ตอนที่ 12 : PRAMUK-10-
-10-
คนของเกรย์ทำงานได้เร็วมากจนน่ากลัว ยังไม่ทันพ้นวันที่จักรพรรดิโทรมาบอกเรื่องคนสำคัญถูกพาตัวไป ข่าวคร่าวต่างๆ ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว หากสิ่งที่ไวยิ่งกว่ากลับเป็นภีมภัทรที่หลบหนีการจับกุมออกมาด้วยตัวเอง ทำเอาแม้แต่เกรย์ยังเผลอทำสีหน้าถูกอกถูกใจออกมา ขณะที่ประมุขในเวลานั้นเบิกตากว้างจนแทบถลน
คนคนนั้นเหมาะกับพี่ชายของเขามากจริงๆ... ไม่รู้ว่าถ้าเป็นตัวเอง เขาจะเข้มแข็งได้เท่าภีมหรือเปล่า
หลังจากนั่งรอฟังข่าวจากบรรดาทีมเอที่ออกไปลงพื้นที่ได้พักหนึ่ง ในที่สุดเกรย์ก็ได้รับคำตอบที่ต้องการ จักรพรรดิให้จัดการส่งหลักฐานการทำผิดทั้งหมดของมินตราไปให้ตำรวจก่อนได้เลย เมื่อได้พูดคุยกับเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะส่งตัวตามไปทีหลัง ทั้งยังย้ำให้จัดข้อหาที่หนักที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ไม่นานหลังจากนั้นคนที่กำลังรอก็เป็นฝ่ายติดต่อมาด้วยตัวเอง พวกเขายกโขยงไปที่ไร่อาชาวินซึ่งเป็นไร่ที่ช่วยเหลือภีมภัทรเอาไว้ ประมุขที่ไม่ได้เดินเข้าไปด้านในจ้องมองภาพพี่ชายกับภีมที่กำลังกอดกันด้วยดวงตาร้อนผ่าว กระทั่งถูกดึงตัวเข้าไปโอบไว้หลวมๆ เขาจึงกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาออกไป ก่อนจะเงยมองคนข้างกายพร้อมรอยยิ้ม
“พี่จักรจะมีความสุขจริงๆ แล้วใช่ไหมครับ”
เกรย์ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ยกมือขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาที่ยู่ยี่ยิ่งกว่าสองคนด้านในให้อย่างอ่อนโยน รอจนถูกจ้องด้วยดวงตาน่าเอ็นดูมากเข้า เขาจึงพยักหน้าแล้วหมุนตัวพาลูกแกะเดินไปอีกทาง
“แน่นอน”
กลางดึกคืนนั้น ประมุขรู้สึกเหมือนคนที่นอนอยู่ข้างกายขยับลุกขึ้นจากเตียง ด้วยความที่นอนต่อไม่หลับเขาจึงเดินงัวเงียตามเกรย์ออกไปด้วย แต่แล้วก็ต้องไปหยุดยืนอยู่ตรงมุมเสา เมื่อพบว่าพี่จักรกับเกรย์นั่งคุยกันอยู่ตามลำพังที่ห้องรับแขกของไร่อาชาวินที่ยินยอมให้พวกเขาค้างคืนกันที่นี่
ประมุขไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เพราะมันเป็นภาษาฝรั่งเศสล้วนๆ ซึ่งเขาเข้าใจแค่บางคำ แต่ดูเหมือนเกรย์จะให้พี่จักรยืมคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่การ์ดที่ถูกเรียกว่าทีมเอ แต่เป็นการ์ดอีกทีมที่คอยดูแลอยู่ห่างๆ พวกเขาเหล่านั้นหันไปพูดคุยกับพี่จักรสักพัก จากนั้นก็แยกตัวเดินออกจากบ้านไป
คืนนั้นประมุขกลับไปนอนต่อด้วยความสงสัย ทว่าเมื่อคนสำคัญกลับมากอดกันไว้ เขาก็หลับต่ออย่างง่ายดาย และได้รับคำตอบในวันถัดไป... เมื่อต้องตามเข้าไปในตัวป่า ตรงไปยังสถานที่ที่ภีมภัทรถูกจับไปเมื่อคืน
“ถ้าลูกแกะไม่อยากลง นั่งรออยู่บนรถก็ได้นะ”
“ไม่ครับ ผมจะไปกับคุณ” เขาส่ายหน้าปฏิเสธในทันที แม้ในใจจะหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
ภาพของชายชาวต่างชาติตัวใหญ่ที่ถูกมัดห้อยหัวไว้กับต้นไม้ในสภาพยับเยินหลายคนทำให้ผู้ที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนสั่นไปหมดทั้งตัว ทว่าอ้อมแขนที่โอบรัดกายไว้กลับทำให้รู้สึกปลอดภัยโดยไร้เหตุผล ยิ่งยามได้หันไปเห็นดวงตาห่วงใยที่ฉายแววไม่มั่นใจของเกรย์เข้า เขาก็ยิ่งไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกไปให้เห็น
ประมุขพยายามทำท่าทีให้เป็นปกติ เมื่อเห็นภีมเข็นวีลแชร์พาพี่จักรออกมาจากบ้านไม้หลังเล็ก ซึ่งเกรย์บอกว่าเป็นที่ที่แม่ของเขาถูกจับมัดเอาไว้ นั่นเป็นเวลาเดียวกันกับที่บรรดาการ์ดของเกรย์เก็บกวาดคนที่ถูกห้อยหัว จัดการเอามามัดไว้บนพื้นเสร็จเรียบร้อยพอดี
“เดี๋ยวจัดการต่อให้เอง” คนที่มีอำนาจสั่งการได้ทุกอย่างบอกเสียงเรียบ ไม่ได้คาดหวังจะเอาอะไรจากเพื่อนผู้แสนเย็นชา ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป...
