ตอนที่ 17 : PRAMUK-15-
-15-
เช้าวันถัดมาเกรย์ออกไปทำงานแต่เช้า ทิ้งให้ลูกแกะหัวฟูนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเพียงลำพัง แต่ก่อนไปยังไม่วายก้มลงไปจูบหน้าผากใสเบาๆ แล้วก็โดนดึงเสื้อเอาไว้เหมือนไม่อยากให้ไปตามระเบียบ กว่าจะแงะมือปลาหมึกออกได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที คำพูดงึมงำบอกให้รีบกลับที่น่าจะพูดแบบไม่รู้ตัวทำให้คนที่ต้องไปทำงานอารมณ์ดีแทบทั้งวัน
ประมุขที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนหกโมงครึ่ง ก่อนนาฬิกาปลุกจะแจ้งเตือนห้านาที เขารีบลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ จัดการทำความสะอาดร่างกายจนเรียบร้อยแล้วจึงส่งข้อความไปบอกคนที่น่าจะกำลังเดินทางให้สู้ๆ รอไม่ถึงหนึ่งนาทีอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเป็นคำเดียวกัน
“สู้ๆ” ลูกแกะของเกรย์สำรวจใบหน้าของตัวเองในกระจกจนแน่ใจว่าพร้อมแล้วก็รีบเดินออกจากห้อง เตรียมลงไปกินข้าวร่วมกับคุณผู้หญิงด้านล่าง แต่เมื่อเดินลงไปถึงบันไดขั้นสุดท้ายกลับทำได้เพียงมองความวุ่นวายอันเกิดจากการที่เมดสาวพากันวิ่งไปวิ่งมาแบบงงๆ
“คุณประมุข” เสียงเรียกชื่อๆ แปร่งๆ ไม่ชัดเจนนักของแอนนาที่เดินอย่างสุภาพเข้ามาหาทำให้ผู้ที่ทำอะไรไม่ถูกถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“พวกคุณทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“วันนี้คุณผู้หญิงจะเข้าบริษัทค่ะ พวกการ์ดต้องเตรียมความพร้อมกัน บรรดาเมดเลยยุ่งวุ่นวายตามไปด้วย คุณจะให้ตั้งโต๊ะเลยไหมคะ คุณผู้หญิงคงไม่ทานที่นี่”
“งั้นไม่...”
“มายืนเกะกะอะไรตรงนี้”
แอนนาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบขยับออกห่างจากบันไดและก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างประสานกันแน่น เห็นท่าทีของเมดสาวแล้วประมุขก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ รีบขยับถอยไปบังเธอไว้แล้วหันไปยิ้มให้คนที่เพิ่งเดินลงมาจากบันได
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณผู้หญิง”
คาร่าเหลือบมองใบหน้าของคนทักทายอย่างเย็นชา หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปทางหน้าบ้านโดยไม่ตอบรับอะไร จนแม้แต่แอนนาที่ถูกบังตัวไว้ยังอดรู้สึกแย่แทนไม่ได้
“คุณประมุข...”
“เกือบไปแล้ว” ประมุขหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วยกยิ้มกว้างส่งไปให้ ไม่มีท่าทีเศร้าสลดใดๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย “ไม่ต้องกังวลนะ ผมว่าคุณผู้หญิงคงลืมไปแล้ว”
“อะ...ค่ะ” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปกป้องรีบค้อมศีรษะลงอย่างตกใจ “ขอบคุณมากนะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ เออใช่... เดี๋ยวผมออกไปกินมื้อเช้าข้างนอกนะ คุณกลับไปทำงานเถอะครับ” เมื่อร่ำลาอยู่ฝ่ายเดียวเสร็จแล้วประมุขก็รีบวิ่งออกไปนอกบ้าน ตามหลังคุณผู้หญิงที่เพิ่งเดินออกมาไปติดๆ และก่อนที่ท่านจะขึ้นรถ เขาก็วิ่งไปยืนอยู่ด้านข้างแล้ว
การ์ดของคาร่าทำท่าจะยกมือกันไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ค้อมศีรษะให้แล้วรอคำสั่งเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แม้แต่คาร่าเองก็หันไปมองคนที่เธอไม่ชอบด้วยความประหลาดใจลึกๆ ซึ่งไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า
“คุณผู้หญิงจะไปไหนเหรอครับ ให้ผมไปด้วยได้ไหม”
“นี่เธอ...” คำพูดที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินทำคนฟังเขวไปไม่น้อย หากท่าทีภายนอกกลับยังคงเฉยชาเช่นเดิม คาร่าจ้องมองคนที่ดูคล้ายจะใสซื่อ ทว่ากลับคาดเดาได้ยากยิ่งกว่าอะไรอย่างพิจารณา สุดท้ายก็เพียงแค่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกวาดตามองการแต่งตัวของอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยาม และเปลี่ยนคำพูดที่ตอนแรกจะบอกว่าไสหัวไปกะทันหัน “จะไปกับฉันงั้นเหรอ... มาสิ”
