ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #10 : เรื่องเล่าจากกองคาราวาน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 371
      2
      18 พ.ค. 59

     


    Chapter 9 เรื่องเล่าจากกองคาราวาน

     

    จอมโจรสลัดแห่งทะเลทรายยิ้มแก้มปริ ท่ามกลางแสงเพชรแพรวพราววูบวาบแสบตา

    โรมหรี่ตาหยี เหลียวไปมองพี่สาว ประกายเครื่องประดับมากมายสะท้อนต้องแสงไฟส่งแสงระยิบระยับไปทั่วทั้งกระโจม โรซ่ากระพริบตาถี่ พร้อมกับย่อกายลงอย่างนอบน้อม ฉับพลันเสียงท่องบทกลอนก็ดังขึ้น...

    “๐ เจ้าจอมใจ จากจร...ข้านอนฝัน

    หวิวหวาดหวั่น วูบไหว...โอ้ใจหนา

    รักแรมร้าง เราร่ำ...ช้ำอุรา

    เพราะพลั้งพา เพ้อพร่ำ...เชื่อคำชาย”

    ชีคหนุ่มนั่นเอง ในมือของเขาถือกระดาษสีน้ำตาลไหม้ปึกใหญ่ที่ถูกเย็บเป็นหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง ยามเอ่ยบทกลอนนั้น ใบหน้าชายหนุ่มยิ้มเริงร่า เขาอ่านบทกลอนไป พลางเหลียวจุมพิตหน้าผากของสาวงามในอ้อมแขนแกร่ง

    “๐ หลงละเลิง ลมลิ้น...คนสิ้นรัก

    ใจจึงจัก เจียนเจ็บ...เขี้ยวเล็บสลาย

    โหยหวนไห้ โหยหา...ชีวาวาย

    ชาติเชื้อชาย ชั่วช้า...ข้าขอยอม”

    ชายหนุ่มปิดหนังสือแล้วสบตาเด็กๆ ทั้งสอง อาภรณ์สีแดงปักลายเลื่อมทองของเขาส่งประกายวับแวม บ่งบอกฐานะอันสูงส่ง

    “นี่คือบทกลอนที่แม่ของเจ้าเขียนโต้ตอบกับข้า...ในอดีตเราสองเป็นกวีสามัญที่มักโต้กันด้วยวรรณศิลป์ น่าเสียดายที่วันเวลา และภาระหนักอึ้ง ทำให้เราต้องเหินห่าง” เขาเงียบแล้วทำท่าเสียดาย ก่อนจะเบิกตาขึ้นเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “ลืมแนะนำตัวไป...ข้าชีคแห่งพระจันทร์เสี้ยว หัวหน้ากองโจรสลัดแห่งทะเลทราย”

    “ข้า ...โรซาลีน แอนนา เบลเลียมมอร์ธ เคาเตสแห่งแอสธารอธ” เด็กหญิงเอ่ยนามเต็มของตัวเองออกมาอย่างกระอักกระอ่วน นานแล้วที่หล่อนแสร้งทำเป็นลืมว่าตัวเองชื่ออะไร และมีตำแหน่งใดพ่วงท้ายมาแต่เกิด “ส่วนนั่น น้องชายแห่งข้า “โรม รีมัวร์ เบลเลียมมอร์ธ เคาน์แห่งเฟเนกซ์”

    ชีคหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงตาของเขาวับแวมขณะชูแก้วไวน์ทองคำขึ้น

    “ยินดีที่ได้พบขุนนางน้อย ผู้ได้รับบรรดาศักดิ์ในสภาขุนนางถาวรตลอดชีพ” เขากรอกเหล้าองุ่นทั้งจอกลงคออย่างรวดเร็ว หลับตาปี๋เพราะแรงรสของไวน์ ก่อนจะหัวเราะลั่นแล้วเอ่ยเสียงกระซิบกระซาบแต่ดังพอให้ได้ยินทั้งกระโจม “ลองใคร่ครวญดูเถิดเด็กน้อยทั้งสอง ถ้าข้าจับพวกเจ้ามาเรียกค่าไถ่ คงได้ทองคำไม่ใช่น้อย...”

