ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #5 : ทรราชผู้(นึกว่าตัวเอง)ยิ่งใหญ่

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 59


     

    Chapter 4 ทรราชผู้(นึกว่าตัวเอง)ยิ่งใหญ่

     

    ไม่...มันไม่ได้ดังอยู่ข้างหู        

    เสียงสะอื้นไห้นั้นดังแผ่วกระซิกมาจากล็อคเก็ตสีเงินที่ห้อยตรงลำคอ    

    โรมยกมือขึ้นกุมล็อคเก็ตลายกุหลาบนั้น สัมผัสได้ถึงไอเย็นจากเนื้อโลหะเย็นเฉียบ ของสิ่งนี้แม่เคยให้เขาเมื่อนานมาแล้วในคืนที่เขาเกิด เขาไม่รู้ว่าข้างในล็อคเก็ตมีอะไร  เพราะจนถึงวันนี้โรมก็ไม่สามารถเปิดมันได้ เหมือนกับต้องใช้กุญแจไข หรือไม่มันก็ขึ้นสนิม จนกลไกการปลดล็อคเสียหาย เขาเคยพยายามเปิดมันอยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องล้มเหลวไปทุกที บางทีมันอาจจะเป็นรูปภาพของแม่และพ่อ หรืออาจจะไม่มีอะไรข้างในเลยก็ได้ แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีแม่อยู่ใกล้ๆ...

    โรมเหลียวไปมองโรซ่า แต่ก่อน หล่อนก็มีล็อคเก็ตเหมือนกับเขา น่าเศร้าที่หล่อนทำมันตกหายไป เมื่อสมัยที่โรซ่าหัดขี่ม้าครั้งแรก และพลัดตกแม่น้ำเมื่อห้าปีก่อน โรมเคยถามโรซ่าว่าข้างในล็อคเก็ตของพี่สาวมีอะไร แต่โรซ่าก็ไม่สามารถให้คำตอบ...เช่นเดียวกัน...เด็กสาวไม่อาจเปิดล็อคเก็ตได้

    โรมเริ่มรู้สึกอึดอัด เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังระงมอื้ออึงอยู่ในหูของเขา เด็กชายพยายามยกมือขึ้นปิดหูสองข้าง แต่เสียงนั้นก็ยังดังก้องชัดเจนจนน่าทรมาน รอบกายของเขา ดัชเชสทั้งสี่กำลังพูดคุยกันถึงความอยู่รอดของอาณาจักร เสียงพวกหล่อนแทบจะจางหายไป และถูกกลบโดยเสียงร่ำไห้ทุรนทุรายของผู้คนมากมาย มันดังสะท้อนคล้ายอยู่ในอกของเขา!

    เด็กชายมองผ่านหน้าต่างกระตกที่เปรอะน้ำฝน ใบหน้าผู้คนล้วนบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ระทม เป็นเพราะ  นาง แน่ๆ ‘นางผู้มีอำนาจควบคุมทุกสรรพสิ่งในอาณาจักร....เพราะ นางร้องไห้ ทุกสิ่งจึงเป็นเช่นนี้ราวต้องคำสาป

    รถม้าแล่นผ่านซุ้มรั้วเหล็กดัด ป้ายสนิมเขรอะห้อยอยู่บนซุ้ม สลักข้อความที่เกือบเลือนหายไปแล้วว่า ย่านการค้าหมอกหม่นหมองป้ายนั้นแกว่งไกวไปมาท่ามกลางเมฆดำครึ้มแลเสียงฟ้าคำรณคำรามมองดูโดดเดี่ยวยิ่งนัก เมื่อแล่นผ่านซุ้มประตูไป สองข้างทางคือเหล่าร้านค้าก่อหินสีเทาและตึกขนาดเตี้ยเรียงราย ผู้คนในชุดคลุมสีเทาหม่นเดินกันขวักไขว่ ใบหน้าแต่ละคนเศร้าหมองและอมทุกข์ ฝนตกลงมาไม่ขาดสาย น้ำขังท่วมเต็มท้องถนน เด็กชายคนหนึ่งพับเรือใบกระดาษเล่นอยู่ริมบาทวิถี โรมมองเด็กคนนั้นแล้วมองเลยไปยังหอนาฬิกาเอียงกระเท่เร่ เหมือนว่ามันเก่าเสียจนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับเข็มนาฬิกา ทำให้เวลาหยุดอยู่ที่หกโมงเย็นเช่นนั้น

