ตอนที่ 13 : PRAMUK-11-
-11-
สวัสดี
นายอาจสงสัยว่าฉันเป็นใคร รู้เอาไว้แค่ฉันคือผู้หวังดีที่อยากจะเป็นเพื่อนของนายก็แล้วกัน แต่ถ้ายังกังวลว่าฉันจะคิดอะไรไม่ดี ฉันจะบอกความลับอีกข้อ...คือฉันเป็นเพื่อนรักของพี่ชายนาย ทีนี้คงจะไว้ใจกันบ้างแล้วสินะ
ตอนนี้นายคงอยากถามว่าพี่ชายเป็นยังไงบ้าง ฉันไม่อาจพูดได้ว่าเขาสบายดี และไม่ขอรับปากว่าจะพูดถึงเรื่องราวของพี่ชายนายในจดหมายทุกฉบับ แต่จำไว้ว่าเขาจะต้องกลับไปอย่างแน่นอน เพราะงั้นจงใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะถึงวันที่เขากลับไป นายค่อยชดเชยทุกอย่างให้
จากนี้ก็หยุดร้องไห้ได้แล้ว เข้าใจหรือเปล่า
ปล.หากต้องการตอบจดหมายของฉัน แค่นายเขียนใส่กระดาษ แล้วเอาไปใส่ไว้ในตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านทุกวันอาทิตย์ก่อนเจ็ดโมงเช้า ฉันจะได้รับจดหมายของนายอย่างแน่นอน
ด้วยรัก
Gin.
ความรู้สึกในตอนที่ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากคนแปลกหน้าเป็นเช่นไร ประมุขยังคงจดจำได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจดหมายฉบับนั้นส่งมาพร้อมกับความหวังที่ช่วยหยุดน้ำตาของเขาได้จริงๆ
ในเวลานั้นบ้านที่เคยเต็มไปด้วยความสุขมีเพียงความเงียบเหงา พ่อของเขาต้องออกไปทำงานแต่เช้ามืด และกลับมาตอนดึกดื่นทุกวัน ประมุขกับฮ่องเต้แยกกันอยู่คนละห้อง แม้ยามอยู่ด้วยกันจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทว่าเมื่อได้อยู่คนเดียว ความหดหู่ไร้ที่มากลับตีรวนจนเจ็บหน่วงไปทั้งอก
ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่วันหรือกี่ปีแล้วที่พี่ชายคนโตถูกพาตัวไปและติดต่อไม่ได้ มีเพียงข่าวคราวนานๆ ครั้งที่จะได้ยินเฉพาะเวลาพ่อคุยโทรศัพท์กับใครบางคนที่บอกให้รู้ว่าพี่ชายยังมีชีวิตอยู่ เด็กชายประมุขในตอนนั้นไม่ได้เข้มแข็งเหมือนฮ่องเต้กับพ่อ เขายังแอบร้องไห้อยู่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พี่ชายถูกพาตัวไป
แต่แล้ววันหนึ่งจดหมายฉบับนั้นก็ส่งมาถึง...
ลายมือภาษาอังกฤษที่ดูสวยงามทำให้เขาจดจ้องมันด้วยความรู้สึกประหลาดๆ อยู่นาน ทว่าเมื่อได้อ่านเนื้อความจนครบถ้วน หยาดน้ำก็เอ่อคลอดวงตาทั้งสองข้าง เขาสะอึกสะอื้นอยู่เพียงลำพัง ขณะที่สองแขนโอบกอดตุ๊กตาลูกแกะสีชมพูเอาไว้แน่น กระทั่งสายตามองเห็นถ้อยคำที่บอกว่าอย่าร้องไห้อีกครั้ง สองมือเล็กจ้อยจึงยกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วฮึบน้ำตาเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้มันไหลออกมาอีก
ในเมื่อเพื่อนรักของพี่ชายบอกให้หยุดร้องไห้ รอวันที่พี่ชายกลับมาค่อยชดเชยให้ เขาก็จะเชื่อตามนั้น
ประมุขฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากสมุดเรียน ก่อนจะรีบขีดเขียนข้อความลงไปบนนั้นด้วยความตั้งใจ เขาได้รับจดหมายตอนวันเสาร์เวลาเจ็ดโมงเช้า เพราะงั้นพรุ่งนี้เช้าเขาต้องรีบเอามันไปใส่ไว้ในกล่องไปรษณีย์ ซึ่งด้วยนิสัยซื่อๆ ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เขาจึงไม่เคยสงสัยเลยสักนิด ว่าจดหมายโต้ตอบของตัวเองกับคนคนนั้นมันจะถูกส่งข้ามประเทศโดยการใส่ไว้ในตู้จดหมายของตัวเองได้อย่างไร
