ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #11 : ผีเสื้อมายาในขวดโหล

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 416
      3
      18 พ.ค. 59

     


    Chapter 10 ผีเสื้อมายาในขวดโหล

    เสมือนว่านี่คือการพักผ่อนอันยาวนานและสำราญเป็นที่สุด

    เสียงนกร้องดังเจี้ยวจ้าวอยู่นอกหน้าต่าง แสงตะวันสาดลอดมาทางหน้าต่าง กระทบตาที่กระพริบหยีของโรม เด็กน้อยลืมตาขึ้นพลางอ้าปากหาว คราบน้ำลายเกรอะกรังอยู่ตามสองข้างแก้ม เขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าอันแจ่มใสสดชื่นเช่นนี้มานานแล้ว เขายังนอนแช่อย่างนั้น ความฝันถึงกรรมกรที่หล่นจากหลังคาตึกยังติดตา เขาไม่ชอบใจเลยที่จะต้องฝันเห็นคนตายทุกๆ คืน แต่เขาจะทำอะไรได้ นั่นคือศพแรกที่เขาเห็น มันคงจะติดตาเขาไปจนตาย

    เด็กน้อยค่อยงัวเงียลุกจากที่นอนขนสัตว์หนานุ่มซึ่งหอมกลิ่นแดดและดอกไม้ เหลียวไปมองรอบๆ ห้องอย่างสงสัย ห้องนี้ถูกสร้างด้วยไม้ทั้งห้อง สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย เตาผิงที่ไฟดับแล้วอยู่ตรงผนังด้านหนึ่ง มีโต๊ะไม้โอ๊กเก่าๆ เอียงๆ แต่สะอาดเอี่ยมตั้งอยู่ตรงมุม บนโต๊ะวางแจกันประดับช่อดอกไม้แห้งสีส้ม ชวนให้นึกถึงฤดูร้อนในชนบท

    ห้องนี้มีหน้าต่างอยู่ตามผนังทั้งสามด้าน นอกหน้าต่างหนาทึบไปด้วยต้นส้มที่เบียดเสียดกันแออัด ผลิดอกส้มสีขาวแพรวพราวเหมือนดาวกระจาย เสียงนกร้องชุลมุนแต่เช้า ปีกเจ้านกตัวเล็กตัวน้อยพวกนั้นขยับตีกันให้วุ่นวาย จนกิ่งก้านสะท้าน ดอกส้มกระจาย

    ตอนนี้เขายังใส่ชุดเดินทางตัวเดิม ผ้าคลุมสีแดงแขวนอยู่บนราวที่มุมห้อง เขานอนบนเตียงไม้สีน้ำตาลเข้มขนาดนอนคนเดียวที่ห่มด้วยผ้าขนสัตว์หลายชั้น ทั้งหนานุ่มและอบอุ่น ข้างๆ กันนั้นเป็นเตียงอีกหลังแบบเดียวกัน โรซ่านอนจมกองผ้าห่มขนสัตว์นิ่งสนิท หล่อนเคี้ยวปากเบาๆ ราวกับว่านี่คือนิทราอันแสนสุข และไม่มีเรื่องต้องทุกข์ใจเมื่อตื่นขึ้นมา

    เด็กชายน้ำตารื้น เมื่อนึกน้อยใจขึ้นมา...นานแล้วที่เขาและพี่สาวไม่ได้นอนหลับอย่างสบาย โดยไม่ต้องกังวลในยามเช้า กลิ่นพายอบของพ่อจะโชยมาปลุก และเสียงหัวเราะของแม่จะทำให้พวกเขาลุกจากที่นอน

    โรมสะบัดศีรษะตัวเองเบาๆ ก่อนจะนึกสงสัยขึ้นมาว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?