    โรซ่ากลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าเริ่มซีดจัด แต่ปลายคางน้อยๆ ก็ยังคงเชิดอย่างสง่างาม ชีคหนุ่มหัวเราะเสียงก้องชอบใจ

    “ทิฐิที่เจ้ามี ช่างสมกับเชื้อสายอันสูงส่ง” เขาเหลียวไปกระซิบบางอย่างกับสตรีร่างบอบบางในอ้อมแขน ใบหน้ายิ้มกริ่ม นางผู้ซ่อนใบหน้างามล้ำภายใต้ผ้าสีเงินบางพลิ้ว ทอดสายตามองเด็กๆ ด้วยดวงตาเร้นลับ ชีคหนุ่มเอ่ยขึ้น “ไม่คิดจะร่วมมือกับพวกเรารึ? แสร้งว่าข้าเรียกค่าไถ่พวกเจ้า ได้เงินมาเท่าไหร่เราก็แบ่งกัน”

    “ไร้สาระ” โรซ่าพึมพำเบาๆ “ข้าไม่ทำเรื่องสิ้นคิดแบบนั้น...นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่ข้าเดินทางรอนแรมมาไกลถึงอาณาจักรม่านหมอก”

     “แล้วอะไรที่ทำให้เจ้าเดินทางไปที่นั่นล่ะ” เสียงหวานใสของสตรีสาว ชีคคาแห่งพระจันทร์เสี้ยวดังขึ้น นางยกคมมีดที่เหน็บไว้ภายใต้อาภรณ์งามล้ำออกมา ก่อนจะลูบคมมีดเบาๆ ดวงตาคมกริบเพ่งมองเด็กทั้งสองราวกับสามารถหยั่งลึกไปในความคิดของพวกเขาได้ โรซ่ารีบหลบสายตาทันใด

    “อย่างที่ข้าเคยเล่าไป...ผู้นำของเราร้องไห้ และซ่อนตัวในที่ซึ่งไม่มีใครรู้ น้ำตาของนางทำให้ชาวเมืองสิ้นหวัง ถึงขั้นหวังลมแล้งว่าเด็กในที่ห่างไกลอย่างเราทั้งสอง...จะทำให้ นาง หยุดร้องได้”

    “พวกเขาบอกว่า ในหนังสือที่บันทึกทุกเรื่องราวในอาณาจักร เขียนไว้...” โรมกอดขาพี่สาว แล้วเอ่ยอย่างเอียงอาย “เราสองพี่น้องเคยเอ่ยเบาๆ ว่าจะทำให้หุ่นไล่กายิ้มให้ได้ พวกเขาก็เลยคิดเป็นตุเป็นตะกันว่าเราจะทำให้ นาง หยุดร้องไห้และยิ้มได้”

    ชีคหนุ่มเงียบงันไปชั่วอึดใจ เช่นเดียวกับเกรยยอน ซึ่งถือเมล็ดถั่วและแก้วไวน์ค้างไว้อย่างนั้น ใบหน้าพวกเขางุนงง ก่อนที่ท้ายที่สุด จอมโจรแห่งทะเลทรายจะหัวเราะเสียงลั่นกระโจม ตามด้วยเสียงหัวเราะของอีกหลายๆ คน

    “สงสัยอาณาจักรม่านหมอกจะสิ้นหวังแล้วจริงๆ!

    “คนสิ้นหวังแล้วเท่านั้นที่จะคิดอะไรล้ำลึกเช่นนั้นได้” เกรยอนหัวเราะแล้วเอ่ยออกมาอย่างประชดประชันแกมเสียดสี โรซ่าตวัดสายตามองเขาอย่างไม่ชอบใจ

    “พวกท่านยังไม่เคยสัมผัสความสิ้นหวังที่กลืนกินอาณาจักรนั้น มันน่ากลัวมาก นางสาปอาณาจักรให้ไร้รัก และจมอยู่แต่ในความสิ้นหวัง”

    เสียงหัวเราะยังไม่เงียบไป และนั่นทำให้โรมและโรซ่ายิ่งรู้สึกหงุดหงิด ชีคคาสาวยื่นหน้ามองเด็กทั้งสองอย่างสนใจ ก่อนจะเอ่ยถาม

    “ลองเล่ามาสิ...มันน่ากลัวอย่างไร”