หลังจากวันนั้นเด็กชายประมุขก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาเข้าไปลากฮ่องเต้ถึงในห้องนอนเพื่อให้ลงไปเล่นที่สนามด้วยกัน วันไหนพ่อกลับไวก็จะเดินเข้าไปพูดคุยด้วย จนบ้านที่เงียบเหงากลับมาเป็นบ้านที่อบอุ่นอีกครั้ง ทุกๆ อาทิตย์เขาจะได้รับจดหมายจากคนคนเดิม นับเป็นเวลาหลายปีที่พวกเขาพูดคุยกันผ่านทางจดหมาย กระทั่งฮ่องเต้ก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร เพียงบอกให้ระวังตัวเท่านั้น
“มุข!” ดีดี้ที่ตอนนั้นยังอยู่ในร่างน้องดินคนแมนวิ่งเข้ามาหา พร้อมชูไม้ชูมือโบกจดหมายที่เก็บมาจากตู้ให้ดูอย่างร่าเริง “จดหมายของมุขมาแล้ว ดินหยิบมาให้ด้วย”
“ขอบใจนะ” ประมุขฉีกยิ้มกว้าง รับจดหมายจากเพื่อนชาวไทยที่บังเอิญเจอในต่างแดนมาแกะดูด้วยความตื่นเต้นเหมือนเช่นทุกครั้ง
ลูกแกะ
ฉันชอบดอกไม้แห้งที่นายแนบมาในจดหมายมาก ขอบคุณนะลูกแกะน้อย
ที่บอกว่าอยากเจอกัน ใช่ว่าฉันไม่อยากไปเจอ แต่มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น นายช่วยอดทนรอจนกว่าจะถึงวันนั้นได้หรือเปล่า ฉันสัญญาว่ามันต้องคุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอน และถึงตอนนั้นเราจะไม่แยกจากกันอีกตลอดไป ลูกแกะเชื่อฉันเถอะ
ส่วนเรื่องงานแสดงละครเวทีในอีกสามวัน ฉันมั่นใจว่าพ่อของนายและพี่ชายต้องอยากไปดูแน่ๆ แต่เพราะพวกเขามีเหตุจำเป็นที่อาจจะสำคัญมากๆ จึงไปดูไม่ได้ เหมือนกันกับฉันที่อยู่ห่างจากลูกแกะ ต่อให้อยากไปดูแค่ไหนก็ทำไม่ได้
แต่ฉันสัญญาว่าวันหนึ่งจะต้องไปดูลูกแกะแสดงละครเวทีแน่นอน
ปล.มองหาคนในชุดหลากสี เขาจะเป็นตัวแทนของฉัน เอารางวัลไปให้ลูกแกะคนเก่ง
ด้วยรัก
Gin.
วันงานโรงเรียนที่พ่อแม่ของเด็กทุกคนต่างพากันมาดูลูกๆ ของตัวเอง เด็กชายประมุขยืนอยู่เพียงลำพังในชุดลูกแกะ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครมาหา ไม่มีใครมาให้กำลังใจ เพราะคุณพ่อต้องไปทำงาน ขณะที่ฮ่องเต้ปวดท้องจนต้องนอนโทรมอยู่ในโรงพยาบาล
แม้จะบอกตัวเองแล้วว่าต้องสู้ให้เต็มที่ หากเมื่อมองไปรอบๆ ก็อดเศร้าใจไม่ได้อยู่ดี
การแสดงละครเวทีจบลงโดยที่ลูกแกะประมุขซึ่งได้เป็นตัวเอกของเรื่องยืนทำหน้าจ๋อยอยู่หน้าเวที เฝ้ามองบรรดาผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ เอาดอกไม้และของรางวัลมาส่งให้เป็นการชื่นชม มีเพียงเขาเท่านั้นที่สองมือว่างเปล่า ไม่มีใครมาดูหรือให้กำลังใจเลยแม้แต่คนเดียว ทว่าในตอนนั้นเอง...
“คุณตัวตลก!”
“มีลูกโป่งด้วย!”
“แม่ฮะ ผมอยากได้บ้าง”
“คุณตัวตลก ผมขอลูกโป่งด้วยสิฮะ”
ท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวของบรรดาเด็กๆ บนเวที สายตาของลูกแกะน้อยจ้องมองเพียงร่างของคุณตัวตลกในชุดหลากสีสัน ที่เดินมาพร้อมกับลูกโป่งลายสัตว์นับสิบลูก
มองหาคนในชุดหลากสี เขาจะเป็นตัวแทนของฉัน เอารางวัลไปให้ลูกแกะคนเก่ง
ข้อความในจดหมายวาบผ่านเข้ามาในความทรงจำ ลูกแกะตัวน้อยพุ่งเข้าไปหาคุณตัวตลกแล้วกอดขาอีกฝ่ายเอาไว้แน่น กระทั่งถูกลูบหลังปลอบเบาๆ จึงปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่อยู่
“คนคนนั้นฝากบอกให้คุณอดทนอีกนิด สักวันหนึ่งจะได้เจอกันอย่างแน่นอน” เสียงกระซิบของคุณตัวตลกไม่ได้ดังก้องเพียงในหัวของคนฟัง หากกลับฝังรากลึกลงไปในความทรงจำ กลายเป็นคำสัญญาที่เขาตั้งมั่นให้เป็นจุดมุ่งหมายมาโดยตลอด
สักวันหนึ่งเราจะได้พบกัน...