    รถม้าสีดำไร้สารถีแล่นไปจอดหน้าร้านซอมซ่อ ประตูรถเปิดเอียดอาด

    “ถึงเสียทีนะ เอาล่ะลงกันไปได้แล้วเด็กๆ” เกรย์ย่าหันมาบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะดึงผ้าคลุมขนนกสีดำมาห่มร่าง อากาศหนาวขึ้นมาก โรมเองก็รู้สึกสั่นสะท้าน จนโรซ่าต้องถอดโค้ทตัวหนาห่มให้เขา

    “เรามีอะไรจะต้องคุยกันที่นี่” เทอร์มิสหันมาบอก ดวงตาของหล่อนยิ่งทำให้อากาศซึ่งหนาวอยู่แล้ว เย็นยะเยือกไปอีก

    เหล่าดัชเชสทั้งสี่ก้าวลงจากรถม้า ตามด้วยโรซ่า เด็กสาวค่อยๆประคองน้องชายตามลงมาอย่างเป็นห่วง

    เท้าในรองเท้าเก่าๆที่เต็มไปด้วยรอยปะของโรมเปียกแฉะน้ำไปหมด พื้นตรงนี้มีน้ำท่วมสูงเท่าข้อเท้าของเด็กน้อย ท่ามกลางฝนตกไม่ขาดสาย เด็กชายรู้สึกว่าทุกสิ่งในดวงตาของเขากำลังจะกลายเป็นสีเทาหม่น แม้กระทั่ง...เหล่าดัชเชสทั้งสี่ ชุดสีสันสดใสและแววววาวของพวกนาง...กำลังหม่นหมองอย่างรวดเร็ว

    อำนาจแห่งความสิ้นหวังน่ากลัวเสียจริง เด็กชายพึมพำในใจ ดวงตาสีฟ้าใสมองไปยังเพิงไม้เตี้ยๆที่หลังคาเกือบทรุด เหล่าดัชเชสพากันเดินตามเข้าไปด้านในเพิงนั้น

    “โรมดูนี่สิ” โรซ่าสะกิดเด็กชาย พลางชี้ไปที่หน้าเพิง ซึ่งเป็นแผงหนังสือเรียงราย ทุกเล่มล้วนวาดหน้าชายหัวล้านดวงตาทะมึงถึง ทำท่าขยับปากอย่างคนคลั่งอำนาจ กำลังนั่งตัวแอ่นอยู่บนหลังม้าน่าขบขัน ตัวอักษรสีแดงตัวเป้งแปะทับใบหน้าของเขา ว่า วิคเตอร์ ทรราชผู้(นึกว่าตัวเอง)ยิ่งใหญ่

    “เขาเป็นราชาต่างเมืองที่พยายามจะหาทางครอบงำอาณาจักรของพวกเรา” เกรย์ย่าก้มตัวกระซิบบอกเด็กทั้งสองอย่างใจดี “โดยเฉพาะเวลาที่พวกเรากำลังอยู่ในภัยพิบัติ เขารอที่จะฉกฉวยประโยชน์อย่างคนชุบมือเปิบ แต่ราชันวิคกี้ผู้น่าสงสารคงทำได้แค่ฝันไป” น้ำเสียงของดัชเชสสาวแห่งแคว้นพลังอำนาจออกจะเปล่งไปด้วยความเย้ยหยันติดขบขัน

    และฉับพลัน เสียงเคาะกะละมัง ทุบโต๊ะ และเสียงสะอื้นไห้ระงมดังขึ้นสนั่น ราวกับเสียงร้องรำทำเพลง เด็กชายมองตามไป นั่นเป็นขบวนแห่ของกลุ่มคนในชุดคลุมสีหม่น ดวงตาของพวกเขาว่างเปล่า ต่างขยับแขนขาเต้นรำด้วยท่าทางวิปริตคล้ายคนไร้สติ ไม่มีใครยิ้มแย้มแจ่มใส...ดวงตาของพวกเขาไม่มีประกาย ไม่มีอะไรทั้งนั้น ราวกับมองไม่เห็นอะไรเลย ริมฝีปากไม่มีรอยยิ้ม สีหน้าไร้ความรู้สึก มันชืดชา ผิดกับท่าเต้นที่ชวนน่าพรั่นพรึงของพวกเขา บางคนเอนตัวหมุนไปมาจนน่ากลัวว่าหลังจะหัก บางคนกระโดดโหยงๆจนน้ำขังสาดกระเซ็น 

