ตอนที่ 2 : PRAMUK-0- [LAMB]
-0-
เราเป็นของกัน...ทั้งตัวและหัวใจ
ในช่วงเวลาที่กำลังจะมีการจัดงานกิจกรรมใหญ่ของมหา’ลัยแบบนี้ ภาพของบรรดานักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ซึ่งกำลังซ้อมละครเวทีอยู่ใต้ตึกเป็นภาพที่เห็นได้จนชินตา อาจเป็นเพราะห้องซ้อมถูกปิดปรับปรุงชั่วคราวจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เหล่านักแสดงจึงจำเป็นต้องออกมาอวดโฉมซ้อมละครกันอยู่ใต้ตึกเรียนที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย แม้หนึ่งในทีมจะบอกให้หาห้องเรียนซ้อมกันแทน แต่ผู้กำกับก็ยังเลือกที่จะซ้อมอยู่ใต้ตึกเหมือนเดิม และให้เหตุผลว่าเป็นการโปรโมทไปในตัว
“หมดเวลาพัก ซ้อมต่อได้แล้ว!” เสียงกึกก้องของสาวประเภทสองผู้รับหน้าที่เป็นผู้กำกับดังสนั่นจนทำเอาใต้ตึกที่มีผู้คนพลุกพล่านเงียบสงัดไปชั่วอึดใจ เหล่านักแสดงต่างพากันลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมอย่างกะตือรือร้น ไม่มีท่าทีสะดุ้งสะเทือน เพราะเคยชินกับเสียงแปดหลอดของเจ้าหล่อนแล้ว “โอเค ถ้าพร้อมแล้วก็มา...”
“พี่ดีดี้คะ...” หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้รับบทเป็นนางเอกของเรื่องยกมือขออนุญาต “คือ...คนยังมาไม่ครบเลยค่ะ”
“ขาดใคร!” ใบหน้าสะสวยของดีดี้เปลี่ยนเป็นทะมึงทึงแทบจะทันที เธอย้ำแล้วย้ำอีกว่าเวลาเป็นเรื่องสำคัญ นี่จะต้องแสดงจริงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีคนสาย...
“พี่ประมุขค่ะ” หนิงพูดเสียงอ่อยแล้วพยักพเยิดไปด้านหลัง ที่ซึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งกดโทรศัพท์ไม่สนใจโลกอยู่ พลันใบหน้าของผู้กำกับสาวแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี ยามขยับกายเดินเยื้องย่างเข้าไปหาเจ้าของชื่อที่ยังไม่รู้สึกตัว
“มุขจ๊ะ”
“อ้าว...ดีดี้” เจ้าของใบหน้าใสเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกงงๆ ก่อนจะเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านักแสดงเข้าแถวกันเรียบร้อยแล้ว “ขอโทษด้วยนะ เราตอบแชทอยู่เลยไม่รู้เรื่องเลย”
ใบหน้าซื่อๆ ของพ่อหนุ่มเสน่ห์แรงขวัญใจสาธารณชนทั่วมหา’ลัยฉายแววสำนึกผิดขณะวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นยืน เห็นแบบนั้นแล้วใครจะโกรธลงได้อีก...นอกจากดีดี้
เพียะ!
“อีมุข หยุดคุยกับผัวแล้วมาซ้อมก่อนได้ไหมยะ!”
“โอย...หลังจะหัก” ประมุขคู้ตัวลงอย่างน่าสงสาร ท่าทางเกินจริงที่เรียกร้องความสนใจจากใครต่อใครทำให้ผู้กระทำดูเป็นนางมารร้ายมากขึ้นทุกที
“หลุดตอแหลแล้วลุกมาสักที” ดีดี้ดึงโทรศัพท์ออกจากมือเพื่อนสนิท ก่อนจะลากแขนอีกฝ่ายให้ลุกตามไปเข้าแถวรวมกับคนอื่น แล้วดูสิ...ดูแต่ละคนมองมันด้วยแววตาสงสารและอยากจะเข้าไปกอดปลอบเสียเต็มประดา
ดูไม่ออกหรือไงว่ามันมารยา!
‘ประมุข’ คือบุคคลที่ได้รับการโหวตให้เป็นขวัญใจคนทั้งมหา’ลัยติดอันดับสามปีซ้อน อาจเพราะเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว เมื่อผนวกเข้ากับดวงตาเอ๋อๆ ซื่อๆ คล้ายจะตามคนไม่ค่อยทันเลยทำให้เขาดูเหมือนเด็กปีหนึ่งทั้งที่อยู่ปีสาม หลายคนจึงให้ความเอ็นดูและอยากปกป้อง จนกลายเป็น ‘เจ้าชายน้อย’ ของสาวๆ ไปแล้ว
“ถ้ากูไม่ใช่เพื่อนสนิทมึง ขากลับบ้านต้องโดนดักตบแน่ๆ” ดีดี้กระซิบกระซาบข้างหูเพื่อนระหว่างที่คนอื่นกำลังซ้อมบท
“น่าเสียดาย...ถ้ามึงโดนกูจะได้สมน้ำหน้าสักหน่อย” ประมุขหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางเหมือนอยากจะเข้ามากัดหัวกันของเพื่อนรัก
“หุบปากไปเลย ว่าแต่...คุณคนนั้นของมึงทักมาหรือไง ถึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกูตะโกนเรียก”
คนฟังอมยิ้มจนแก้มตุ่ย เหมือนจะอารมณ์ดีมากเกินจนดีดี้นึกหมั่นไส้ เธอเลยจัดการผลักหัวคนบ้าเป็นการเรียกสติหนึ่งครั้งเพื่อให้มันหันกลับมาสนใจกัน
“อือ...เขารับปากว่าจะมาดูกูแสดง”
“ไหนตอนนั้นมึงบอกว่าเขารับปากไปส่งๆ ไง”
“ก็ถ้าเขาย้ำแบบนี้...น่าจะมาแหละมั้ง” ชายหนุ่มเม้มปากเมื่อโดนถามซ้ำ จากที่มั่นใจในตอนแรกเริ่มใจฝ่อลงเล็กน้อย กลัวเหลือเกินว่าคนคนนั้นจะมาบอกกะทันหันว่าไม่ว่างอีก
แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เจอกันเสียที...
