คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Ŧhanatos ρrison :: Chapter I
Chapter I
“เรื่องทั้งหมด...ทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้กันนะ...?
...จำได้แล้ว...เพราะเรื่องตอนนั้นนั่นเอง...
แต่ว่า...โดนจับแบบนี้ก็ไม่เห็นจะต่างจากเมื่อก่อนตรงไหน”
“ยังไงก็ถูกกักขังเอาไว้ตั้งแต่เกิดมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...ตัวฉันน่ะ...?”
...ไม่เอา...
...หยุดได้แล้ว...
...ขอร้องล่ะ...หยุดสักที...
“อึก...อะ...”
ฝ่ามือขาวซีดจิกครูดลงบนพื้นปูนจนปลายเล็บถลอกปอกเปิกเลือดอาบเต็มมือ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหยดลงพื้นเป็นด่างดวง ร่างกายของเด็กหนุ่มบอบช้ำเจ็บปวดไปหมดจนแทบด้านชา แม้จะเจ็บปวดเพียงใด ก็ไม่สามารถดิ้นรนหนีไปได้
แกร๊ก
เพราะที่ข้อเท้าสองข้างนั้น...ถูกโซ่ตรวนเส้นใหญ่ล่ามติดเอาไว้กับขาเตียงจนขยับหนีไม่ได้
“ฮึก...มะ...ไม่...อย่า...”
ริมฝีปากแตกช้ำพร่ำวอนขอความเมตตาซ้ำไปมาแม้ว่าจะไม่มีค่าอะไรในสายตาปีศาจร้ายเลยก็ตาม...เจ็บ...เจ็บไปหมดทั้งตัวจนไม่อยากจะหายใจต่อไป...ทรมาน...อยากตายไปให้พ้นๆ...
“หึ...น่ารักจังนะ...น้องชายของพวกเรา”
เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูพร้อมกับขบกัดอย่างแรงจนเด็กหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากที่บอบช้ำถูกบดขยี้อย่างรุนแรงจนเลือดสีสดไหลซึมลงมาตามปลายคาง...แต่ก็ถูกโลมเลียกลืนกินไปทุกหยาดหยดราวกับมันเป็นน้ำหวานรสอร่อย...ทำให้คนถูกทำแบบนั้นกลับอยากเบือนหน้าหนีไปไกลๆ
เปลือกตาสองข้างปิดลงช้าๆยามที่สติพร่าเลือนไปเหมือนถูกกัดกิน
ถ้าหากนี่เป็นแค่ฝันร้าย...ก็คงดี
ครอบครัวงั้นเหรอ...?
ฮะๆ...ฮะ...
ของแบบนั้นน่ะฉันไม่มีหรอกนะ
“เอาล่ะจ้ะ...ที่นี่คือบ้านใหม่ของหนูนะ”
ดวงตากลมโตสีดำสนิทของเด็กน้อยมองไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวอย่างตื่นเต้น...มันคือคฤหาสน์หรูหราสไตล์ยุโรปที่ดูท่าทางจะมีอายุเก่าแก่พอสมควร รอบๆนั้นคือสวนดอกไม้ที่จัดไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนกับในหนังสือนิทานที่เคยอ่าน
“แม่ครับ!”
เสียงเรียกของใครบางคนทำให้เด็กน้อยหันไปมอง และก็เห็นร่างของเด็กผู้ชายที่โตกว่าสองคนกำลังวิ่งมาทางนี้ ทั้งสองหน้าตาคล้ายๆกัน...เพราแบบนั้นเขาเลยคิดว่าทั้งสองคนนี้อาจจะเป็นพี่น้องกันหรือเปล่านะ?
“เอ๋? เด็กคนนี้ใครกันน่ะ?”
เด็กชายคนที่ดูอายุมากที่สุดถามขึ้นแล้วมองเด็กน้อยซึ่งแม้จะเดินไปมุดๆแอบอยู่หลังร่างมารดาของเขา แต่ก็ยังแอบโผล่หน้ามามองตามประสาเด็กๆ
“เด็กคนนี้ก็คือน้องชายของพวกลูกไงจ๊ะ เอ้า...ทักทายพี่ๆสิลูก”
เมื่อถูกบอกแบบนั้น เด็กชายตัวน้อยก็โผล่หัวออกมาแล้วค่อยๆคลี่ยิ้มน้อยๆให้พี่ชายทั้งสองคน ซึ่งนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่มืออบอุ่นจะยกขึ้นมาลูบเส้นผมสีดำเบาๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ น้องชาย”
รักงั้นเหรอ...?
นั่นสินะ...ไม่ว่าเมื่อไหร่ฉันก็อยากจะรัก...
แต่ว่านะ...ความรักน่ะมันก็คือความเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ...?
“ฮึก...ทำไม...ทำไมพี่ถึงทำแบบนี้ล่ะฮะ...?”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นถามพี่ชายทั้งสองคนของตนเอง หลังมือเล็กๆถูกนำมาปาดน้ำตาจนแก้มน้อยๆแดงช้ำไปหมด
ตรงหน้าของเขาคือซากแมวตัวเล็กตัวหนึ่งที่บนหน้าท้องมีบาดแผลเหวอะหวะขนาดใหญ่จนลำไส้ไหลกองออกมา เลือดขุ่นข้นย้อมขนสีขาวจนเปรอะเปื้อน กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งไปทั่วชวนอาเจียน หากแต่ว่าเด็กโตอีกสองคนกลับยังคงยืนนิ่ง
เพราะมือของหนึ่งในนั้นถือมีดเปื้อนเลือดเอาไว้
“ฮือ...แง...”
เด็กน้อยร้องไห้โยเยด้วยความกลัวและเสียใจ หลังจากที่เดินมาสวนหลังบ้านเพื่อจะมาเล่นกับแมวน้อยตามปกติ แต่ว่ากลับพบว่ามันถูก ‘พี่ชาย’ สองคนฆ่าตายเสียแล้ว
พวกพี่ชาย...ใจร้าย...ผมเกลียดแล้ว...
“โอ๋ พี่ขอโทษนะ พี่แค่กลัวว่าเจ้าปีศาจมันจะทำร้ายนายน่ะ”
พี่คนโตว่าพลางเดินไปลูบเส้นผมสีดำสนิทเบาๆจนเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาไม่เข้าใจ และก็หันไปมองพี่คนรองที่ยกมือมาปาดน้ำตาให้ด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน
“ปีศาจ...งั้นเหรอ?”
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ! แมวตัวนี้น่ะเป็นปีศาจ...มันหลอกนายอยู่นะ แล้วพอนายเผลอมันก็จะฆ่านาย!”
