ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #2 : นางฟ้าร้องไห้

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 59


     

    Chapter 1 นางฟ้าร้องไห้

     

    เอลันไม่เคยเห็นนางฟ้าสีน้ำเงินร้องไห้

     นางฟ้าในความทรงจำของเขามีรอยยิ้มเริงร่า ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส แม้ผมของนางจะมืดสนิทราวกับสีราตรีที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง แต่ยามสายลมโชยพัดเส้นผมโบกพลิ้ว นางช่างสว่างไสวราวกับเทพธิดาแห่งท้องฟ้ายามค่ำคืน เสียงหัวเราะของนางฟ้านำพาโลกให้ปีติ หลายครั้ง เขานึกว่านางคือไนติลเกลตัวน้อยๆที่ร่อนปีกบินกลางดงบุปผา นกน้อยผู้หายไปเมื่อแสงตะวันสาดส่อง

    เอลันไม่เคยเห็นนางฟ้าสีน้ำเงินร้องไห้ จนกระทั่งคืนนี้ที่ท้องฟ้าไร้ดาว

    เขานัดพบนางในความฝัน ใบหน้านางฟ้าปราศจากรอยยิ้ม ดวงตาของนางโศกสลด และน้ำตาเอ่อนองสองข้างแก้ม เอลันรู้สึกปวดร้าวในหัวใจ เขาไขว่คว้ามือไปหมายปาดไล้น้ำตา แต่แล้วทุกอย่างก็หายวับไปราวกับมายา

     เอลันสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขาไม่เคยเห็นนางฟ้าสีน้ำเงินร่ำไห้ ภาพดวงตาตัดพ้อของนางช่างติดตา ไหล่บางสะท้านตามแรงสะอื้น ร่างนั้นซบลงกับพื้น ราวกับดอกไม้ที่โรยแรงอ่อนล้าอยู่บนผืนดิน เสียงสะอึกสะอื้นในความเงียบ แม้จะแผ่วกระซิบ แต่กลับก้องกังวาน ไม่อาจลืม

    ชายหนุ่มเบิกตาโพลงมองเพดานห้องนอน แสงจันทร์สีน้ำเงินสลัวอาบทั่วห้องแห่งนี้ ม่านบางสีขาวสะบัดพลิ้วตามแรงลม   

    อากาศหนาวกว่าทุกคืนที่ผ่านมา และคล้ายกับจะเย็นเยือกจนน่าขนลุก

    ชายหนุ่มพยายามครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง...เกิดอะไรขึ้นกับนางฟ้าสีน้ำเงิน?

    ทุกคืน เขามักพบเจอนางในความฝัน ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เขามักเฝ้ามองหญิงสาวโผวิ่งไปในอาณาจักรของนางด้วยรอยยิ้มอันเริงร่า ราวกับผีเสื้อน้อยที่โผบินผ่านม่านสายลม

    ในความฝัน เอลันไม่เคยพุดคุยกับนาง บางทีอาจจะเป็นเขาที่เฝ้ามองนางอยู่ฝ่ายเดียว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความฝันของเขาต้องมีนาง อาจจะตั้งแต่วันที่ภรรยาของเขาซื้อหนังสือนิทานปกกำมะหยี่เล่มนั้นมาเมื่อสิบปีที่แล้ว เพื่อเล่านิทานให้ลูกชายของเขาฟังก่อนนอนทุกคืน

    เอลันเคยแปลกใจว่าทำไมราชินีสีน้ำเงินในอาณาจักรนิทาน จึงมาพบเขาในความฝัน เอลันไม่พยายามหาคำตอบที่เขาไม่มีวันรู้ และถึงพยายามคุร่นคิดหาคำตอบ เขาก็ไม่คิดว่ามันจะทำให้อะไรเปลี่ยนไป น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนั้นหายไปตอนขนย้ายบ้าน  เขาไม่รู้ว่าจะตามหามันได้ที่ไหน และไม่คิดจะตามหามัน

    บางที...มันอาจจะนอนอย่างสงบนิ่งในกล่องลังที่ห้องใต้ดิน หรือไม่ มันก็อาจจะจมหายไปกับเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อสองปีก่อน

    เอลันไม่เคยเห็นนางฟ้าสีน้ำเงินร้องไห้

    ครั้งนี้แปลก...