รอมานานจนจะเรียนจบอยู่แล้วนะ
“ถามจริงเหอะมุข ถ้าเขาอยากเจอมึงจริงๆ ทำไมต้องรอนานขนาดนี้ด้วยวะ”
ในฐานะของเพื่อนสนิทที่รู้เรื่องราวทุกอย่าง ตามติดตูดกันมาตั้งแต่เรียนอยู่ประเทศอื่น จนกระทั่งกลับมาอยู่ไทยแล้วยังบังเอิญมาเจอกันอีก ดีดี้นึกเป็นห่วงเพื่อนรักแสนซื่อของเธอไม่น้อย กลัวว่ามันจะไปโดยคุณคนนั้นของมันหลอกให้ความหวัง ถึงเวลาถ้าต้องเจ็บช้ำขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าคนสดใสอย่างมันจะเป็นยังไง
“กูเชื่อว่าเขามีเหตุผล” หากประมุขก็ยังตอบด้วยความมั่นใจ “เขาสัญญาว่าถ้าเราได้เจอกัน เขาจะเล่าทุกอย่างให้กูฟัง”
“มึงเชื่อคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยสักครั้งเนี่ยนะ”
เจ้าของใบหน้าใสสะอาดยิ้มกว้าง แววตาทอประกายระยิบระยับไร้วี่แววของความลังเล
“เชื่อสิ”
ดีดี้ถอนหายใจยาวเหยียด อยากจะโบกหัวทุยๆ ของคนที่เอาแต่ยิ้มดูสักที หรือถ้าจะให้ดีเธออยากแหวกหัวมันออกมาดูเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายไม่แบ่งสมองมาให้มันบ้าง
“แล้วถ้าเขาเป็นตาแก่ลงพุง ตัวอ้วน หน้าสิว แบบนี้มึงจะทำยังไง”
“ไม่มีทางหรอกน่า” ประมุขโบกมือปฏิเสธ
“มึงรู้ได้ไง”
“ใจบอก”
“ปวดหัว...” ใบหน้าสะสวยบิดเบี้ยว มือสองข้างยกขึ้นกุมขมับแทบจะทันทีที่ได้ยินคำตอบของเพื่อน “กูอยากจะบ้าตายกับมึงจริงๆ”
“เลิกชวนกูคุยแล้วไปดูซ้อมไป” ประมุขโบกมือไล่เพื่อนสาวแล้วเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสปรากฎบนใบหน้าแทบจะทันทีที่เห็นว่ามีข้อความในแชทเพิ่มขึ้นมา ทำเอาบรรดาคนที่กำลังแอบมองตาพร่ากับออร่าใสสะอาดนั้นกันเป็นแถบๆ
M.GRAY : ซ้อมอยู่เหรอ
GP.MUK : ใช่ครับ รอคิวอยู่
M.GRAY : วันนี้จะกินอะไร
GP.MUK : ผมมีมาม่าอยู่ที่ห้อง
M.GRAY : มาม่าอีกแล้วเหรอ
GP.MUK : ทำไงได้ ก็ผมทำกับข้าวอะไรไม่เป็นเลยนี่นา
M.GRAY : ถ้าบอกว่าไม่ให้กิน ยังจะกินอยู่ไหม
GP.MUK : เอาเป็นว่าถ้าได้เจอคุณเมื่อไหร่ผมจะเลิกกินแล้วกัน
GP.MUK : ผมไปซ้อมก่อนนะ
M.GRAY : ไว้เจอกัน
GP.MUK : บายยยยย *สติกเกอร์แกะโบกมือ*
M.GRAY : นี่
GP.MUK : ครับ
M.GRAY : กลับไปอย่าลืมบอกลามาม่านะ : )
สำหรับประมุข...หากได้รักแล้วเขาจะรักให้ถึงที่สุด
สิ่งเดียวที่จะพรากเราออกจากกันได้...มีเพียงยามคนคนนั้นไม่ต้องการเขาแล้วเท่านั้น
————————————
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ละมุนจัง
อยากจะแหมให้ถึงดาวอังคาร5555 ชื่อไลน์ยอมจริงๆ