คำพูดนั้นทำให้ดวงตาสีดำมองลงไปยังร่างไร้วิญญาณของแมวตัวน้อยตรงหน้าตนเองอย่างไม่เข้าใจ...แมวตัวนี้น่ะเหรอคือปีศาจ...?
“พี่ทำไปก็เพื่อช่วยนายนะ”
สุดท้ายแล้วเด็กน้อยก็ยังคงเป็นแค่เด็กน้อยที่ไม่มีวันตามคำโกหกของผู้ใหญ่ได้ทัน หัวที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำจึงเพียงแค่โคลงไปมาแบบหงอยๆเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงพยายามหยุดร้องไห้โดยมีมือของคนอายุมากกว่าลูบหัวปลอบ
และเด็กน้อยไม่มีทางเห็นรอยยิ้มแสนบิดเบี้ยวบนใบหน้าพี่ชายทั้งสองได้เลย
ทรยศ...หักหลัง...หลอกลวง...ร้ายกาจ
มนุษย์น่ะเป็นแบบนั้น
เพราะอย่างนี้ไงล่ะถึงได้เกลียดมนุษย์น่ะ
และฉันก็เกลียดตัวเองยิ่งกว่ามนุษย์คนไหนทั้งนั้นแหละ
“พี่ครับ...ผมเอาผ้าออกได้รึยัง?”
“แปบนึงน่า อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
แม้จะเป็นคำตอบแบบขอไปที แต่ว่าริมฝีปากของคนอายุน้อยกว่ากลับยิ้มกว้างแม้รอบดวงตาจะถูกพันด้วยผ้าปิดตาเอาไว้จนมองไม่เห็นอะไร มือสองข้างถูกคนสองคนจับเอาไว้พาเดินไปข้างหน้า
คนสองคนที่เป็นพี่ชายของเขา
เวลาผ่านไป เด็กน้อยในตอนนั้นเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มวัยกำลังโต ความรักที่ได้รับจากทุกคนหล่อหลอมให้เป็นความร่าเริงสดใสตามวัย ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นมักจะเปล่งประกายอยู่เสมอ เหมือนกับที่ริมฝีปากนั้นมักจะยิ้มหวานให้ทุกๆคน
เป็นเด็กหนุ่มที่ราวกับว่าจะไม่มีสีอื่นใดมาเจือปนนอกจากสีขาว
“พี่ครับ~ เร็วๆสิ ผมเมื่อยแล้วนะ...”
คนอายุน้อยที่สุดร้องโอดเบาๆอย่างไม่จริงจังนักเมื่อเดินมานานแล้วยังไม่ถึงจุดหมายเสียที...ที่จริงมันก็ไม่มีอะไร...เพียงแค่พี่ชายสองคนของเขามาอวดว่ามีอะไรจะให้ดู แล้วเอาผ้ามาปิดตาเอาไว้ให้เดินตาม
เขาก็ดันบ้าจี้อยากรู้อยากเห็นเลยยอมเดินมาเรื่อยๆ แต่ว่าพอมองไม่เห็นก็รู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่ที่เดินไปเดินมาเสมอนั้นเหมือนเขาวงกตไม่มีผิด จนเริ่มเมื่อยขาสองข้างนั้นเสียแล้ว...และเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนตาบอดมานิดหนึ่ง
แอ๊ด
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เด็กหนุ่มก็เผลอกลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย และเมื่อถูกนำให้เดินเข้าไปในนั้นเขาก็เผลอเดินด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงอย่างแปลกๆ
ตุบ
“โอ๊ย!”
แต่แล้ว ร่างทั้งร่างก็ถูกมือของใครบางคนผลักให้ล้มลงจนกระแทกพื้น...เจ็บจนจุกไปหมด มือข้างหนึ่งจึงรีบถอดผ้าปิดตาออก และดวงตาสีดำก็เบิกกว้างเมื่อเห็นรอบๆตัว
ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่มีหน้าต่างแค่บานเดียว กับเตียงนอนสีขาวธรรมดาๆ...ห้องที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง เขาก็หันไปมองใบหน้าของพี่ชายทั้งสองที่ในตอนนี้ยังคงยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ทำให้หนาวเยือกไปทั้งตัว
ร่างกายของเด็กหนุ่มจึงเผลอขยับถอยหลังไปเองตามสัญชาตญาณ
“พี่ครับ...จะทำอะ--”
เสียงของเขาขาดห้วงไปเมื่อจู่ๆร่างของทั้งสองคนก็พุ่งเข้ามาจับตะครุบเขาเอาไว้ ทั้งมือสองข้างและขาถูกมือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็กยึดเอาไว้แน่น เจ้าของร่างเบิกตาโพลงด้วยความตกใจก่อนจะดิ้นพล่านด้วยความกลัว
“ไม่เอา! ทำอะไร...อย่านะ!”
เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากออกไปอย่างแรงยิ่งทำให้ความตื่นตระหนกกัดกินไปทั้งร่าง เด็กน้อยดิ้นรนต่อต้านสุดกำลังแต่ว่าแรงของเด็กที่กำลังโตไม่มีทางสู้แรงของคนที่โตกว่าซ้ำยังมีถึงสองคนได้
ในดวงตาของพี่ชายสองคนที่เคยใจดีอยู่เสมอตอนนี้มีแววตาเหมือนสัตว์ประหลาด
ทำไม...ทำไมกันล่ะ...?
“น้องชาย...นายรู้ไหมว่าพวกเรารักนายมากขนาดไหนน่ะ...” เสียงของพี่ชายคนโตพูดขึ้นทำให้คนฟังตัวสั่นด้วยความกลัว มือของเขาคลำไปรอบๆร่างกายเปลือยเปล่าจนคนถูกกระทำร้องไห้ออกมา บีบเค้นอย่างรุนแรงเป็นรอยปื้นแดงบนผิวขาว
“รักมากจนไม่อยากให้นายไปเป็นของใครอีกเลยล่ะ”
เพียงจบคำนั้น ความรุนแรงก็กระทำลงมาบนร่างน้อยๆที่ไร้ทางสู้ เจ็บปวดจนเด็กหนุ่มหวีดร้องออกมา ราวกับว่าร่างกายจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ...เจ็บ...ทั้งร่างกายและทั้งหัวใจ...ไม่ใช่แบบนี้...เราเป็นพี่น้องกันนะ...ทำไมถึงทำแบบนี้...
