ตอนที่ 32 : บทที่ 12 หัวใจเริ่มใกล้กัน (100%)
เจ้าสัวธนพัฒน์ได้รับรายงานจากสาวใช้ทางโทรศัพท์ว่าบัดนี้ธีรเทพได้กลับมาถึงบ้านแล้ว สภาพร่างกายของบุตรชายถูกรายงานโดยละเอียดมาพร้อมกัน ตลอดสามวันสองคืนที่ธีรเทพหายออกจากบ้านไปตัวท่านเองก็นึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เพราะสาเหตุที่ทำให้ลูกชายคนเล็กหนีออกจากบ้านไปนั้นก็เป็นเพราะแรงกดดันจากตัวของท่านเอง แต่กระนั้นเมื่อทราบว่าชายหนุ่มกลับมาอย่างปลอดภัยแม้ว่าจะมีรอยฟกช้ำกลับมาด้วย ท่านประธานบริษัทวาณิชย์การทอก็ยังมีแก่ใจยกหูโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาเพื่อนสนิทเช่นพลตำรวจเอกไพโรจน์ อัครบวรเวชอยู่นั่นเอง
เสียงหมายเลขปลายทางสิบหลักถูกแทนที่ด้วยเสียงสัญญาณก่อนที่เสียงห้าวทุ้มของจ่าวินัยจะดังเป็นลำดับต่อมา และลูกน้องคนสนิทที่คุ้นเคยกับเจ้าสัวมาเป็นเวลานานก็ขอให้ท่านถือสายรอสักครู่ก่อนจะมีเสียงเดินไปหาใครสักคนและเรียนให้ทราบว่าท่านกำลังรอสายอยู่ ไม่นานเจ้าสัวธนพัฒน์ก็ได้คุยกับเพื่อนรักสมใจ เมื่อรู้ว่าพันตำรวจเอกไพโรจน์เป็นผู้รับเจ้าสัวธนพัฒน์ก็ไม่รอช้าที่เอ่ยถึงธุระของตนทันที
“อาไพโรจน์ อาตี๋เล็กกลับมาแล้วนะ ลื้อจะเอายังไงต่อก็รีบๆ ว่ามา” น้ำเสียงของเจ้าสัวธนพัฒน์ทำให้พันตำรวจเอกไพโรจน์นิ่งไปเล็กน้อย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหันมองไปยังห้องรับแขกที่ตอนนี้ปรางรวีกำลังแจกจ่ายของฝากให้กับคนงานในบ้านและหลานชายฝาแฝดทั้งสอง เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของลูกสาวเพียงคนเดียวทำให้ท่านเผลอยิ้มตามก่อนจะรีบหลบฉากไปคุยธุระสำคัญกับเพื่อนรักต่อที่ห้องทำงานของท่านเอง
“ใจเย็นๆ ก่อนเจ้าสัวอย่าเพิ่งรีบร้อน ตอนนี้ยายน้องก็เพิ่งกลับมาถึงบ้านเหมือนกัน” ท่านตอบกลับและลอบมองผ่านหน้าต่างไปยังห้องนั่งเล่นที่ลูกสาวนั่งอยู่ “อีกอย่างงานที่เราเตรียมกันไว้ก็ยังไม่ถึงไหนเลยนะ” ท่านหมายถึงงานแต่งงานที่เตรียมไว้รอท่าลูกสาวกับลูกชายของเพื่อนรักที่บัดนี้ได้สั่งให้ธีรพงษ์และปฐพีเป็นพ่องานจัดเตรียมทุกอย่างโดยไม่ให้ปรางรวีและธีรเทพรู้ตัว ซึ่งทางบริษัทที่รับจัดงานก็รีบออกปากว่าอีกไม่นานเกินรองานแต่งงานที่ท่านต้องการก็จะเสร็จเรียบร้อย แต่ขอแค่รอเวลาหน่อยเท่านั้น
“แล้วลื้อจะเอายังไง ถ้าปล่อยไว้นานๆ อั๊วว่าสักวันอาตี๋เล็กกับอายายน้องต้องระแคะระคายแน่ๆ”