“ขอบคุณ” จักรพรรดิตอบแค่นั้นแล้วส่งสัญญาณให้คนด้านหลังพาไปที่รถโดยไม่สนใจใบหน้าแปลกใจสุดขีดของเกรย์กับประมุขที่มองตามหลัง
พื้นที่บริเวณนั้นถูกส่งต่อให้อเล็กซ์จัดการ เมื่อเกรย์รู้สึกเหมือนลูกแกะเริ่มหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นเลือดมากเกินไป หรือเพราะเห็นความโหดร้ายของบรรดาพี่การ์ดคนสนิทที่ลากคนของแม่มดไปทางนั้นทางนี้แบบไม่ยั้งแรง
“ลูกแกะคงไม่มีอะไรอยากพูดกับแม่เป็นครั้งสุดท้ายใช่ไหม”
คนฟังชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ เมื่อได้ยินคำถามที่ไม่คาดคิดจากปากของเกรย์ แต่พอได้นิ่งคิดไปสักพัก เขาก็ต้องส่ายหน้าออกมา เพราะถ้าไม่ได้ยินคำว่า ‘แม่’ บางทีอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าคนที่กำลังจะถูกจับเข้าตาราง ไม่มีโอกาสได้ออกมาข้างนอกอีกตลอดชีวิตคือแม่แท้ๆ ของตัวเอง
“เรากลับกันเถอะครับ”
ตลอดระยะเวลากลับที่พัก ประมุขเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง คิดถึงเรื่องราวที่ได้พบเจอมาและจบลงไปของพี่ชายด้วยความโล่งอก ในที่สุดครั้งนี้พี่จักรก็จะได้มีความสุขจริงๆ เสียที แต่ดูเหมือนคนที่นั่งด้านข้างจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ
“กลัวเหรอ” เกรย์เผยสีหน้าหวั่นไหวออกมาเมื่อเห็นท่าทีของลูกแกะ ใจนึกกังวลไปสารพัดว่าอีกคนอาจจะกลัวภาพที่เห็นจนอยากถอยห่าง ทว่ายังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เจ้าของดวงตาใสซื่อก็หันกลับมามองกันด้วยใบหน้างุนงงจนถึงขีดสุด
“กลัวอะไรเหรอ”
กลายเป็นแทบไม่ได้สนใจเลยเสียอย่างนั้น...
“ฉันคิดว่าลูกแกะจะกลัวจนไม่อยากอยู่ใกล้แล้ว” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ดึงคนน่าฟัดเข้ามาโอบไว้หลวมๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองอีกครั้ง
“กลัว... อ๋อ ที่เห็นเมื่อกี้เหรอครับ” ประมุขพยักหน้าเข้าอกเข้าใจเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่เพิ่งเจอเหตุการณ์อะไรมา แต่คงเป็นเพราะเขาลืมง่ายเอามากๆ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทั้งยังมีภูมิต้านทานไม่จำในเรื่องที่ไม่อยากจำ พอขึ้นรถมาเลยแทบไม่ได้นึกถึงอะไรพวกนั้นเลย “ผมลืมหมดแล้ว”
“หืม ง่ายขนาดนั้นเชียว” เกรย์เอียงคอถามยิ้มๆ
“อื้อ ง่ายแบบนี้แหละ ผมเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว คุณก็รู้”
“หึหึ”
สุดท้ายคนง่ายๆ ก็โดนขยี้จนขนฟูฟ่องไปหมดทั้งตัวด้วยความมันเขี้ยว ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่บ่นไม่ว่าอะไรออกมาสักคำ ยังคงเงยหน้าหลับตาพริ้ม รอให้เกรย์ลูบหัวลูบหางให้เข้าที่เหมือนเดิมด้วยความสบายอกสบายใจ มองยังไงก็เป็นลูกแกะที่น่าเอ็นดูที่สุดในโลกเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
“เกรย์... แล้วหลังจากนี้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นยังไงเหรอครับ”
“ไม่ได้ออกมาข้างนอกอีกแน่ๆ” คนตอบว่าเสียงเรียบไร้ความรู้สึก “แต่คิงอาจจะต้องกลับไปเคลียร์ธุระต่างๆ ที่ฝรั่งเศสให้เรียบร้อยก่อนถึงจะย้ายมาที่นี่ได้ถาวร อย่างน้อยก็ควรไปรับรู้เรื่องพินัยกรรมของพ่อเลี้ยง ถึงจะรู้แต่แรกว่าคงไม่ได้อะไรเลยก็ตาม”
“พี่ไม่ได้อะไรเลยเหรอ”