    นางร้องไห้ในความฝันของเขา เอลันนึกอยากจะปลอบโยนนาง แต่มันทรมานเมื่อเขารู้ว่าไม่อาจทำได้ เอลันตัดสินใจไม่หลับในคืนนั้น เขานอนลืมตาโพลงแบบนั้นทั้งคืน มองเงาวูบไหวของม่านที่สะบัดพลิ้วราวชายผ้าของดวงวิญญาณ...ใช่ คืนนั้นทั้งคืน เขาเอาแต่เหม่อมองชายผ้าของวิญญาณ

     

     

    ค่ำคืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทจนตาบอดและเงียบสงัดราวหูหนวก

    เมฆสีดำขมวดกลุ่มเป็นรูปทรงพิลึกพิลั่น กิ่งไม้โยกเอนเหมือนดวงวิญญาณเริงระบำ ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางเงาวูบไหว เสียงลมหวิวดังผ่านทิวสนชวนขนลุกเยือก แต่เขาก็ยังคงมุ่งหน้าเดินอย่างเร่งรีบไปข้างหน้า ชายเสื้อโค้ทสะบัดไปมาคล้ายกลุ่มหมอก หมวกสีดำทรงสูงเอียงกระเท่เร่บนศีรษะ  เสียงฝีเท้าย่ำบนพื้นหินดังกังวานในความเงียบ

    ในมือของเขาถือหนังสือเล่มหนาหนัก ปกหุ้มกำมะหยี่สีน้ำเงิน เจ้าหนุ่มคนนั้นเดินไปหยุดที่จุดนัดพบ คือศาลาใกล้พัง นกฮูกสองสามตัวพากันขยับตัวส่ายตาไปมามองดูแขกผู้มาเยือน เสียงไม้คานดังเอียดอาด หนูฝูงหนึ่งวิ่งแจ้นผ่านเพราะถูกบุกรุก ทุกอย่างดูเหมือนจะวุ่นวายครู่ใหญ่ๆ ก่อนที่จะกลับมาเงียบสงัดดังเดิม

    มันเงียบสงัดราวกับหูหนวก และคล้ายว่าจะเป็นใบ้อีกด้วย เพราะมันเงียบเสียจนเขาไม่กล้ากลืนน้ำลายตัวเองลงคอ ด้วยเกรงจะรบกวนสรรพสิ่งเร้นลับที่ซ่อนตัวในความเงียบ

    "เราจะต้องนำหนังสือนั้นไปซ่อน ซ่อนในที่ห่างไกลมือผู้ปองร้าย"

    เสียงของหญิงผู้หนึ่งดังขึ้น นางปรากฏตัวที่หน้าศาลา ห่มผ้าคลุมสีเพลิงมิดชิดปิดใบหน้าและดวงตา ยามลมพัด ผ้าคลุมของนางจะสะบัดไปมามองดูคล้ายเปลวไฟวูบไหว

    "เราควรต้องทำลายมันต่างหาก" ชายสวมโค้ทหันมา เขาขยับแว่นตาขุ่นๆ สีหน้าเคร่งเครียด "ทันทีที่ดัชเชสอ่านหนังสือเล่มนี้ นางก็กลายเป็นบ้า มันอันตรายเกินกว่าจะเก็บไว้...เราควรต้อง..."