คนสองคนตักตวงความใคร่ราคะจากร่างที่เจ็บเจียนตาย กระทำอย่างป่าเถื่อนโดยไม่สนใจเสียงร้องที่เหมือนกำลังจะขาดใจของเด็กหนุ่ม
ร่างกายของเขาถูกทำลายลงด้วยน้ำมือคนสองคนที่ไว้ใจ
ร่างกายของเขา...ร่างกายที่เฝ้าดูแลมาตลอดสิบสี่ปีตั้งแต่เกิดมา
ถูกกระทำราวกับของเล่นไร้ชีวิต...เสียจนแทบแหลกสลาย เปรอะเปื้อนไปด้วยมลทินที่ไม่ต้องการ ตีตราบาปฝังลึกลงไปทั้งร่าง...ลึกไปยังส่วนลึกที่สุดของร่างกาย จนซึมลึกลงไปทั่วทั้งผิวหนัง...ทั้งกระดูก...ทั้งวิญญาณ...ทั้งความทรงจำ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ความทรงจำเก่าๆแล่นมาในหัวชั่วขณะ...เขานึกถึงคนอื่นๆรอบตัว...เด็กน้อยจะทนมองหน้าพวกเขาต่อไปได้ยังไงในสภาพอย่างนี้...นึกถึงเพื่อนๆที่เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน...นึกถึงตอนที่ใช้ชีวิตอย่างเด็กผู้ชายปกติ...คิดว่าถ้าหากเป็นผู้ใหญ่แล้วจะมีชีวิตแบบไหน
ไม่เอา...ไม่ใช่แบบนี้...ไม่...
“ฮึก...ฮือ...”
เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มร้องไห้เหมือนคนบ้า ร้องไห้เสียจนราวกับว่าน้ำตาของตลอดชีวิตไหลออกมาในครั้งเดียว เป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนจากรักมาเป็นเกลียดใครสักคนจากก้นบึ้งหัวใจ
และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเกลียดตัวเองมากถึงขนาดนี้
“อะ...อา...”
มือขาวซีดที่สั่นระริกพยายามยื่นขึ้นไปยังท้องฟ้าด้านนอก...ท้องฟ้ายามรัตติกาลที่รับรู้ทุกอย่างแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไปเช่นเดิม...ถึงแบบนั้นเขาก็ยังพยายามไขว่คว้ามันเอาไว้ อย่างน้อย...อย่างน้อย
ขอแค่ได้อยู่ท่ามกลางมันอีกแค่ครั้งเดียวก็ยังดี
“อย่ามัวแต่สนใจอย่างอื่นสิ...น้องชายที่รัก”
แต่ทว่าฝ่ามือนั้นก็ถูกมือของใครบางคนที่เขาไม่รู้แล้วว่าเป็นใครจับเอาไว้ ก่อนจะดึงลงมาช้าๆจนไม่มีโอกาสได้ยื่นมือออกไปหามันอีก...
ราวกับฉุดเขาลงสู่นรกโดยไม่มีวันได้กลับขึ้นมา
เรียกร้องอะไรอย่างนั้นเหรอ...?
ถูกกระทำเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่งที่รอวันถูกทิ้งแบบนี้น่ะ...
มันก็ไม่เห็นจะแตกต่างตรงไหน...ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี
เปลือกตาสองข้างเปิดปรือขึ้นช้าๆด้วยความอ่อนล้า...ภาพที่พร่าเลือนมาพร้อมกับอาการเจ็บร้าวไปทั่วทั้งร่าง ปลายนิ้วที่ชาดิกขยับน้อยๆก่อนจะยันร่างขึ้นนั่ง
“อึก...!?”
แต่แล้วเด็กหนุ่มก็กระตุกน้อยๆเมื่อเพียงขยับตัวนิดเดียวก็เจ็บแปลบเสียจนน้ำตาซึม ดวงตาสีดำที่อิดโรยมองลงไปที่ต้นเหตุของความเจ็บปวดนั้น...มันอยู่ที่สะโพกของเขา...ซึ่งเต็มไปด้วยคราบเลือดและน้ำเหนียวๆบางอย่างที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้าง
...นี่มัน...
ใบหน้าขาวซีดเผือดเมื่อกวาดมองไปทั่วร่างกายเปลือยเปล่าของตนเองซึ่งเต็มไปด้วยรอยช้ำ รอยกัด และสารพัดอีกหลายร่องรอย ข้อเท้าสองข้างถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็กกับขาเตียงทำให้ไม่น่าจะเดินไปไหนได้ไกล และเมื่อมองไปทั่วห้องแคบๆนี่...ก็เห็นคราบอะไรต่อมิอะไรเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด
“...”
แปะ
หยดน้ำสีใสไหลลงมาจากดวงตาสองข้างพร้อมกับคิ้วเรียวที่ขมวดแน่นอย่างไม่เข้าใจ ริมฝีปากเม้มแน่นยามที่โอบกอดร่างกายสั่นระริกของตนเองเอาไว้แน่น ซุกใบหน้าลงกับหัวเข่า...ได้แต่ถามซ้ำไปซ้ำมาถึงโชคชะตาของตนเอง
“ฮึก...ฮือ...”
พระเจ้า...ผมทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ...?
ทำไมถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้ล่ะ...?
ทำไม...?
“อึก...”
มือขาวซีดยกขึ้นปิดปากตัวเองแน่น กล้ำกลืนอาการคลื่นไส้ที่ก่อตัวลงคอไปอย่างอึดอัด นั่งคุดคู้ขดตัวแน่นด้วยความทรมาน บอบช้ำไปหมดทั้งภายนอกและภายใน เมื่อหายใจก็ได้กลิ่นคาวเลือดและราคะโชยมาจนอยากอาเจียน ยิ่งในตอนนี้...เขานั่งขดตัวอยู่บนเตียงสีขาว...ที่มันเปรอะเปื้อนไปหมดก็ยิ่งรู้สึกแย่
แอ๊ด
“!?”
และเมื่อเสียงของบานประตูดังขึ้น เด็กหนุ่มก็สะดุ้งและเงยหน้ามองคนที่มาใหม่สองคนอย่างหวาดกลัว ผิดจากรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่าย
“มะ...ไม่...อย่า...”
ร่างกายที่ช้ำไปทั้งตัวถอยไปจนชิดมุมห้องเหมือนหนูที่ถูกต้อนไปจนตรอก พยายามขดตัวไม่ให้ใครเห็นร่างกายเปลือยเปล่าในตอนนี้ ดวงตาฉายชัดเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เผลอจิกเล็บลงกับต้นแขนสองข้างแน่นจนเลือดซึมออกมา
“มองอย่างนั้น...อยากจะให้ใครช่วยงั้นเหรอ?”
คำถามดังขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือที่บีบปลายคางอย่างแรงจนน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บ ปวดร้าวจนเหมือนกรามจะหัก สองมือจึงพยายามปัดป่ายดิ้นรนให้อีกฝ่ายปล่อยมือเสียที แต่ว่ากลับถูกอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วจับมันเอาไว้จนหมดหนทาง
“รู้เอาไว้นะน้องชาย...เรื่องนี้น่ะ ทุกคนในบ้านรู้เห็นกันหมดนั่นล่ะ”
“...!”
ดวงตาสีดำเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ร่างกายแข็งทื่อเย็นวาบไปหมดเหมือนก้อนน้ำแข็งในฉับพลัน และเมื่อตั้งสติได้ ในใจก็ปฏิเสธมันอย่างบ้าคลั่ง
ไม่จริง...
พวกนาย...โกหก
ภาพของครอบครัวที่เคยมีแล่นผ่านสมองซ้ำวนลูปไปมา ภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ตอนที่ทะเลาะกัน ตอนที่เล่นกัน ตอนที่ทำอะไรด้วยกัน...จะบอกว่าทั้งหมดนั่นมันไม่เคยเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ...?
ทั้งหมดนั่นน่ะ...เป็นแค่เหยื่อล่อที่ทำให้เขาตายใจเท่านั้นเองเหรอ...?
“เพราะงั้น...ไม่มีใครมาช่วยได้หรอกนะ”
ถ้อยคำที่เหมือนตะปูตอกฝาโลงไม่ให้เขาได้มีอากาศหายใจอีกดังขึ้น ก่อนที่เด็กหนุ่มจะคิดอะไรไม่ออกอีกแล้วเพราะความทรมานที่บริเวณซึ่งถูกกระทำอย่างรุนแรงเมื่อคืนเกิดขึ้นซ้ำอีกรอบ ภาพทั้งหมดพร่าเลือนด้วยน้ำสีใสที่เอ่อล้นจนไหลลงมาตามหางตา
อยากตาย...
ใครก็ได้...ฆ่า...ฉันที...
วันแล้ววันเล่าผ่านไปแบบเดิมๆ
ต้องกล้ำกลืนมีชีวิตที่สิ้นหวังต่อไปด้วยร่างกายสกปรกโสมม
...น่ารังเกียจ...น่ารังเกียจ...
นี่...เมื่อไหร่จะฆ่าฉันสักทีล่ะ...?
“เด็กดี...นั่นแหละ...กลืนมันลงไปซะนะ~”
ของเหลวสีขุ่นถูกกลืนลงคอไปอย่างช้าๆ...ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนนั้นทำให้คนมองยิ้มออกมาละอีกคนหนึ่งที่มองอยู่ก็ส่งมือไปลูบเส้นผมสีดำแผ่วเบาเช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองจะผละออกมา และเดินไปจากห้องด้วยความพึงพอใจ
ทิ้งไว้เพียงร่างที่นอนนิ่งเหมือนหุ่นเชิดถูกตัดสายเอ็นทิ้งไปจนขยับไม่ได้
ดวงตาสีดำไร้ชีวิตชีวามองตรงนิ่งไปยังประตูที่ปิดตายโดยไม่ปรากฏแววใดๆ...เขาไม่เคยได้ออกจากประตูบานนั้นไปอีกเลยตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เข้ามา...ตลอดสี่ปีมองเห็นเพียงผนัง เตียงสีขาวที่ถูกเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเกือบทุกวัน และหน้าต่างที่ถึงจะทำให้กระจกแตกได้แต่ก็มีกรอบเหล็กกั้นอีกชั้นอยู่ดี
เขามองเห็นเพียงแค่นี้จริงๆ
ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่มีกระจกให้ส่องไว้สมเพชตัวเองเล่นๆ...ตอนนี้เพียงแค่เห็นเงาสะท้อนตัวเองในกระจกหน้าต่างก็รู้สึกเหมือนจะตาย...ทั้งขยะแขยง ทั้งเจ็บ ทั้งทรมานจนลมหายใจติดขัดทุกครั้งที่มอง แต่กระนั้นกลับชอบที่จะนั่งมองออกไป
เพราะจะได้เห็นโลกภายนอกที่เขาอาจจะไม่ได้ออกไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกตลอดชีวิต
“...”
คิดได้อย่างนั้นหัวที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำก็เอนพิงกำแพงแล้วทอดสายตาไปด้านนอกอย่างที่ทำเป็นประจำ...ทำมาตลอดสี่ปีที่แสนทรมาน
ท้องฟ้านี้น่ะ...มันช่างงดงามเหลือเกิน...
ริมฝีปากแตกช้ำคลี่ยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน ดวงดาวแม้จะเห็นได้ชัดเจนเพียงใดแต่ก็ไม่อาจเอื้อมมือออกไปไขว่คว้ามันได้...เหมือนกันเหลือเกินกับคำว่าอิสรภาพ...ช่างงดงามจนอยากจะได้มันมา หากแต่ขณะเดียวกันมันก็ว่างเปล่าทุกครั้งที่ได้จ้องมอง
แปะ
น้ำตาหยดลงบนพื้นอีกครั้งเป็นหยดที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้...ไร้เสียงสะอื้น...ไร้เสียงร้องคร่ำครวญ...มีเพียงเสียงของหยดน้ำที่กระทบผ้าปูเตียงและซึมกระจายเป็นดวงราวดอกไม้ไร้สีสันที่แย้มบานเพียงครู่เดียวก็ระเหยหายไป ยามที่มือสองข้างยกขึ้นกอดร่างสั่นไหวของตนเอง
ทั้งท้องฟ้าและอิสรภาพนั่นน่ะ...
...มันเย็นชาจริงๆนะ...
อยากจะหลับใหลไปตลอดกาล
อยากจะหลับไปจนร่างกายชาไปแล้วขยับไม่ได้ทั้งแบบนั้น
พอตื่นขึ้นมาก็อยากจะหลับต่อไปได้เรื่อยๆ
ไม่อยากตื่นมาเจออะไรอีกแล้ว
ดวงตาสีดำที่ไร้แววของความรู้สึกใดๆจ้องมองออกไปยังผืนฟ้าสีครามที่สวยสดงดงาม...เป็นผืนผ้าใบสีฟ้าที่แต่งแต้มด้วยก้อนเมฆขาวและแสงแดดเจิดจ้าดังเช่นทุกๆวัน บางทีเขาก็คิด ว่าท้องฟ้าอาจจะเป็นที่ๆความสุขของผู้คนลอยไปรวมตัวกันก็ได้ มันจึงได้สว่างไสวแบบนี้
แล้วความทุกข์ล่ะ...ทำไมถึงไม่มีใครเอามันไปบ้าง...?
...