    “สีเทากลืนกินทุกๆ ที่...” โรซ่าเอ่ยพลางหลับตานึกถึงมหาอาณาจักรม่านหมอกที่หล่อนเพิ่งจากมา “ใบหน้าของพวกท่านจะมีริ้วรอยของความแก่ชราทั้งที่ยังเยาว์ เส้นผมสีดำขลับของพวกท่านจะกลายเป็นสีเทาแห้งกรอบ และดวงตางดงามของพวกท่านจะไร้ประกาย มันจะสะท้อนเพียงหมอกหมองสีเทาหม่น ยามพวกท่านถอนหายใจ จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าเกินกว่าจะหายใจเข้าอีกครั้ง สีสัน เสียงเพลงจะเลือนหาย ทุกสรรพสิ่งจะสะอื้น เสียงร่ำไห้จะระงมในโสตประสาทพวกท่านไม่รู้ลืม ผู้มีความรักจะผิดหวังและชอกช้ำ...ท้ายที่สุดพวกท่านก็จะจมตัวเองกับความสิ้นหวัง ขายวิญญาณเป็นทาสแต่จอมมารผู้ชั่วร้าย”

    โรซ่าพูดจบแล้วสะดุ้งเฮือก...เด็กหญิงรู้สึกหนาวเยือก เพียงแค่นึกถึงก็คล้ายสีเทาจะตามมากลืนกินหล่อนถึงที่นี่ ดวงตาของหล่อนยังหวั่นผวา ยามเห็นภาพชาวเมืองเคาะกะละมังและหม้อชามราวคนคลั่ง เต้นระบำด้วยท่วงท่าวิปริตน่าสะพรึง เดินเป็นขบวนไปขายวิญญาณอันสิ้นหวังเป็นทาสจอมมาร

    “ท่านนายกฯ” โรมพูด พลางเกาะขาพี่สาวแน่น “และคนสำคัญอีกหลายคนที่พยายามแก้คำสาป..ตอนนี้พวกเขาก็ถูกจับขังคุกมืดข้อหากบฏกันหมด”

    “นั่นมันย่ำแย่ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ...” ชีคหนุ่มพึมพำขณะเคี้ยวองุ่นอย่างครุ่นคิด ชีคคาสาวลูบคมมีดไปมาแล้วถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงหวานซึ้ง

    “เอาล่ะ...แล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”

    “น้องข้ามีล็อคเก็ตอยู่อันหนึ่ง...จริงๆ พี่น้องเราทุกคนมีล็อคเก็ตนั้นในมือ...” โรซ่าเริ่มเท้าความ เกรยอนหรี่ตาแล้วพูดเสียงตื่นเต้น

    “ล็อคเก็ตกุหลาบ...ว่ากันว่าเป็นของวิเศษที่ตระกูลขุนนางเท่านั้นมีสิทธิครอบครอง”

    “ใช่...” โรซ่าตอบ “เป็นล็อคเก็ตที่ท่านแม่ให้พวกเราเก็บไว้...”

    “ข้าเคยได้ยิน...” ชีคคาสาวกัดแอปเปิลสีแดงสดด้วยท่วงท่าเย้ายวน “ของวิเศษหนึ่งชิ้นบรรจุพรวิเศษหนึ่งประการ ...เจ้าคงจะใช้พรจากล็อคเก็ตนั้นสินะ”

    “ข้าไม่แน่ใจว่าตำนานพรวิเศษในล็อคเก็ตนั้นเป็นจริงหรือไม่ ท่านพ่อท่านแม่ไม่เคยบอกพวกเรา ที่สำคัญไม่มีพี่น้องเราคนใดรู้วิธีเปิดมันด้วยซ้ำ...” โรซ่าเหลียวไปสบตากับโรม ก่อนจะพึมพำด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ข้าทำมันตกน้ำไปแล้ว...ส่วนของโรม...ก็ถูกขโมยไป”

    “เช่นนั้นก็น่าสิ้นหวัง อุ๊บ!” เกรยอนมือขึ้นปิดปากตัวเองแล้วตบแรงๆ “ลืมไป...ช่วงนี้ต้องระวังความสิ้นหวังเข้าครอบงำ”

    ชีคหนุ่มยิ้มออกมา

    “มีอะไรให้ข้าช่วยไหมเล่า?” เขาว่าพลางขบเม็ดองุ่นทีละเม็ดอย่างชื่นบานและแสนสำราญ โรซ่ามองหัวหน้ากองโจรแห่งทะเลทรายอย่างไม่วางใจนัก

    “ข้าเพียงแต่ต้องการตามหาล็อคเก็ตกุหลาบที่ถูกขโมยไป และขอพร” เด็กสาวพึมพำครุ่นคิด “หากหาไม่เจอ เราคงต้องตามหาพี่น้องที่พลัดพรากกัน อย่างน้อย...ในหมู่พี่น้องทุกคน ต้องมีสักคนที่ยังเก็บมันไว้”

