาบอกว่าลูกสาวรถเสียเลยมางานไม่ได้ แต่จริงๆ คือไม่ได้กะจะให้มาตั้งแต่แรกแล้ว ที่ทำทั้งหมดก็เพราะต้องการให้ฉันกับพ่อแม่มางานนี้เพื่อดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ”
“แบบนี้นี่เอง” พอได้ฟังคำอธิบายประมุขก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมในช่วงเวลานั้นทุกคนถึงทำหน้าตาน่ากลัวกันหมด “แล้วตอนที่ผมอยู่กับท่านย่าเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ผมได้ยินเสียงปืนด้วย”
“เกิดความวุ่นวายขึ้นในงานน่ะ เหมือนฝั่งอูโก้จะส่งคนแฝงเข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว พอได้รับสัญญาณก็มีคนบุกเข้ามาเพิ่ม โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรเพราะฝั่งนั้นวางแผนมาดี แต่ที่วางแผนดียิ่งกว่าก็คงเป็นลุงโทมัสที่ให้ตำรวจปะปนอยู่ในงานเกินสิบคน สุดท้ายก็จับได้หมด เหลือก็แต่สาวไปหาตัวการแล้วลากเข้าคุกเท่านั้น เรื่องนี้คงไม่ยากเท่าไหร่เพราะยังไงก็มีสายอยู่ในนั้นแล้ว ยิ่งมาเกิดเรื่องนี้ขึ้น มีคนสำคัญๆ เสี่ยงอันตรายอยู่หลายชีวิต ยังไงก็ดิ้นไม่หลุด โทษอย่างต่ำคือตลอดชีวิตแน่นอน”
“คุณไม่กลัวใช่ไหม” คำถามซื่อๆ ที่ดังออกมาจากปากคนน่ารักทำให้เกรย์ชะงักไปนานเกือบนาที ก่อนเขาจะเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นแววตาเป็นห่วงเป็นใยของลูกแกะน้อยที่ไร้ซึ่งวี่แววของการล้อเล่น
“ฉันชินแล้ว สำหรับงานนี้ถือว่าเสียเลืิอดเสียเนื้อน้อยมาก แต่บอกตามตรงว่าพอเห็นความวุ่นวายพวกนั้นก็อดดีใจไม่ได้เหมือนกันที่ท่านย่าพาลูกแกะออกมาไกลถึงที่นี่ เพราะภาพพวกนั้นมันไม่ใช่อะไรที่น่าดูนัก...” ท้ายประโยคเขาเบาเสียงลงจนแทบไม่ได้ยิน แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าคนข้างกายกำลังจ้องมองกันอยู่ก็รีบพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “แล้วท่านย่าพูดอะไรกับลูกแกะบ้างเหรอ เหมือนจะคุยเพลินจนไม่ยอมพากลับไปส่งเสียด้วย”
“ตอนแรกท่านย่าเล่าเรื่องคุณให้ฟังครับ” พอพูดถึึงเรื่องนี้ขึ้นมา ประมุขก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง “ท่านเล่าให้ฟังว่าเจอคุณได้ยังไง ตอนเด็กๆ คุณเป็นคนแบบไหน แล้วก็เล่าเรื่องที่คุณพูดถึงผมให้ท่านฟังด้วย”
“หึหึ... ดีแล้วที่ฉันเคยหลุดเล่าเรื่องของลูกแกะให้ท่านฟัง เพราะแบบนั้นท่านถึงได้มาที่งานนี้เพราะอยากจะเจอ แล้วก็ช่วยพาลูกแกะออกมาที่นี่ ทำให้ไม่ต้องพบเจอเหตุการณ์พวกนั้น...”
เพียงแค่นึกถึงภาพของเลือดที่เจิ่งนองเต็มพื้นซึ่งเขาชินชามาตั้งแต่เด็ก เกรย์ก็อดรู้สึกหนักอึ้งในอกไม่ได้ ลำพังตัวเขาไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่กับลูกแกะที่อยู่ในโลกสีขาวสะอาดมาโดยตลอด คงต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปจริงๆ
จะว่าไปแล้ว...
“เกรย์... เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ลูกแกะ” เกรย์จับมือของคนสำคัญเอาไว้หลังจากนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “กลัวมากหรือเปล่า”
“ครับ?”