“อ่า... ถึงได้ก็คงไม่เอาหรอก เรื่องนี้ลูกแกะไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะคอยช่วยพี่ชายของนายเอง อีกไม่กี่วันก็คงจะเดินทางแล้ว” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้คนทั้งคู่ก็นิ่งค้างไปนาน
ประมุขค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะส่งยิ้มไปให้คนที่น่าจะเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้บอกเขาเรื่องที่ต้องกลับฝรั่งเศสโดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกทีเมื่อไหร่
“ผมเองก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้วเหมือนกัน คุณกลับไปทำธุระให้เรียบร้อยเถอะครับ ถ้าว่างค่อยมาหาใหม่ก็ได้ อีกปีเดียวผมก็เรียนจบแล้ว”
“จริงๆ ฉันน่าจะมาเจอลูกแกะตอนเรียนจบมากกว่า” เกรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แอบยอมรับในใจว่าตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผิดกับการตัดสินใจของตัวเอง “ถ้าเจอตอนเรียนจบแล้ว เวลาต้องไปไหนก็พาไปด้วยกันได้ ไม่ต้องแยกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว”
ที่สำคัญคือลูกแกะยังเป็นเป้าหมายของคนไม่หวังดีที่เก็บตัวได้เงียบจนน่าประหลาดใจนั่นด้วย...
ตั้งแต่ที่เริ่มมีคนเข้ามาขู่ เกรย์ก็ให้คนติดตามดูเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทั้งทางฝั่งไทยและฝั่งฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาคู่ค้าที่มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายอย่าง ซึ่งเขาเองก็จำไม่ได้ว่าไปมีเรื่องกับใครมาบ้าง เพราะมันเยอะมากจนต้องมีทีมบอดี้การ์ดหลายทีมเป็นของตัวเอง ทว่าจนถึงตอนนี้ คำตอบที่ได้รับจากจิม คนสนิทที่มีความสามารถรอบด้านกลับมีเพียงความว่างเปล่า
‘เป็นเพราะฝ่ายนั้นไม่ได้ลงมือต่อเนื่อง แล้วยังรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเราถึงจะจับไม่ได้ ตอนนี้เราเลยไม่มีเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเลยครับ’
ทั้งจิมทั้งลูคัสที่ถูกสั่งให้ติดตามเรื่องนี้ตอบเป็นเสียงเดียวกันจนน่าแปลกใจ ตัวเขาเองก็รู้ดีอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เจอมันเป็นเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เข้ามาแล้วเงียบหายไป แต่เกรย์กลับไม่ไว้วางใจว่าถ้าหากเขากลับฝรั่งเศสไปแล้วทิ้งลูกแกะอยู่ที่นี่ ทุกอย่างจะยังเงียบเหมือนเดิม
“แต่ผมดีใจนะที่เราได้เจอกันตั้งแต่ตอนนี้” น้ำเสียงร่าเริงไม่ต่างจากสีหน้าของคนพูดทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เกรย์หันกลับมามองหน้าลูกแกะขี้อ้อนอีกครั้ง แล้วก็ถูกคำพูดกับการกระทำของเจ้าตัวทำให้ความคิดตีรวนกันจนวุ่นวายไปหมดเหมือนเช่นทุกที “ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วผมก็ต้องมายืนข้างคุณอยู่ดี เพราะงั้นต่อให้เจอเหตุการณ์น่าหวาดกลัวแค่ไหนก็ไม่เป็นไรหรอก ยังไงคุณก็ต้องหาทางปกป้องผมอยู่แล้วนี่นา”
“ไปหัดพูดจาแบบนี้มาจากไหนหืม” เกรย์บีบจมูกอีกคนด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็ได้รอยยิ้มกว้างตอบกลับมาตามคาด
“จากคุณนั่นแหละ”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“คุณคนเดียวเลย”
“เหรอ...”
