ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #6 : หุบเหวขนวิหค

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 59


     


    Chapter 5 หุบเหวขนวิหค

     

    แม่ไม่เคยสอนพวกเขาว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า

    โรมและโรซ่า มีแม่เหมือนเด็กคนอื่น แต่ว่าเด็กทั้งสองเกือบจะลืมใบหน้าของแม่ไปแล้ว... บางครั้งพวกเขาจำได้ว่าแม่งดงามเพียงใด แต่บางทีเขาก็แสร้งจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของนาง ในห้วงคำนึงของของเขามีเพียงภาพหญิงนางหนึ่งซึ่งนึกถึงเรื่อง งานอยู่ทุกลมหายใจ จนเด็กชายหญิงนึกอยากจะถามว่ามีสักกี่เสี้ยววินาทีกันที่แม่นึกถึงพวกเขา ไม่แลกเลยสักนิดหากแม่จะไม่เคยมีเวลาแม้แต่จะสอนพวกเขาว่า อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า

    แม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน... นางมักออกเดินทางไปในที่ไกลๆ ทิ้งลูกๆไว้กับคนรับใช้และผู้ดูแล นางมักหายไปครั้งละนานๆ และเมื่อกลับมาก็จะตรงเข้าห้องทำงาน หากพวกเขาไม่เดินไปหาแม่เอง ก็คงไม่มีวันได้อ้อมกอดอบอุ่นจากแม่ จนกระทั่งวันหนึ่ง โรซ่าและโรมตัดสินใจติดเกวียนขนข้าวโพดตามตาเฒ่าใจดีคนหนึ่งไปยังไร่ข้าวโพดที่สุดขอบฟ้า

    เด็กชายหญิงมาเยือนบ้านในโพลงต้นไม้ที่แสนอบอุ่นของตาเฒ่าและหลงเสน่ห์มัน ชายชราผมขาวโพลนยกต้นไม้ต้นนั้นให้เด็กๆใช้นอนเล่นในช่วงพักร้อน นับจากนั้นมา โรซ่าและโรมก็ไม่เคยกลับไปยัง บ้านอันโอฬารของแม่อีกเลย เด็กๆ หยุดเวลาไว้กับการพักร้อนที่โพลงต้นไม้ และ...แม่ไม่เคยตามหาพวกเขา บางทีนางอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาหายไป

    โรมและโรซ่ามีพ่อเหมือนเด็กคนอื่นเช่นกัน พ่อใจดีกว่าแม่ เขามีผมสีเงินยวงเหมือนโรม ดูสว่างและพลิ้วไสวในยามรัตติกาล ดวงตาของพ่อเป็นสีน้ำเงินราวฉากฟ้าราตรีเช่นเดียวกับโรม แต่จมูกของพ่อเป็นสัน และคิ้วหนาเข้ม ใบหน้าสลักเสลาได้รูปประหนึ่งรูปสลักหินอ่อนของเทพบุตรในตำนานปรัมปรา

    พ่อเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรงดั่งหินผา และเชี่ยวชาญอาวุธ ไม่แตกต่างจากนักรบผู้กล้าหาญ แต่พ่อก็อ่อนโยนประดุจแสงอบอุ่นของตะวันฉาย ทุกๆเช้าเขามักจะทำอาหารแสนอร่อยที่หอมอวลไปทั่วมาเสิร์ฟให้เด็กๆ ในยามสายพ่อมักยกแขนทำตัวแข็งให้ลูกๆห้อยโหนปีนป่ายเล่น ในยามบ่าย เขามักจะพาเด็กน้อยทั้งหลายไปตกปลาล่าสัตว์ในชายป่า และยามตกดึก พ่อก็จะคอยห่มผ้าให้ลูกๆทุกคนพร้อมหอมแก้มคนละที

    แต่วันหนึ่งพ่อก็หายตัวไป...หายไปเลยราวกับไม่เคยมีตัวตน และแม่ไม่เคยพูดอะไรถึงพ่อ แม่อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อหายไป

    โรมและโรซ่าโหยหาอ้อมกอดอบอุ่นและกลิ่นเค้กแสนอร่อยของพ่อ...ทุกรุ่งเช้าพวกเขามักจะออกมายืนรอพ่อที่ประตูรั้ว แต่ก็ต้องกลับบ้านไปอย่างสิ้นหวังเมื่อหลังตะวันตกดิน