หัวใจในอกข้างซ้ายนั่น...มันแหลกไปหมดหรือยังนะ...?
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายมันด้านชา ไม่ใช่ในเรื่องของประสาทสัมผัส แต่กลับเป็นเรื่องของความรู้สึกที่นับวันก็ยิ่งจางลงไปจนเริ่มกลัว...กลัวว่าสักวันหนึ่งตนเองจะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาที่มีชีวิต...ไม่มีความคิด...ไม่สามารถขยับไปได้เมื่อสายเอ็นถูกตัดขาด
แอ๊ด
“อ๊ะ!?”
เสียงของใครบางคนที่ไม่คุ้นเคยทำให้คนที่นั่งเหม่อลอยหันไปมอง...ควรจะเป็นแม่บ้านที่นำอาหารมาวางเอาไว้ให้แล้วรีบเดินออกไปเหมือนทุกที...แต่ว่าในวันนี้กลับเป็นเหญิงสาวร่างโปร่งบางที่ดูจะอายุมากกว่าเขานิดหน่อยในชุดสาวใช้ที่ถือถาดอาหารด้วยมือสั่นๆ มองเขาแล้วอ้าปากค้าง
“...”
นัยน์ตาสีดำอิดโรยเพียงแค่มองนิ่งๆแล้วหันกลับไปเอนหัวพิงหน้าต่างตามเดิมอย่างไม่แยแสเท่าไหร่นัก...จะมองด้วยสายตารังเกียจหรือขยะแขยงก็ช่าง...ชินแล้วล่ะ...
“คุณ...คือคุณชายน้อยที่เขาพูดถึงกันงั้นเหรอคะ...?”
“...”
เด็กหนุ่มเบนสายตาไร้อารมณ์กลับไปมองสาวใช้คนเดิมที่ท่าทางจะเป็นสาวใช้ฝึกหัดแล้วก็โคลงหัวนิดหนึ่ง เธอจ้องมองสำรวจเขาแทบจะทั้งตัว...และทำหน้าตกใจมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงตอนที่เห็นโซ่ตรวนที่ข้อเท้าสองข้างของเขา ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาโต๊ะสำหรับวางถาดอาหาร
ทำให้รอยยิ้มดูแคลนตนเองปรากฏขึ้นชั่วแวบหนึ่งบนริมฝีปากบอบช้ำ
“...วางบนพื้น...”
“!”
ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าเหมือนคนที่ขาดน้ำมานานนั้นเอ่ยบอก...แม้เธอจะเคยได้ยินพวกแม่บ้านซุบซิบกันมาบ้างถึงเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องนี้ แต่เธอก็ไม่คิด...ว่าเขาจะน่าสงสารถึงเพียงนี้
ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ...เธอจึงเดินไปใกล้กับร่างที่บอบช้ำไปทั้งตัวแล้วยื่นมือไปตรงหน้า
“…!?”
เพียงแค่มือเรียวที่แตะลงบนแก้มอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีดำก็เบิกกว้างอย่างตกใจ แต่ก็เพียงชั่วครู่ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจ...ความอบอุ่นแนบลงบนแก้มแต่กลับยากจะเชื่อใจ ทำให้ริมฝีปากแห้งแตกแย้มยิ้มอย่างกล้ำกลืน
“ทำไมกันล่ะ...?”
ทำไมถึงได้อบอุ่นแบบนี้กัน?
ทำไมถึงไม่รังเกียจล่ะ?
“...เพราะคุณน่าสงสารน่ะสิคะ คุณไม่ควรจะโดนทำแบบนี้นะ...” เธอตอบด้วยแววตาแน่วแน่ไร้ซึ่งความลังเล พร้อมกับยิ้มออกมา...รอยยิ้มที่สว่างไสวเสียจนราวกับจะตาพร่าได้ถ้าหากมองไปนานๆ สว่างไสว...ราวกับแสงอาทิตย์
ดวงตาสีดำสั่นไหวด้วยความรู้สึกหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นมา ขอบตาร้อนเหมือนกับจะไหม้ แต่ว่าริมฝีปากก็ยังฝืนยิ้มเรียบๆถามกลับไปด้วยเสียงที่สั่นจนฟังเกือบไม่ได้ศัพท์
“ถ้าเกิดทำแบบนี้...เธออาจจะต้องถูกฆ่านะ...”
“...”
สาวใช้คนนั้นไม่ตอบ แต่กลับทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า
หมับ
“!?”
อ้อมแขนที่แม้จะบอบบางแต่ก็ช่างอ่อนโยนโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างแผ่วเบา...ชาวาบไปทั้งหัวใจจนดวงตาเบิกกว้างกับความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับตั้งแต่เกิดมา ก่อนที่น้ำสีใสจะหยดลงบนแก้มหนึ่งหยด...สองหยด...หยดลงมาเรื่อยๆไม่ขาดสาย
ร่างกายบอบช้ำสะอื้นจนตัวโยนโดยที่มือผอมบางลูบหลังปลอบเหมือนเด็กๆ แต่กลับยิ่งทำให้เด็กหนุ่มร้องไห้...ร้องไห้เหมือนคนเสียสติ...หากแต่กลับต่างจากทุกครั้งที่เต็มไปด้วยความกลัวและสิ้นหวัง
เพราะในครั้งนี้มันช่างมีความสุขเสียจนร่างกายชาไปหมด
“ร้องไห้ทำไมคะคุณชายน้อย...ไม่ต้องกลัวนะคะ...”
หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนกำลังพูดกับเด็กน้อย...อบอุ่น...นุ่มนวลเสียจนคนได้รับร้องไห้หนักกว่าเดิม...ควบคุมร่างกายของตนเองไม่ได้เพียงเพราะความอ่อนโยนที่ได้รับเป็นครั้งแรก
เขาจึงผละออกมาแล้วใช้หลังมือปาดน้ำตา แต่ว่าก็มีน้ำตามากมายไหลลงมาไม่ขาดสายจนมือสองข้างนั้นเปียกชุ่มไปหมด เพียงแค่คำปลอบโยนที่แสนธรรมดา แต่นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้ยินคำนี้...หนึ่งปี...สองปี...สี่ปี...สิบปี
หรือตลอดชีวิตกันนะ
“ก็ไม่รู้...นี่นา...ว่าถ้าเจอคนใจดี...ต้องทำตัวยังไง...”