    เด็กชายย่องลงจากที่นอนเบาๆ ไม่อยากให้โรซ่าตกใจตื่นขึ้นมา และกลัวว่าเจ้าคนที่พาพวกเขามานอนที่นี่จะรู้ตัว โรมย่องไปที่ประตูซึ่งไม่ได้ติดสลักไว้ มือน้อยๆ ดึงประตูเปิดแง้มเป็นช่องเล็กๆ ดวงตาใสแจ๋วสีฟ้าใสค่อยๆ ส่องลอดช่องออกไป ข้างนอกเป็นลานระเบียงไม้ร่มรื่น มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่กับเก้าอี้ตัวหนึ่ง ลานต้นส้มแออัดไปสุดลูกหูลูกตา ตามผิวดินเรี่ยราดกระจัดกระจายไปด้วยดอกส้มเล็กๆ และลวดลายของเงาไม้

    เด็กชายค่อยๆ ย่องออกจากห้องมายืนที่ระเบียงไม้ ข้างๆ มีอีกห้องซึ่งปิดประตูไว้ ไม่มีใครอยู่สักคน โรมพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เขามาถึงปากทางเข้าป่าลึกลับตะวันตก แล้วตอนนั้นเขาก็รู้สึกง่วงนอนอย่างมาก ก่อนที่จะหมดสติไป และตื่นมาอีกครั้งที่นี่

    ดูจากที่พักอาศัยแล้ว...เจ้าของบ้านหลังนี้คงเป็นคนเรียบง่ายและน่าจะใจดี เขาคงเป็นผู้ช่วยชีวิตโรมและโรซ่าไว้ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

    เด็กชายก้าวออกมาที่โต๊ะทำงาน มองของบนโต๊ะอย่างสนใจ บนโต๊ะทำงานมีขวดโหลขนาดใหญ่บรรจุผีเสื้อสีขาวตัวหนึ่งซึ่งโผบินไปมาอย่างน่ารัก ข้างโหลนั้นมีดอกกุหลาบสีน้ำเงินเหี่ยวแห้ง กับกองหนังสือและกระดาษเก่าๆ วางเรี่ยราด ปากกาขนนกด้ามหนึ่งและขวดหมึกตั้งไว้ใกล้กัน

     ฉับพลัน! เจ้าหนูโรมก็สะดุ้งโหยงเมื่อมีมือหนักๆ มาวางบนไหล่ของเขา เด็กน้อยรีบเหลียวไป ก็พบหน้าโรซ่า

    “เจอเจ้าของบ้านไหม?” เด็กหญิงกระซิบถามเบาๆ หล่อนหอบเอาผ้าคลุมหลังสีแดงหนาหนักมาวางทับตัวน้องชายไว้ให้คลายหนาว แม้ที่นี่จะแจ่มใสราวกับฤดูร้อนแช่มชื่น แต่อากาศก็ยังหนาวไม่น้อย

    “ไม่เลยฮะ” เด็กชายตอบ ดวงตาใสแจ๋วมองผีเสื้อสีขาวเรืองแสงที่บินไปมาอย่างสนใจ โรซ่าทำสีหน้าครุ่นคิด ขณะเดินไปเดินมารอบชายระเบียง

    “แปลก...” เด็กหญิงพึมพำออกมา และพูดอย่างนั้นซ้ำๆ ราวสี่ห้าครั้ง “แปลก...แปลก...แปลกมาก!!” ดูเหมือนว่าโรซ่าจะพูดแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ โรมต้องเหลียวไปมองพี่สาว

    “อะไรแปลกฮะ”

    “ที่นี่ไงล่ะ...” โรซ่าเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก หล่อนห่อตัวอย่างคนวิตกกังวล “พี่ว่าที่นี่ต้องเป็นที่อยู่ของ...ปีศาจร้าย”

    เด็กชายเบิกตากว้าง คำว่าปีศาจเป็นคำปกติที่ใช้เรียกชาวอาณาจักรม่านหมอก แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ พวกมนุษย์เรียกพวกเขาว่าปีศาจ แต่เด็กชายก็ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าปีศาจ ตามความหมายที่พวกมนุษย์เข้าใจ ปีศาจน่าจะหมายถึง สิ่งมีชีวิตที่พวกมนุษย์หาคำนิยามไม่ได้