ระยะเวลาปีแล้วปีเล่าผ่านพ้นไป คนคนนั้นไม่เคยมาหาประมุขเลยสักครั้ง ไม่ว่าเขาจะชักชวนล่วงหน้าอย่างไรก็ตาม แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่อีกฝ่ายไม่เอาของขวัญมาให้หรือไม่ส่งคนมา ทุกๆ รอบ ทุกๆ งานที่ประมุขบอกว่าต้องอยู่เพียงลำพังเพราะพ่อติดงาน ส่วนพี่ชายก็มีกิจกรรมเป็นของตัวเอง คนคนนั้นมักจะส่งคนมาหาเสมอ ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้เขายิ้มได้และไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไร
วันปีใหม่ซึ่งเป็นวันครบรอบอายุสิบหกปีเต็มของประมุข นั่นเป็นครั้งแรกที่จดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งให้จากมือของคนในชุดคอสตูมหมาป่า ซึ่งเป็นตัวแทนของคนคนนั้นที่เอาของรางวัลมาให้เนื่องในโอกาสที่ประมุขได้ขึ้นแสดงบนเวทีในกิจกรรมของโรงเรียน ไม่ใช่ได้รับจากตู้จดหมายทุกวันเสาร์เหมือนปกติ
“มุข ไปกินข้าวด้วยกันไหม” น้องดินที่พัฒนาเป็นเพื่อนสาวดีดี้เรียบร้อยแล้ววิ่งเข้ามาชักชวนประมุขเมื่องานทุกอย่างจบลง แต่พอได้เห็นจดหมายในมือของเพื่อนสนิท เธอก็เบะปากโดยอัตโนมัติ เพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“ไม่ดีกว่า ดีดี้ไปเลย”
“เห็นจดหมายนั่นก็รู้แล้วย่ะ... ว่าแต่นี่มันวันอังคารไม่ใช่เหรอ ทำไมได้จดหมายแล้วล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ถึงได้อยากรีบกลับไปดูที่บ้านไง” ใบหน้ารื่นเริงของเขาคงตอบคำถามได้ดียิ่งกว่าอะไร พอเห็นเพื่อนทำท่าอยากกลับบ้านเต็มแก่ ดีดี้ก็รีบโบกไม้โบกมือ ไล่ให้ไปไกลๆ ด้วยความหมั่นไส้
ประมุขกลับบ้านไวที่สุดในรอบปีเป็นประวัติการณ์ เพราะปกติเขาเป็นเด็กกิจกรรม หากไม่ได้แสดงละครเวที ไม่ได้มีกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ก็จะใช้เวลาไปกับการเล่นกีฬากับเพื่อนๆ จนเกือบค่ำถึงกลับบ้าน และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาต้องฉลองปีใหม่เพียงลำพัง เพราะพ่อต้องไปสัมมนา ขณะที่ฮ่องเต้ไปคุยงานห้องเพื่อน บางทีอาจจะไม่ได้กลับบ้าน
แต่ไม่เป็นไร... วันนี้เขาได้จดหมายแล้ว เขามีเพื่อนคุยแล้ว
จดหมายที่ใส่อยู่ในซองวันนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะมันไม่ได้มีเพียงกระดาษเอสี่สีขาวแบบปกติ แต่กลับมีการ์ดสีชมพูอ่อนซึ่งมีกลิ่นหอม ที่ด้านหน้าเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษอย่างบรรจงสวยงามว่า ‘Happy Birthday & Happy New Year’ แนบมาด้วย
ประมุขลงมือเปิดจดหมายสีขาวก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นก็กวาดสายตาไล่อ่านข้อความทุกๆ ประโยคอย่างตั้งใจเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ลูกแกะ
ตกใจหรือเปล่าที่ได้รับจดหมายในวันนี้ ฉันคิดวนไปวนมาอยู่หลายรอบเกี่ยวกับเรื่องที่เราพูดคุยกันผ่านจดหมายเพียงอาทิตย์ละครั้ง แล้วก็ได้คำตอบว่ามันน่าจะถึงเวลาที่ฉันจะได้พูดคุยกับลูกแกะมากกว่าเดิมเสียที จะอย่างไรมันก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงที่ฉันให้ไว้กับพี่ชายของนายอยู่แล้ว (ไม่ต้องถามหรอกนะ เพราะฉันยังบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่สัญญาว่าหากได้เจอกันจะเล่าให้ฟังทุกอย่างแน่นอน)
วันนี้เหนื่อยมากหรือเปล่า เป็นวันเกิดแท้ๆ ยังต้องไปแสดงในงานกิจกรรมอีก น่าแปลกจริงๆ ที่วันปีใหม่ทั้งทียังจัดกิจกรรมกันอยู่ อา...คงเป็นเพราะเกิดเหตุให้โดนเลื่อนสินะ แต่เอาเถอะ เพราะถ้าไม่มีกิจกรรม คนที่ฉันส่งไปก็คงไม่ได้เอาจดหมายฉบับนี้ให้ลูกแกะ
เปิดการ์ดดูสิ... นั่นคือของขวัญในปีนี้ที่ฉันมอบให้นาย
ด้วยรัก
Gin.
ประมุขวางจดหมายลงบนโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆ บรรจงเปิดการ์ดที่ได้รับจากคนสำคัญอย่างทะนุถนอม ดวงตากวาดผ่านตัวอักษรทุกตัวอย่างตั้งใจ ไล่ตั้งแต่ตัวแรกยันตัวสุดท้าย และวนซ้ำไปซำ้มาอยู่หลายรอบ
ของขวัญชิ้นนี้จะทำให้ลูกแกะยิ้มได้หรือเปล่านะ...
MGRAY
ยิ้มเหรอ...
แค่ยิ้มยังน้อยไป!