“เอาอย่างนี้แล้วกันนะเจ้าสัว ผมจะยังไม่บอกยายน้องเรื่องนี้และเจ้าสัวเองก็อย่างเพิ่งบอกตี๋เล็กเหมือนกัน เราต้องทำทีเป็นว่ายอมรับการประชดครั้งนี้ไปก่อน ให้สองคนนั้นตายใจแล้วเราค่อยตีขลุมในตอนเผลออีกที ตอนที่ทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว ตอนนี้ปล่อยไปก่อน ที่สำคัญอย่างให้ระแคะระคายถึงแผนการด้วยนะเจ้าสัว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ยุ่งแน่”
“อั๊วรู้แล้วน่า เอาเป็นว่าทำตามที่ลื้อบอกก็แล้วกันนะ อั๊วจะยังไม่บอกตี๋เล็ก ปล่อยให้อีตายใจไปก่อนใช่ไหม”
“ใช่แล้วเจ้าสัว ถ้ายังไงมีความคืบหน้าอะไรอย่าลืมบอกผมด้วยนะ”
“ได้ๆ แล้วอั๊วจะโทรบอกลื้ออีกที”
เกือบครึ่งชั่วโมงพลตำรวจเอกไพโรจน์ก็เดินออกมาจากห้องทำงาน โทรศัพท์บ้านแบบไร้สายถูกยื่นให้กับจ่าวินัยที่ยืนรอรับอยู่หน้าห้อง ร่างสูงสง่าของสุภาพบุรุษแดนสามพรานก้าวเข้าไปยังห้องนั่งเล่นที่คาดว่าลูกสาวคนเล็กคงกำลังนั่งคุยอยู่กับหลานๆ แต่กลับผิดคาดเมื่อภายในห้องมีเพียงเอกลิขิตและโตมรสองหลานชายฝาแฝดที่กำลังกินขนมของฝากจากอาปรางเท่านั้น
“อาปรางไปไหนเจ้าหนึ่ง เจ้าสอง”
“อาปรางขึ้นไปบนห้องแล้วครับ บอกว่าเหนื่อยอยากอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะลงมาตอนมื้อเย็นเลย” เอกลิขิตรับหน้าเป็นคนตอบและหันกลับไปสนใจการ์ตูนเรื่องโปรดทางเคเบิลทีวีของตนเองอีกครั้ง
พลตำรวจเอกไพโรจน์พยักหน้ารับรู้และนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันกับหลานชายทั้งสอง เบื้องหน้าคือของว่างผลิตภัณฑ์จากไร่องุ่นที่ปากช่อง ไม่ต่างจากที่ได้รับรายงานเมื่อสองวันก่อนแต่ท่านเลี่ยงที่จะส่งคนคอยตามปรางรวีอย่างเคยเนื่องจากอยากให้หญิงสาวได้รู้สึกผ่อนคลายไม่รู้สึกถึงความกดดันที่มีคนคอยตามอยู่ตลอดเวลาเพราะนั่นอาจจะทำให้ปรางรวีหนีไปไกลยิ่งกว่าเดิม
เวลาหนึ่งทุ่มตรง สำรับอาหารของครอบครัวอัครบวรเวชถูกจัดขึ้นโต๊ะโดยมีพลตำรวจเอกไพโรจน์นั่งเป็นองค์ประธานที่หัวโต๊ะ ด้านซ้ายมือคือลูกชายคนรองและลูกสาวคนเล็กตามลำดับ ส่วนฝั่งขวามือคือที่นั่งของปฐพีลูกชายคนโตและหลานชายทั้งสอง
ระหว่างมื้อค่ำบทสนทนาที่นำขึ้นมาพูดคุยถูกละเว้นที่จะพูดถึงการหายตัวไปตลอดสามวันสองคืนที่ผ่านมาของปรางรวี ราวกับทุกคนยอมรับความผิดพลาดซึ่งนั่นทำให้ปรางรวีต้องลอบยิ้มในใจที่การประชดของเธอได้ผล หลังจากอาหารค่ำก็มีการเสิร์ฟของว่างเป็นลำดับสุดท้าย พลตำรวจเอกไพโรจน์หันมาหาลูกชายคนโตและถามขึ้น