    พวกเขาไม่มีวันแก่ สามารถหยุดความร่วงโรยแห่งวัยได้เท่าที่ใจปรารถนา บางคนอาจจะชอบเป็นชายชราเพราะดูน่าเชื่อถือ บ้างอาจจะชอบเป็นเด็ก เพราะสามารถใช้ความไร้เดียงสาบวกความเจ้าเล่ห์ไปแกล้งผู้คนได้สนุกสนาน แต่หลายคนชอบหยุดอยู่ที่วัยหนุ่มสาวสะพรั่งเพราะเป็นวัยที่เต็มเปี่ยมด้วยเรี่ยวแรงพละกำลัง บางคนมีพลังอำนาจพิเศษในมือเสกสรรปั้นสิ่งได้ แต่ถ้าคิดจะทำแบบนั้น ก็ต้องฝึกปรือให้ดี หากผิดพลาดแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่บิดเบี้ยวน่าหัวร่อ พวกที่มีพลังอำนาจพิเศษเหล่านี้ มักนิยมฝังร่างแท้จริงของตัวเองเก็บรักษาไว้ในสุสาน แล้วสรรค์สร้างร่างมายาขึ้นมาแทน แต่ไม่ใช่ชาวเมืองทุกคนที่จะมีอำนาจวิเศษ อำนาจพวกนี้มักเป็นของชนชั้นสูง ...ไม่สิ... พวกที่มีพลังอำนาจต่างหาก ถึงจะถูกเชื้อเชิญให้เลื่อนตำแหน่งไปนั่งอยู่ในที่ว่างของชนชั้นสูง เพื่อบริหาร ปกครองบ้านเมือง

    โรมและโรซ่าไม่มีอำนาจวิเศษอะไรในมือ หรืออาจจะมีแต่พวกเขาไม่มีอาจารย์มาคอยสอน เขาคิดว่าตัวเองมีอำนาจที่ฟันแหลมคม เมื่อก่อนพ่อมักบ่นว่าโรมกัดเจ็บ ฟันซี่เล็กๆ คมกริบราวกับคมมีด ...บางขณะโรมคิดว่าโรซ่าน่าจะมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่ในตัว หล่อนเฉลียวฉลาดและอ่านหนังสือได้ไวจนเขายังตกใจ

    พ่อของพวกเขามีอำนาจวิเศษ...เขาเป็นนักรบหนุ่มที่ทรงพละกำลัง และเก่งฉกาจการอาวุธสามารถเข้าห้ำหั่นศัตรูได้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย แม่ก็เช่นกัน...แต่โรมไม่อยากนึกถึงพลังวิเศษที่แม่มี เพราะอำนาจมากเหลือในมือของแม่ทำให้แม่ของเขาไม่สามารถทำหน้าที่เป็นแม่ที่ดี...อย่างที่แม่ของเด็กคนอื่น เขาเป็นกัน

    เด็กชายหยุดคิดเรื่องครอบครัวก่อนจะนึกสนใจคำว่า ปีศาจร้ายของโรซ่า...

    ธรรมดาในสายตามนุษย์ พวกเขาก็เป็นปีศาจอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึง ปีศาจร้าย ย่อมแสดงถึงสิ่งที่ไม่ดีและมีอันตรายแน่ๆ เด็กชายเริ่มวิตก

    “ทำไมล่ะฮะ?”

    “ปีศาจร้ายแน่ๆ ” โรซ่าเอ่ยย้ำคำเดิมแล้วเดินไปมาย่ำอยู่ที่เดิม ราวกับคนย้ำคิดย้ำทำ “โรม...คิดดูสิ ว่าทั้งอาณาจักรของพวกเรากลายเป็นเมฆหมอกมืดครึ้ม มีแต่ความเศร้าและสิ้นหวัง แต่ทำไม...” โรซ่าเงยหน้ามองแสงแดดสาดจ้าโดยรอบ “ทำไมที่นี่ถึงได้สดใสราวกับฤดูร้อนแบบนี้ ไม่มีวี่แววของสีเทาและความสิ้นหวังเลย!

    นั่นสิ...เด็กชายเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อนึกขึ้นได้ ไม่มีหมอกครึ้ม ไม่มีเสียงฟ้าคำราม และไม่มีสายฝนแห่งความโศกเศร้า

    ที่นี่จะต้องเป็นสถานที่ของปีศาจร้าย...ของผู้มีพลังอำนาจบางอย่างซึ่งน่ากลัวมากแน่ๆ !