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ยกยิ้มกว้าง รีบเดินขึ้นไปนั่งบนรถตู้ที่มีเบาะวีไอพีอยู่เพียงหกเบาะอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าถ้าช้าคุณผู้หญิงอาจจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้เขาไปด้วย ประมุขนั่งบีบมือด้วยความตื่นเต้นไปตลอดทาง เพราะไม่กล้าชวนคนที่ก้มหน้าทำงานแม้กระทั่งตอนอยู่บนรถคุย
แม้ตอนอยู่กับเกรย์ อีกฝ่ายก็ทำงานตลอดเวลาไม่ต่างกันนัก แต่เขายังเข้าไปเกาะแกะชวนคุยได้บ้าง หรือบางทีถ้าเงียบไปก็จะถูกดึงเข้าไปกอดเอง ไม่เคยต้องนั่งกัดปาก บังคับตัวเองให้เงียบแบบนี้เลยสักครั้ง
ไม่เป็นไรหรอก... ต้องอดทนไว้ อย่างน้อยก็ได้กำลังใจจากคนสำคัญมาแล้ว
คนมองโลกในแง่ดียิ้มให้ตัวเอง พอนึกถึงใบหน้าของใครอีกคนที่น่าจะกำลังเครียดกับงาน อารมณ์และสีหน้าก็ผ่อนคลายลงจนเกือบเป็นปกติ
หลังจากผ่านไปเกือบสี่สิบนาที รถตู้คันหรูก็แล่นเข้าไปจอดหน้าบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ประมุขที่นั่งอยู่ริมประตูจำเป็นต้องเดินลงไปด้านล่างก่อนเพื่อไม่ให้ขวางทางคนที่อยู่ด้านใน เขายืนมองตึกสูงตระหง่านที่บ่งบอกได้ดีถึงความสำเร็จของบริษัทแห่งนี้ ก่อนจะก้มลงมองเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของตัวเอง ที่แม้ไม่นับว่าน่าเกลียด แต่ก็ยังไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่เหมาะสมนักสำหรับการเดินเข้าไปด้านในพร้อมผู้เป็นประธานบริษัท
“รออะไรล่ะ มาสิ” น้ำเสียงเย็นๆ กับแววตาเยาะเย้ยที่ถูกส่งมาทำให้ประมุขเข้าใจได้ในที่สุดว่าทำไมคุณผู้หญิงถึงยินยอมให้เขาตามติดมาด้วย ทั้งยังยืนรอให้เดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน
ชั่ววูบหนึ่งเขารู้สึกหน้าชาไม่น้อยกับการที่ต้องไปเจอคนอื่นๆ ในสภาพไม่พร้อม และยังถูกจับผิดจากแม่ของเกรย์ตลอดเวลา เพียงมองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจทำให้ขายหน้า แต่เพียงวูบเดียวที่นึกถึงชื่อของคนสำคัญขึ้นมา ไหล่ที่ลู่ลงเล็กน้อยด้วยความผิดหวังก็กลับมาตั้งตรง พร้อมกันกับที่รอยยิ้มสุภาพอ่อนน้อมปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ครับ คุณผู้หญิง”
คาร่าจ้องมองคนที่เดินมายืนเคียงข้างเธอนิ่งงัน เมื่อรับรู้ได้ว่าบรรยากาศรอบตัวของเด็กคนนี้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง แม้ไม่อาจเรียกได้ว่ามีมาดของนักธุรกิจ หากก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดูสุขุมเยือกเย็นอยู่ไม่น้อย
แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก...
“ขออนุญาตครับ”
ในช่วงเวลาที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปในตัวบริษัท เสียงคุ้นเคยของชายผู้หนึ่งดังขึ้นจากเบื้องหลัง ประมุขเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนที่เดินมาหาคือวิคเตอร์ซึ่งหายไปตั้งแต่เมื่อวาน ในมือของอีกฝ่ายถือเสื้อสูทสีเข้มตัวหนึ่งมาด้วย
“วิคเตอร์...”
“ต่อจากนี้ผมได้รับหน้าที่ให้ติดตามคุณตลอดเวลา” ว่าจบชายหนุ่มหน้าตายก็สวมสูทให้คนเอเชียที่ตัวเล็กกว่ามากอย่างสุภาพ พร้อมช่วยจัดเสื้อให้เข้าที่จนเรียบร้อยจึงถอยห่างไปก้าวหนึ่ง
เมื่อมีเสื้อสูทมาคลุมทับเสื้อคอวีด้านใน บวกกับท่าทีสุขุมของผู้สวมใส่ที่คนใกล้ชิดย่อมมองออกว่าเป็นความสามารถของนักแสดง ประมุขก็ดูเป็นทางการขึ้นหนึ่งระดับ อีกทั้งความมั่นใจยังดูจะเพิ่มพูนขึ้นมาเล็กน้อยยามพบว่ามีคนสนิทคมาอยู่ข้างกายเช่นเดิมด้วย
“ดูแลกันดีจังนะ” คาร่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา หากดวงตากลับแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งผู้มาใหม่เองก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร เพียงแค่ค้อมศีรษะให้เล็กน้อยทั้งที่ใบหน้ายังไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
“นายให้เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้สำหรับคุณประมุขอยู่แล้วครับ หากคุณผู้หญิงไม่พอใจ ขอเวลาให้ผมเอาชุดสูทเต็มตัวให้คุณประมุขเปลี่ยนสักครู่...”