     เด็กๆเคยคาดโทษไว้ว่าหากพ่อกลับมาเมื่อไหร่ พวกเขาจะลงโทษให้จงหนักข้อหาที่ทอดทิ้งบ้านไปนานแบบนี้ แต่ท้ายที่สุด... เด็กน้อยที่น่าสงสารก็ตระหนักว่าพ่อคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว พวกเขาทำได้เพียงแต่วอนขอสายลมให้เพรียกขานพาพ่อกลับมา เพียงเท่านั้นก็แสนดีเหลือเกิน...เขาพร้อมที่จะให้อภัยที่พ่อหายไป

     น้ำตาปริ่มที่ขอบตาของเด็กชาย... โรมลอยคว้างท่ามกลางความมืดที่โอบล้อม ทุกสรรพสิ่งมืดบอดและเงียบงัน ร่างเขาดิ่งหวิวลงไปเบื้องล่าง...อย่างรวดเร็วตามแรงโน้มถ่วงโลก แต่กลับใช้เวลาเนิ่นนาน ราวก้นเหวนี้ไร้ที่สิ้นสุด

    ตุบ!

    หลังของโรมกระแทกพื้นเบากว่าที่คิด แต่มันก็แรงพอให้เด็กชายวัยแปดขวบจุกได้ พื้นข้างล่างนุ่มเหมือนกองปุยนุ่น หรือขนอะไรสักอย่างที่บางเบามาโอบอุ้มรับกายของเขาไว้ โรมจามออกมาแรงๆทีหนึ่งพยายามจะยันกายลุกขึ้น แต่ทำได้ยาก ให้ตายสิ! พื้นมันนุ่มเกินกว่าเขาจะทรงตัวยืนได้ จากสัมผัสของพื้นผิว เด็กชายพอจะรู้ว่ามันน่าจะเป็นขนนก หรือขนห่าน เด็กน้อยจามอีกครั้งหนึ่ง

    “โรม! นั่นโรมใช่ไหม!

    เสียงกรีดร้องของโรซ่าดังขึ้น เหมือนดังก้องมาจากทุกที่จนหาทิศทางเสียงที่แน่นอนไม่ได้ เด็กชายเริ่มรู้สึกกลัว เขาไม่เคยเกลียดความมืด จนกระทั่งตอนนี้ ยิ่งเมื่อระลึกได้ว่าเขาอาจจะจมเป็นซากศพอยู่กลางกองขนนก โดยที่ไม่มีใครเห็น มันช่างเป็นความคิดที่น่าพรั่นพรึงยิ่งนัก น้ำตาเริ่มไหลอาบสองข้างแก้มอย่างหวาดกลัว มือน้อยๆไขว่คว้าไปรอบๆด้วยความสิ้นหวัง

    “พี่ฮะ! ผมอยู่นี่! พี่อยู่ไหน พี่ฮะ!

    เด็กน้อยเหลียวซ้ายแลขวาไปทุกทิศทาง เห็นแต่ความมืดยิ่งกว่าสีดำใดๆ โรมเริ่มสะอึกสะอื้นอย่างอ่อนแอ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลนองแก้มแดง เขาสาบานว่าจะไม่เชื่อคนแปลกหน้าอีกต่อไป

    “โรม! อยู่ที่ไหน มันบ้าดีแท้! นี่เราอยู่ที่ไหนกัน” เสียงของโรซ่าดังก้องจากรอบทิศทางอย่างขัดใจ เหมือนหล่อนเองก็กำลังพยายามจะทรงตัวลุกขึ้นยืนเพื่อเดินเหินได้ แต่ก็คงล้มเหลวไม่ต่างจากโรม จนกระทั่งเด็กชายได้ยินเสียงของพี่สาวกรีดร้องสนั่นอย่างตื่นตระหนก

    “กรี๊ด!!! ไม่นะ!!! ช่วยด้วย!!!