     

    เอลันนั่งตะลึง...เมื่ออ่านหนังสือนิทานมาถึงตอนนี้

    ใช่แล้ว ปีศาจอาจไม่ได้อยู่แค่ในอาณาจักรม่านหมอก...แต่อยู่ในโลกมนุษย์ของเขาด้วย ถ้าปีศาจหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ยากจะจำกัดความ และมีพลังอำนาจวิเศษ

    ชายหนุ่มเดินอ่านหนังสือไป และมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เสียงจากจอโทรทัศน์ ดังเข้ามาในหู พวกนักการเมืองจากฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลกำลังถกเถียงในประเด็นที่เหมือนจะมีสาระ เกี่ยวกับงบประมาณ และนโยบายมากมาย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วพวกมันจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระเมื่อพวกเขาพูดจบ

    คนพวกนี้มีพลังอำนาจวิเศษ...แน่นอนถ้าพวกเขาปราศจากอำนาจคอยเกื้อหนุน พวกเขาก็ไม่มีวันได้นั่งเก้าอี้แล้วพูดคุยเรื่องไร้สาระออกโทรทัศน์ได้หรอก เอลันพยักหน้าให้กับตัวเอง เจ้าพวกนั้นคือปีศาจ

    เอลันละสายตาจากโทรทัศน์ และปล่อยให้เสียงถกเถียงพวกนั้นหลุดลอยออกนอกสมองไป... ชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้านยังคงเดินไปตามถนน เขาเดินสวนกับหญิงชราที่ปั่นรถจักรยานลากกระบะบรรทุกช่อดอกเดฟโฟดิลมาเต็มลังไม้ และสวนทางกับเด็กสองคนซึ่งวิ่งมาชนเขาแล้วเลยไปโดยไม่สนใจจะขอโทษ

    เขากลับมานึกถึงเด็กน้อยสองคนในหนังสือ...เด็กๆ คิดถึงพ่อแม่

    แล้วลูกๆ ของเอลันล่ะ...จะคิดถึงพ่อของเขาหรือเปล่า?

    เอลันหยุดเดิน...ก่อนจะมองไปยังหนทางตรงหน้าด้วยดวงตาว่างเปล่า และไร้ความหวัง

    ไม่หรอก...พวกเขาคงไม่คิดถึงเอลัน เพราะหากเด็กๆ คิดถึงเอลัน...พวกเขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้เอลันเป็นชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน ซึ่งใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยเช่นนี้แน่ๆ

     

    โรมและโรซ่าเริ่มหารือกันว่าพวกเขาจะหนีไปจากที่นี่อย่างไร

    เด็กๆ จะต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนที่เจ้าของบ้านซึ่งเป็นปีศาจร้ายจะกลับมา และชั่วขณะหนึ่ง ความคิดอีกด้านก็แวบมาขัดแย้ง

    “ผมคิดว่าเขาต้องเป็นคนดีมากแน่ๆ เขาช่วยพวกเรานะฮะ”

    “ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครช่วยใครโดยไม่หวังผลหรอกนะ” โรซ่าขมวดคิ้วอย่างวิตกกังวล สีหน้าของหล่อนเคร่งเครียดและคล้ายจะมีริ้วรอยความแก่ตามร่องหน้าผาก

    “เขาคงไม่หวังจะฆ่าพวกเรา หรือจับพวกเรากินหรอกนะฮะ” เด็กชายเถียง “ถ้าเขาหวังแบบนั้นจริงๆ ป่านนี้พี่กับผมไปนอนแช่ในหม้อน้ำเดือดแล้ว”

    โรซ่าแทบอยากจะยกมือขึ้นตีน้องชายแรงๆ แต่ก็ทำไม่ลง เพราะดวงตาใสแจ๋วของเขาช่างไร้เดียงสาเสียจริง

    “อย่าเถียงพี่ได้ไหม”หล่อนพ่นลมหายใจอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น

    “ข้าเห็นด้วยกับน้องชายของเจ้า”

    โรซ่าลดมือลงและเหลียวหลังไปอย่างตื่นตะลึง ตรงมุมระเบียงไม้ ชายคนหนึ่งยืนอยู่ ผมสีเงินของเขายาวสลวยแผ่ถึงกลางหลัง ใบหน้าขาวสะอาดและมีรอยยิ้มละมุน  ดวงตาสีเงินเปล่งประกายอ่อนโยน สวมผ้าคลุมถักทอจากฝ้ายเนื้อดี ในมือถือแก้วชาที่มีควันลอยฉุยอยู่รอบๆ แก้ว