“ไม่ต้อง เสียเวลา”
เมื่อผู้นำเดินเข้าไปด้านในพร้อมคนติดตามจำนวนมากเรียบร้อยแล้ว ประมุขที่พยายามเก็บรอยยิ้มอย่างสุดความสามารถก็รีบหันไปยิ้มให้วิคเตอร์ ใจนึกอยากพูดคุยต่อ แต่ก็กลัวว่าจะตามเข้าไปไม่ทัน พอได้รับการพยักหน้าตอบกลับมาจากการ์ดหนุ่มหน้านิ่งแล้ว เขาก็รีบวิ่งตามเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ประมุขตามเข้าไปรวมกลุ่มทันตอนที่ประธานฯ บริษัทกำลังจะเดินขึ้นลิฟต์พอดี พอเห็นเขามาคนที่ติดตามอยู่ด้านหลัง ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นพนักงานของบริษัทก็หลีกทางให้อย่างพร้อมเพรียง แม้บางคนจะไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่เมื่อเห็นมาดและการ์ดที่เดินตามหลังก็พอจะเข้าใจได้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“ไม่ว่าจะมาในฐานะอะไรก็ควรรักษาเวลา” คำพูดเฉยชาที่ลอยมาตามลมทำให้คนฟังต้องกะพริบตาปริบๆ อยู่นาน เพราะต่อให้ดูเหมือนจะตำหนิกันเพียงใด หากในสายตาของประมุข เขากลับรู้สึกเหมือนมันเป็นคำสั่งสอนของผู้ใหญ่มากกว่า
“คราวหน้าผมจะระวังครับ”
คาร่าสะบัดไปอีกทางโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้คนยิ้มเก่งฉีกยิ้มกว้างอยู่อย่างนั้นกระทั่งถึงชั้นที่เธอต้องการจึงเดินนำออกไปด้านนอกโดยไม่ได้พูดอะไร
ปกติห้องของผู้บริหารย่อมต้องอยู่ชั้นบน เรื่องนี้แม้แต่ประมุขที่ไม่ค่อยรู้เรื่องงานบริษัทนักก็ทราบดี ดังนั้นเมื่อเห็นว่าคนที่เดินนำหยุดลิฟต์ที่ชั้นเก้า เขาจึงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ หากขาก็ยังก้าวตามต่อไปทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยอะไรได้
ประมุขไม่ใช่คนขี้กลัว เขาเป็นคนที่ถ้าตั้งใจทำอะไรสักอย่างก็จะสู้จนสุดแรง ทำอย่างเต็มความสามารถเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้ หลังจากใคร่ครวญไว้แล้วว่าถ้าขืนอยู่แบบนี้ไปวันๆ คงไม่ได้อะไร เขาจึงเสนอตัวขอติดตามแม่ของเกรย์มาด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อให้รู้นิสัยใจคอของท่าน และอีกส่วนเพื่อทำให้ท่านรู้ว่าเขาตั้งใจและจริงใจมากเพียงใด และเพราะแบบนั้น...ต่อให้ต้องเจอเหตุการณ์แบบไหนเขาก็เตรียมใจมาหมดแล้ว
อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกไล่ให้ไสหัวไปไกลๆ ต่อให้ถูกทดสอบหรืออาจจะถูกกลั่นแกล้ง แต่สำหรับเขาล้วนมองว่ามันคือโอกาสทั้งหมด ยังไงคนอย่างประมุขก็ไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว
“อดทน” เสียงกระซิบที่ข้างหูระหว่างกำลังเดินตามหลังคุณผู้หญิงเข้าไปด้านในทำประมุขชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง เขาหันไปมองหน้าวิคเตอร์ที่ไม่ได้มีท่าทีจะพูดอธิบายอะไรมากกว่านั้น ก่อนจะส่งยิ้มและพยักหน้าให้เงียบๆ
พื้นที่บริเวณชั้นเก้าเป็นเหมือนแผนกทำงานแผนกหนึ่ง โซนต่างๆ ถูกแยกอย่างเป็นระเบียบและดูสะอาดเรียบร้อยมาก หากประมุขเป็นคนคนหนึ่งที่อยากทำงานในรูปแบบนี้ เขาคงประทับใจอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าเสียดายที่เขารักอิสระ ไม่ชื่นชอบการทำงานอยู่ในกล่องสีเหลี่ยมแคบๆ แม้จะล้มเลิกความคิดอยากเป็นนักแสดงไปแล้ว หากก็ยังอยากอยู่ในสายงานนั้นเหมือนเดิม
“ท่านประธานฯ สวัสดีค่ะ”
“ท่านประธานฯ สวัสดีครับ”
“ท่าประธานฯ...”