“เจ้าต้น เรื่องที่ป๋าสั่งให้จัดการไปถึงไหนแล้ว” น้ำเสียงเป็นการเป็นงานละเว้นที่จะพูดถึงว่าเรื่องอะไรทำให้ปรางรวีไม่ใส่ใจที่จะฟังเท่าใดนัก แต่หารู้ไม่ว่าบิดาและพี่ชายทั้งสองต่างลอบสังเกตอาการของเธอกันอยู่ไม่ห่าง
“เรื่องนั้นเรียบร้อยดีครับ และโชคดีมากที่เราได้กำหนดวันมาแล้ว ช่วงหลังงานแซยิดคุณป๋าไม่นานครับ” ปฐพีเล่าถึงฤกษ์แต่งงานที่เขาและธีรพงษ์ไปขอมาจากพระผู้ใหญ่ที่นับถือเมื่อตอนกลางวัน โดยว่าที่เจ้าสาวไม่รู้ตัวแม้แต่นิดว่าบทสนทนานั้นเกี่ยวข้องกับตัวเองล้วนๆ
“อย่างนั้นเหรอ” คุณไพโรจน์ยิ้มกริ่มพลางเหล่ตามองไปยังลูกสาวคนสวยที่นั่งคุยกับหลานๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว “ดี จัดการทุกเรื่องให้เรียบร้อยไว้ก็แล้วกัน”
“ครับคุณป๋า” ปฐพีตอบรับ แต่คนที่หนักใจเพราะรู้เรื่องราวทุกอย่างกลับเป็นปฐวี ชายหนุ่มหันมามองน้องน้อยที่นั่งตักเค้กองุ่นแบ่งกับหลานๆ ด้วยความรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก และเหมือนปรางรวีจะรู้สึกถึงความห่วงใยนั้นใบหน้าสวยจึงเงยขึ้นมาสบตาพี่ชายคนรอง
“มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” เสียงใสถามพี่ชายคนรองและเผื่อแผ่ไปถึงบิดากับพี่ชายคนโตตามลำดับพลตำรวจเอกไพโรจน์ยกมือโบกปฏิเสธไปมา
“ไม่มีอะไรหรอกลูก เค้กที่หนูซื้อมาจากปากช่องอร่อยมากเลยนะ” ท่านว่าไปเรื่องอื่นและถามต่อให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ “ไปเที่ยวสนุกมั้ย”
“สนุกมากค่ะ ไว้คราวหน้าถ้าคุณป๋า พี่ต้นกับพี่ปลายว่างเราไปเที่ยวกันแบบครอบครัวกันนะคะ ที่นั่นบรรยากาศดีมากๆ เลย หรือจะรอให้ปิดเทอมก่อนก็ได้ ตาหนึ่งกับตาสองจะได้ไปด้วย แต่พอถึงตอนนั้นคุณป๋าก็เกษียณพอดีเราไปช่วงนั้นก็ได้ค่ะ”
“จ๊ะ” ท่านยิ้มรับและหันไปชวนลูกชายคนโตคุยเรื่องอื่นต่อ ปรางรวีหันกลับมาสู่วงสนทนาเล็กๆ ของตนเองกับหลานชายทั้งสองดังเดิม ก่อนจะแยกย้ายเมื่ออาหารว่างพร่องลงและนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มสิบห้า
เอกลิขิตและโตมรที่กำลังติดละครหลังข่าวรีบวิ่งไปจับจองที่นั่งหน้าทีวีในห้องนั่งเล่นโดยมีปฐพีผู้เป็นพ่อตามไปไม่ห่าง พลตำรวจเอกไพโรจน์ขยับลุกขึ้นเดินตาม ปรางรวีลุกขึ้นเตรียมขึ้นไปพักบนห้องแต่ก็ถูกปฐวีที่รอโอกาสนี้อยู่แล้วเรียกไว้เสียก่อน
“น้องปรางรอเดี๋ยวค่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ปลาย” ปรางรวีหันมาถาม ปฐวีขยับเข้าไปใกล้หมายจะเล่าถึงแผนการทั้งหมดของบิดาให้น้องสาวฟังแต่เพียงแค่เขาอ้าปากขึ้นหมายจะเอ่ยคำใดๆ นั้น เสียงเหยียบเย็นจากเบื้องหลังก็ขัดขึ้น