ตัวอักษรสั้นๆ แค่ห้าตัวนั่นมันทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าตอนได้ลูกโป่งเสียอีก พิสูจน์เอาจากมือที่กำลังกดโทรศัพท์ซึ่งสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดก็รู้แล้ว
ประมุขรีบเข้าโปรแกรมแชท ใส่ชื่อที่ได้มาลงไป จากนั้นก็จ้องรูปโปรไฟล์ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนแกะน่ารักๆ อยู่นานหลายนาที ใจยังคงไม่กล้ากดแอดไป ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เพราะตื่นเต้นจนสั่นไปหมดทั้งตัว
“แต่ถ้าไม่กดสักทีก็คงไม่ได้คุยกัน” เขาพึมพำและกลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ย สุดท้ายก็ฮึบแล้วกดแอดไปอย่างรวดเร็ว ห้องแชทที่เด้งขึ้นมามีเพียงความว่างเปล่า ประมุขจ้องมองมันนิ่งงัน มือพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่หลายรอบก็ยังไม่ได้กดส่ง จนกระทั่ง...
M.GRAY: กดแอดมาแล้วแต่ไม่ยอมทัก ฉันรอนานแล้วนะ
คนอ่านจ้องจอโทรศัพท์จนตาแทบถลน สองแก้มกลมดิกเพราะกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่อาจทนได้นาน ต้องเผยรอยยิ้มกว้างออกมาตามใจอยากจนได้
GP.MUK: ขอโทษครับ ผมตื่นเต้นอยู่
M.GRAY: ดีใจกับของขวัญชิ้นนี้หรือเปล่า
GP.MUK: มากที่สุดเลย ขอบคุณมากๆ เลยนะ
GP.MUK: *สติกเกอร์แกะยิ้มกว้าง*
ประมุขในเวลานั้นยังคงไม่เข้าใจเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง เขารู้เพียงว่าคนคนนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว และบางทีเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันผ่านจดหมายหรือผ่านโทรศัพท์ อาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้เรื่องของเขาดียิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ที่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเสียอีก
วันเวลาผันผ่าน จากที่ต้องคอยเฝ้ารอรับจดหมายทุกวันเสาร์ กลับกลายเป็นได้รับคำทักทายอรุณสวัสดิ์และบอกฝันดีในตอนกลางคืนของทุกวัน ประมุขยังคงใช้ชีวิตตามปกติ แต่เขาไม่เคยเหงาอีกเลย เวลาใดที่รู้สึกท้อ รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดส่งข้อความไปบอกคนที่อยู่ไกลลิบ ไม่ถึงห้านาทีถัดมาอีกฝ่ายก็จะตอบกลับมาแล้วปลอบประโลมจนอาการดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
มันคือความรู้สึกพิเศษที่ถูกส่งผ่านมาทางตัวหนังสือ...
หากใครมารู้เข้าแล้วพูดเหมือนดีดี้ ถามว่าเขายึดติดกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าได้อย่างไร จะไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่จะเกิดความรู้สึกพิเศษให้แก่คนคนนั้น ประมุขคงยิ้มแล้วหยิบจดหมายฉบับแรกให้ดู บอกให้รู้ว่าระยะเวลาที่พวกเขาแสดงความสม่ำเสมอต่อกันมันไม่ใช่เพียงวันสองวัน แต่ผ่านมานานหลายปีก็ยังคงเป็นเช่นเดิม แม้จะไม่เห็นหน้าแล้วอย่างไร เขารู้เพียงในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด คนคนนั้นคือแสงสว่างที่ฉุดรั้งกันเอาไว้ ทำให้เขายังคงยิ้มได้อยู่จนถึงวันนี้
และถ้ายังเห็นภาพไม่ชัด ยังไม่เข้าใจอีกว่าคนคนนั้นยิ่งใหญ่และสำคัญสำหรับเขามากขนาดไหน ก็คงต้องพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนประมุขอายุครบสิบเก้าปี ในเวลาที่เขากับพี่ชายย้ายกลับมาอยู่ไทยด้วยกันเป็นวันแรก
“มึงแน่ใจนะว่าไปซื้อได้”
“ได้ดิ แค่ไปซื้อของแค่นี้เอง มึงทำความสะอาดบ้านรอไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” คนอวดเก่งบอกพี่ชายที่กำลังหรี่ตามองมาคล้ายไม่เชื่อ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสตางค์แล้วเดินออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว
นานแล้วเหมือนกันที่ประมุขไม่ได้กลับมาเหยียบประเทศไทย เขาแทบจะลืมไปหมดแล้วว่าถนนหนทางและการเดินทางที่นี่ทำอย่างไร เพราะตอนที่มาครั้งล่าสุดก็เด็กเกินกว่าจะทำอะไรตามลำพัง แต่ถ้าไม่ลองออกไปไหนมาไหนด้วยตัวเองบ้าง เห็นทีคงต้องพึ่งพาคนอื่นไปตลอดชีวิต
“เอาน่า... แค่นั่งรถเมล์ไปไม่กี่ป้ายเอง”
นั่งรถเมล์ไปไม่กี่ป้าย... แต่สุดท้ายกลับหลงไปลงที่ไหนก็ไม่รู้ มองซ้ายมองขวาไม่มีใครเดินผ่านมาให้ถามเลยสักคน ไหนจะท้องฟ้ามืดมิดมองแทบไม่เห็นทางนี่อีก รถที่ผ่านไปผ่านมาก็แทบจะไม่มี
ประมุขนั่งหงอยอยู่ที่ป้ายรถเมล์นานหลายนาทีก็ยังไม่มีรถเมล์คันอื่นๆ มาถึง สุดท้ายความกลัวก็เอาชนะทิฐิจนต้องโทรไปหาฮ่องเต้ แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่รับสายเสียอย่างนั้น
“ทำความสะอาดจนไม่ได้สนใจโทรศัพท์แน่เลย...”