เสียงทักทายดังขึ้นจากบรรดาพนักงานซึ่งต่างพากันลุกขึ้นต้อนรับคนที่เดินตรงไปยังห้องด้านในสุดโดยไร้รอยยิ้ม ท่าทางแข็งเกร็งไม่เป็นธรรมชาติเหล่านั้นไม่ได้รับความสนใจจากท่านประธานฯ ผู้เข้มงวด พอคาร่าเดินผ่านไปแล้วพวกเขาต่างก็พากันถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“คิดว่าจะตายแล้ว...”
“ฉันคิดว่าท่านจะมาเร่งงานเสียอีก”
ท่ามกลางเสียงพูดคุยเป็นภาษาฝรั่งเศสที่ประมุขฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง มีอยู่ไม่กี่เสียงที่พึมพำออกมาเป็นภาษาอังกฤษ เขาเงี่ยหูฟังแล้วก็พบว่าทุกคนต่างหวาดกลัวแม่ของเกรย์กันทั้งนั้น และในตอนนั้นเองที่ผู้มาใหม่เผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่เสียงนั้นกลับดึงดูดความสนใจจากทุกคนในแผนกให้หันกลับไปจับจ้อง
“อะ... ขอโทษด้วยครับ” ชาวเอเชียเพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้ก้มหัวขอโทษทั้งรอยยิ้ม ด้านหลังมีบอดี้การ์ดตัวสูงท่าทางน่าเกรงจามยืนเป็นฉากให้อีกที เพียงแค่นี้ก็ทำให้ทุกคนรู้ได้แล้วว่าเขาย่อมไม่ใช่ผู้บุกรุกธรรมดา
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอคะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษได้ส่งเสียงถามแทนคนทั้งหมด
“ผมชื่อประมุขครับ มากับท่านประธานฯ”
นั่นไง... ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย
ความคิดเดียวกันดังขึ้นในใจของผู้ฟังแทบทุกคน ลองถ้าบอกว่ามากับท่านประธานฯ ทั้งยังแต่งตัวธรรมดา ไม่ต้องเป็นพิธีการมาได้โดยไม่โดนต่อว่าแบบนี้ ยังไงก็ไม่ใช่คนติดตามแน่นอน
“แล้วคุณเป็น...”
“เด็กรับใช้ที่บ้าน”
เหล่าพนักงานสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อเจ้านายเดินออกมาจากห้องของหัวหน้าและตอบคำถามนั้นแทน ขณะที่ประมุขเพียงกะพริบตาปริบๆ พลางหันไปมองโดยยังไม่หุบยิ้มเท่านั้น
“คุณผู้หญิง เสร็จแล้วเหรอครับ”
คาร่าปรายตามองคนที่ไม่ได้ดูสลดเลยสักนิดยามได้ยินสิ่งที่เธอพูดเงียบๆ กระทั่งได้ยินคำพูดตอบรับโดยใช้สรรพนามที่เธอบอกให้เรียกแต่โดยดีก็ยิ่งตอกย้ำให้เธอดูราวกับเป็นนางมารร้ายยิ่งเข้าไปใหญ่
คงไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้เจ้าตัวรู้สถานะอีกแล้ว... เพราะดูท่าทางคงไม่ได้ผลแน่ๆ ลูกชายของเธอช่างเลือกคนได้ถูกต้องจริงๆ
“วิคเตอร์ พาเจ้านายของเธอกลับไปซะ” ว่าจบผู้มีอำนาจสูงสุดในที่แห่งนี้ก็สะบัดหน้าเดินจากไปโดยไม่รอฟังอะไรอีก ซึ่งประมุขเองก็ไม่ได้คิดตามไปเกาะแกะ เขารอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ย้อนกลับมาจึงลอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ผมจะหมดแรงแล้ว” ประมุขหันไปกระซิบกับบอดี้การ์ดประจำตัวเสียงค่อย ก่อนจะเดินจากไปยังไม่ลืมหันไปยิ้มโปรยเสน่ห์ใส่บรรดาพนักงานที่ยังยืนแข็งค้างอยู่กับที่ “ขอโทษที่มารบกวนนะครับ เอาไว้เจอกันใหม่นะ”
หลังจากพ่อหนุ่มแปลกหน้าเดินจากไป ฝูงชนในชั้นเก้ารวมถึงหัวหน้างานที่พุ่งออกมาจากห้องหลังซุ่มดูอยู่นานก็สุมหัวพูดกันยกใหญ่ ในเวลาเที่ยงของวันนั้นเองที่มีข่าวลือกระจายไปทั่วบริษัท เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กรับใช้ของท่านประธานฯ ที่มีบอดี้การ์ดหน้าดุคอยดูแลตลอดเวลา
บ้างบอกว่าเขาเป็นเด็กรับใช้ธรรมดา บ้างบอกว่าเขาเป็นคนในครอบครัวที่ถูกท่านประธานฯ ดัดนิสัยอยู่ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าอีกไม่นานหลังจากนั้น เขาจะกลับมาตอบคำถามคาใจอย่างยิ่งใหญ่...