ลูกแกะตัวน้อยถูกดึงจมูกจนยืดยาว แต่ก็ไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว เพราะพอเกรย์เผลอ เขาก็ถูกลูกแกะบีบแก้มกลับแบบไม่เกรงใจ ทำเอาการ์ดที่ขับรถอยู่หน้าซีดเหมือนกลัวระเบิดลงอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้น เมื่อคนที่ถูกแกล้งเพียงแค่จับหัวลูกแกะมาซุกอยู่กับอกเพื่อห้ามปรามเท่านั้น
“คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ ระหว่างที่คุณกลับฝรั่งเศส ผมจะไปกลับระหว่างมหา’ลัยกับห้องพักอย่างเดียว สัญญาจะไม่ออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด”
“ถึงอย่างนั้นฉันก็เป็นห่วงอยู่ดี” เกรย์ลูบแก้มลูกแกะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพาเดินลงจากรถเข้าไปในตัวโรงแรมพร้อมกัน “ถ้าไม่ได้อยู่ในสายตา ยังไงก็วางใจไม่ได้หรอก”
“อย่าเพิ่งคิดมากเลย ผมจะระวังตัวนะ คุณเองก็ต้องระวังตัวด้วยเหมือนกัน”
เกรย์ยิ้มโดยไม่ได้ตอบอะไร และไม่ได้บอกให้ลูกแกะตื่นกลัว ว่าสถานที่ที่อันตรายสำหรับเขาคือนอกประเทศแบบนี้นี่แหละ เพราะยามอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง ตัวเขามีแขนขาและหูตากว้างไกลกว่านี้หลายเท่า หากใครคิดจะหาเรื่องคุณเกรย์ที่มีอำนาจมากจนน่ากลัว เห็นทีเรื่องคงไม่มีทางจบได้ด้วยดีแน่นอน
เพราะงั้นคนที่ถูกพบว่าเป็นคนสำคัญสำหรับเขาและอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้จึงอันตรายกว่ามากนัก
“ฉันก็จะระวังตัว ไม่ทำให้ลูกแกะเป็นห่วง” ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงรับคำทั้งรอยยิ้ม
“ดีมาก”
“หัดพูดจาเป็นผู้ใหญ่เหรอ” เกรย์หยิกแก้มลูกแกะเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ ก่อนจะโอบไหล่ผอมเข้ามาใกล้ ตั้งใจจะพาขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกัน หากยังไม่ทันได้ทำอย่างนั้น ลูคัสก็ส่งเสียงเรียกมาจากทางด้านหลัง
“นาย”
“ว่าไง”
“สายสำคัญ”
เกรย์หรี่ตาขณะรับโทรศัพท์มาจากลูคัส ทว่าเมื่อได้เห็นชื่อบนหน้าจอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากที่จะก้าวเท้าขึ้นลิฟต์กลายเป็นหยุดกะทันหัน ซึ่งคนที่อยู่ด้านข้างอย่างประมุขก็ได้แต่หยุดเดินตามแล้วหันไปมองแบบงงๆ
“ลูกแกะ ขึ้นไปรอข้างบนก่อนนะ แม่ฉันโทรมาน่ะ”
“เดี๋ยวผมไปรอที่ร้านเค้กก็ได้” ลูกแกะน้อยยิ้มจนเห็นฟันครบทุกซี่ พอเกรย์เห็นหน้าตาอยากกินขนมจนเต็มแก่นั่นก็เถียงอะไรไม่ลง ได้แต่พยักหน้า ส่งสัญญาณให้การ์ดชุดหนึ่งเดินตามไป แล้วก็เดินแยกเข้าไปในห้องรับรองแขก VIP ของโรงแรมแทน
[รับช้านะ] เสียงเยือกเย็นที่ดังมาตามสายทำให้คนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอมาเผลอชักสีหน้าอยู่วูบหนึ่ง ทว่าเมื่อเขายกมือขึ้นลูบหน้า ความผิดปกติทุกอย่างก็ถูกลบหายไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้ว่าง” เกรย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่แพ้กัน
[ไม่ได้ว่าง...แต่ก็ยังบินไปไกลถึงไทย]
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
[นี่แม่นะเกรย์]
“ก็เพราะเป็นแม่ ผมถึงยอมคุยไร้สาระด้วยนานขนาดนี้”
[แล้วตอนอยู่กับเด็กคนนั้นไม่ได้คุยไร้สาระกันหรือไง]
ดวงตาคมของคนฟังวาววาบด้วยความไม่พอใจ แม้แต่มือที่กำโทรศัพท์เอาไว้ก็ออกแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนต้องหลับตาลงและสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้เผลอดิ้นไปตามเกมของนักธุรกิจสาวผู้สั่งสมประสบการณ์มานานหลายสิบปี
“ผมจะคุยอะไรกับเขาก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ”
[หวงน่าดูเลยนะ ไม่พามาให้พ่อกับแม่เจอหน่อยเหรอ]
“ไม่ใช่ตอนนี้”
[แม่ไม่ได้มีความอดทนมากนักหรอกนะ] แว่วเสียงหัวเราะในลำคอดังเล็ดลอดเข้ามาอย่างจงใจ เพียงเท่านั้นดวงตาสีฟ้าของคนฟังก็ขุ่นมัวขึ้นหลายระดับ ใจนึกกังวลเกี่ยวกับคนที่น่าจะเลือกเค้กอยู่ที่ร้านด้านข้างขึ้นมากะทันหัน
“ห้ามแตะต้องเขา”
[ถ้าลูกยังอยากต่อเวลาออกไปสักหน่อย อีกสามวันกลับมากินข้าวพร้อมพ่อกับแม่ที่บ้าน]
“…”
[แล้วแม่จะรอ อย่าลืมดูแลคนของตัวเองให้ดีก็แล้วกัน]
จบคำพูดนั้น สายก็ถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว หากคนที่รู้จักคาร่าดีกว่าใคร มีหรือจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าเธอ ‘ไม่รับปาก’ หากถามว่าในโลกนี้มีอะไรที่เกรย์อ่านไม่ออก คาดเดาไม่ได้อยู่บ้าง นอกเหนือไปจากลูกแกะที่ขยันทำให้เขายิ้มได้โดยไม่รู้ตัว ก็คงมีเพียงพ่อกับแม่แท้ๆ ที่รู้จักกันดีจนเหมือนไม่รู้จักเท่านั้น
ปัง!