เสียงที่สั่นพร่าจนฟังเกือบไม่รู้เรื่องเอ่ยออกมาโดยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด แม้จะเป็นเพียงประโยคเดียว...แต่กลับทำให้คนฟังสะเทือนใจเสียจนต้องกอดร่างซึ่งเหมือนจวนเจียนจะแตกสลายเต็มทีมากอดเอาไว้อีกครั้ง พร้อมกับมือที่ยกขึ้นลูบเส้นผมสีดำแผ่วเบา
ทำให้มือของอีกฝ่ายนั้นกอดตอบเธอและกำเสื้อแน่นจนยับย่นไปหมด
ทำไมกันล่ะ?...ทำไมเธอถึงไม่หยุดอีก...?
ถ้าทำดีกับฉันแบบนี้ต่อไปแล้วถูกจับได้เธออาจจะถูกฆ่าเอานะ...
หยุดเถอะนะ...หยุด...
ก่อนที่เธอจะถูกจับได้
“คุณชายน้อย...ทานนมหน่อยนะคะจะได้สูงๆ”
เสียงที่ยังคงอ่อนโยนอยู่เสมอทำให้เด็กหนุ่มหันไปมอง...ในมือของเธอคือแก้วน้ำบรรจุนมอุ่นกลิ่นหอมหวานชวนให้รู้สึกอยากดื่ม แต่ว่าเมื่อดวงตาสีดำมองเห็นน้ำนม...สีขาวขุ่น...ความคลื่นไส้ก็ก่อตัวขึ้นจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก
“ไม่เป็นไรนะคะ...ฉันอยู่นี่แล้ว...ไม่ต้องกลัวนะ...”
อีกครั้งที่เสียงของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนยังคงอยู่ได้...เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแล้วหยิบแก้วนมร้อนมาจากมืออีกฝ่าย หลับตาแน่นดื่มมันลงคอไปโดยพยายามไม่นึกถึงเรื่องที่น่ากลัวเหล่านั้น และเมื่อนมอุ่นๆหมดแก้ว เขาก็รีบคืนถ้วยให้เธอทันที
“เก่งมากค่ะคุณชายน้อย...ไม่เป็นไรนะคะ...”
ใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มส่งมาให้เด็กหนุ่มเช่นเคย...ใครจะรู้ว่าความจริงแล้วเธอนั้นสงสารเขาจนอยากจะร้องไห้...ยิ่งเมื่อผูกพันกันมากขึ้น เธอก็ยิ่งเจ็บปวดใจเมื่อเห็นสิ่งที่เด็กน้อยในสายตาเธอต้องพบเจอ
เด็กหนุ่มตรงหน้าถูกทารุณเกือบทุกวันเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจและไม่ใช่คน...ความกลัวกัดกินฝังรากลึกลงไปจนหวาดผวาทุกครั้งที่ถูกจับต้อง...ทำให้ทานไม่ได้แม้แต่ของบางอย่างที่ทำให้นึกถึงเรื่องแบบนั้น
ส่งผลให้เขาสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตนเองจากคนรอบข้างเสมอ ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่ไม่มีความผิดเท่านั้น
“ขอบคุณนะ...ขอบคุณจริงๆนะ...”
เขาพูดออกมากับเธอแบบนี้ทุกครั้งที่เธอทำอะไรบางอย่างให้ พร้อมกับยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปาก...แม้ว่าใบหน้านั้นจะบอบช้ำทุกวัน...แม้ว่าร่างกายจะเปรอะเปื้อน...แต่ว่ารอยยิ้มนั้นกลับยังคงซื่อใสไม่มีสิ่งใดเจือปนเหมือนกับเด็กๆที่ไร้เดียงสา
แล้วถ้าหากวันหนึ่งเขาทำความผิดขึ้นมา...เธอจะยังคงมองเขาเหมือนเดิมหรือเปล่านะ...?
หญิงสาวถามตนเองในใจก่อนจะมองอีกคนด้วยสีหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ แต่เพียงไม่นานเธอก็หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา
“คุณชายน้อยคะ...นี่...”
เธอจับมือข้างหนึ่งของเขาขึ้นมาแล้ววางของสิ่งนั้นลงไป ดวงตาสีดำเบิกกว้างเมื่อเห็นว่ามันคืออะไร แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยเถียง หญิงสาวก็พูดด้วยเสียงแน่วแน่เสียก่อน
“ถ้าหากวันหนึ่งคุณชายน้อยทนไม่ไหวอีกแล้ว...ก็ใช้มันนะคะ...”
เด็กหนุ่มมองมีดในมือที่ถูกยัดเยียดให้รับมาก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพียงนึกภาพว่าตนเองจะนำมันมาฆ่าใครก็ตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ในขณะเดียวกัน...ด้านมืดในจิตใจกลับหัวเราะลั่นว่านี่คือสิ่งที่ต้องการมานาน
เคร้ง
มือขาวซีดเผลอทำคมมีดตกพื้นเรียกให้สติกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรีบเก็บมันขึ้นมาแล้วซ่อนเอาไว้ใต้หมอนอย่างรวดเร็ว
และแล้วร่างทั้งร่างก็ถูกรวบไปกอดอีกครั้ง
“คุณชายน้อย...สัญญากับฉันนะคะ...ว่าห้ามฆ่าตัวตายเด็ดขาดเลยนะ”
“...”
ดวงตาสีดำจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวที่ระบายยิ้มอ่อนๆมาให้ด้วยความไม่เข้าใจ...ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น...เขาไม่ได้มีค่ามากขนาดที่เธอจะเป็นห่วงไม่ใช่งั้นเหรอ?
ถึงแบบนั้นเด็กน้อยในร่างของเด็กหนุ่มก็พยักหน้าน้อยๆ ทำให้อีกฝ่ายใจชื้นมากขึ้น
“สัญญาแล้วนะคะ...เพราะงั้นถึงฉันเป็นอะไรไป...ก็ห้ามฆ่าตัวตายนะคะ”
อีกครั้งที่เขาพยักหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่หญิงสาวจะผละออกมาและลูบเส้นผมสีดำเบาๆเหมือนให้รางวัลกับเด็กตัวเล็กๆ...เจ้าของดวงตาสีดำได้แต่มองแล้วครุ่นคิดถึงการกระทำนั้น...มันคือความอบอุ่นและอ่อนโยนของจริง แต่ว่ากลับไม่เข้าใจแววตาของเธอเลยสักนิดเดียว
ความอบอุ่นตอนนั้นน่ะ...ฉันยังจำมันได้ดีเสมอ
ความอบอุ่นที่ทำให้หัวใจมีความสุขเสียจนหลงใหลไปกับมัน
แต่พอรู้ตัวอีกที
...มันก็กลายเป็นความหนาวเย็นไปแล้ว...