    “นั่นพวกเขากำลังจะไปที่ไหนคะ” โรซ่าถามขึ้น เสียงของหล่อนสั่นด้วยความกลัวแต่เด็กสาวก็ยังพยายามข่มท่าทางให้สงบนิ่งที่สุด

    “พวกนั้นสิ้นหวังถึงขีดสุด...” เสียงกระซิบของเกรย์ย่าเบาลงไปอีก ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน “พวกเขากำลังแห่ไปเป็นทาสจอมมาร ใครๆก็เชื่อว่าจอมมารจะช่วยให้หลุดพ้นจากความสิ้นหวัง”

    “ช่วยได้จริงหรอฮะ” โรมเหลียวไปสบตาดัชเชสสาว เกรย์ย่ามองกลับด้วยสายตาเกือบจะว่างเปล่า

    “ไม่มีใครรู้ มันเหมือนการเล่นพนันที่เอาวิญญาณตัวเองไปเสี่ยง...มีแต่พวกที่สิ้นหวังถึงขีดสุดนั่นแหละที่ทำแบบนั้น”

    จู่ๆดัชเชสแห่งแคว้นเพลิงไฟซึ่งยืนกอดอกอยู่ ก็หัวเราะอย่างประชดประชันในลำคอ

    “ดอลล่าก็เป็นทาสจอมมารไปแล้ว หล่อนสิ้นหวังถึงขีดสุดจริงๆ...ไม่สิ หล่อนบอกว่าจอมมารอาจจะเป็นความหวังด้วยซ้ำ” ฟาราฟีเน่ พูดเสียงแหลม สีหน้า น้ำเสียง และดวงตาเต็มไปด้วยความหยามหยัน

    “อย่าว่าแต่ดอลล่าเลย” ดัชเชสแห่งแคว้นหนาวเหน็บปราดสายตามองขบวนทาสผู้สิ้นหวังเหล่านั้นด้วยดวงตาเยือกเย็น “แม้แต่ นางผู้ควบคุมทุกสรรพสิ่ง ก็เป็นทาสเขา” เทอร์มิสพูดเสียงเย็นชา สำหรับดอลล่านางเข้าไปข้างในเพิงนั้นคนแรกแล้ว...คงไม่ได้ยินบทสนทนาพวกนี้

     “เขาคุกคามครอบงำไปทั่ว น่ากลัวเสียยิ่งกว่าวิคกี้ผู้(นึกว่าตัวเอง)ยิ่งใหญ่” เกรย์ย่าเสียดสีด้วยน้ำเสียงติดตลก ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วพูดเสียงเริงร่า “เอาล่ะ...เข้าไปข้างในกันดีกว่า เรามีอะไรมากมายจะต้องพูดคุยกัน” ว่าแล้วเกรย์ย่าก็ดันหลังเด็กชายและเด็กหญิงเข้าไปในเพิงนั้น ราวกับกลัวว่าพวกเขาจะได้เห็นภาพแห่งความทุกข์ทรมานและสิ้นหวังไปมากกว่านี้

    วินาทีนั้นที่โรมตระหนักแล้วว่า แม้แต่เส้นผมของเขารวมถึงโรซ่า ก็กำลังกลายเป็นสีเทา

     

    เอลันก็รู้สึกว่าผมของเขากำลังกลายเป็นสีเทา

    นานแล้วที่เอลันไม่เคยส่องกระจก จนกระทั่งขณะนี้ ชายหนุ่มวางหนังสือนิทานทิ้งไว้บนโซฟา แล้วเหม่อมองเงาสะท้อนของตัวเองที่กระจกหน้าต่าง ใบหน้าของเขามีร่องรอยของอายุเพิ่มขึ้น เขาอาจจะเครียดมากไป ดวงตาลึกกรวงราวกับคนอดหลับอดนอน และผมสีน้ำตาลก็เริ่มแซมไปด้วยสีเทา...อย่างน่าสิ้นหวัง

    เขาแก่ลงกว่าครั้งสุดท้ายที่ส่องกระจก ไปเป็นสิบปี...

    เอลันไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาไม่พยายามหาคำตอบ และบางที คำตอบอาจจะน่ากลัวเกินไป เขาเชื่อสุดใจว่าเขาไม่ได้อยากรู้คำตอบ

    ชายหนุ่มละสายตาออกจากกระจก บางทีเขาอาจจะไม่ใช่ชายหนุ่มอีกแล้ว...ผมสีเทาที่แซมตรงข้างหู และริ้วรอยตรงหน้าผาก บ่งบอกว่าเขาน่าจะก้าวข้ามวัยกลางคนและ ย่างเข้าสู่วัยชราเสียด้วยซ้ำ

    วินาทีนั้นเองที่เอลันตระหนักว่าเขาลืมอายุของตัวเอง วันเกิดครั้งสุดท้ายของเขา จัดขึ้นเมื่อเขาอายุสามสิบสี่ปี ภรรยาและลูกชายเซอร์ไพร์ทเขาด้วยเค้กก้อนโต ในคืนที่เอลันเพิ่งกลับจากทำงาน

    และหลังจากนั้นเขาก็ไม่มีวันเกิดอีกเลย เวลาผ่านไปอย่างว่างเปล่า จากวันเป็นคืนและจากคืนเป็นวัน ทุกอย่างไร้จุดหมาย และเขาลืมกระทั่งปีเกิดของตัวเอง เอลันตระหนักแล้วว่า เหตุที่เขาเป็นชายผู้น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน คงเป็นเพราะเขาลืมวันเกิดของตัวเอง แต่ ชายวัยกลางคนซึ่งกำลังย่างเข้าสู่วัยชราเอลันก็ไม่พยายามหยิบบัตรประจำตัวประชาชนของตัวเองขึ้นมาดูวันเกิด มันอาจจะหมดอายุไปแล้วด้วยซ้ำ เขาคิดอย่างขบขัน ขณะก้มลงเปิดหนังสือนิทานอ่านต่อไป

     

    โรมมองเห็นไฟไหม้อยู่ข้างหน้าเพิง

    เหล่าดัขเชสกำลังพูดคุยกับชายแก้มแดงกร่ำท่าทางประหลาดเรื่องหนทางที่จะช่วยอาณาจักร ชายคนนั้นมองโรมและโรซ่าด้วยดวงตาที่พวกเด็กๆไม่มีวันเข้าใจ ผมของเขาขาวโพลนไปทั้งหัว และหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราสกปรก ห่มผ้าคลุมเหม็นหึ่งสีเทาหม่นราวกับยาจก ทีแรกเกรย์ย่ากระซิบบอกว่า ชายผู้นี้เป็นสามีของอาจารย์ผู้ชาญฉลาดแห่งอาณาจักร โรมพยายามเพ่งมองเขาให้ชัด เด็กน้อยวัยแปดขวบก็ยังไม่เข้าใจจนตอนนี้ว่าทำไมสตรีผู้เฉลียวฉลาดจึงเลือกยาจกคนนี้เป็นสามี

    โรมเพ่งความสนใจไปยังเปลวเพลิงวูบไหวที่หน้าเพิงไม้...ชั่วขณะนั่นเหมือนปีศาจไฟกำลังลุกลาม แต่บางขณะก็เหมือนชายผ้าสีอัคนีเสียมากกว่า เด็กชายจ้องแน่นิ่ง และเขาก็เห็นดวงสีแดงกร่ำมองตอบมา ตอนนั้นเองที่โรมรู้แล้วว่านั่นคือคนผู้หนึ่งที่ห่มผ้าคลุมสีแดงเพลิง

    มือของคนผู้นั้นชี้มาที่โรมแล้วก็ทำท่าคล้ายผายมือเชื้อเชิญให้ออกไปหา เด็กชายสะกิดเรียกพี่สาว

    “เหมือนเขามีอะไรจะคุยกับพวกเรา” โรซ่าเพ่งสายตาแล้วกระซิบแผ่ว เด็กหญิงเหลียวไปดูเหล่าดัชเชสกำลังพูดคุยสีหน้าเคร่งเครียดกับชายประหลาด ไม่มีใครสนใจเด็กทั้งสอง

    “เราน่าจะออกไปหาเขา...บางทีเขากำลังจะบอกอะไรเรา” โรมเสนอ โรซ่ารีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    “ค่อยๆออกไป”

    และแล้ว...ในขณะที่โต๊ะสนทนาว่าด้วยทางรอดของอาณาจักรกำลังเป็นไปอย่างออกรส เด็กชายและเด็กหญิงก็พากันย่องออกไปที่หน้าเพิงผ่านแผงหนังสือทรราชผู้(นึกว่าตัวเอง)ยิ่งใหญ่ ไปพบกับคนประหลาดที่ห่มผ้าคลุมสีเพลิงปกปิดใบหน้าเห็นเพียงดวงตาสีแดง