    “แต่ก็ใช่ว่าตามหาล็อคเก็ตพบแล้วพวกเจ้าจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้ นาง ได้” เสียงหวานของสตรีสาวดังขึ้น นางเดินลงจากบัลลังก์ ร่างสูงโปร่งอรชรในอาภรณ์บางพลิ้วสีเงินเดินตรงมายังเด็กทั้งสอง ในมือเรียวยาวถือมีดสั้นคมกริบสลักเสลาลวดลายซับซ้อน “ข้าเคยได้ยินพวกพ่อค้า...เล่าว่า นาง ร้องไห้เพราะชายผู้หนึ่ง...น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร”

    “ชีคคาของข้า...ไม่นึกว่าเจ้าจะรู้เรื่องพวกนี้” ชีคหนุ่มทำท่าตื่นตะลึงจากเรื่องที่ได้ฟัง

    “พวกพ่อค้าและนักเดินทางพูดเรื่องนี้กันให้เกร่อ แต่ท่านไม่สนใจเองต่างหาก” ชีคคาสาวส่งสายตาหวานซึ้งทว่าคมกริบไปยังสวามี แล้วเหลียวกลับมายังเด็กน้อยทั้งสองต่อ “ข้ารู้ว่าเขาคนนั้นคือใคร ...แต่พวกเจ้าต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอันคุ้มค่าแก่ข้า”

    ชีคหนุ่มหัวเราะลั่น

    “เจ้าไม่เคยยอมขาดทุนหรือช่วยใครฟรีๆ เลยนะ”

    “ก็เพราะข้าคือโจรสลัดแห่งทะเลทรายนี่น่ะ!

    โรซ่าหรี่ตามองชีคคาสาว แม้นางจะซ่อนใบหน้าใต้ผ้าคลุมสีเงิน แต่โรซ่าก็มองเห็นรอยยิ้มอันเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายของนาง

    “ท่านต้องการข้อแลกเปลี่ยนอะไร”

    ชีคคาสาวซ่อนยิ้มไว้ใต้ผ้าคลุมโปร่งบาง นางก้มใบหน้ามาใกล้โรซ่า แล้วกระซิบบางอย่างแผ่วเบาที่ข้างเรือนหูของเด็กสาว ให้ได้ยินกันเพียงสองคน โรซ่านิ่งฟัง...เด็กหญิงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ก่อนจะจ้องมองชีคคาสาวด้วยดวงตาใสแจ๋ว

    “ให้ข้าได้ไหม”

    โรซ่าพยักหน้าเบาๆ แล้วเหลือบไปมองชีคหนุ่มที่เริ่มกระสับกระส่ายเพราะความอยากรู้อยากเห็น

    “พวกเจ้ามีความลับอะไรกัน”

    “ความลับระหว่างลูกผู้หญิงน่ะ” ชีคคาสาวกระพริบตาข้างหนึ่งให้โรซ่า แล้วเดินกลับไปยังบัลลังก์ “ชายผู้นั้น...มีเรือนผมสีเงิน เฉลียวฉลาดมากเล่ห์กล เขาและ นาง พบกันที่ทุ่งหญ้ากลางฟ้าราตรี และทั้งสองมักเล่นหมากรุกด้วยกันใต้แสงจันทร์  ลือกันว่าเขาเป็นชู้รักของ นาง ถึงแม้ นาง จะแต่งงานแล้วก็เถอะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่างานแต่งนั่นเป็นเรื่องการเมือง นาง ไม่ได้รักเจ้าบ่าวของตัวเองสักนิด เด็กน้อยที่รัก ถ้าพวกเจ้าอยากพบชู้รักคนนี้  จงเดินทางไปยังป่าทางทิศตะวันตก แล้วพวกเจ้าจะพบเขา...” พูดจบ นางก็นั่งลงบนบัลลังก์อย่างสง่างาม เคียงข้างจอมโจรแห่งทะเลทราย “และก็อย่าสงสัยว่าข้ารู้ได้อย่างไร...” เพราะผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้า ทำให้เห็นเพียงดวงตาคมคายของนาง “พวกพ่อค้าเขาลือกันน่ะ...แต่ข่าวลือจากพ่อค้ามักเชื่อได้เสมอ”

    “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเป็นเขา?” ชีคหนุ่มตั้งข้อสงสัย “ข้าไม่เคยรู้เรื่องนั้นมาก่อน... ชาวอาณาจักรลือให้ทั่วว่าสามีของ นาง หายไปจากปราสาท ทีแรกข้าคิดว่า นาง ร้องไห้เพราะเขาเสียอีก”