ชนิดที่ใครต่อใครต่างก็ต้องก้มหัวให้ด้วยความยินยอม
หลังจากแยกออกมาจากบริษัทพร้อมวิคเตอร์ ประมุขก็ขึ้นรถอีกคันไปพร้อมการ์ดของเกรย์อีกหลายคน ทว่าน่าแปลกที่นอกเหนือจากวิคเตอร์แล้วกลับไม่มีสมาชิกทีมเออยู่เลย เขามองไปมองมาอยู่หลายรอบเพื่อตามหาคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน พอแน่ใจว่าไม่มีจึงถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง ไม่ได้รู้เลยว่าทุกสีหน้าและการกระทำถูกคนข้างกายสังเกตการณ์อยู่ตลอด
“พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกสองวันถึงจะกลับมา”
“แล้ววิคเตอร์ไม่ต้องไปอยู่ด้วยเหรอ” ประมุขหันกลับมาคุยกับคนที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านข้างแทน เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีทีมเออยู่ตรงนี้จริงๆ
“อย่างที่บอกว่าต่อจากนี้ผมจะมาดูแลคุณ นายคงอยากให้คุณมีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ถึงผมจะมั่นใจว่าอีกแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวคุณก็สนิทกับพวกทีมบีก็ตาม” คนที่ต้องสังเกตลักษณะนิสัยของผู้เป็นนายเอ่ยประโยคสุดท้ายเบาๆ ทว่าน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง เรื่องนี้ไม่ต้องเดาหรืออะไรเขาก็รู้ว่ายังไงเดี๋ยวเจ้านายคนนี้ก็ต้องสนิทสนมกับการ์ดคนอื่นๆ ได้แน่นอน เผลอๆ จะรวมทุกผู้ทุกคนที่พบเจอเข้าไปทั้งหมดด้วยซ้ำ
อีกหน่อยพูดฝรั่งเศสคล่องปรื๋อเมื่อไหร่ก็เตรียมดูได้เลย...
“ดีแล้วที่คุณมาอยู่ข้างๆ ผมใจชื้นขึ้นเยอะเลย” คนอารมณ์ดีลูบอกตัวเองเป็นเชิงบอกว่าโล่งมากจริงๆ และเขาก็คิดแบบนั้นมาตั้งแต่ตอนเดินเข้าไปในบริษัท แค่ได้เห็นวิคเตอร์โผล่มาพร้อมชุดสูทก็รู้สึกราวกับมีพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้ตามติดมาด้วย “เออใช่... แล้วคุณเอาเสื้อสูทนี่มาจากไหนเหรอ”
“นายบอกให้ผมเตรียมมาด้วย หลังมีคนรายงานว่าคุณออกไปพร้อมคุณผู้หญิง”
“เกรย์เดาออกหมดเลยเหรอ เก่งจัง”
“ผมบอกแล้วว่าครอบครัวนี้นิสัยคล้ายกัน” วิคเตอร์ออกความเห็นส่วนตัวเพียงแค่นั้นและเงียบไป อันที่จริงการนินทาเจ้านายไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมเห็นคนอารมณ์ดีด้านข้างทีไรเขามักควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ทุกที อย่างกับมีลูกชายซนๆ คอยเซ้าซี้ถามนั่นถามนี่อยู่ตลอดเวลายังไงก็ไม่รู้ สุดท้ายเป็นต้องหลุดพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไปตลอด “คุณจะแวะที่ไหนหรือเปล่า เห็นนายบอกว่าคุณต้องไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารด้วย”
“ใช่ครับ วันนี้ตอนเย็นผมจะทำอาหารขึ้นโต๊ะให้คุณท่าน เดี๋ยวจะเอาไปให้ชิมด้วยนะ”
“ได้ถามนายหรือเมดมาหรือเปล่าว่าคุณท่านชอบทานรสชาติแบบไหน”
จบประโยคคำถามนั้นคนยิ้มเก่งก็แข็งค้างเป็นหุ่นขี้ผึ้งแบบกะทันหัน เห็นท่าทางอันหาได้ยากนั่นแล้ววิคเตอร์ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วส่งไปให้นายอย่างรวดเร็ว รอกระทั่งนายตอบกลับมาว่า ‘เซฟแล้ว ทำดีมาก’ อีกคนก็ยังนั่งตัวแข็งเป็นหินเหมือนเดิม มองไปมองมาชักเริ่มสงสาร เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกอีกรอบ
“แอนนา คุณท่านชอบกินอาหารรสชาติแบบไหน” คำถามของวิคเตอร์ที่พูดกับคนในโทรศัพท์ดูราวกับเสียงสวรรค์ในสายตาของประมุข เขาหลุดจากภวังค์คนเอ๋อแล้วหันไปมองคนข้างกายด้วยแววตามีความหวัง “อืม ขอบใจ”
“ว่าไงบ้างครับ”
“คุณท่านกับนายชอบอาหารคล้ายกัน ไม่ชอบของรสจัดแล้วก็ไม่ชอบอะไรหวานๆ ส่วนคุณผู้หญิงจะยากหน่อย เพราะจะมีแค่ถูกปากกับไม่ถูกปากสองอย่าง”
“งั้นคงต้องตั้งเป้าที่คุณท่านเป็นหลัก...” ประมุขพึมพำกับตัวเองแล้วหลับตาลงทั้งที่คิ้วขมวดมุ่น ในใจครุ่นคิดถึงเมนูอาหารที่ควรจะหยิบยกมาทำเพื่อให้ครอบครัวของเกรย์พอใจ ขณะที่วิคเตอร์ไม่ได้พูดรบกวนอะไรอีก เขาหันไปสั่งคนขับรถให้พาไปยังแหล่งซื้อขายวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไทย ก่อนจะปล่อยให้นายอีกคนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปตลอดทาง
ห้องครัวของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยเงียบเหงา เพราะทุกคนต่างแยกกันทำหน้าที่ของตัวเอง ยามนี้แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงเมื่อมีคนอารมณ์ดีที่พูดเก่งยิ่งกว่าวิทยุเข้ามาร่วมวงกำกับทุกอย่าง ใครที่ไม่เคยคุยกัน ใครที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา คุณชายผู้มาใหม่จัดการดึงเข้ามาร่วมวงสนทนาทั้งหมดจนมีแต่เสียงหัวเราะและความสุขอบอวลไปทั่วบริเวณ
“คุณมุข น้ำเดือดแล้วนะคะ”
“แอนนาเอาไก่ลงไปต้มได้เลยครับ”
“โอเคค่ะ แล้วก็เลล่าบอกว่าผักเรียบร้อยแล้วนะคะ”
“พักไว้ก่อนนะครับ ผัดผักเอาไว้ทำอย่างสุดท้ายเลย แค่แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”
“ทางนั้นมีคนส่งข้อความกลับมาแล้วค่ะ”
“จริงเหรอครับ ไหนๆ” ผู้กลายเป็นที่รักได้ในระยะเวลาอันสั้นรีบวิ่งกลับไปดูจอโทรศัพท์ที่ให้เมดสาวคนหนึ่งช่วยเฝ้าดูให้ พอเห็นว่าพี่ชายคนรองที่เขาทักไปหาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนตอบกลับมาก็รีบกดเข้าไปดูทันที
HONGTAE: อาหารไทยที่ไม่หวานไม่เผ็ดจนเกินไปเหรอ
HONGTAE: มึงจะทำให้ใครกิน
GP.MUK: ครอบครัวเกรย์ ช่วยคิดหน่อยว่าจะทำอะไรเพิ่มดี
HONGTAE: ตอนนี้มีอะไรแล้วบ้าง
GP.MUK: กะจะทำผัดผักรวม หมูผัดพริกหยวก ไข่ตุ๋น แต่ไม่รู้จะเอาแกงอะไรดี นี่ก็ต้มไก่ไว้ก่อนระหว่างที่ยังคิดไม่ออก
HONGTAE: ต้มข่าไก่ไหม มึงทำอร่อยนี่ ถ้ากลัวเผ็ดก็ใส่พริกน้อยหน่อย ยังไงก็เน้นเปรี้ยวอยู่แล้ว รสจะได้ตัดกับอย่่างอื่นด้วย
GP.MUK: จริงด้วย พี่พายุก็เคยบอกว่ากูทำอร่อยนี่นา
HONGTAE: อือ พี่ยุบอกว่าอร่อย
GP.MUK: ขอบใจมาก ก่อนเปิดเทอมจะแวะเอาของฝากไปให้นะ
HONGTAE: ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย
GP.MUK: รู้แล้วน่า มึงก็ด้วย
หลักจากพูดคุยกับพี่ชายจนได้คำแนะนำดีๆ มาแล้ว ประมุขก็รีบหันไปมองนาฬิกาที่เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลากินข้าวหนึ่งครั้ง และรีบเร่งลงมือเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำเมนูที่คิดเอาไว้โดยเร่งด่วน โชคดีที่ตอนไปเดินซื้อของเขาหยิบของมาหลายอย่าง ซึ่งกะทิก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
“คุณมุขจะมาอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยหรือเปล่าคะ”