    “ข้าชื่อเพลิงมายา” เสียงแนะนำตัวทำให้เด็กทั้งสองรู้ว่าร่างใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นสตรี เพลิงมายาพาเด็กชายหญิงไปหลบน้ำฝนและสายตาคนที่ตรอกมืดข้างๆ ภายในตรอกแคบเต็มไปด้วยน้ำขังสกปรกและกลิ่นเหม็นหึ่ง หนูตัวกระจี๊ดและแมลงสาปวิ่งผ่านไปมาราวกับสวนสนาม ไม่มีใครผ่านมาทางนี้ และสุดปลายทางตรอกนั้นก็มืดสนิทคล้ายเงารัตติกาลกำลังรอเขมือบเหยื่อ เสียงหายใจของคนทั้งสามสะท้อนก้องไปมา  

    “คุณทำท่าเหมือนเรียกพวกเรา” โรซ่าเอ่ยขึ้นเสียงกระซิบ แต่กลับก้องไปทั่วทั้งตรอกแคบๆ

    “ใช่” เพลิงมายาตอบ “ข้าเรียกพวกเจ้า ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”

    “เหล่าดัชเชสเชื่อว่าเราจะช่วยอาณาจักรได้ฮะ” โรมพูดออกมา ดวงตาสีฟ้าใสซื่ออย่างไร้เดียงสา แต่เปี่ยมพลังราวกับเด็กน้อยที่รับบทอัศวินผู้กอบกู้มหานคร

    “น่าสิ้นหวังที่พวกเขาคิดว่าเด็กตัวกระเปี๊ยกจะช่วยอาณาจักรได้ คิดผิดกันทั้งนั้น” เพลิงมายาส่ายหน้าอย่างขบขัน

    “คุณรู้วิธีที่ถูกต้องหรอคะ” โรซ่าเอียงศีรษะถาม หล่อนถูแขนไปมา รู้สึกร้อนๆหนาวๆชอบกล

    ไม่มีทางที่โรซ่าและโรม จะเข้าใจถึงความคิดของร่างในชุดคลุมสีเพลิง...

    “หัวใจของ นางแตกสลายไปแล้ว...น้ำตาของ นางสาปให้ทั้งอาณาจักรเป็นดินแดนไร้รักที่สิ้นหวัง” เพลิงมายาเล่า ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบ “เหล่าดัชเชสหวังว่าพวกเด็กๆที่น่ารักจะมีสิ่งพิเศษในหัวใจที่ช่วยหยุดน้ำตา นาง ได้” พูดจบ เพลิงมายาก็ปล่อยเสียงหัวเราะก้องออกมาอย่างน่ากลัว โรมรีบผวาเข้ากอดพี่สาวแน่น โรซ่าขมวดคิ้วไม่ชอบใจนักที่ถูกหัวเราะเยาะ

    “มันอาจจะดูสิ้นหวังที่ขอความช่วยเหลือพวกเรา แต่นั่นก็เป็นสัญญาณว่าพวกเรายังมีความหวังนะคะ” โรซ่าพูดเสียงรัวเร็วอย่างไม่พอใจนัก “เราควรจะได้พบ นาง...ฉันเชื่อว่าถ้าฉันและโรมได้พบ นาง เราอาจจะรู้วิธีทำให้ นาง หยุดร้องไห้”

    เพลิงมายาหยุดหัวเราะ แล้วเหลียวมาสบตาเด็กทั้งสอง

    “ใช่แล้ว...พวกเจ้าต้องพบ นาง และข้านี่แหละจะพาไป”

    “เราจะไว้ใจคุณได้หรือคะ?”

    “ข้าเคยเล่นหมากรุกและท้าดวลดื่มฉลองกับ นางมาแล้ว” เพลิงมายาจ้องตาเด็กทั้งสอง “ทุกครั้งที่ได้พบนาง ข้าได้รับการเลี้ยงดูราวราชา เรามักเล่นพนันกันสนุกสนาน จนกระทั่งวันที่นางสูญสิ้นความสุข วันเวลาเหล่านั้นก็หายไป ดวงตาร่าเริงของนางกลายเป็นนิ่งเศร้าอย่างน่าสงสาร เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาเซาซบ

    ไม่มีเหตุผลที่โรซ่ากับโรมจะเชื่อคำพูดของเพลิงมายา...แต่เรื่องเล่าของนาง...ทำให้เด็กๆเคลิบเคลิ้ม และอยากพบเจอสตรีผู้ไม่ยอมหยุดร้องไห้