    “แต่ข้ากลับคิดว่าเป็นอีกคน” เกรยอนที่กำลังโอบสาวงามอย่างแสนสำราญ ออกความเห็น “นาง ชื่นชมบุรุษในตำนาน เขาเป็นเทพเจ้าผู้ควบคุมความชั่วร้ายทั้งมวล วีรกรรมกล้าหาญของเขาทำให้ นาง หลงใหล แต่...น่าเสียดายที่...” เกรยอนทำตาโตแล้วพูดเสียงเบาลง จนโรซ่ารู้สึกสนใจใคร่รู้ “มีชื่อของเขาในรายชื่อศัตรูตัวฉกาจของวิคเตอร์”

     “นั่นไง!!! นางถึงร้องไห้เสียใจเพราะ นาง หลงชื่นชมศัตรูของพ่อ!!” ชีคหนุ่มตบโต๊ะแรง

    ทรราชผู้ (นึกว่าตัวเอง) ยิ่งใหญ่ คือพ่อของ นาง หรือฮะ” โรมเกาะชายกระโปรงโรซ่า แล้วเบิกตากว้าง

    “เป็นพ่อลูกที่ไม่ถูกกันน่ะ พวกเขาเกลียดกันอย่างกับอะไรดี” ชีคคาสาวร่างอรชรพูดพลางกระแอมเบาๆ “วิคเตอร์ชั่วร้ายและกระหายอำนาจออกปานนั้น...ไม่แปลกที่ นาง จะเกลียดเขา”

    “แล้วใครกันแน่ที่ทำให้ นาง ร้องไห้” โรซ่ายกมือเกาศีรษะอย่างสับสน

    “ถ้าเป็นข้า” ชีคคาสาวเอนกายลงคลอเคลียชีคหนุ่ม “ข้าจะตามหาบุรุษผมสีเงินในป่าตะวันตก...เขาอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน ข้าจะไม่เสียเวลาตามหา เทพเจ้าในตำนาน และ สามีที่หายจากปราสาทไปหลายปี...งมเข็มในมหาสมุทรยังง่ายกว่า” ว่าแล้วนางก็หัวเราะอย่างติดตลก เกรยอนที่เอนกายลงบนเบาะนุ่ม ปล่อยให้สาวงามมากมายปรนนิบัติ ชายหนุ่มขยับยิ้มที่มุมปาก ขณะมองชีคคาสาวอย่างชื่นชม

    “ในคาราวานแห่งนี้... ใครจะเฉลียวฉลาดเชิงไหวพริบและปฏิภาณได้เทียบเท่าชีคคา...นั้นหามีไม่” ว่าพลางยกจอกเหล้าองุ่นขึ้นชู และดื่มรวดเดียวลงคอ

    “เด็กน้อย ...ข้าจะลืมบอกอะไรพวกเจ้าไปหนึ่งอย่าง...” ชีคคาสาวเหลียวใบหน้ามาสบตาโรซ่าและโรม แสงเพชรวูบวาบสะท้อนแสงคบเพลิงต้องใบหน้างามของนางให้นวลลออแลดูล้ำลึกเกินคาดเดา “มีสถานที่หนึ่งซึ่งเก็บความลับและปริศนาแห่งอาณาจักรไว้...ค้นหามันให้เจอ บางทีหญิงสาวที่น่าสงสาร...อาจเก็บตัวร้องไห้อย่างระทมทุกข์ในนั้น”

    “ปริศนาแห่งอาณาจักร?” โรซ่าเบิกตาขึ้น ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ..หล่อนไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสถานที่แห่งนั้น

    “พวกนักแสวงโชค และนักเดินทางมากมาย มาเยือนอาณาจักรม่านหมอก เพื่อตามหาสถานที่แห่งนั้น บ้างก็ว่าเป็นขุมทรัพย์มโหฬาร พวกเขาเรียกสถานแห่งนั้นว่า ห้องลับ” ชีคคาสาวว่าพลางเอนตัวในอ้อมกอดของชีคหนุ่ม “มันอาจจะมีจริงหรือเป็นแค่ข่าวลือก็เป็นได้...ข้าบอกพวกเจ้าไว้ เผื่อพวกเจ้าจะอยากค้นหา ไม่แน่ นาง อาจเก็บตัวที่นั่น...แต่หากคิดจะค้นหา ก็พึงระวังด้วยว่า มีคนอีกมากมายที่พยายามตามหามันเช่นกัน”

    “ตอนนี้ข้าชักสงสัยแล้วว่าเจ้าช่างรู้อะไรมากมายขนาดนี้” ชีคหนุ่มเหลียวมองภรรยาอย่างพิศวงงงงวย หญิงสาวเอนกายซบที่อกของเขา

    “เพราะข้าเป็นโจรสลัดแห่งทะเลทรายอย่างไรล่ะ...” นางตอบ ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ...