“นาย!”
“มีอะไร” เกรย์ผุดลุกขึ้นยืนเมื่อลูคัสที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าเปิดประตูเข้ามาเรียกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และเมื่อได้เห็นท่าทีจริงจังของหัวหน้าทีมเอ เขาก็รีบเดินออกไปด้านนอกโดยไม่รอคำตอบ
ภาพความวุ่นวายด้านนอกที่มีทั้งการ์ดโรงแรมซึ่งกำลังจับกุมตัวผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้และบรรดาแขกกับพนักงานที่มุงดูเหตุการณ์อยู่รอบด้านด้วยสีหน้าตกใจ ไม่ได้ทำให้เกรย์สนใจได้มากเท่าการได้เห็นลูกแกะยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลังการ์ดของเขาเกือบสิบคน
“ลูกแกะ!” เกรย์ส่งเสียงเรียกดังก้อง กดดันจนทุกสรรพเสียงรอบด้านเงียบกริบราวสั่งได้ เขาอ้าแขนออกรับลูกแกะที่ทำหน้าตื่นวิ่งเข้ามาหา ก่อนจะรวบคนตัวสั่นเข้ามากอดเอาไว้แน่น
“เกรย์...”
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่ครับ... ผมอยากขึ้นห้องแล้ว” คนเสียงสั่นตอบเบาๆ แล้วเอาแต่ซุกหน้าเข้าหาอกเขา ไม่ยอมให้ดันตัวออกเพื่อมองสำรวจว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
อาการหวาดกลัวที่พยายามไม่แสดงออกของลูกแกะทำให้เกรย์ใจหายวาบ เขารับเสื้อนอกมาจากลูคัส ก่อนจะเอามาคลุมหัวคนในอ้อมแขนเอาไว้แล้วพาเดินขึ้นหนีสายตาน่ารำคาญไปที่ลิฟต์ โดยไม่ลืมส่งสัญญาณให้ลูคัสคอยจัดการสถานการณ์ด้านล่างต่อ
เมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องส่วนตัวด้านบนเรียบร้อยแล้ว เกรย์ก็รีบพาลูกแกะเข้าไปในห้อง โดยไม่ลืมส่งสายตาให้อเล็กซ์ตามเข้าไปด้านในอีกคน พอพ้นจุดที่คนพลุกพล่าน เข้ามาอยู่ในสถานที่ส่วนตัว ลูกแกะน้อยก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายที่สั่นเทาเริ่มกลายเป็นปกติ ทว่าก็ยังไม่หยุดซุกหน้ากอดเขาไว้ จนเกรย์ต้องอ้าขาออกให้อีกคนนั่งอยู่ตรงกลางบริเวณช่องว่าง ขณะลูบหัวลูบหลังปลอบประโลมไม่หยุด
“เกิดอะไรขึ้น” เขาหันไปถามอเล็กซ์ที่ทำหน้าเครียดเป็นการเป็นงานยืนอย่างสงบอยู่ข้างโซฟา
“ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะใช้มีดทำร้ายคุณประมุขครับ”
“พูดต่อ”
“ตอนคุณประมุขเลือกเค้กอยู่หน้าตู้ จู่ๆ เธอก็พุ่งเข้าไปหา แต่ผมกับคนอื่นๆ สังเกตเห็นความผิดปกติตั้งแต่แรกเลยกันเอาไว้ได้ทัน จากนั้นพนักงานรักษาความปลอดภัยจึงเข้ามารวบตัวเธอไว้”
คนฟังก้มหน้าลงอย่างควบคุมอารมณ์ โชคยังดีที่ตอนนี้เขากอดลูกแกะเอาไว้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ไอ้คนที่ถูกจ้างให้มาทำร้ายลูกแกะเป็นใคร มันก็ไม่มีวันได้เข้าไปอยู่ในคุกเพียงวันสองวันแน่นอน
“เกรย์...” เสียงเรียกเบาๆ จากคนที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอดทำให้เกรย์หลุดจากภวังค์ เขาหันไปส่งสัญญาณบอกให้อเล็กซ์ออกไปด้านนอก ก่อนจะก้มลงเชยคางคนหน้าซีดให้เงยขึ้นสบตากันอย่างอ่อนโยน
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร”
“แล้วทำไมทำหน้าแบบนี้หืม”
“ผมอยากกินเค้ก” ว่าแล้วก็ทำหน้าบูดเบี้ยวจนเกรย์หลุดยิ้มจางออกมา พอเห็นเขายิ้มได้ เจ้าลูกแกะตัวน้อยก็อมยิ้มตาม ท่าทางดูดีขึ้นเร็วมากสมเป็นคนที่มีพลังบวกอยู่ในตัวตลอดเวลา หากเกรย์ก็ยังไม่ไว้วางใจอยู่ดี เพราะไม่อยากให้ลูกแกะแสดงท่าทีเป็นปกติเพื่อให้เขาสบายใจ แล้วเก็บเอาเหตุการณ์ทั้งหมดไปคิดอยู่เพียงลำพัง
“เดี๋ยวจะให้ลูคัสซื้อขึ้นมา”
“อื้อ”