    "ต้องเอามันไปซ่อนไว้ในที่ที่ชาวเมืองจะเอื้อมมือไปแตะต้องไม่ได้" หญิงในชุดคลุมสีเพลิงสวนขึ้นทันที "ที่ที่ไม่ใช่อาณาจักรของเขา" ต้นไม้เคลื่อนขยับ พวกเขาทั้งสองรีบเหลียวไปรอบกายอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะพบว่ามันเกิดจากลมพัดระลอกหนึ่งเท่านั้น

    "ที่ไหนล่ะ" ชายหนุ่มถามเสียงกระซิบ สายตาของเขาสอดส่ายมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง ในศาลาแห่งนี้มีสัตว์มากมายแอบเฝ้ามองพวกเขาอยู่ อย่างน้อยก็เจ้านกฮูกตาโต และจิ้งจกบนเพดานศาลานั่นล่ะ "จะฝังดิน ซ่อนในพงหญ้ารกเรื้อ หรือยัดไว้ในห้องสมุดที่ชาตินี้ก็ไม่มีใครเข้า" เขาพูดพลางถือหนังสือเขย่าไปมาในมืออย่างคนคิดหนัก หญิงในชุดสีเพลิงนิ่งเงียบราวกับหาคำตอบที่ดีที่สุด และนางก็พูดออกมา

    "ดินแดนมนุษย์" 

    "แล้วถ้ามนุษย์มาเจอเข้า และเปิดอ่าน เขาไม่กลายเป็นบ้าหรอกหรือ" ชายสวมหมวกถามเสียงสูง พลางเบิกตากว้าง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว "เจ้าก็รู้ว่าพวกมนุษย์ขึ้นชื่อเรื่องความอยากรู้อยากเห็นที่สุดในจักรวาล"

    "แล้วมีมนุษย์คนไหนที่ปกติบ้างล่ะ? หนังสือเล่มนี้ไม่ช่วยเพิ่มความบ้าซึ่งพวกเขามีอยู่แล้วให้มากขึ้นหรอกนะ" สตรีลึกลับผู้ห่มผ้าคลุมสีเพลิงเอ่ยเสียงเรียบ "จัดการหาที่เก็บหนังสือให้เรียบร้อย นี่ไม่ใช่งานเดียวที่เราจะต้องทำ ...แล้วพบกัน" เพียงเท่านั้นนางก็สะบัดชายผ้าสีเพลิงจากไป

    และศาลานั้นก็กลับมาเงียบงันดังเดิม มันตั้งลำพังท่ามกลางความรกเรื้อของหมู่ไม้ คืนที่สรรพสัตว์นอนหลับสนิท

    ใช่แล้ว...มันเงียบสนิท ไร้เงาการเจรจาใดใด ราวกับว่า...ไม่มีเคยใคร ผ่านมาที่นี่เลย

     

    เอลันเป็นชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน ยกเว้นวันนี้

    เขาใช้ชีวิตหน้าเบื่อเหมือนทุกวัน คือตื่นเช้าไปซื้อช่อเดฟโฟดิลของคุณนายลาลูน่า และออกเดินไปตามถนนเนินเขาทอดไกล สู่ทุ่งหญ้าไกลโพ้น เขาไม่เคยพูดกับใคร และใบหน้าของเขาไม่เคยมีอารมณ์ ทุกๆวันเขาไม่ทำอะไร นอกจากเสียเวลากว่าครึ่งวันเพื่อเดินออกจากบ้าน และมาหยุดที่นั่น....สุสานเก่าๆในวิหารซึ่งคนเกือบจะลืมว่ามีตัวตนอยู่

    เอลันไม่รู้เหตุผลที่เขาต้องมาที่นั่น เขาไม่รู้ว่าไปทำอะไร และเขาก็ไม่เคยคิดค้นหาคำตอบว่าไปทำอะไรที่นั่นเพราะรู้ดีว่าต่อให้เขาคิดออก ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรเปลี่ยนแปลงไป ปกติเอลันเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน ไม่มีใครพูดคุยกับเขา แม้แต่คุณนายลาลูน่าที่ขายดอกไม้ ก็ไม่เสียเวลาคุยกับเขา หล่อนแค่แบมือรับเงิน ยื่นช่อดอกไม้ให้เขา และเหลียวไปสนใจรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ยามเช้า

    เจ้ากล่องสี่เหลี่ยมพูดได้นั้นคงน่าสนใจกว่าเอลันซึ่งเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน

    เอลันยืนยันว่าได้เขาน่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน เพราะแม้แต่เจ้าหมาโกลเดนสีทองก็ยังเดินผ่านเขาไปเห่าไล่บุรุษไปรษณีย์แทน ...แน่นอนว่ารถจักรยานของบุรุษไปรษณีย์คงน่าสนใจกว่าเอลัน ซึ่งเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน

    แต่วันนี้เอลันรู้สึกแปลกไป เขามัวแต่ครุ่นคิดเรื่องนางฟ้าสีน้ำเงินที่ร้องไห้...มีเหตุผลอะไรที่นางร้องไห้ มีคนรังแกนาง หรือว่าของสำคัญหาย หรือว่าเกิดความสูญเสียอะไรขึ้น เอลันปักใจเชื่อว่านั่นคือน้ำตาของความเศร้าอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าจากนี้ไป โลกของนางจะไม่มีเสียงหัวเราะอีก ประหนึ่งว่าความสุขทั้งมวลและพรวิเศษทั้งหลายได้สูญสลายไปจากโลกใบนี้พร้อมกับถูกแทนที่ด้วยความทุกข์จวนชั่วนิรันดร์

    ชายหนุ่มรู้ว่านั่นจะเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ เขายิ่งทรมานเมื่อต้องคิดว่านับแต่นี้ไป ทันทีที่หลับตา เขาจะต้องฝันเห็นคนร้องไห้...เอลันสังหรณ์ว่านั่นจะเป็นฝันร้ายของเขาไปชั่วกาล

    ชายหนุ่มเดินคิดถึงน้ำตาของนางไปตามบาทวิถี ผ่านทุ่งหญ้า ถนน และเนินเขาลาดชัน ลืมมองผู้คนรอบกาย จนมาหยุดที่วิหารเก่าแก่ ซึ่งเขามักใช้เวลาตลอดบ่ายนั่งอยู่ตรงบันไดหน้าวิหาร

    เอลันทิ้งตัวลงอยู่ตรงนั้น ในมือกอดช่อเดฟโฟดิลสีเหลืองอ่อน สายตาว่างเปล่าทอดมองเนินเขาสลับซับซ้อน และต้นไม้ที่ไร้ใบ ยืนปลิดใบอย่างโรยล้า เขาจำได้ว่าเขามาที่นี่ทุกๆวัน เมื่อนานมาแล้ว เจ้าต้นไม้นั้นมีดอกสีส้มเต็มต้น และนกฝูงหนึ่งทำรังอยู่เต็ม แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ดอกสีส้มก็หายไปหมด และไม่มีฝูงนกสักตัว

    เพล้ง!!!

    เอลันไม่ได้สะดุ้ง นั่นคือเสียงกระจกแตก เขาไม่ได้สนใจว่ากระจกที่ไหนแตก และทำไมมันถึงแตก เพราะต่อให้เขาสนใจไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น จนกระทั่งเสียงเด็กๆกลุ่มหนึ่งโหวกเหวกอยู่นอกรั้ววิหารร้าง

    "เฮ้! ช่วยเก็บลูกฟุตบอลของผมให้หน่อย"

    เอลันละสายตาจากกิ่งไม้ไร้ใบ แล้วมองไปยังเด็กชายที่ซุกซนทโมนราวกับลิง

    "มันทะลุหน้าต่างวิหารเข้าไปฮะ ช่วยเก็บให้ผมหน่อย" เด็กชายคนหนึ่งที่ดูสูงโปร่งกว่าเพื่อน และมีผมสีทอง จมูกโด่งรูปหล่อพูดอธิบายด้วยสายตาเป็นมิตร เอลันเหลียวไปด้านข้าง มองเห็นหน้าต่างกระจกสีทะลุเพราะแรงอัดของลูกบอล

    "เก็บเองสิ" เอลันอบเสียงเนือยๆ เจ้าเด็กพวกนั้นทำท่าขนลุกขนพอง

    "ใครๆก็รู้ว่าวิหารนั่นผีดุชะมัดยาก มีแต่คุณที่กล้ามานั่งคนเดียวที่นี่"