แอ๊ด
เสียงประตูที่เปิดเข้ามาทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองอย่างคาดหวัง แต่เมื่อเห็นเป็นร่างของคนสองคนที่เดินเข้ามา...แววตาก็แปรเปลี่ยนไปในทันที แม้ว่าสีหน้าจะว่างเปล่าไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่ว่าถ้าหากมองลงไปลึกๆในดวงตาสีดำคู่นั้น...จะเห็นเพียงความชิงชังที่มอบให้กัน
มีแต่ความเกลียดและเฉยชา
ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่น้องชายคนเล็กที่น่ารักของพวกเขาเลิกหวาดกลัวและเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้...คราบราคะซึ่งถูกยัดเยียดให้ตั้งแต่เด็กหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มที่มักทำหน้าว่างเปล่าอยู่เสมอ หากแต่กลับพยศจนเลือดตกยางออกทว่าก็ไม่เคยหลาบจำ
...เด็กดื้อ...
“หวังอยากจะเจอใครอยู่หรือไง? น้องชาย?”
“เอ...หรือว่าจะเป็น...แม่สาวคนนั้น?”
กึก
โซ่ตรวนที่ข้อเท้าสองข้างขยับเล็กน้อยพร้อมกับนัยน์ตาที่วูบไหว ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะเม้มแน่นจนซีดขาว มือสองข้างกำแน่นจนมันสั่น
ปฏิกิริยาที่ทำให้ทั้งสองยิ้มแสยะออกมา
“เรามีของมาฝากด้วยนะ”
ตุบ
อะไรบางอย่างถูกโยนลงไปบนเตียงข้างๆร่างเปลือยเปล่าที่ค่อยๆหันไปมอง แล้วก็เบิกตากว้าง
อะไรบางอย่างที่เด็กหนุ่มผมสีดำคุ้นเคยดี...เขาเห็นมันบ่อยๆ และชอบทุกครั้งที่มันลูบเส้นผมของเขาหรือโอบกอดเขาเอาไว้...มันเคยอบอุ่น แต่ว่าตอนนี้มันกลับซีดขาว
...มือ...มือของเธอคนนั้น...
มือเรียวที่ถูกตัดตรงข้อมือจนเห็นผิวเนื้อด้านในและกระดูกทิ่มออกมา...ซีดขาวเสียจนมองเห็นได้เป็นสีเขียวจางๆ...แม้แต่เล็บก็เป็นสีม่วง...ดูเหมือนกำลังจะเน่าสลายในไม่ช้า
“...”
ริมฝีปากซีดขาวสั่นระริกเหมือนอยากจะกรีดร้องออกมาแต่ทำไม่ได้ มือของเด็กหนุ่มหยิบมันขึ้นมา...ก่อนจะเอามันมากอดแนบอกเอาไว้โดยไม่มีอาการรังเกียจเลยแม้แต่น้อย หยาดน้ำตาหยดลงบนมือที่ถูกตัดในอ้อมแขนด้วยความสงสาร
ทำไม...ทำไมเธอถึงต้องเจอแบบนี้...
เธอไม่ผิดอะไรเลยนะ...
“ทำไม...?”
เสียงสั่นพร่าเอ่ยถาม แม้ว่ามันเบาจนเกือบจะถูกเสียงอื่นกลืนกินไปจนหมด แต่ว่าคนที่โตกว่าทั้งสองคนกลับได้ยินชัดเจนและแย้มยิ้มออกมายามที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่ฉายแววแห่งโทสะหันมามองช้าๆ
“จะทำอะไรก็ทำที่ฉันคนเดียวสิ! ทำไมถึงต้องไปลงที่เธอด้วย!?”
“...”
คำตอบนั้นกลับเปลี่ยนเป็นการที่ร่างทั้งสองเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มทีละน้อย...ซึ่งดวงตาสีดำก็หลับลงแล้วก้มหน้าซุกกับหัวเข่า กอดมือที่เป็นสีเขียวเอาไว้แน่นทะนุถนอมเหมือนมันเป็นของล้ำค่า ร้องไห้จนตัวสั่นแบบที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว
ท่าทางที่ทำให้เขาตื่นเต้น
ตุบ
มือของคนสองคนกดร่างเปลือยเปล่าลงไปกับเตียงแล้วจับมือเน่าๆนั้นโยนทิ้งไปทางอื่น ซึ่งดวงตาสีดำก็เปิดปรือขึ้นมามองตามไป...ไม่เหลือแล้ว...ไม่มีอีกแล้วสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาเอาไว้...อะไรที่เขารักมันไม่เหลืออีกแล้ว
ดวงตาที่อิดโรยบวมแดงเพราะผ่านการร้องไห้มาเนิ่นนานจ้องมองปีศาจทั้งสอง
“ทำไม...ถึงได้ใจร้ายแบบนี้...?”
“...”
รอยยิ้มผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวปรากฏบนริมฝีปากทั้งสอง...ทำให้คนมองยิ่งรู้สึกเกลียด...เกลียดรอยยิ้มนั่น...เกลียดทุกสิ่งทุกอย่าง
เกลียดมนุษย์
“นายน่ะ...มีแค่พวกเราก็พอ”
สิ้นประโยคนั้น...ริมฝีปากน่ารังเกียจก็โน้มลงมาเกือบจะทาบทับลงไปอีกรอบ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะ...
ฉัวะ!
...
“อ่อก!?”
มือขาวซีดคว้ามีดที่ซ่อนเอาไว้ใต้หมอนขึ้นมาแทงลำคอตรงหน้าลงไปจนมิดด้าม ก่อนจะดึงออกมาอย่างรวดเร็วส่งผลให้เลือดข้นๆไหลทะลักอาบร่างนั้นราวกับน้ำพุที่พวยพุ่งออกมา...ร่างที่ถูกแทงหงายหลังล้มลงไปกระตุกสองสามที และแน่นิ่งไปทั้งที่ดวงตายังเบิกโพลง
ดวงตาสีดำเลื่อนไปมองคนอีกคนที่มัวแต่ยืนมองภาพพี่ชายร่วมสายเลือดที่ลงไปนอนสิ้นลม
ฉัวะ!
ก่อนจะฝังมีดลงไปที่หน้าอกของคนๆนั้นอย่างแรงจนร่างทั้งร่างทรุดฮวบลงไป...อ่อนปวกเปียกเหมือนตุ๊กตาและตายตามพี่ชายไปติดๆ
“...”
มือขาวซีดที่อาบย้อมไปด้วยเลือดถอนมีดออกมาช้าๆ แล้วมองไปยังศพสองศพ
...ที่เขาเป็นคนสังหารเองกับมือในเวลาเพียงชั่วอึดใจ
ตอนนี้ร่างเปลือยเปล่าเปรอะเปื้อนด้วยของเหลวคาวสีเข้มจนราวกับว่าผิวนั้นยิ่งขาวซีดกว่าเดิม...ดวงตาสีดำคู่นั้นยิ่งดูดำสนิทยามมองไปยังใบหน้าคนที่เกลียดที่สุดตั้งแต่เกิดมาที่ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นนิ่งค้างเหมือนจะมองมายังเขา
...