เมื่อไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปจึงทำได้เพียงมองซ้ายมองขวากอดตัวเองแล้วรอคอยรถอย่างใจเย็น หากจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผ่านมาสักคัน จากที่แค่หนาวเฉยๆ เริ่มกลายเป็นความวิตกหวาดกลัว โทรศัพท์ที่เหลือแบตอยู่แค่สองเปอร์เซนต์ทำเอาใจหายวาบ และในตอนนั้นเอง...
ครืด
M.GRAY: ทำไมวันนี้เงียบๆ ไป ถึงไทยหรือยัง
คนที่เริ่มหวาดกลัวกำโทรศัพท์แน่นทั้งที่ตัวสั่นใจสั่น มือรีบกดตอบข้อความอย่างรวดเร็ว บอกเล่าสถานการณ์ที่กำลังพบเจอให้อีกคนรู้ตามความเคยชินที่ไม่ว่าจะมีเรื่องเล็กน้อยขนาดไหนก็บอกกันเสมอ
GP.MUK: ผมนั่งรถเมล์มาลงป้ายไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้ไม่มีรถผ่านมาเลยครับ ทำยังไงดี แบตจะหมดแล้วด้วย
M.GRAY: รีบแชร์โลเคชั่นมาให้ฉัน
GP.MUK: *ส่งโลเคชั่น*
GP.MUK: คุณครับ ผมหนาว มองไม่เห็นอะไรเลย
M.GRAY: รอที่นั่น อย่าเดินไปไหน
ประมุขสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อแสงจากจอโทรศัพท์ดับไปเฉยๆ โดยที่เขายังไม่ได้ตอบข้อความ ทว่าความเชื่อใจที่มีมากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็ยังทำให้เขากอดตัวเองและนั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น แม้จะไม่รู้ว่าคนคนนั้นที่อยู่คนละประเทศจะช่วยกันได้อย่างไรก็ตาม
ห้านาทีหลังจากที่เขานั่งกอดตัวเองอยู่ที่เดิมอย่างอดทน มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นเป็นครั้งแรก ประมุขรีบหันไปมองเผื่อว่าจะเจอคนที่มานั่งรอรถเมล์เหมือนกัน แต่เมื่อได้เห็นท่าทางแปลกๆ ไม่น่าไว้วางใจของชายวัยกลางคนร่างท้วม เขาก็เปลี่ยนกลับไปมองถนนด้วยความคาดหวังเช่นเดิม
“ไง น้องชาย” เสียงทักทายจากคนด้านข้างทำให้คนที่ปกติอัธยาศัยดีขนลุก ระยะห่างที่อีกฝ่ายนั่งลงข้างกายทำให้เขาอึดอัดขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยได้ เพราะตรงจุดนี้มีคนอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
“ครับ...”
“นั่งรอรถเหรอ”
“ใช่ครับ”
“ดูท่าจะรอมานานแล้วสินะ หิวหรือเปล่า”
กลิ่นเหล้าที่ลอยมากระทบจมูกทำเอาคนที่เพิ่งได้กลับมาเหยียบประเทศนี้รู้สึกอยากวิ่งหนีไปให้ไกล แน่นอนว่าเขาไม่ได้อ่อนแอไม่สู้คน แต่ดูจากขนาดตัวที่มองเห็นผ่านๆ แล้ว ประมุขไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าเขาจะเอาชนะได้หรือเปล่า
“ไม่หิวครับ”
“ไม่ต้องโกหกหรอกน่า ไปหาอะไรกินก่อนดีไหม ยังไงก็รอนาน...”
เอี๊ยด!
เสียงเบรกของรถราคาแพงที่วิ่งมาจอดอยู่หน้าป้ายรถเมล์แบบพอดิบพอดีทำให้คนสองคนที่กำลังสนทนากันลืมเลือนเรื่องที่พูดคุยไปชั่วขณะ ประมุขรีบลุกขึ้นอย่างมีความหวัง และเมื่อได้เห็นชายชาวต่างชาติสองคนในชุดสูทสีดำสนิทเดินลงมาจากรถ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจคนด้านหลังอีก
“เฮ้ย!” ชายวัยกลางคนโวยวายเมื่อเห็นเหยื่อที่เล็งไว้ทำท่าจะถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตา ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากบอกว่าตัวเองจองก่อนแล้ว ชายในชุดสูทคนหนึ่งก็สะบัดชายเสื้อ เผยให้เห็นอาวุธอันตรายที่เหน็บอยู่ข้างเอว เพียงเท่านั้นคำพูดทั้งหมดก็จางหาย ต้องรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวตาย
“ขึ้นรถเถอะครับ” หนุ่มต่างชาติหันกลับไปเอ่ยกับแขกคนสำคัญเป็นภาษาอังกฤษด้วยความสุภาพ ก่่อนจะยื่นแบตสำรองกับสายชาร์จที่เตรียมมาไปให้ตามคำสั่ง
“คุณเป็น...”