    “นั่นสินะ...เพราะเจ้าเป็นโจรสลัด...” แล้วชายหนุ่มหญิงสาวหัวเราะก็คิกคักอย่างแสงสุข... โรซ่านิ่งมองรอยยิ้มเหล่านั้นด้วยดวงตาว่างเปล่า หล่อนเหลียวไปมองน้องชาย...ตาสีน้ำเงินใสแจ๋วไร้เดียงสาของเด็กน้อยมองกลับมา

    “เราจะทำยังไงต่อไปอีกฮะ ท่านพี่”  เด็กชายถามอย่างสงสัย โรซ่านิ่งคิดไปชั่วอึดใจ เด็กหญิงคุกเข่าลงต่อหน้าเด็กชายผมยุ่งเหยิง ดึงเขาเข้ามากอดแน่น แล้วพูด

    “เราจะตามหาชายคนนั้น”  

     

    รถม้ามาส่งเด็กๆ แค่ปากทางเข้าป่าตะวันตก..ใครๆ ก็ไม่อยากเข้าไปข้างใน

    โรซ่าและโรมถูกปล่อยไว้ที่ปากทางเข้าป่า... รถม้าที่มาส่งพวกเด็กๆ แล่นไปไกลเสียแล้ว เสียงล้อและแสงตะเกียงวูบไหว ค่อยๆ ลับหายไป ความหนาวเยือกชอนไชกลืนกินทั่วทุกสรรพสิ่ง

    โรซ่ากระชับผ้าคลุมผ้าฝ้ายเนื้อหนาสีแดงเข้าแนบกับลำตัวให้คลายหนาว โรมก็ทำเช่นกัน ป่าที่พวกเขากำลังย่างเข้าไป ทั้งสูงตระหง่านและมืดครึ้มราวกับกลางคืน ต้นไม้แต่ละต้นมีใบใหญ่และหนา กิ่งก้านชูเป็นท่วงท่าประหลาด มองคล้ายร่างคนที่ยืนด้วยลักษณะบิดเบี้ยว ความชื้นและหนาวจัด ทำให้ตามเปลือกไม้มีตะไคร่น้ำเกาะเป็นสีเขียวอยู่เต็ม ผืนดินค่อนข้างชื้นแฉะ ไม่มีดอกไม้สักดอก และเหมือนจะไร้สรรพสิ่งมีชีวิตในป่าแห่งนี้

    “แปลกจริง...ทำไมผู้ชายเฉลียวฉลาดแบบนั้น ถึงมาอยู่ในที่แบบนี้” โรซ่ารำพึงอย่างเอะใจ ก่อนที่เด็กสาวจะรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา “หรือว่าเราโดนชีคคาหลอก”

    “ไม่หรอฮะ...” โรมเกาะแขนพี่สาวอย่างให้กำลังใจ เด็กน้อยจะรำพึงออกมาเสียงแผ่วแทบกลืนหาย “ผมง่วง”

    โรซ่าเหลียวมามองน้องชาย ดวงตาใสแจ๋วของเขาเริ่มปรือ และทำท่าเหมือนคนจะหลับเสียให้ได้ โรซ่ามองไปรอบกาย พยายามมองหาลานโล่งๆ ที่พอไปนอนพัก แต่ต้นไม้ขึ้นหนาทึบแทบทุกที่ และตามดินก็ชื้นแฉะเกินกว่าจะล้มตัวลงนอนได้  และตอนนั้นเองที่หล่อนก็เริ่มรู้สึกเหมือนน้องชาย...

    เหมือนมีเสียงเพลงเบาๆ โชยมา..พาให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม และคล้ายง่วงงุน เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง เท้าทั้งสองข้างแทบไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน เด็กทั้งสองอ้าปากหาวขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนที่พวกเขาจะดิ่งลงสู่นิทราโดยไม่รู้ตัว

    ใช่แล้ว...พวกเขาดิ่งสู่โลกแห่งการหลับใหล โดยไม่รู้กระทั่งว่าพวกเขากำลังอยู่ในป่าที่ลือกันว่า มีภูติมรณะดวงตาสีแดงกร่ำกำลังเฝ้ามองนักเดินทางด้วยความกระหายหิว!





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×