    โรมเบิกตาโพลง ม่านตาพยายามเปิดกว้างเพื่อรับแสงแต่ในเหวนี้ปราศจากแสงใดๆ เสียงกรีดร้องของโรซ่าดังแผ่ว และแผ่วลงจนจางหายไปในที่สุด เด็กชายร้องไห้ออกมาเสียงลั่นด้วยความหวาดผวา จนเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเลื้อยมาเกี่ยวขาเล็กๆแล้วฉุดกระชากร่างเล็กให้จมลงไปในกองขนนกอย่างรวดเร็ว จนหัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น โรมขยับมือพยายามไขว่คว้าทุกสิ่งรอบกาย มันน่าหงุดหงิดใจที่ในมือคว้าได้เพียงขนนก

    แล้วแสงสว่างก็ทำให้ดวงตาของโรมพร่ามัว เด็กชายหลับตาปี๋เพราะปรับรับสภาพแสงไม่ทัน ก่อนที่ร่างของเขาจะหล่นกระแทกพื้นแข็งๆจนแทบกระอักเลือดออกมา

    “เจ้าเด็กพวกนี้อยากตายกันหรือไง ถึงกระโดดเหวเล่น”

    เสียงใสแจ๋วของหญิงนางหนึ่งดังขึ้น โรมยันกายลุกนั่งรู้สึกเหมือนเจ็บชาไปทั่วทั้งตัว เขาขยี้ตาแรงๆเพื่อปรับรับสภาพแสง ก่อนจะมองไปโดยรอบ เด็กชายอยู่บนพื้นหญ้า  ที่เท้าของเขามีเถาวัลย์ประหลาดรัดตรึงอยู่ และตอนนี้มันคลายตัวมุดกลับลงดินไปแล้ว แสงสลัวสีน้ำเงินสาดให้ทุกที่เป็นสีไพลิน ราวกับเมืองใต้มหาสมุทร เหนือท้องฟ้าคือกลุ่มก้อนของขนนกสีรัตติกาลที่ลอยคว้างอยู่ เขาคงตกลงมาจากบนนั้น

    “เป็นยังไงบ้างเจ้าหนู เคล็ดขัดยอกตรงไหนไหม” สาวสวยคนหนึ่งยื่นหน้ามาหาโรม ดวงตาของหล่อนกลมโตและใสแจ๋ว ผมสีทองสั้นประบ่า และรอยยิ้มเป็นมิตร โรมพยักหน้าอย่างงุนงง เขารู้สึกเคล็ดไปทั้งตัว แม่สาวคนนั้นยิ้มกว้างอย่างใจดี

    “แล้วคิดยังไงกระโดดลงมาแบบนี้” หล่อนถามพลางขยี้ผมเด็กน้อยแรงๆ จนขนนกสีดำที่ติดตามผมยุ่งเหยิงของเด็กชายกระจายฟุ้งออกมา

    “โรม!” ฉับพลัน พี่โรซ่าก็โผล่พรวดมาจากที่ไหนไม่รู้ ตรงเข้ากอดน้องชายไว้แน่น พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ยังอยู่ดีใช่ไหม พี่นึกว่าเราสองคนจะตายเสียแล้ว”

    โรซ่าผละอ้อมกอดออก สองมือจับหน้าน้องชายไว้ หล่อนเพ่งมองโรมอย่างละเอียดตั้งแต่เส้นผมจรดปลายหัวแม่โป้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กน้อยยังปลอดภัยครบถ้วนทุกประการ โรมยังคงห่มผ้าคลุมไหล่เนื้อหยาบผืนหนาหนักสีแดงของพี่สาว แต่รองเท้าผ้าป่านสีน้ำตาลหายไปข้างหนึ่ง

    โรมมองพี่สาวด้วยดวงตาใสแป๋ว ผมสีน้ำตาลแดงของโรซ่ายุ่งเหยิงชี้โด่ชี้เด่ และมีขนนกสีดำติดเต็มไปหมด ดวงตาสีดำของหล่อนยังหวาดผวาและแดงกร่ำเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันร้าย อากาศค่อนข้างหนาว แต่โรซ่าไม่ได้คลุมไหล่ หล่อนสวมเพียงชุดแขนยาว กระโปรงยาวกรอมเท้าเข้ารูปสีแดงหมอง ปักลายเส้นเถาวัลย์ด้วยด้ายสีเหลืองทองที่หน้าอกและเอวเท่านั้น

       “เอาล่ะ พวกเธอสองคนไม่มีใครตายหรอก” สาวสวยผมสีทองยืดตัวตรงแล้วพูด “แต่ก็เกือบตายถ้าข้าไม่บังเอิญมาเดินเล่นแถวนี้ แล้วเงยหน้าขึ้นไป เห็นตัวอะไรเคลื่อนไหวประหลาดอยู่ข้างบนนั่น และได้ยินเสียงร้องไห้โฮของเด็กขี้แย”