“พอรู้ว่าต้องมาเจอเหตุการณ์พวกนี้ นายกลัวมากหรือเปล่า”
“…”
ความเงียบและใบหน้าหงอยๆ ของลูกแกะน้อยแลดูจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับคำถามของเขา เพียงแค่นั้นหัวใจคนมองก็กระตุกวูบ สองแขนรีบรั้งคนสำคัญเข้ามากอดแล้วลูบหัวปลอบเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“ขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมเต็มใจมาที่นี่เอง แล้วสิ่งทำให้ผมกลัวก็ไม่ใช่การที่จะต้องพบเจอกับเหตุการณ์พวกนั้นหรอก” ประมุขยกแขนขึ้นกอดตอบ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ และพูดความรู้สึกทั้งหมดออกมาโดยไม่ปิดบัง “ผมกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น กลัวว่าภาพของมันจะติดตา กลัวว่าถ้าต้องแยกกลับไปเรียน ไม่มีคุณคอยอยู่เคียงข้างแล้วจะทนไม่ไหว ผมคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะเจอเรื่องราวน่ากลัวเหล่านั้นเพียงลำพัง ไม่พร้อมจะก้าวผ่านมันไปโดยไม่มีคุณอยู่เคียงข้าง”
“ลูกแกะ...”
“เป็นเพราะผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ของคุณยอมรับ แต่กลับลืมนึกถึงเรื่องอื่นๆ หลังจากนั้นไป ท่านย่าบอกว่าการที่ผมพยายามเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนั้นไม่ได้เป็นการยกตัวเองให้สูงขึ้น แล้วก็ไม่ได้ช่วยทำให้ใครหันมาเชิดชู บางครั้งการหลีกเลี่ยงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า... ผมขอโทษที่ไม่ได้วิ่งกลับไปอยู่เคียงข้างคุณ”
“ลูกแกะไม่ผิด ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว” เกรย์โคลงตัวไปมาช้าๆ เพื่อปลอบประโลมลูกแกะน้อยที่ดูจะคิดมากกว่าที่เห็นภายนอก “เป็นฉันเองที่ผิด เอาแต่มองเป้าหมายของตัวเองโดยไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของนายเลย”
“คุณไม่ผิด”
“งั้นเราผิดกันคนละครึ่งแล้วกัน” เขาจับใบหน้าของคนในอ้อมแขนด้วยมือทั้งสองข้าง ค่อยๆ ประคองให้เงยขึ้น และส่งผ่านความรักความห่วงใยทั้งหมดไปให้ผ่านทางแววตา “ท่านย่าพูดถูกแล้ว ฉันควรจะปกป้องลูกแกะจากเรื่องสกปรกที่ไม่ควรพบเจอ ไม่ใช่พาไปเผชิญหน้าทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเพียงเพื่อเป้าหมายเล็กๆ ที่จะมาตามแก้ทีหลังก็ไม่ได้สายเกินไป อีกอย่าง...ฉันเป็นคนบอกเองให้ลูกแกะเป็นตัวของตัวเองเวลาเจอพ่อแม่ แต่กลับบีบบังคับให้มาที่นี่ สวมใส่หน้ากากที่ไม่จำเป็นเพียงเพื่อแนะนำให้คนอื่นรู้จักและทำให้พ่อแม่ยอมรับ นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดที่สุด”
พอเห็นแววตาสำนึกผิดอย่างเห็นได้ชัดของคนพูด ลูกแกะน้อยที่รักเกรย์ยิ่งกว่าอะไรก็เป็นฝ่ายยกมือขึ้นประคองใบหน้าคมเอาไว้ และกดจูบลงที่ปลายคางของคนตัวสูงอย่างอ่อนโยน
“เราตัดสินใจร่วมกันครับ คุณไม่เคยบังคับผม เป็นผมเองที่ไม่ยอมพูดว่ากำลังคิดหรือรู้สึกอะไร”