“หือ ผมเหรอครับ” ประมุขหันไปมองแอนนาด้วยความงุนงง ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ แล้วตอบกลับไปตามความจริงพร้อมรอยยิ้ม “ไม่หรอกครับ อีกไม่นานผมก็ต้องกลับไปเรียนต่อแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอมถึงมาที่นี่ได้”
“น่าเสียดายจังนะคะ... ดิฉันคิดว่าที่นี่จะดูสดใสแบบนี้ตลอดไปเสียอีก”
“แอนนาพูดเหมือนปกติที่นี่ไม่ได้เป็นแบบนี้”
“ก็ใช่น่ะสิคะ” เมดสาวผู้ทำงานที่นี่มานานหลายปีอมยิ้มเล็กน้อยพลางมองดูคนพูดที่น่าจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าทำให้ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างด้วยความเอ็นดู “ปกติพวกเราไม่ได้ยิ้ม หัวเราะ หรือหัวหมุนร่วมกันแบบนี้หรอกค่ะ ทุกคนมีหน้าที่เป็นของตัวเอง อย่างที่คุณเห็นว่าคุณท่านกับคุณผู้หญิงก็ทำแต่งาน ส่วนคุณเกรย์ก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่เท่าไหร่ บ้านหลังนี้ไม่ได้มีชีวิตชีวามานานมากแล้ว ต้องขอบคุณคุณคนเดียวเลยค่ะ”
“งั้นผมขอรับคำชมไว้เลยแล้วกันเนอะ” ประมุขหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วรับคำชมเหล่านั้นเอาไว้ด้วยความยินดี หากเมื่อดวงตาเบนไปมองฝ่ามือของตัวเองที่วางอยู่บนเขียง เห็นภาพที่คนสำคัญของเขากอบกุมมือกันไว้ ความมั่นใจและความอบอุ่นก็แพร่กระจายไปทั่วร่าง “ผมจะต้องเอาชนะใจคุณท่านกับคุณผู้หญิงให้ได้ครับ ทั้งเพื่อตัวเองแล้วก็เพื่อเกรย์ด้วย”
“พวกเราจะเอาใจช่วยนะคะ"
“ขอบคุณมากครับ” คนที่ยังไม่หุบยิ้มเลยสักวินาทีหันไปมองหน้าแอนนา และขยับยิ้มขี้เล่นให้กว้างกว่าเดิมขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “บอกทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมมันตัวกระจายความสุขอยู่แล้ว แม้แต่คุณท่านกับคุณผู้หญิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นหรอก”
“ทุกคนเชื่อแน่นอนค่ะ” แอนนายิ้มรับคำพูดโอ้อวดแต่โดยดี เพราะเธอเชื่อว่าคุณมุขจะต้องทำเช่นนั้นได้จริงๆ
เอริค คาร่า และเกรย์เดินทางกลับมาถึงบ้านพร้อมกันในเวลาทานอาหารเย็นแบบพอดิบพอดี หลังจากเดินเข้าไปในห้องอาหาร กับข้าวหน้าตาน่ารับประทานก็วางรอพร้อมอยู่บนโต๊ะก่อนแล้ว หากวันนี้รูปแบบของโต๊ะอาหารกลับต่างไปจากเดิม เมื่อช้อนส้อมมากมายถูกเก็บไป เหลือไว้เพียงจานข้าวคนละจาน ช้อนส้อมอย่างละคัน และช้อนกลางที่วางอยู่ข้างจานกับข้าวเท่านั้น
“ผมให้พี่การ์ดที่อยู่นอกประตูโทรมาบอกถ้าพวกคุณมาถึงกันแล้ว พอกลับมาจะได้กินเลย ไม่ต้องรอยกมาเสิร์ฟ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อาหารเพิ่งขึ้นจากเตา ยังร้อนอยู่แน่นอน” พ่อครัวคนใหม่ที่ยืนต้อนรับอยู่ข้างโต๊ะอาหารอธิบายบอกทีเดียวเสร็จสรรพ ก่อนจะอ้าปากพูดต่อเมื่อเห็นคุณผู้หญิงของบ้านขมวดคิ้วมองรูปแบบการจัดโต๊ะอาหาร “เพราะวันนี้เรากินอาหารไทยกัน แล้วผมก็ทำเป็นกับข้าวหลายอย่าง ดังนั้นก็เลยจัดโต๊ะในรูปแบบของคนไทยตามสมควร คุณท่านกับคุณผู้หญิงคงไม่ถือใช่ไหมครับ”
“อืม” เอริคเป็นผู้พึมพำตอบรับ ขณะนั่งลงตามตำแหน่งและจ้องมองกับข้าวหน้าตาประหลาดโดยไม่บ่งบอกอารมณ์ เห็นแบบนั้นลูกแกะน้อยของเกรย์ก็ใจหายวูบไปนิดหน่อย แต่วินาทีถัดมากำลังใจก็ถูกเติมจนเต็ม ยามคนสำคัญแอบกุมมือกันจากใต้โต๊ะและส่งยิ้มมาให้