“เจ้าปลาย”
พลตำรวจเอกไพโรจน์นั่นเองที่เรียกลูกชายคนรองไว้ทันก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดโปงแผนการของท่าน ผู้บังคับการตำรวจนครบาลก้าวเข้ามาเปิดเผยตัวและกระซิบเสียงรอดไรฟันให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“คิดจะทำอะไรเจ้าปลาย ตามป๋าไปที่ห้องนั่งเล่นเดี๋ยวนี้”
“ครับ” ปฐวีขานรับแผ่วเบา เงยหน้าขึ้นมองน้องสาวที่กำลังส่งสายตาเป็นคำถามมาให้ก็ส่งยิ้มออกไปบางๆ “ฝันดีนะคะน้องปราง”
“ฝันดีค่ะ”
สาวสวยหมุนตัวเดินกลับขึ้นบันไดจนกระทั่งมีเสียงปิดประตูห้องตามลำดับ นิ้วเรียวของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็รีบหนีบหมับเข้าที่ใบหูขาวสะอาดของลูกชายคนรองและออกแรงลากให้ตามเข้าไปในห้องนั่งเล่นทันที
“คิดจะทำอะไรเจ้าปลาย” เสียงเข้มถามคนเป็นลูก
ปฐวีทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ใกล้ๆ พลางลูบหูของตัวเองปอยๆ “ก็คิดว่าสิ่งที่คุณป๋ากับพี่ต้นทำมันผิดน่ะสิครับ”
“พูดใหม่อีกครั้งสิ” คุณไพโรจน์เอ่ยเสียงเย็น โมโหก็โมโหอยู่หรอกแต่เพราะปรางรวีมีคนให้ท้ายอย่างนี้ไงเล่าถึงได้เสียนิสัยนัก
“ผมบอกว่า...คุณป๋ากับพี่ต้นกำลังทำในสิ่งที่ผิด ยายน้องควรมีสิทธิ์ตัดสินใจในชีวิตของตัวเอง”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะที่ยายน้องจะโต มีความรับผิดชอบ ไม่หนีปัญหา ไม่ประชดงี่เง่า แกเองก็กำลังจะลงไปอยู่ใต้ เจ้าต้นมันก็มีลูกตั้งสองคน แล้วใครมันจะเป็นคนดูแลยายน้อง ต้องรอให้ป๋าตายก่อนใช่มั้ย ยายน้องถึงจะยอมโต ไหนจะเรื่องนายธนาวินนั่นอีก แกจะยอมให้น้องคบกับคนแบบนั้นหรือยังไง”
“แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณป๋ากำลังทำนะครับ”
“เราคุยเรื่องนี้กันแล้ว และป๋าขอสั่งห้ามไม่ให้แกพูดเรื่องนี้กับน้องเป็นอันขาด ถ้าเกิดยายน้องรู้หรือระแคะระคายอะไรขึ้นมาล่ะก็ ป๋าจะถือว่ามันมาจากแก แล้วป๋าก็จะบอกให้เพื่อนป๋าที่เป็นผู้บังคับบัญชาส่งแกลงไปอยู่ภาคใต้ให้เร็วที่สุด”
ภายในห้องนอนสีขาวบนชั้นสองของบ้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีขาวชมพูไม่เว้นแม้แต่เครื่องเรือนตามแบบฉบับเจ้าหญิงที่ปรางรวีชื่นชอบ หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสายเดี่ยวผ้าชาตินสีชมพูอ่อนเรียบรื่น ร่างบางก้าวขึ้นเตียงเพื่อเตรียมพักผ่อน การที่นั่งรถมาจากต่างจังหวัดทำให้เธอปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและสมองก็สั่งให้ร่างกายรีบเข้านอนเสีย แม้ว่าร่างกายจะประท้วง แต่เสียงความรู้สึกบางอย่างที่เรียกว่าหัวใจกลับทำให้เธอนอนไม่หลับ