เกรย์มองสบตาคนที่พยายามทำตัวเป็นปกติโดยไม่พูดอะไรอยู่นานหลายนาที แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ทนไม่ไหว ต้องวางหน้าผากลงบนบ่าของลูกแกะอย่างหมดแรง
“กลัวมากหรือเปล่า”
“ตกใจมากกว่า... ผมรู้สึกเหมือนเขาอยากเข้ามาฆ่ากันจริงๆ เลย” ประมุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงจะทำเหมือนไม่คิดอะไรแล้ว แต่ช่วงเวลาที่รู้สึกเหมือนถูกหมายหัวก็ยังติดอยู่ในความทรงจำ แน่นอนว่าเขาคาดเดาไว้แล้วว่าอาจจะมีอะไรพวกนี้เกิดขึ้น ทว่าก็คงต้องยอมรับ ว่าในความคิดกับในความเป็นจริงมันแตกต่างกันมาก
“ฉันน่าจะพานายขึ้นมาก่อน”
“คุณมีสายสำคัญนี่ครับ” แม้จะยังใจสั่นไม่หาย แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนจะโทษตัวเองของคนสำคัญ ประมุขก็ยังตอบกลับพร้อมรอยยิ้มโดยอัตโนมัติ “ไม่รับสายครอบครัวไม่ได้นะ ถ้าเป็นครอบครัวโทรมา ผมก็ต้องไปรับเหมือนกัน”
เกรย์เงยหน้าขึ้นช้าๆ ตามองใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่ได้ซีดเซียวเหมือนตอนแรกของลูกแกะด้วยความพอใจ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องพูดต่อไป ร่างกายก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน
“แล้วถ้าฉันบอกว่าแม่โทรมาบอกให้กลับบ้านภายในสามวัน ลูกแกะจะยังอยากให้ฉันรับโทรศัพท์อีกหรือเปล่า”
“สามวันเหรอ...” คนฟังใจหายวาบ รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าแทบจะทันทีที่ได้ยิน ต่อให้ทำใจไว้แล้วว่าเดี๋ยวช่วงเปิดเทอมต้องแยกกันสักพัก แต่พอเวลามาถึงไวกว่าที่คิดก็อดตกใจไม่ได้
“ใช่ แต่ว่าถ้า...”
“งั้นก็ต้องรีบกลับสิครับ”
“ว่าไงนะ” เกรย์จ้องมองใบหน้าของลูกแกะที่ดูตื่นตระหนกด้วยแววตาประหลาดใจ
“ถ้าแม่คุณโทรมาเร่งแบบนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมากไม่ใช่เหรอ รีบกลับไปพบท่านเถอะ”
“…ฉันจะทำยังไงกับลูกแกะตัวนี้ดีนะ”
ไม่ว่านานแค่ไหนก็ชินกับนิสัยของเจ้าตัวไม่ได้เสียที...
“แค่คุณส่งข้อความมาหาทุกวันก็พอแล้ว อันนี้ห้ามลืมเลยนะ” ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คนถูกปลอบกลายเป็นคนให้กำลังใจเสียเอง เพราะเพียงแค่เห็นใบหน้าลังเลและเป็นกังวลอันหาได้ยากของเกรย์ เขาก็ลืมเรื่องราวร้ายๆ ก่อนหน้าไปได้จนหมดสิ้น หลงเหลือเพียงความรู้สึกอยากทำให้อีกฝ่ายหายเครียดเท่านั้น
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกันกับที่ลูคัสเดินเข้ามาด้านใน เกรย์มองจนแน่ใจว่าลูกแกะไม่เป็นไรแล้วจึงหันไปหาลูกน้องด้วยใบหน้านิ่งสนิท ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้รายงานสถานการณ์ทั้งหมดมาได้
“ตามที่คาด เหมือนเดิมทุกอย่าง”
“งั้นเหรอ...” หน้าตาของคนฟังดูเย็นชาขึ้นสองระดับ บรรยากาศรอบกายก็คล้ายจะติดลบจนประมุขที่เพิ่งคิดตามทันต้องยื่นมือไปสะกิดให้รู้ว่าเขานั่งอยู่ด้วย
“พวกคุณหมายถึงมีคนสั่งการเธอคนนั้นเหมือนตอนที่ให้เข้ามาขู่ผมหรือตอนที่จงใจขับรถชนใช่ไหมครับ”
“เก่งมาก” เกรย์ให้รางวัลคนฉลาดโดยการยกมือลูบหัวทุยสองสามรอบ พอเรียบร้อยแล้วก็หันกลับไปหาลูคัส พยักพเยิดให้พูดต่ออีกครั้ง
“ถ้าใช้วิธีเดิมแบบนี้คงเป็นพวกเดิมแน่นอน แต่ถ้าอิงจากครั้งก่อนจิมที่ไปสืบค้นต่อรู้แค่ว่าต้นทางมาจากฝรั่งเศส นอกเหนือจากนั้นไม่เจออะไรอีกเลย”
“แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้” ผู้เป็นนายพูดต่อประโยคด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “พรุ่งนี้ฉันจะบินกลับฝรั่งเศส สั่งทีมเอกับการ์ดคนอื่นๆ ทั้งหมดให้คอยดูแลลูกแกะอยู่ทางนี้ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามคลาดสายตาเด็ดขาด นายกลับไปกับฉันแค่คนเดียวพอ”