    “พวกดัชเชสไม่มีทางทำอะไรสำเร็จหรอก” เพลิงมายาเปรยขึ้นอย่างหยามหยัน “เขามัวแต่คิดถึงหลักการและเหตุผลจนน่ารำคาญโดยไม่เริ่มทำอะไรสักที กว่าแผนของพวกนั้นจะเป็นรูปเป็นร่าง อาณาจักรของเราก็คงจมพอดี ...ข้าแนะนำว่าพวกเจ้าควรไปกับข้า” และหญิงในชุดคลุมสีเพลิงก็เหลียวมาโน้มน้าวเด็กทั้งสอง

    “เห็นที่ปลายตรอกไหม...” เพลิงมายาชี้ไปที่สุดทางซึ่งมืดสนิท “ในความมืดนั้นคือเขาวงกตลึกลับ ทุกครั้งข้ามักใช้เส้นทางนั้นไปหา นางเพื่อดื่มฉลอง เล่นพนัน และสังสรรค์เฮฮา...ไม่เชื่อข้าล่ะสิ”

    เพลิงมายาหยุดเล่าแล้วเงียบไป...ความเงียบนั้นทำให้โรซ่าและโรมหันมามองตากันอย่างรู้สึกผิด

    “ทำไมเราไม่ลองเชื่อเขาล่ะฮะ” โรมกระซิบถามโรซ่า

    “เราไม่ควรจะเชื่อคนแปลกหน้า” เด็กสาวตอบ ฉับพลันเพลิงมายาก็สวนกลับ

    “แล้วเจ้าคุ้นเคยกับเหล่าดัชเชสนั้นหรือ?” สตรีในชุดคลุมสีเพลิงนำบางสิ่งออมาจากใต้เสื้อคลุม...และดวงตาของเด็กทั้งสองก็เบิกกว้าง

    มันคือดอกกุหลาบสีน้ำเงินชวนพิศวง...

    “มีไม่กี่คนหรอกนะที่จะได้ครอบครองดอกไม้ชนิดนี้ นอกจากผู้ที่ไว้ใจได้”

    ดวงตาของโรซ่าสะท้านเมื่อเห็นดอกไม้นั้น คลับคล้ายว่าหล่อนนึกถึงใครบางคน เด็กสาวรีบพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น

    “ได้โปรดพาเราไป”

    ไม่มีใครเห็นสีหน้าของสตรีในชุดคลุมสีเพลิง...ไม่อาจหยั่งลึกไปในดวงตาสีแดงของนาง...เพลิงมายาผายมือไปทางปลายตรอกที่มืดสนิท ราวกับปีกพญารัตติกาล

    “ไปทางนั้นสิเจ้าเด็กทั้งสอง สุดปลายทางคือปราสาทที่พำนักของ  นาง ผู้ควบคุมทุกสรรพสิ่ง” เสียงของเพลิงมายาแผ่วกระซิบ...และคล้ายกับเด็กทั้งสองได้ยินเสียงร่ำเรียกหาดังมาจากความมืด เท้าของพวกเขาย่ำน้ำขังสกปรกไปอย่างเชื่องช้า เสียงสะท้อนก้องดังไปทั่ว พลันนั้นโรมก็รู้สึกหวาดผวา อำนาจแห่งความมืดนั้นคล้ายจะรอกลืนกินพวกเขา มันดำสนิทจนเหมือนคนตาบอด มองไม่เห็นกระทั่งมือของตัวเอง เด็กชายเหลียวหลังกลับมา เห็นแสงริบหรี่และผู้คนเดินผ่านไปมาที่อีกปลายตรอก

    ชั่วลมหายใจนั้น! โรมก็รู้ว่าตัวเองถูกหลอก!!!

    ล็อคเก็ตสีเงินที่ลำคอถูกกระชากไป พร้อมกับที่ร่างของเด็กน้อยทั้งสองถูกผลักตกลงไปในห้วงแห่งรัตติกาลอันเงียบงัน...เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังกังวานกึกก้องอย่างน่าสะพรึงกลัว

    “อย่าฝันเฟื่องหน่อยเลย ไม่มีทางที่ใครจะพาอาณาจักรรอดพ้นคำสาปหรอกเจ้าเด็กหน้าโง่! วันสุดท้ายที่น่าพรั่นพรึงจะมาเยือนอาณาจักรเป็นแน่ ฮะฮ่า!!






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×