“คนคนนั้นส่งพวกเรามาครับ”
แค่ได้ยินคำว่าคนคนนั้นประมุขก็ฉีกยิ้มกว้าง รีบขึ้นไปนั่งบนรถแล้วรอโทรศัพท์ติดอย่างใจจดใจจ่อ โดยที่ชายในชุดสูทสองคนด้านหน้าเองก็ไม่ได้พูดหรืออธิบายอะไร ราวกับรู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็คงถามเอาจากคนคนนั้นมากกว่า
ทันทีที่เปิดเครื่องติด โปรแกรมแชทก็แจ้งเตือนถึงข้อความที่เปิดค้างไว้และยังไม่ได้อ่าน ประมุขเอียงคอมองด้วยความสงสัย เมื่อพบว่ามันมีเพียงสามข้อความเท่านั้น ไม่ได้เยอะแบบที่เขาคิด
M.GRAY: ลูกแกะ
M.GRAY: แบตหมดแล้วสินะ
M.GRAY: ถ้าติดแล้วบอกฉันด้วย
หากมองดูอาจคิดว่าเป็นคนใจเย็นเหลือเกิน แต่การที่ส่งคนมาหาได้ภายในเวลาไม่นานบ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงกันมากมายขนาดไหน ในวินาทีนั้นประมุขอบอุ่นไปทั้งใจ แม้แต่ตอนที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ หยาดน้ำใสๆ ก็เอ่อคลอสองตาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
GP.MUK: ผมอยู่บนรถแล้วครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง
GP.MUK: ขอบคุณนะครับ
M.GRAY: น่าลงโทษจริงๆ ทำยังไงถึงไปหลงอยู่ตรงนั้นได้หืม
GP.MUK: ผมอาสาออกมาซื้อของแล้วให้พี่ชายทำความสะอาดบ้านรอ แต่เหมือนจะนั่งเพลินจนเลยป้าย
M.GRAY: น่าตี
GP.MUK: มาตีสิครับ ผมยอมให้คุณตีสิบทีเลย จริงๆ นะ
M.GRAY: อยากให้ไปหาก็พูดมาตรงๆ
ประมุขหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นข้อความ แม้จะรู้ว่ายังไงเขาก็คงมาไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ หากเขาก็ยังเลือกที่จะตอบกลับไปตามตรงเหมือนเช่นทุกครั้ง
GP.MUK: ผมอยากให้คุณมาหา ผมอยากเจอคุณ
M.GRAY: ขอโทษที่ต้องบอกให้รออีกแล้ว นายเบื่อจะฟังคำนี้หรือยัง
GP.MUK: ไม่ครับ ถ้าคุณบอกให้รอแสดงว่ายังมีความหวังอยู่ คุณก็รู้ว่าผมเชื่อฟังคำพูดของคุณมาโดยตลอด
M.GRAY: เด็กดี
คนที่กำลังจะเข้าเรียนมหา’ลัยในอีกไม่กี่วันอมยิ้มจนแก้มตุ่ย ท่าทางดูดีอกดีใจที่ได้รับคำชมราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ และแน่นอนว่าทุกการแสดงออกของเจ้าตัวถูกชายในชุดสูทที่ลอบมองอยู่จากเบาะหน้าจดจำเอาไว้จนหมด เพราะหลังจากไปส่งคนสำคัญของนายถึงที่แล้ว พวกเขายังต้องไปรายงาน ‘ท่าทางการแสดงออก’ ทั้งหมดของอีกฝ่ายให้นายรู้ด้วย
GP.MUK: คุณครับ แล้วคุณส่งคนมารับผมได้ยังไงเหรอ คุณอยู่ฝรั่งเศสนี่นา
M.GRAY: มาสงสัยอะไรเอาป่านนี้ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็มีคนของฉันวนเวียนอยู่รอบตัวนายตลอดไม่ใช่หรือไง
GP.MUK: นั่นก็ใช่... แต่ปกติพวกเขาจะมาแค่ตอนที่ผมต้องการกำลังใจนี่นา อีกอย่างคือผมเพิ่งมาไทยวันนี้ด้วย ไม่คิดว่าจะมีคนของคุณอยู่ที่นี่
M.GRAY: หึหึ ฉันจะปล่อยให้ลูกแกะน้อยไปผจญโลกกว้างได้ยังไง แล้วก็คิดถูกแล้วจริงๆ นั่นแหละ ถ้าคนของฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นนายจะทำยังไงหืม
GP.MUK: ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
“คือว่า...” นึกมาถึงตรงนี้ลูกแกะน้อยก็เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ตาเบนไปมองคุณฝรั่งตัวโตทั้งสองคนด้วยความรู้สึกผิด “ขอบคุณมากๆ เลยนะครับที่มาช่วย ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ลำบาก”
หนุ่มต่างชาติที่รักษาสีหน้าราบเรียบมาโดยตลอดเผลอแสดงความประหลาดใจออกมาวูบหนึ่ง ราวกับไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำขอบคุณจากคนสำคัญของนาย ทว่าสุดท้ายคนที่ยื่นส่งแบตสำรองให้ประมุขก็พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“ไม่เป็นไรครับ”
เมื่อได้พูดในสิ่งที่ต้องการแล้ว ลูกแกะนิสัยดีก็ก้มหน้าก้มตาคุยแชทในโทรศัพท์ต่ออย่างร่าเริง
GP.MUK: เมื่อกี้ผมขอบคุณพี่ๆ ที่มาช่วยด้วย
M.GRAY: หืม...หมายถึงการ์ดของฉันเหรอ
GP.MUK: อ๋อ พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดสินะครับ มิน่าถึงได้ดูมาดดีกันทั้งคู่เลย
M.GRAY: ใช่ เป็นการ์ดของฉันเอง เพราะงั้นถึงต้องรายงานทุกเรื่องให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่เมื่อกี้นายเกือบจะโดนไอ้ขี้เมาที่ไหนก็ไม่รู้ลากไปด้วย ทำไมไม่ยอมบอกฉัน
GP.MUK: ผมคิดว่าไม่เป็นไรแล้ว
M.GRAY: ก็เลยไม่บอก?