เมื่อได้ยินคำสั่งปิดการสนทนา ลูคัสก็พยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป ทว่าคนที่อยู่ไม่สุขกลับกลายเป็นลูกแกะตัวน้อยที่นั่งฟังด้วยความเคร่งเครียดมาโดยตลอด
“คุณไปกับลูคัสสองคนจะดีเหรอครับ” ประมุขท้วงด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก เพราะยังไงเกรย์ก็ควรมีคนดูแลมากกว่านั้น ไม่ใช่แค่ลูคัสคนเดียว
“ไม่ต้องห่วง เราจะเดินทางไปสนามบินพร้อมกันอยู่แล้ว ถึงฝรั่งเศสเมื่อไหร่จะมีการ์ดอีกชุดมารอรับฉัน ลูกแกะอยู่ทางนี้ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ ฉันจัดการธุระเรื่องคิงกับธุระของแม่เสร็จจะรีบมาหา”
“งั้นเหรอ...”
“ลูกแกะไม่ต้องเป็นห่วง ลูคัสคือการ์ดที่เก่งที่สุดของฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นคนสนิทที่เข้าขาที่สุด ฉันก็อยากจะให้เป็นคนดูแลลูกแกะอยู่เหมือนกัน”
หลังจากได้รับการยืนยันซ้ำ ประมุขก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ในขณะที่เกรย์ทำได้เพียงลอบถอนหายใจ เพราะอันที่จริงระยะเวลาที่เหลืออยู่ เขาจะให้ลูกแกะบินไปด้วยกันก็ได้ ทว่าตอนนี้เขากลับไม่มั่นใจว่าต้นเหตุของเรื่องราวพวกนี้เป็นศัตรูทางธุรกิจ หรือเป็น ‘คนใน’ กันแน่ เพราะถ้าเป็นประเภทแรก พาลูกแกะกลับถิ่นอาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่หากเป็นประเภทหลัง...
“ลูกแกะรู้ไหมว่าฉันทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งได้ง่ายๆ โดยที่คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ” ถ้อยคำที่ดูคล้ายกำลังพูดเรื่องธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งทำเอาคนฟังตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ ซึ่งเกรย์ก็ไม่ได้แก้ตัวอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มเยือกเย็น อธิบายต่อตามความจริงเท่านั้น “คงเป็นเพราะความดีในตัวยังหลงเหลืออยู่บ้าง ฉันถึงไม่เคยยกหลักฐานเท็จอะไรขึ้นมาใช้เลย อย่างเรื่องของแม่มดที่ทำกับคิงก็ใช้เวลายาวนานเพื่อทำตามแผนการอย่าง ‘ใสสะอาด’ ไม่ได้ใช้อำนาจอะไร ทั้งที่จริงๆ แค่กระดิกนิ้วฉันก็สร้างเรื่องให้เธอโดนประหารได้แล้ว”
“…”
“แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันอยากจะทำตัวเลวๆ โดยการลากไอ้พวกชั่วที่มันคิดจะทำร้ายนายออกมาให้หมด แล้วฆ่ามันให้ตายด้วยมือตัวเอง ไม่ใช่แค่นั้น เพราะฉันจะส่งคนที่เกี่ยวข้องกับมันทั้งหมดเข้าไปอยู่ในตารางด้วย ไม่ว่าจะทำผิดหรือไม่ก็ตาม” ยิ่งพูดท่าทางของเกรย์ก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาคู่คมแข็งกร้าวจนน่ากลัว ทำราวกับคนที่เขาพูดคุยด้วยไม่ใช่ประมุข แต่เป็นใครบางคนที่คิดจะมาทำร้ายคนสำคัญ และสิ่งเหล่านั้นก็จางหายไป เมื่อฝ่ามืออุ่นของคนข้างกายวางทาบลงบนแขนของเขา
“เกรย์” ประมุขเริ่มเครียด แม้แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้ดูงุนงงเหมือนเคย เขาเข้าใจแทบจะทุกเรื่องที่เกรย์พูดออกมา และสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายก็บ่งบอกชัดเจนว่าคิดแบบนั้นจริงๆ
“ฉันก็แค่คิดน่ะ” แม้คนพูดจะเพิ่งรู้สึกตัวจนมายิ้มเอาตอนนี้ก็เหมือนจะไม่ทันแล้ว เพราะลูกแกะของเขาเอาแต่ขมวดคิ้วทำหน้าเครียด ไม่มีรอยยิ้มให้กันเหมือนเคย “อย่าทำหน้าแบบนั้นเลย”
“ทำไมคุณถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมา...”