“งั้นต่อจากนี้เราจะบอกกันทุกเรื่อง... ไม่ใช่แค่สิ่งที่กำลังทำอยู่เหมือนปกติ แต่รวมถึงสิ่งที่กำลังคิดหรือรู้สึกด้วย ดีไหม” เกรย์ใช้ปลายนิ้วไล้แก้มใสของคนน่ารักด้วยความรักใคร่ ยิ่งได้เห็นลูกแกะของเขาพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความยินดีก็ยิ่งมันเขี้ยวจนอยากจับฟัดสักหลายรอบ “จากนี้เป็นตัวเองให้เต็มที่ ถ้าถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอะไร หรือต้องสวมใส่หน้ากากเพราะความจำเป็นเมื่อไหร่ ฉันจะเป็นคนบอกและจะอยู่ตรงนั้นกับลูกแกะ ไม่ปล่อยให้เก็บไปคิดหรือนึกถึงเพียงลำพังแน่นอน”
“ครับ ผมเชื่อคุณ”
หลังจากพูดคุยกันจนเข้าใจ พวกเขาก็นั่งจับมือกันไปเงียบๆ ตลอดทางกลับบ้าน กระทั่งเดินลงจากรถเข้าไปด้านในแล้วก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรมากไปกว่านั้น หากในความรู้สึกกลับเหมือนได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
ประมุขกวาดตามองไปรอบโถงด้วยความประหลาดใจเมื่อไม่เห็นเจ้าของบ้านทั้งสองคน และดูเหมือนเกรย์จะจับความสงสัยของเขาได้ จึงอธิบายให้ฟังโดยไม่ต้องรอให้ถาม
“วันนี้พ่อกับแม่ไปนอนโรงแรม เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องคุยธุระในเมือง แล้วก็อีกสามสี่วันพ่อน่าจะต้องบินไปธุระต่างประเทศ ถึงจะไม่ได้ทำหน้าที่ทูตต้องไปประจำที่ไหนแล้วแต่ก็ยังงานหนักเหมือนเดิม ช่วงนั้นฉันก็คงต้องไปดูงานเหมือนกัน แล้วก็จะถือโอกาสพาลูกแกะไปเที่ยวด้วยเลย”
“หมายถึงให้ผมไปกับคุณด้วยเหรอ”
“ฉันไม่อยากปล่อยลูกแกะไว้คนเดียว ไปด้วยกันได้ไหม”
“ได้อยู่แล้ว!”
เกรย์อ้าแขนรับร่างของคนที่พุ่งเข้ามากอดเขาอย่างอารมณ์ดีเพราะได้ยินคำว่าเที่ยวด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ลูกแกะตัวนี้ก็ยังทำให้เขายิ้มได้เสมอ
โชคดีจริงๆ...
โชคดีที่วันนี้ลูกแกะไม่ต้องไปเจอเหตุการณ์น่ากลัว
โชคดีที่ลูกแกะของเขายังยิ้มได้อยู่
“ขอบคุณครับท่านย่า”
สามวันต่อมา เอริคเดินทางไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่เช้า ส่วนเกรย์กำลังจะพาลูกแกะของเขาตามติดไปทำงานด้วย เพื่อจะได้แวะพาเที่ยวทิ้งท้าย เพราะอีกไม่นานประมุขก็ต้องเดินทางกลับไปเรียนต่อที่ประเทศไทยแล้ว พวกเขาช่วยกันถือกระเป๋าลากไปส่งให้การ์ดเอาขึ้นรถ ก่อนจะยืนยิ้มมองบรรยากาศในยามเช้าด้วยความสดใส
อากาศในเวลานี้ไม่ได้ร้อนและไม่ได้เย็นจนเกินไป ให้ความรู้สึกสบายเหมาะแก่การเดินทางไปเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจู่ๆ ก็เหมือนจะหนาวเย็นขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อคุณผู้หญิงของบ้านเดินลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้านนอกและส่งให้การ์ดของเธอเอาขึ้นรถคันเดียวกันกับเกรย์และประมุขหน้าตาเฉย
“ทำอะไร”
คาร่าเหลือบตามองลูกชายอย่างเย็นชา ก่อนจะดึงแว่นกันแดดที่ใส่อยู่ออกช้าๆ และค่อยๆ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์
“ได้ข่าวว่าจะไปเที่ยว แม่อยากพักผ่อนพอดีเลยจะไปด้วย”
“ผมจะแวะไปทำงานก่อน” เกรย์หรี่ตามองมารดาอย่างระแวดระวัง ไม่ไว้ใจการกระทำใดๆ ของแม่บังเกิดเกล้าเลยสักนิด แม้ยามนี้แม่ของเขาจะไม่ได้มองลูกแกะด้วยแววตาน่ากลัวเหมือนช่วงแรกๆ แล้วก็ตาม
“ทำก็ทำสิ แม่อยู่เป็นเพื่อนคนของลูกจะได้ไม่เหงา ไม่ดีหรือไง”
“ไม่…”
“ดีสิครับ!” ลูกแกะน้อยที่ได้ยินว่าจะมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนรับคำทันควัน ดวงตาเป็นประกายแสดงออกถึงความดีใจอย่างชัดเจน ไร้ซึ่งการเสแสร้งใดๆ จนคนมองทั้งสองที่ตั้งท่าจะเถียงกันต่อต้องหยุดพูดไปโดยไม่รู้ตัว