    “ขอบคุณที่ช่วยพวกเราค่ะ” โรซ่ายกมือปาดน้ำตา แล้วกอดน้องชายไว้แน่น

    “ข้าชื่อซาริน่า เป็นขุนนางที่นี่” นางแนะนำตัวพลางยักคิ้วอย่างอารมณ์ดี แม้จะเป็นผู้หญิงแต่ ร่างสูงเพรียวบางก็แต่งกายทะมัดทะแมงราวกับอัศวินที่แสนอ้อนแอ้น “ว่าแต่พวกเธอคงต้องเล่าให้ละเอียดว่าหล่นลงมาที่นี่ได้ยังไง มันน่าประหลาดชะมัด”

    ซาริน่ามือเรียวยาวยื่นมาตรงหน้าเด็กทั้งสอง “เอ้า!ลุกขึ้นยืนกันได้แล้ว”

    โรมยื่นมือเล็กๆไปหาอีกฝ่าย ซาริน่าออกแรงดึงเด็กชายให้ลุกขึ้นยืน ในขณะที่โรซ่าพยายามลุกด้วยตัวเอง สองพี่น้องสะบัดเสื้อและผมแรงๆจนขนนกที่ติดตามตัวปลิวคลุ้งไปทั่ว ซาริน่ายักคิ้วแล้วพูดอย่างใจดี

    “เดินตามข้าไปที่ปราสาท แล้วเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ขอละเอียดยิบเลยนะ!

     

    เด็กๆเพิ่งสาบานว่าจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าแล้วเชียว

    แต่เหมือนกับว่าในที่นี้ ไม่มีใครที่ไม่แปลกหน้าสำหรับพวกเขาเลย เด็กทั้งสองไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้ ซาริน่าพาพวกเขาเดินเข้าไปในปราสาทสูงตระหง่านที่สูงจนยอดปราสาทเสียดหายไปในกลุ่มขนนก ตลอดทางเด็กๆเล่าให้ซาริน่าฟังถึงเรื่องที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่พร้อมสี่ดัชเชส จนกระทั่งถูกนักต้มตุ๋นสาวนามเพลิงมายาหลอกขโมยล็อคเก็ตสีเงินของโรมไป พร้อมผลักเด็กๆตกเหวอย่างเลือดเย็น

    “ที่นี่คือปราสาทกลางแห่งอาณาจักร ศูนย์กลางการปกครองที่เต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในสภาต่างๆมากมาย”

    ในห้องโถงอันสูงใหญ่และกว้างขวาง ขุนนางสาวในชุดทะมัดทะแมงก้าวอย่างสง่างาม เสียงรองเท้ากระทบพื้นกระเบื้องอินอ่อนดังกังวานไปทั่ว ผ้าคลุมไหล่สีทองเนื้อดีของหล่อนสะบัดพลิ้วไหวราวภาพมายา

    โรมจับมือโรซ่าแล้วเดินตามหลังขุนนางสาวไปอย่างระแวดระวัง พวกเขาแหงนหน้าขึ้นมอง แต่ดูเหมือนโถงนี้จะสูงมากจนมองไม่เห็นแม้แต่ปลายสุดของเพดานด้านบน ทุกสถานเรืองแรงสีน้ำเงินสลัวประหนึ่งเดินอยู่ในเมืองใต้มหาสมุทร กลิ่นหอมของดอกไม้ประหลาดกำจรไปทั่ว  สองข้างเรียงรายด้วยเสาคริสตัลใสแวววาว สลักลวดลายเปล่งประกายระยับ และสูงชะลูดจนมองไม่เห็นปลายสูงสุด

    ซาริน่า พาพวกเด็กๆเลี้ยวไปทางขวามือซึ่งเป็นระเบียงเรียงรายด้วยคบไฟสลัวตามผนัง ภายนอกมองเห็นแต่ละอองขนนกสีดำลอยคว้างกลางอากาศ คล้ายกลุ่มวิญญาณน่าสะพรึงกลัว เมื่อมองไปด้านล่างนอกระเบียง ก็เป็นหุบเหวแห่งความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด สุดปลายระเบียง คนกลุ่มหนึ่งกำลังถกเถียงกันวุ่นวายจนฟังไม่ได้ศัพท์ ที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้แกะสลักขนาดยาว ซึ่งนั่งได้กว่ายี่สิบคน ตรงกลางโต๊ะมีเพียงเชิงเทียนเล่มเดียว พวกเขาแต่ละคนใบหน้าเคร่งเครียด บางคนขมวดคิ้วจนน่าขัน และบางคนทำท่าทุบโต๊ะแต่ดูแล้วน่าตลกมากกว่าน่ากลัว


    “อะแฮ่ม!” ซาริน่าหยุดเดินแล้วแสร้งกระแอมดังๆด้วยท่วงท่าทะเล้น “ดูซิว่าข้าพาใครมา” ขุนนางสาวถามเสียงใน เสียงทะเลาะเบาะแว้งแผ่วเบาลง ทุกคนหยุดถกเถียงแล้วเหลียวมองผู้มาเยือน...