“ดูเหมือนลูกแกะจะตามฉันทันไวขึ้นทุกวันแล้วนะ”
“ไม่ตลก” ลูกแกะที่ถูกชมทำหน้ายุ่ง มือพยายามปัดนิ้วที่ยื่นมาจิ้มแก้มออกเป็นพัลวัน ทั้งยังต้องพยายามหลบสายตาของคนที่เอาแต่เคลื่อนหน้าตาม เพราะอยากให้เขาหันไปสบตา จะได้หลุดยิ้มออกมาอีกต่างหาก
“ไม่ตลกแล้วยิ้มทำไม”
“หยุดแกล้งผมเลย” สุดท้ายก็จบลงด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็ยอมยิ้มออกมาจนได้ “ตอบมาได้แล้ว สรุปว่าทำไมถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมากันแน่”
เกรย์ยกยิ้มตาม รู้สึกราวกับทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ เขาหยิบมือของลูกแกะมากุมไว้ที่ตัก ในใจครุ่นคิดว่าควรจะพูดอย่างไรดีจึงจะเหมาะสมมากที่สุด
“ฉันพูด...เพราะอยากขอโทษที่ทำตามที่คิดไม่ได้”
“ก็ดี...” ประมุขเม้มปาก กลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นเกรย์ส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกให้ฟังต่อให้จบก่อน
“ฉันยังบอกว่าใช่ไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่อยากให้ลูกแกะเตรียมใจไว้ เพราะบางที...คนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี่อาจจะเป็นคนใน”
“คุณหมายถึง...”
“หมายถึงพ่อแม่ฉันเอง”
เกรย์มั่นใจว่าหากเป็นพ่อแม่ของเขาจริงๆ เจตนาที่มีคงเป็นเพียงการขู่ ไม่ได้คิดจะทำร้ายกันจริงจัง ถึงอย่างนั้นการให้คนตั้งท่าจะเข้ามาทำร้ายลูกแกะของเขาก็ไม่ใช่อะไรที่น่าไว้วางใจ แม้จะเดาได้ว่าฝ่ายนั้นคงรู้อยู่แล้วว่าการ์ดของเขาจะปกป้องได้ แต่คนที่เกือบถูกทำร้ายคงไม่คิดเช่นนั้น และถ้าหากเป็นแบบที่คิดจริงๆ เขาก็จะตอบคำถามทั้งหมดที่ค้างคาใจได้ในทันที รวมถึงเรื่องที่ไม่อาจสืบหาที่มาของคนสั่งการได้ด้วย
“พ่อแม่คุณ...ท่านไม่ชอบผมเหรอ” คนที่สับสนจนหัวตื้อแต่ก็ยังพยายามควบคุมสติเอาไว้เอ่ยถามเสียงสั่น
“ฉันยังไม่แน่ใจ แต่กลับไปครั้งนี้จะเอาคำตอบมาให้ได้ และเพราะไม่อยากปิดบังลูกแกะ ฉันถึงบอกทุกสิ่งที่คิดให้ฟังตั้งแต่ตอนนี้” เกรย์มองลูกแกะที่ยังดูตกใจด้วยแววตาอ่อนโยนปนรู้สึกผิด “ฉันยัดเยียดทุกอย่างให้ลูกแกะมากเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่ครับ” คนหน้าซีดส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “ผมดีใจที่คุณไม่ปิดบัง ผมแค่...ตกใจนิดหน่อย”
เกรย์ไม่ได้พูดอะไรเมื่อได้ฟังคำตอบแบบเดิมซ้ำเป็นรอบที่สองของวัน เพราะเขารู้ดีที่สุดว่าลูกแกะในเวลานี้หวาดกลัวและเป็นกังวลมากขนาดไหน แต่ที่ไม่ยอมพูดออกมา ก็เพราะไม่ต้องการให้เขาเป็นห่วงหรือคิดมากตามเท่านั้น
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้ฉันต้องไปแล้ว ลูกแกะไม่อยากกอดกันนานๆ เหรอ”
คล้ายเป็นปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติ เพราะเมื่อเกรย์อ้าแขนออก ประมุขก็ตรงเข้าไปซุกหน้ากอดอย่างออดอ้อนแบบไม่เสียเวลาคิด แม้ในหัวจะยังเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็แค่หลับตาลง และเชื่อใจเกรย์เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันเมื่อนานมาแล้ว...
นับตั้งแต่ที่เขาได้รับจดหมายฉบับแรก...
ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาไม่เชื่อคำพูดของเกรย์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อุปสรรคชิ้นโตมาแล้ว ลูกแกะต้องสู้ให้ไหว
ถ้าพ่อแม่เกรย์เจอน้อง ต้องรักลูกแกะน้อยมากๆแน่เลย เชื่อสิ