“คุณท่านกับคุณผู้หญิงลองดูนะครับ อันนี้คือต้มข่าไก่ เดี๋ยวผมตักให้นะ” ประมุขรีบหยิบถ้วยใบเล็กที่เตรียมไว้มาตักต้มข่าไก่ใส่ทีละถ้วยและเสิร์ฟให้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นก็หันไปส่งให้เกรย์พร้อมรอยยิ้มหวาน “ต้มข่าไก่จะมีรสเปรี้ยวนำครับ กินกับอย่างอื่นจะได้ตัดรสกัน ลองทานดูว่าถูกปากหรือเปล่า”
ท่ามกลางบรรยากาศที่เคยเงียบสงบบนโต๊ะอาหาร แขกตัวน้อยที่น่าจะถูกทำให้หวาดกลัวตั้งแต่มาถึงกลับพูดจ้อบรรยายสรรพคุณอาหารด้วยน้ำเสียงน่าฟังไม่หยุดปาก รอยยิ้มจริงใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา กับรสชาติอาหารที่ไม่เคยลิ้มลองแต่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าอร่อยทำให้ไม่มีใครต่อว่าอะไร แม้ช่วงแรกคาร่าจะจ้องมองด้วยความไม่พอใจก็ตาม
“แล้ว...เป็นยังไงบ้างครับ” คนที่อดทนไม่ถามมาโดยตลอด รอจนทุกคนกินข้าวเสร็จและเมดพากันมาเก็บโต๊ะหมดแล้วอดใจไม่ไหว สุดท้ายก็ถามด้วยสีหน้าคาดหวังจนเต็มเปี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ตอบคนแรกย่อมต้องเป็นคนที่ไม่ว่าลูกแกะของตัวเองจะทำอะไรก็คิดว่าดีไปหมดอยู่แล้ว
“อร่อยมาก”
“จริงเหรอ...” ประมุขฉีกยิ้มจนแก้มพอง พอจ้องหน้าเกรย์จนพอใจแล้วก็รีบหันไปมองเอริคต่อด้วยแววตาคาดหวังหนักกว่าเก่า แม้ตอนแรกไม่หวังว่าจะได้คำชม เพราะแค่เห็นอีกฝ่ายยอมกินจนหมด ไม่ได้เททิ้งแบบที่คาดก็ดีมากแล้ว แต่ก็ยังอดอ้อนวอนในใจไม่ได้
“ถูกปากฉันมากทีเดียว”
สีหน้าและท่าทางของเอริคไม่ได้ดูเกินจริงหรือพูดเอาใจ เขาพูดตามความจริงโดยไม่ได้สนใจว่าตัวเองชื่นชอบคนของลูกชายหรือไม่ เพราะจะอย่างไรก็เป็นคนหยิบยื่นโอกาสให้เอง หากเจ้าตัวทำดีย่อมต้องได้รับคำชม
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวบนโต๊ะ...
“ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น แกงนี่มันเกินไป”
ในสายตาของสองพ่อลูกและเมดที่ยืนคอยรับใช้อยู่ด้านข้างล้วนมองออกว่าสิ่งที่คาร่าพูดคืออคติส่วนตัวล้วนๆ ต่อให้ประมุขทำดีแค่ไหนก็ต้องถูกตำหนิอยู่แล้วแบบไม่ต้องสงสัย ทว่าคนที่ถูกชิงชังกลับไม่แสดงท่าทีเศร้าสลดแต่อย่างใด ลูกแกะตัวน้อยของเกรย์หยิบสมุดเล่มเล็กกับปากกาที่พกติดตัวออกมาจดบันทึกข้อความบางอย่างลงไปอย่างเคร่งเครียด
“ลูกแกะ ทำอะไรน่ะ” เกรย์เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“อ๋อ... ผมกำลังจดว่าคุณผู้หญิงไม่ชอบทานอะไรมันๆ ครับ ทีหลังจะได้ไม่ลืม” คนยิ้มเก่งตอบเสียงใสไร้ซึ่งความขุ่นเคืองใดๆ “จริงๆ ในนี้มีสิ่งที่คุณกับคุณท่านชอบหรือไม่ชอบด้วยนะ ผมรอบคอบไหม”
ขณะที่ถูกมองด้วยแววตาประหลาดใจปะปนไปกับตกตะลึง เกรย์เป็นคนแรกที่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลือบตามองท่าทีนิ่งค้างของมารดาเงียบๆ เขาลูบหัวลูกแกะน้อยอารมณ์ดีด้วยความเอ็นดู ต่อให้ไม่ต้องช่วยอะไร นิสัยที่แท้จริงบวกกับท่าทางใสซื่ออย่างเป็นธรรมชาติของเจ้าตัวก็ทำให้ใครหลงรักได้ไม่ยาก
“เก่งที่สุดเลย”
ดูเหมือนจะไม่ต้องรอนานแบบที่คิด...
ในเมื่อเกรย์หลงลูกแกะตัวนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น มีหรือพ่อกับแม่ที่มีแต่คนบอกว่านิสัยเหมือนเขา ทั้งยังชื่นชอบอะไรเหมือนๆ กันจะหนีรอดไปไหนได้ ยังไงก็ต้องตกลงมาในบ่วงเช่นเดียวกันกับเขาแน่นอน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ลูกแกะกำลังจะตกคนทั้งบ้านและจะลามไปทั้งอาณาจักรของครอบครัวนี้
😆😆
เจ้าลูกแกะเก่งมาก