“คนอะไรอารมณ์ดีได้ตลอดเวลา” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มชายหนุ่มและบอดี้การ์ดตัวโตพึมพำอยู่กับตัวเอง จากนั้นก็หมุนกายเดินไปขึ้นรถโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้เกรย์ขมวดคิ้วมองตามด้วยความไม่พอใจ ซึ่งก็จางหายไปอย่างรวดเร็วยามพบว่าลูกแกะของเขาดูจะดีใจเอามากๆ ที่แม่จะไปด้วย
พื้นที่บนรถตู้คันหรูที่ใช้ในครั้งนี้ประกอบไปด้วยโซฟาตัวยาวซึ่งจุคนได้หลายคน ทั้งยังมีโต๊ะทำงานและพื้นที่สำหรับวางเครื่องดื่มรวมถึงข้าวของพร้อมสรรพ มีการ์ดนั่งอยู่ด้านหน้าหนึ่งคนเคียงข้างคนขับรถ ส่วนที่เหลือขับรถประกบอยู่ด้านหน้ากับด้านหลังไม่ต่ำกว่าสองคัน ต้นเหตุมาจากที่คราวนี้มีผู้ร่วมเดินทางคนสำคัญมากกว่าหนึ่ง
“คุณผู้หญิงลองกินขนมหน่อยไหมครับ” คุ้กกี้ของโปรดที่เตรียมไว้กินในยามหิวถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะและเลื่อนไปให้คนที่นั่งห่างออกไปเล็กน้อยอย่างใจดี แต่แค่มองดูใครก็รู้ว่าเจ้าตัวอยากกินมากขนาดไหน ที่ต้องยื่นส่งให้ผู้ใหญ่ก่อนก็เพราะต้องทำตามมารยาทเท่านั้น
“เพิ่งทานข้าวเช้าไป เธอหิวอีกแล้วเหรอ”
“ปกติหลังอาหารผมจะกินขนมด้วยครับ” ประมุขหัวเราะอารมณ์ดีและรีบหยิบคุ้กกี้ชิ้นหนึ่งเข้าปากเมื่อคาร่าส่ายหน้าปฏิเสธ หลังจากนั้นเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคนบ้างานก้มหน้าก้มตาคุยกับโน้ตบุ๊กอยู่อีกคนจึงรีบหยิบคุ้กกี้รสกาแฟไปป้อนให้ถึงที่ ซึ่งเกรย์ก็อ้าปากรับขนมเข้าไปเคี้ยวตามความเคยชินโดยไม่สนใจสายตาของมารดาที่มองมาด้วยความสนใจ
“เกรย์ก็กินด้วยงั้นเหรอ” คาร่าเลิกคิ้ว จำได้ว่าลูกชายของเธอไม่เคยแตะต้องขนมชนิดใดเลยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าใครจะบอกว่าอร่อยเพียงใดก็ไม่สนใจ หากเมื่อถูกเด็กคนหนึ่งป้อนให้กลับรับไปกินอย่างง่ายดาย ต่อให้ชอบพอกันอย่างไรก็ดูจะน่าประหลาดใจเกินไปหน่อย “ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือไง”
“ผมไม่ได้ฝืน” คนที่ก้มหน้าก้มตามานานเหลือบมองมารดาครู่หนึ่งแล้วก็ไม่สนใจอีก กลายเป็นคนทำคุ้กกี้ที่ยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจขณะเฉลยคำตอบให้คนที่สงสัยฟัง
“ผมรู้ว่าเกรย์ชอบรสชาติแบบไหนก็เลยลองผิดลองถูกทำดูครับ ตอนแรกๆ เขาก็ไม่กินหรอก แต่เพราะคอยบอกตลอดว่าหวานไป ขมไป หรืออะไร สุดท้ายก็เลยได้รสชาติที่เขากินได้ออกมา คุณผู้หญิงลองทานดูสิครับ” พอพูดจบลูกแกะน้อยก็ขยับกล่องคุ้กกี้ไปให้คาร่าอีกครั้ง ทั้งยังเฝ้ามองด้วยแววตาคาดหวังชนิดที่ไม่ว่าใครก็คงปฏิเสธไม่ลง แม้แต่คนที่เกือบจะทำตัวเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายก็ยังต้องเบนหน้าหนีความใสซื่อนั้นเช่นกัน
สุดท้ายคาร่าก็หยิบคุ้กกี้รสกาแฟขึ้นมาหนึ่งชิ้น และค่อยๆ ชิมรสชาติของมันด้วยความสนใจ คุ้กกี้รสกาแฟที่ประมุขทำไม่ได้อร่อยเลิศจนเทียบเท่ากับแบรนด์ดังๆ แล้วก็ยังห่างไกลจากความชอบของคาร่าไปมาก หากในฐานะแม่ เธอกล้าพูดว่ามันคือรสชาติแบบที่ลูกชายของเธอกินได้จริงๆ เป็นรสแบบที่ต่อให้ลงมือเข้าครัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำออกมาได้หรือเปล่า