    โรมรีบกระเถิบไปซ่อนหลังพี่สาว...ทุกสายตาจ้องมองพวกเขาอย่างสงสัย

    “นั่นเจ้าหนูน้อยแก้มป่อง และแม่เด็กสาวแสนฉลาดนี่!” เสียงแหลมอารมณ์ดีของเกรย์ย่าดังขึ้น หล่อนยิ้มกว้างพลาง ขยับหมวกขนนกที่เอียงกระเท่เร่บนหัวให้เข้าที่ แล้วตรงดิ่งมาจูบแก้มโรซ่าฟอดใหญ่ ก่อนจะหยิกสองแก้มของโรมอย่างเอ็นดู “ข้านึกว่าพวกเธอตายไปแล้ว อยู่ๆก็หายตัวไป ดอลล่าร้องห่มร้องไห้แทบสติแตกแน่ะ”

    “ว่าแต่พวกเธอหายไปไหนมา” ฟาราฟีเน่ ดัชเชสแห่งแคว้นพลังอำนาจตวัดเสียงถามอย่างหงุดหงิด ดวงตาดุดัน จนโรมผวากอดโรซ่าแน่น

    “เรื่องนั้นเราน่าจะเก็บไว้คุยกันวันหลัง...ตอนนี้คุยเรื่องที่จำเป็นที่สุดก่อน” เสียงของสตรีสาวในชุดคลุมคนหนึ่งดังขึ้นอย่างสุขุม โรมมองไปที่นาง...นางยืนตรงหัวโต๊ะ หันหลังให้พวกเขา ก่อนที่จะเหลียวมา...สบตา

    โรมเกาะพี่สาวแน่นอย่างหวาดกลัว ผู้หญิงคนนั้นมีผ้าผันแผลพันรอบใบหน้าและปกปิดดวงตาไว้ครึ่งหนึ่ง

    “นั่นคืออาจารย์อมาดอส นางเป็นนักปราชญ์ผู้รู้และอาจารย์ของเหล่าขุนนางที่นี่” เกรย์ย่ากระซิบแนะนำ ก่อนจะปล่อยให้ซาริน่าจูงมือพาเด็กๆไปนั่งตรงเก้าอี้ว่าง

    “แต่นักปราชญ์ก็ไม่ใช่ผู้หยังรู้ทุกสรรพสิ่ง” อาจารย์อมาดอสพูดพลางเหลียวหลังกลับไป

    โรมนั่งอยู่บนตักของโรซ่า ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กชาย จ้องมองไปยังทุกคนอย่างหวาดหวั่น เขาไม่รู้จักใครทั้งนั้น ที่คุ้นหน้าและเคยเห็นก็มีแต่ดัชเชสทั้งสี่ ทุกคนกำลังจริงจัง ราวกับเรื่องที่พูดคุยกันในวันนี้เป็นเรื่องใหญ่โตและเร่งด่วน

    “เด็กสองคนนี้ คือ เด็กที่พวกเราตามหาสินะ” เสียงชายหน้าจืดคนหนึ่งที่อีกปลายของโต๊ะพูดขึ้นด้วยเสียงเนิบช้า เขาขยับแว่น แล้วยิ้ม “ข้าคือนายกรัฐมนตรี”

    “ที่ซื่อบื้อและเซ่อซ่าสุดๆ” ฟาราฟีเน่พูดขึ้น แล้วทุกคนบนโต๊ะก็หัวเราะลั่นพร้อมกัน

    “เอาล่ะ...เราควรจะเข้าเรื่องได้เสียที” สตรีที่พันใบหน้าด้วยผ้าพันแผลพูดขึ้น “จากที่เราถกเถียงอย่างหนักเมื่อสักครู่นี้ อาณาจักรของเรากำลังตกอยู่ภายใต้ภัยพิบัติ เพราะน้ำตาของ นางข้าเห็นว่าหนทางเดียวที่ดีที่สุดของพวกเราก็คือ...ฆ่า นางเสีย” ทุกคนเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจะตามหาอย่างสนั่นหวั่นไหว ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