ความผิดปกติที่ครอบครัวแสดงออกตั้งแต่เธอกลับมาถึงบ้านทำให้ปรางรวีรู้สึกโล่งอกและหนักอึ้งไปพร้อมๆ กัน การที่บิดาไม่ถามไม่ได้หมายความว่าท่านไม่คิด เมื่อท่านคิดแล้วไยท่านจึงไม่ถาม เพราะเธอรู้ว่าการประชดโดยการหนีแบบเด็กๆ นั้นทำให้บิดาเสียใจอย่างแน่นอน
‘…คุณป๋าไม่อยากให้น้องปรางใช้ชีวิตแบบนี้ เอะอะก็หนีออกจากบ้าน ไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืน คุณป๋าอยากให้น้องปรางทำตัวน่ารัก หรือไม่ก็ทำงานอะไรสักอย่าง อยากให้น้องปรางดูแลชีวิตของตัวเองได้’
คำพูดเมื่ออาทิตย์ก่อนของพี่ชายคนรองดังขึ้นมาในมโนสำนึก และเธอจำได้ว่าตนเองตอบกลับไปว่า ‘แต่การแต่งงานไม่ใช่คำตอบ’
วันนั้นปฐวีทำเพียงแค่ยิ้มและพูดต่อ
‘ใช่ค่ะ การแต่งงานไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้น้องปรางเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เมื่อน้องปรางออกไปมีครอบครัวของตัวเอง น้องปรางต้องออกไปเผชิญโลก...’ เธอจำไม่ได้แล้วว่าพี่ชายพูดอะไรอีก แต่ทุกอย่างที่พี่ชายพูดในวันนั้นคือต้องการให้เธอโตเป็นผู้ใหญ่ เลิกหนีปัญหา และรับผิดชอบตัวเองได้ ซึ่งควรจะเริ่มต้นด้วย...การทำงาน
‘…ถ้าพี่จะชวนน้องปรางไปทำงานด้วยกัน น้องปรางจะไปไหม’
อยู่ๆ คำพูดของธีรเทพก็ผุดขึ้นมาความห้วงคำนึง แม้ยามนั้นจะมีอาการมึนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รสหวานของไวน์คลูเลอร์แต่ก็ยังพอจดจำประโยคที่พูดคุยกันได้ เธอเรียกร้องงานที่ไม่หนัก ไม่เครียด เงินเดือนเยอะ และมีวันหยุดแบบที่นายจ้างต้องร้องโอดครวญ แต่ธีรเทพกลับตกปากรับคำ
ปรางรวีเอี้ยวตัวไปยังโต๊ะตัวเตี้ยสีขาวข้างหัวเตียง มือเรียวบิดกุญแจเปิดและเผยให้เห็นของที่ถูกเก็บมานานกว่าสองปี มือบางค่อยๆ เอื้อมเข้าไปหยิบแฟ้มสีขาวที่อยู่บนสุดขึ้นมาวางบนเตียงและหยิบแฟ้มเล่มที่มีลักษณะอย่างเดียวกันออกมาจนหมดก่อนจะปิดตู้ไว้ดังเดิมและหันมาสนใจสิ่งที่ตนนำออกมาวางตรงหน้าแทน
โลโก้สถาบันสอนออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าชื่อดังของฝรั่งเศสโชว์หราบนหน้าปก ไล่สายตาลงมาอีกนิดก็จะมีข้อความเกี่ยวกับหัวข้อการทำรายงานและชื่อเจ้าของผลงานที่เป็นชื่อเธอ
‘Fashion wears by Prangrawee’
ขอฝากนิยายเรื่องอื่นๆ ของบ้านสินิท-สิรินด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