GP.MUK: ขอโทษครับ
M.GRAY: เอาเถอะ ส่งนายเสร็จฉันจะให้คนไปจัดการ
GP.MUK: จัดการอะไรครับ คุณจะทำอะไรเขาเหรอ
M.GRAY: ทำให้จำว่าอย่ามายุ่งกับคนของฉัน
GP.MUK: อย่าให้เกินไปเลยนะครับ เขายังไม่ได้แตะโดนตัวผมเลย จริงๆ นะ ถามพี่การ์ดดูก็ได้
M.GRAY: แค่อย่าทำเกินเลยเหรอ คิดว่าจะห้ามเสียอีก
GP.MUK: ต้องห้ามด้วยเหรอ ก็เขาผิดจริงๆ นี่นา ขอแค่คุณไม่ทำอะไรร้ายแรงก็พอแล้ว
M.GRAY: ทำไมล่ะ ฉันทำให้มันเข้าไปอยู่ในคุกได้เป็นสิบปีเลยนะ เรื่องแค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก
GP.MUK: นั่นแหละที่เรียกว่าเกินไป ผิดก็ว่าไปตามผิด แต่อย่าใช้อำนาจในทางที่ไม่ดีสิ
M.GRAY: ลูกแกะไม่ชอบ?
GP.MUK: เมื่อไม่นานมานี้พ่อผมโดนใส่ความจนเกือบได้เข้าไปอยู่ในคุก เพียงเพราะไม่ยอมทำตามความต้องการผิดๆ ของคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต กว่าจะผ่านมาได้พวกเราลำบากกันมากจนต้องเริ่มทุกอย่างใหม่หมด เพราะแบบนั้นผมถึงได้เกลียดคนที่ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่ชอบทำอะไรผิดกฎหมาย
M.GRAY: เข้าใจแล้ว ฉันจะไม่มีวันทำอะไรที่ลูกแกะไม่ชอบเด็ดขาด
GP.MUK: ขอบคุณครับ
M.GRAY: แต่ทำไมลูกแกะถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง ทำไมไม่บอกว่านายกำลังลำบาก
GP.MUK: เพราะผมไม่อยากรบกวนคุณ ถึงจะรู้ว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดาและต้องช่วยครอบครัวของผมได้แน่ๆ แต่ผมก็ยังอยากลองพยายามดูก่อน แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ นะ พวกเรารักกันมากๆ เลย
M.GRAY: ดื้อจริงๆ
GP.MUK: ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง
GP.MUK: *สติกเกอร์กระต่ายยิ้มกว้าง*
เพียงแค่นึกถึงช่วงเวลาอันยากลำบากของครอบครัวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประมุขก็เผลอคลี่ยิ้มเศร้าโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงแม้แต่ตอนนี้สถานะทางการเงินของพวกเขาก็ยังไม่คงที่นัก แต่ก็ถือว่าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเดือนก่อน และอีกไม่นานก็คงจะกลายเป็นปกติอีกครั้ง ซึ่งมันก็แลกมากับการที่พ่อลูกต้องแยกกันอยู่คนละที่ ยังดีที่ประมุขกับฮ่องเต้เคยชินกับการอยู่กันแบบสองพี่น้องแล้วจึงไม่ต้องทำใจมากนัก
ครืด
แรงสั่นสะเทือนที่มือทำให้คนที่กำลังเหม่อลอยหลุดออกจากภวังค์ รีบก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความอย่างเร่งด่วน เพราะไม่อยากปล่อยให้คนคนนั้นรอนาน
M.GRAY: ถ้ามีปัญหาอะไรที่รับไม่ไหว ต้องบอกฉันเป็นคนแรก เข้าใจหรือเปล่า
และเพียงแค่ได้อ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ ความอึดอัดในใจก็จางหายไปแทบจะทันที สำหรับเขาที่ทั้งชีวิตมีเพียงครอบครัวที่สำคัญ การที่มีใครบางคนมาเสนอความช่วยเหลือ ทั้งยังคอยให้กำลังใจ ช่วยดูแลมานานหลายปี มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยสักนิด แล้วแบบนี้จะไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร
วินาทีนั้นประมุขรู้ตัวเป็นครั้งแรกว่าสำหรับเขา คนที่คุยกันโดยไม่เห็นหน้ามานานหลายปีไม่ใช่เพียงเพื่อนคุยธรรมดา แต่เป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กชายประมุขที่มีเพียงความเศร้าให้กลับมาสดใสได้อีกครั้ง
เกรย์คือคนสำคัญ...ที่เขาจะไม่ยอมเสียไปเป็นอันขาด
ประมุขวางจดหมายสีเหลืองซีดที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีลงบนโต๊ะ ข้อความทุกตัวอักษรที่ทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตยังคงตอกย้ำให้เขารู้อยู่เสมอว่าเกรย์มีความสำคัญมากขนาดไหน ในตอนนั้นเขาไม่อาจตอบแทนความดีทุกอย่างให้ได้ และในตอนนี้เองก็อาจจะเป็นเช่นเดิม ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ประมุขมั่นใจว่าเขาทำได้ดีกว่าใคร