“ขมไปหน่อย” ดวงตาคมคล้ายลูกชายเหลือบมองใบหน้าจ๋อยสนิทของคนฟัง ก่อนจะกระแอมออกมาและพูดต่ออย่างไม่แน่ใจนัก “มีรสอื่นที่หวานกว่านี้หรือเปล่า”
คำถามนั้นไม่ได้ทำให้ประมุขตกใจเพียงผู้เดียว เพราะแม้แต่เกรย์ซึ่งกำลังทำงานแต่ก็ยังเงี่ยหูฟัง เนื่องจากกลัวมารดาพูดจาทำร้ายลูกแกะของเขาก็ยังเงยหน้ามองด้วยความไม่เข้าใจ กระทั่งผ่านไปนานนับนาที เมื่อคาร่ากระแอมอีกครั้ง ประมุขจึงหลุดออกจากภวังค์และยิ้มด้วยความยินดี
“มีครับ ด้านนี้จะเป็นรสวนิลากับช็อกโกแลต ครั้งหน้าผมว่าจะลองทำรสอื่นๆ เพิ่มอยู่เหมือนกัน ถ้าอยากลองรสไหนบอกได้เลยนะครับ”
“อืม”
พอเห็นว่าคาร่ายอมพูดคุยด้วย ลูกแกะของเกรย์ก็ยิ่งอารมณ์ดี หานั่นหานี่มาชวนคุยไม่มีหยุด หากสิ่งที่น่าแปลกกลับเป็นการที่คาร่าไม่ได้เอ่ยขัดหรือหันหน้าหนีอะไร เธอเพียงพยักหน้าบ้างเป็นบางคราว และตอบเท่าที่อยากตอบ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้บรรยากาศอันน่าอึดอัดบนรถดูดีขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว
หลังจากใช้เวลาเดินทางนานเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดรถก็มาจอดอยู่หน้าบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่เกรย์ต้องเข้าไปคุยงาน ตอนแรกเขาคิดว่าจะให้ลูกแกะนอนรออยู่บนรถ แต่พอมีแม่มาด้วยอีกคนจึงไม่แน่ใจนักว่าจะเอาอย่างไร หากในขณะที่กำลังคิดอยู่ ลูกแกะที่ดูอารมณ์ดีเกินกว่าจะง่วงนอนก็หันมาเขย่าแขนออดอ้อนทั้งหน้าซื่อๆ ที่เขาแพ้ทาง
“คุณรีบไปทำงานสิครับ เดี๋ยวสายนะ เราจะได้รีบไปเที่ยวกันต่อด้วย”
“ฉันไม่อยากปล่อยให้นายอยู่คนเดียว”
“ไม่ได้อยู่คนเดียวนะ มีพี่การ์ดอยู่ด้วย แล้วก็มีคุณผู้หญิงอีกคน”
ก็นั่นแหละที่น่าเป็นห่วง...
เกรย์มองแม่ตัวเองด้วยความไม่ไว้วางใจ แม้เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาจะดูเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน แต่เขาก็ยังไม่อยากให้ลูกแกะพูดคุยกับแม่เพียงลำพังสองคนอยู่ดี
“แม่ไม่รังแกคนของลูกหรอก” เสียงเย็นๆ ของคาร่าทำให้คนทั้งคู่หันกลับไปสนใจอีกครั้ง ซึ่งประมุขที่ได้ฟังก็ทำได้เพียงยิ้มและหันมาพยักหน้าเด๋อๆ ให้คนข้างกาย ขณะที่เกรย์ขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่อยากยินยอมเท่าไหร่นัก
“ฉันจะรีบกลับมา รออยู่บนรถนะ”
“ครับ” คนว่าง่ายพยักหน้าหงึกๆ หลับตาลงให้คนตัวสูงก้มลงจูบที่หน้าผากตามความเคยชินโดยไม่ได้สนใจสายตาของใคร ก่อนจะโบกมือส่งจนเกรย์เดินลงจากรถไปหาจิมที่รออยู่ด้านนอกแล้วก็รีบหันกลับมาทางเดิมอีกครั้ง
พอเกรย์จากไป บรรยากาศบนรถก็กลับมาเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากการ์ดกับคนขับด้านหน้าทำตัวเป็นอากาศธาตุอันไร้ตัวตนมาตั้งแต่ต้น คาร่าเองก็เอาแต่จับจ้องคนสำคัญของลูกชายคล้ายอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงต่อ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเกรย์คอยให้เอาหน้าแล้ว หากเด็กคนนี้ไม่ได้จริงใจกับเธอจริงๆ ก็คงเผยตัวตนออกมาจนหมด
ทว่า...