    โรซ่าเกาศีรษะแกรก นึกไม่ออกว่าชายหนุ่มไปยืนตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะหล่อนกับน้องชายยืนอยู่ขวางบันไดทางขึ้นระเบียง นอกจากนี้ประตูทุกประตูก็ปิดสนิท และอยู่ในสายตาโรซ่าตลอดเวลา ไม่มีทางที่เขาจะเปิดแง้มประตูบานไหนแล้วย่องไปยืนตรงมุมระเบียงโดยที่โรซ่าไม่เห็น

    แต่เมื่อจนปัญญาหาคำตอบ หญิงสาวก็อ้าปากทำท่าจะถาม

    “ข้ามีนามว่าไพร์ส” ชายหนุ่มชิงตอบก่อน พร้อมกับยิ้มน้อยๆ โรซ่าหุบปาก ก่อนจะแนะนำตัวเอง

    “ข้าชื่อโรซาลิน...นั่นน้องชายของข้า นามของเขาคือโรม”

    โรมเดินไปเกาะขาพี่สาวแน่น หลบอยู่ด้านหลังโรซ่า ดวงตาใสแป๋วมองชายหนุ่มผมสีเงินสยายยาวคนนั้นอย่างสงสัย และไม่กล้าทักทาย

    “ยินดีที่ได้พบพวกเจ้า...นานแล้วที่ข้าไม่ได้พบปะผู้คน” เขาจิบชาเข้าไปน้อยๆ แล้วหลับตาพริ้มคล้ายนึกย้อนถึงอดีตอันแสนหวานและยาวไกล “นานมากจริงๆ ...ตั้งแต่วันนั้น..”

    “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่คะ” โรซ่าถาม ขณะเพ่งมองชายหนุ่มไม่วางตา ราวกับจะหาพิรุธในตัวเขา

    “ข้าไม่กลายร่างหรอกน่าแม่เด็กน้อย...อย่าพยายามมองข้าด้วยสายตาแบบนั้น” ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะเดินผ่านหน้าเด็กทั้งสองไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเดียวในชานระเบียงนี้ ดวงตาสีเงินจ้องจับที่ผีเสื้อน้อยเรืองแสงในขวดโหล “ข้าเคยเป็นนักปราชญ์มาก่อน ข้าปลีกวิเวก ใฝ่หาความสงบ จึงมาบรรจบ ณ ที่แห่งนี้”

    “ที่นี่อากาศดีนะคะ ไม่เหมือนกับในอาณาจักร” โรซ่ามองเขาอย่างสงสัยไม่วางตา ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ กับท่าทางแบบนั้น

    “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ถูกลืม... นาง คงลืมว่ามีสถานที่แห่งนี้ และลืมไปว่าข้าเองก็อยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มวางแก้วชาลง ก่อนจะยิ้มอย่างเยือกเย็น “ข้าจึงไม่เคยสัมผัสความเศร้าโศกของ นาง ได้จริงๆ เสียที ทั้งที่ใครๆ ก็ลือกันทั่วว่า นาง กำลังร่ำไห้อย่างทุกข์ทรมานและน่าสงสารมาก” เขาเงียบไป ราวกับตกอยู่ในห้วงความครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนที่จะเหลียวมาสนใจเด็กๆ ทั้งสอง

    “แล้วพวกเจ้าล่ะ คิดสั้นอะไรจึงเดินเข้าไปในป่าตะวันตกนั้น” เสียงของเขาค่อนข้างเคร่งขรึม “ป่านั่นไม่ใช่อุทยานให้เด็กๆ ไปวิ่งเล่นนะ มันอันตรายมาก มีภูติและนางไม้ที่...อย่าหาว่าข้าหลอกเด็กเลย พวกนางกินนักเดินทางเป็นอาหาร หลอกให้เขาหลับ แล้วจับเขากิน”

    “แสดงว่าพวกเราเกือบถูกกินหรอฮะ!” สีหน้าของเด็กชายซีดเผือด ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ อย่างอ่อนโยน

    “ใช่” เขาตอบอย่างเยือกเย็น “โชคดีที่ข้าคลุกคลีกับที่นี่มานานจนคุ้นชินกับพวกนาง ข้าไปเจอเข้า ถึงช่วยเอาพวกเจ้าออกมาได้ ถ้าไปช้ากว่านี้ พวกเจ้าก็คงโดนย่อยสลายอยู่ใต้ดินแล้วเด็กน้อย”