     “ข้าไม่เห็นด้วย!” สตรีสาวผมสีทองอร่าม และสวมมงกุฎขนนกสีขาวราวกับเทพธิดายกมือขึ้นคัดค้าน “นางร้องไห้อย่างน่าสงสารขนาดนั้น นั่นเพราะหัวใจที่แตกสลาย เราควรจะหาทางเยียวยารักษานางมากกว่า”

    “ท่านหญิงเมนิเอล่าผู้แสนอ่อนต่อโลก...ท่านคงกำลังเพ้อฝันถึงเจ้าชายในเทพนิยายที่สามารถจุมพิตปลุกนางฟ้าให้ตื่นจากฝันร้ายได้” สตรีสาวผมสีดำใบหน้าขาวซีดและสวมแว่นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ดวงตาเย้ยหยัน มีรอยยิ้มเยาะเบาๆที่มุมปาก

    “ท่านหญิงแอนเนโมเน่!” เมนิเอล่าเหลียวไปสบตาผู้คัดค้านอย่างไม่พอใจนัก อีกฝ่ายเพียงแต่ยิ้มหยัน ท่านหญิงผู้สวมมงกุฎขนนกยืดกายทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงหวาน “น่าสมเพสที่คนเรามักคัดค้านมากกว่าจะเสนอความคิดเห็นที่ดี”

    โรมซุกตัวอับอ้อมแขนของโรซ่า...เด็กชายไม่รู้จักใครทั้งนั้นบนโต๊ะสนทนาแห่งนี้ และไม่คิดว่าจะจำใครได้ด้วย..ทุกคนล้วนเป็นขุนนางมีศักดิ์สูง และกำลังฟาดฟันกันด้วยวาจาเสียดสี

    “ข้ามีคำถาม” สุภาพบุรุษผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนพลางโค้งตัวให้ทุกคน

    อาจารย์ผู้มีผ้าพันแผลปกปิดใบหน้าเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าให้ชายหนุ่มออกความเห็น

    “ท่านชายแอนทัช...เชิญว่ามา”

    ชายหนุ่มผมสีดำเกือบน้ำเงินโค้งตัวให้ทุกคนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น

    “นางผู้ควบคุมทุกสรรพสิ่งกำลังร่ำไห้อย่างน่าสงสาร...น่าเศร้าที่พวกเราสรรหาแต่วิธีทำให้นางหยุด แต่ไม่มีใครสงสัยเลยหรือ ว่าเหตุใดนางจึงร้องไห้ ข้าเห็นว่า...เราควรจะตามหาผู้ที่ทำให้นางเป็นเช่นนั้น”

    เสียงฮือฮาดังขึ้นไปทั่ว ทุกคนล้วนส่ายหน้า

    “เพียงแต่รู้ว่ามันผู้นั้นเป็นใคร...ข้าจะฆ่ามันทันที” ชายผมดำสนิทที่นั่งตรงมุมโต๊ะเอ่ย “แต่น่าเสียดาย...ที่ไม่มีใคร จำได้เลยว่ามันผู้นั้นเป็นใคร...เหมือนกับว่าพวกเราถูกสั่งให้ลืม” เพียงขาดคำ ทุกคนก็พากันหันไปซุบซิบถึงสาเหตุที่ไม่มีใครรู้

    “ใช่แล้ว เราถูกสั่งให้ลืม...มันน่าสิ้นหวังที่เราจำอะไรไม่ได้เลย” ดอลล่าปล่อยโฮออกมา แล้วสะอึกสะอื้นจนทุกคนตกใจ “อาณาจักรของเราเหมือนถูกสาปให้จมอยู่ใต้ความสิ้นหวัง และไร้ความรัก”

    “ข้า...เอ่อ...”

    และนายกรัฐมนตรีผู้ขี้อายก็ค่อยๆยกมือขึ้นท่ามกลางเสียงซุบซิบมากมาย ไม่มีใครสนใจเขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์และออกความเห็นดังสับสนระงมเจนเกินควบคุม ท้ายที่สุด ท่านนายกรัฐมนตรีก็ขยับแว่นตาตัวเองให้เข้าที่ด้วยมือที่สั่นสะท้าน ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมพลังความกล้าทั้งหมดและตะโกนเสียงลั่น จนโรมแทบสะดุ้ง

    “ข้ารู้แล้วว่าหนทางแก้ปัญหานี้...คืออะไร!!!






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×