“คุณผู้หญิงจะทำอะไรระหว่างรอดีครับ ผมเห็นบนรถมีหมากรุกอยู่ เรามาเล่นด้วยกันดีไหม” รอยยิ้มใสซื่อและคำพูดที่ไม่ได้แตกต่างจากยามอยู่กับเกรย์ทำให้เธอดูราวกับเป็นคนโง่ ไม่รู้ว่าเมื่อกี้คิดอะไรแบบนั้นออกไปได้ยังไง ทั้งที่มองคนขาดมาโดยตลอดแท้ๆ
คงจะจริงอย่างว่า... พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลูก ผู้เป็นแม่ก็ดูจะเอาความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่โดยไม่รู้ตัว
“เอาสิ”
“รอสักครู่นะครับ” คนที่สดใสเหมือนดวงตะวันคลี่ยิ้มกว้าง รีบหันไปคุ้ยหาเกมกระดานที่ตัวเองหยิบติดมาด้วยเพราะกะจะเอามาเล่นในช่วงที่ว่างออกมา พอตั้งกระดานเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “คุณผู้หญิงจะเริ่ม...”
“เธอเริ่มก่อนเลย”
“งั้นผมขอเล่นเต็มที่ ไม่เกรงใจนะครับ”
“เอาสิ”
คาร่าเอนกายพิงพนักโซฟาอย่างสบายใจ ขณะลอบสังเกตท่าทีของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความสนใจไปด้วย มีหลายครั้งที่เจ้าของใบหน้าใสซื่อเผยสีหน้าเฉียบคมออกมายามต้องวางแผน และมีอีกหลายครั้งที่เผยใบหน้ามู่ทู่ยามพบว่าเธอดักทางได้หมด แต่ไม่ว่าจะพ่ายแพ้สักกี่เกม บนใบหน้านั้นกลับไม่ปรากฏวี่แววของการยอมแพ้เลยสักครั้ง
ยิ่งเล่นเกมที่ต้องใช้สมองมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งได้เห็นอะไรๆ ในตัวประมุขมากขึ้น และสิ่งที่ดูจะชัดเจนมากที่สุดก็คือความพยายามกับความอดทน...
“รุกฆาต!” เสียงประกาศชัยชนะด้วยความดีอกดีใจเป็นครั้งแรก หลังจากเล่นเกมมาเกือบสิบตาของประมุขไม่ได้ทำให้ผู้ฟังแสดงท่าทีไม่พอใจใดๆ ออกไป ตรงกันข้าม...คาร่ากลับมองคนที่ฉีกยิ้มกว้างและมองหน้าเธอด้วยแววตาคาดหวังราวกับอยากได้รางวัลเป็นคำชมนิ่งงัน
วินาทีนั้นเธอเพิ่งรู้ตัวเป็นครั้งแรก...ว่าเธอโง่มากเพียงใดที่ใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่ากับการพยายามไล่เด็กคนนี้ออกไปจากชีวิตเกรย์
“ฉันแพ้แล้ว” ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า ก่อนร่างบอบบางของผู้ที่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมาโดยตลอดจะเอนกายพิงพนักโซฟาอีกครั้งด้วยความสบายใจ ไม่มีวี่แววของความเกลียดชังใดๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีก
แม้จะยังไม่ได้อ้าแขนรับอย่างเต็มตัว ทว่าหัวใจของเธอกลับเริ่มเปิดออกทีละน้อย
และสักวันหนึ่งก็คงจะพ่ายแพ้ให้แก่เด็กตรงหน้าเหมือนเช่นหมากรุกตานี้
พ่ายแพ้...เหมือนเช่นลูกชายของเธอ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สู้อีกนิดนะประมุข ใกล้แล้ว
รุกฆาต!