เขาจะไม่ปล่อยให้เกรย์ยืนต่อสู้กับเรื่องราวมากมายเพียงลำพังอีกแล้ว ต่อให้ต้องถูกหมายหัวไปด้วย หรือต้องเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เป็นไร
เมื่อคิดได้ดังนั้น รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ประมุขรีบหันไปคว้าโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ขึ้นมากดโทรออก ขณะที่สายตามองตุ๊กตาแกะกับหมาป่าสีชมพูขนาดเท่าตัวคนที่นั่งขนาบข้างอยู่อย่างอ่อนโยน
[ลูกแกะ เป็นอะไรหรือเปล่า]
“เปล่าครับ ผมแค่คิดถึงคุณ”
[หืม...มาแปลกนะเนี่ย] เสียงทุ้มต่ำเจือความประหลาดใจและพอใจไปพร้อมๆ กันทำให้คนฟังยิ้มกว้างกว่าเดิม [ได้ข่าวว่าวิคเตอร์หาตุ๊กตามาให้ได้แล้วใช่ไหม]
“ใช่ครับ แต่ก็ใช้เวลาสามวันเลยนะ ตอนมาหาผมนี่หน้าซีดเชียว” ประมุขหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงสภาพของคุณการ์ดหน้าดุที่แบกตุ๊กตาขนาดเท่าตัวเองมาให้ถึงห้อง ดูจากหน้าตาซีดเซียวไร้สีเลือดที่พยายามบังคับให้ราบเรียบแล้วน่าจะไม่ได้นอนมาหลายวัน ทั้งดูน่าสงสารแล้วก็น่าตลกไปพร้อมๆ กัน
[สมควร… แล้วนี่ลูกแกะทำอะไรอยู่]
“ผมแวะไปที่บ้าน แล้วก็เอากล่องเก็บจดหมายกับของที่คุณให้ไว้มานั่งดูที่ห้องของเราครับ”
[จดหมายเหรอ...]
“อื้อ การ์ดวันเกิดก็ยังอยู่ เห็นแล้วนึกถึงอดีตเลย” ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะเขานึกย้อนกลับไปถึงวันแรก ลากยาวมาจนปัจจุบัน ทุกความทรงจำยังคงชัดเจนราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “เกรย์...”
[หืม]
“จำตอนที่คุณส่งคนมารับผมที่ป้ายรถเมล์ วันที่ผมเพิ่งกลับมาถึงไทยเป็นวันแรกได้หรือเปล่า”
[อา...ที่มีลูกแกะดื้อดึงออกไปซื้อของแบบไม่รู้ทิศทาง]
“ใช่ครับ” ลูกแกะที่ว่าอมยิ้มจนแก้มตุ่ย มือลูบไล้การ์ดสีชมพูในมือไปมาอย่างอ่อนโยน “ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องหนึ่งกับคุณ”
[อะไรเหรอ]
“คุณรู้ใช่ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
[…]
“ผมจะไม่ยอมปล่อยให้คุณต้องต่อสู้กับเรื่องราวมากมายเพียงลำพังอีกแล้ว” ประมุขพูดอย่างมั่นใจ ไม่ได้รู้สึกเขินอายเลยสักนิดที่ต้องสารภาพความรู้สึกทุกอย่างออกไป เพราะสำหรับพวกเขา ทุกอย่างมันชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้ว
[แม้ว่ามันจะอันตรายขนาดไหนก็ตามเหรอ] เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าปลายสายจะตอบกลับมา ทว่าน้ำเสียงที่ดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดกลับทำให้คนฟังยิ้มตามได้ไม่ยาก
“ครับ”
[ลูกแกะ...]
“ต่อให้พื้นที่ข้างคุณอันตรายกว่านี้อีกเป็นล้านเท่าผมก็ไม่สนใจ ขอแค่ให้เราได้รักกัน...เท่านั้นก็พอแล้ว”
[…]
“คุณคือคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผม ขอบคุณมากนะครับ” ความรู้สึกในใจทั้งหมดถูกพูดออกไปในคราวเดียวโดยไม่ได้เห็นหน้าคู่สนทนา คนพูดไม่ได้รู้สึกอะไรนอกเหนือไปจากมีความสุข
แต่สิ่งที่ประมุขไม่รู้ก็คือ...
[ขอบคุณเหมือนกันที่ยอมตอบจดหมายในวันนั้น]
คำพูดของเขาเองก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของใครคนหนึ่งที่เกือบจะหลงระเริงอยู่ในความมืดมิดให้หันกลับมายืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างได้อีกครั้งเช่นเดียวกัน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ความผูกพันธ์ทางใจยาวนานขนาดนั้นไม่แปลกที่ลูกแกะถึงเชื่อใจรอมาตลอด
ดีมากๆTwT อ่านไปก็ยิ้มไปกับความน่ารักของทั้งคู่ ทั้งคู่เหมือนมาเติมเต็มซึ่งกันและกันอบอุ่นมากๆเลยค่ะ
#รู้สึกดี