แล้วริมฝีปากนั้นก็เหยียดยิ้มออกมา
ง่ายดาย...เรื่องทั้งหมดมันง่ายดายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ...?
“ฮะๆ...ฮะ...ฮะๆ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากขาวซีดที่ยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้มหยัน มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเสยผมทั้งที่มืออีกข้างก็ยังจับมีดเอาไว้...บ้าจริงๆ...ความอบอุ่นจากเลือดคนน่ะมันอาบไปทั้งตัว แม้แต่ในลำคอยังมีรสกรุ่นเหมือนสนิมเหล็กด้วยซ้ำ
เขาไม่รู้สึกผิดสักนิดเดียวที่ฆ่าคน...ไม่สักนิด
ดวงตาสีดำมองซากศพน่าเกลียดที่นอนตาค้างเหมือนจ้องมองเขาอยู่ตลอดด้วยสายตาเกลียดชังและโกรธแค้นอย่างชัดเจน...แม้จะเป็นศพไปแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกเกลียด จนนึกอยากให้เจ้าพวกนี้ฟื้นขึ้นมาแล้วให้เขาแทงใหม่ซ้ำไปเรื่อยๆจนกว่าร่างจะเน่าสลาย
ฉัวะ
ฉัวะ
ฉัวะ
ฉัวะ
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีดเล่มนั้นแทงทะลุผิวเนื้อขาวซีดที่ไม่มีชีวิตแล้วซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆระบายความโกรธเกลียดตลอดทั้งชีวิตที่เจอมา แม้จะเป็นซากศพแต่เขาก็อยากทำลายไม่ให้มันเหลือเค้าเดิม...อยากให้เละเทะไปจนแม้แต่ชิ้นส่วนร่างกายยังแยกไม่ได้
นี่แหละ...ความโกรธของเขา
เด็กหนุ่มระบายอารมณ์ลงใส่ร่างแข็งทื่อพวกนั้นจนพอใจแล้วก็มองผลงานของตนเอง...ซากศพที่ผิวหนังเป็นรุพรุนจนเห็นกระดูกด้านในและเนื้อหนังสีเริ่มดำคล้ำด้านใน เลือดแห้งกรังเปรอะเปื้อนจนแทบย้อมร่างเป็นสีแดงขุ่น ใบหน้าเละเทะถูกจ้วงแทงนับสิบครั้ง ยังไม่นับอวัยวะด้านในที่ไม่เหลือชิ้นดี
เขาไม่ได้ทำผิดสักหน่อย...ก็แค่ล้างแค้น...มันผิดตรงไหน
เมื่อนึกได้อย่างนั้น ริมฝีปากก็ยิ้มแย้มออกมาราวกับไม่รับรู้ว่าตนเองทำผิดอะไรอย่างสัตย์จริง พร้อมกับมือที่เลื่อนไปแกะเสื้อผ้าของซากศพพวกนั้นมาสวมลวกๆ แล้วจับมีดแน่นจนมือสั่นระริก แทงลงไปยังโซ่ตรวนขึ้นสนิมหลายๆทีจนมันแตกออกให้เขาสามารถเดินไปไหนมาไหนได้อีกครั้ง
ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว...พวกมนุษย์โสโครกในบ้านทั้งหลาย...
มือเปื้อนเลือดจับลูกบิดประตูที่ในวันนี้ไม่ได้ล็อกเดินออกไป...พร้อมคราบเลือดที่หยดลงมเป็นทางตามไปเหมือนคราบหายนะของปีศาจที่จะทำให้คฤหาสน์หลังนี้พังพินาศ
สุดท้ายก็โดนจับอยู่ดี...
ดวงตาสีดำมองกุญแจมือเหล็กที่ล็อคข้อมือสองข้างของตนเอาไว้ด้านหลัง ก่อนจะหันกลับไปมองร่างของตำรวจจำนวนหนึ่งที่ยืนคุยอยู่ไกลๆ...ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง กำลังรอให้เจ้าหน้าที่คุยอะไรกันเสียก่อนว่าจะเอายังไงกับตัวเขาดี
ดูเหมือนตอนที่เขาเกิดบ้าไล่ฆ่าคนในบ้าน จะมีคนโทรไปแจ้งตำรวจเอาไว้พอดี เพราะงั้นทันทีที่เขาก่อเรื่องเสร็จ ตำรวจก็เข้ามาในคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยซากศพและมีเขาเพียงคนเดียวยืนถือมีดตัวเปรอะเปื้อนเลือดอยู่...แบบนั้นต่อให้เด็กสามขวบก็ยังรู้ว่าใครเป็นฆาตกร
ถูกจับมันก็ช่วยไม่ได้...ถึงยังไงเขาก็ไม่มีความคิดจะฆ่าตำรวจ...ถ้าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
เทปสีเหลืองพันรอบๆบ้านหลังใหญ่เอาไว้กันไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่มย่าม...และที่บริเวณพบศพก็มีชอล์กสีขาวขีดเป็นรูปคนเอาไว้จำนวนมาก
ถึงจะออกจากที่นี่มาได้...ก็ถูกจับเข้าคุกอีกรอบ
สงสัยว่าตัวเขา...คงจะถูกกักขังตลอดชีวิตแล้วสินะ...?
“ไปได้แล้ว”
จนกระทั่งเมื่อตำรวจนายหนึ่งเดินมาทางเขาแล้วพูดเสียงเรียบ เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปตรงที่มีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งรออยู่แล้ว
นัยน์ตาสีดำมองขึ้นไปด้านบน...มองขึ้นไปยังสิ่งที่ทุกครั้งเขาได้แต่เฝ้ามองจากห้องแคบๆ
แต่เมื่อเห็นความงดงามกว้างใหญ่ และแสงอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้า...น้ำตาก็พาลจะไหลออกมาดื้อๆแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ แล้วเปลี่ยนจากน้ำตามาเป็นรอยยิ้มที่ทั้งดีใจและหม่นหมองในเวลาเดียวกัน
ท้องฟ้าในวันนี้น่ะ...สวยเหมือนเคยเลยนะ...
แต่ว่าก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นแบบนี้อีกแล้ว
“ลาก่อนนะ...อิสระของฉัน...”
#ขอโทษที่กากค่ะ #ทำหน้าเมา #นอนตายส์
ความคิดเห็น