    มือของเด็กชายสั่นขณะเกาะชายกระโปรงพี่สาว โรซ่ากอดปลอบน้องชายเบาๆ

    “เราไปที่ป่านั่น เพื่อตามหาชายผู้ทำให้ นาง ร้องไห้” โรซ่าตอบอย่างฉะฉาน “ว่ากันว่าเขาเป็นชู้รักของ นาง แต่ทุกคนลืมไปแล้วว่าเขาเป็นใคร ท่านชีคคาแห่งพระจันทร์เสี้ยวแนะนำให้พวกเราไปที่ป่าตะวันตก มีข่าวลือหนาหูของพวกพ่อค้าคาราวานว่าเขาอยู่ที่นั่น” ยามเล่าโรซ่าจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าเขม็ง เขามีผมสีเงิน และอยู่อย่างสมถะที่นี่ โรซ่านึกสงสัย...แต่หล่อนเก็บงำไว้

    ชายหนุ่มพยักหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ชั่วขณะเขาดูห่างไหล เด็กสาวสัมผัสได้ถึงกำแพงสูงชันที่เขาสร้างไว้

    “ข้าเคยได้ยินนามของพวกเจ้า เด็กน้อยสองคนที่เหล่าดัชเชสพามา...ชาวอาณาจักรม่านหมอกที่สิ้นหวัง กำลังหวังว่าเด็กสองคนจะช่วยพวกเขาได้ แต่ข้ารู้สึกเสียใจที่ต้องบอกพวกเจ้าว่า...” เขาจิบน้ำชาแล้วหลับตาสัมผัสกลิ่นหอมกรุ่น ก่อนจะพูดอย่างอารมณ์ดี “ในป่าตะวันตกนั้นไม่มีคนหรอกนะ ไม่มีใครคิดจะไปอยู่ด้วย”

    โรซี่มีสีหน้าผิดหวัง

    “แล้วท่านรู้ไหมคะว่าเขาอยู่ทีไหน” เด็กสาวแสร้งถาม

    ชายหนุ่มสบตาโรซ่านิ่งคล้ายจะเอ่ยบางสิ่ง แล้วเขาก็ส่ายหน้า และพูดอีกสิ่ง

    “มีแต่คาดเดาไปต่างๆ นาๆ ...คนที่รู้คงมีแค่ นาง ก็นางร้องไห้เพราะเขานี่” คล้ายว่ามือที่ถือแก้วชาของเขาสั่นน้อยๆ ชายหนุ่มหลับตาแล้วพูดต่อ “บางทีเขาอาจจะอยู่ในป่านั่นก็ได้...หรืออาจจะอยู่บนฟ้า ในถ้ำ ใต้สุสาน”

    “หรือว่าเขาถูกพวกภูติและนางไม้จับกินไปแล้วฮะ” โรมเบิกตากว้างขณะกระตุกกระโปรงของโรซ่าอย่างตกใจกลัว ชายหนุ่มนิรนามหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะยกแก้วชาขึ้น

    “เป็นไปได้นะเจ้าหนู” เขาจิบชารวดเดียวลงคอแล้วลุกขึ้นยืน “บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ และข้าต้องบอกพวกเจ้าให้ทำใจล่วงหน้าไว้ว่า...”

    ดวงตาของเขาไร้แววขึ้นมาในบัดดลจนน่าขนลุก

    “นางฟ้าของพวกเจ้า...อาจจะไม่มีวันหยุดร้องไห้ก็ได้..เมืองทั้งเมืองจะจมลงใต้บาดาล เพราะน้ำตาของนาง”

    โรซ่ารู้สึกหนาวเยือกเพราะสายตาแบบนั้นของเขา โรมก็เช่นกัน ริมฝีปากของเด็กชายสั่นคล้ายจะร้องไห้ และอากาศโดยรอบเหมือนจะเย็นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มพูดประโยคสุดท้ายว่า

    “และปีศาจร้ายก็จะมาดูดกลืนวิญญาณสิ้นหวังของชาวเมือง...ปีศาจที่มีนามเรียกขานว่า จอมมารแห่งนครลอยฟ้า”





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×