    บางทีนั่นอาจจะจริง... ใบไม้แห้งเกลื่อนกราดบนพื้น และต้นไม้ไร้ใบยืนชูกิ่งแห้งบดบังท้องฟ้าราวกับเงื้อมมือปีศาจร้าย สายลมวังเวงแผ่วมาทักทายให้เย็นเยือก บางครั้งประตูวิหารก็เปิดปิดเอง เหมือนมีมือพิศวงมาผลักมัน แต่เอลันรู้ว่านั่นเป็นเพราะลมพัดต่างหาก

    ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นยืน แล้วเดินขึ้นบันไดผุพังเข้าไปข้างใน เขาผลักประตูไม้หนาหนักสลักลวดลายพิลึกพิลั่น ที่ดูน่าสยดสยองมากกว่าสวยงาม เข้าไปข้างใน เสียงประตูลั่นดังเอียดยาว น่าประหวั่นยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องของซาตาน จนเหล่าเด็กชายตัวกระเปี๊ยกหน้าวิหารกอดกันกลมอย่างคนขลาดเขลา

    เอลันเดินเข้าไปข้างใน ม้านั่งไม้โอ๊กเรียงเป็นแถวอยู่ในโถงวิหาร แสงตะวันที่สาดจากประตูเข้ามา ทำให้เห็นเศษฝุ่นผงและหยากไย่กระจายอยู่ทั่วไป แสงที่สาดผ่านกระจกสี เป็นประกายขุ่นมัว เห็นรูปพระเยซูและเหล่าสาวกสำราญกลางสวนสวรรค์ของพระเจ้า บนเสาไม้คานเต็มไปด้วยไม้เลื้อยเกาะเกี่ยว เถาวัลย์โยงยาง เสียงนกเสียงหนูดังแหลมเป็นระยะ

    แต่เอลันได้กลิ่นดอกกุหลาบ...

    ชายหนุ่มมองหาลูกฟุตบอล เด็กชายพวกนั้นคงเตะทะลุกระจกเข้าไปทางปีกตะวันตก ซึ่งเป็นห้องสมุด เอลันเดินไปทางปีกด้านนั้น แล้วมองเข้าไป เห็นเพียงชั้นหนังสือสูงชะลูดเรียงราย และหนังสือมากมายยืนนิ่งบนชั้นอย่างเหี่ยวเฉา รอวันผุสลายไปตามกาลเวลา หยากไย่โยงใยไปทั่ว เจ้าแมงมุมตัวโตคงกำลังเฝ้ามองแขกผู้มาเยือนอย่างไม่วางตา แต่เอลันไม่ได้สนใจ

    ที่สุดทางเดิน คือกระจกซึ่งแตกทะลุ และลูกฟุตบอลนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น  เอลันรู้ว่าเขาควรจะรีบวิ่งไปเก็บฟุตบอลและคืนให้เจ้าเด็กพวกนั้นเสีย แต่บางอย่างหยุดชะงักชายหนุ่มไว้

    เอลันได้กลิ่นดอกกุหลาบ...

    ไม่ใช่กลิ่นหอมยวนใจ แต่คือกลิ่นหอมอวลที่ชวนสงบนิ่ง อย่างเร้นลับ

    เอลันเดินเดินผ่านชั้นแนวชั้นหนังสือแต่ละชั้นไปอย่างเชื่องช้า ราวกับเวลาหยุด และความเงียบเข้าครอบคลุม คล้ายมนต์สะกดอันน่าพิศวงกำลังเพรียกเสียงกระซิบหาเขา  และท้ายที่สุด เอลันก็สุดทรมานจนแทบยืนไม่ได้...เสียงนั้นอีกแล้ว เสียงของนางฟ้ากำลังร้องไห้

    นางอยู่ตรงนั้น หลังชั้นหนังสือนั้น เสียงสะอื้นแผ่วกระซิกดังไม่ไกล ยิ่งเอลันเดินไปใกล้ กลิ่นกุหลาบก็ยิ่งหอมอวลชวนวังเวง คลับคล้ายว่ามีเสียงบรรเลงเพลงอันสงบนิ่ง หัวใจของเอลันเต้นแผ่วลง แผ่วลงทุกที กลิ่นหอมชวนวิเวกยิ่งบีบรัดหัวใจของเขา เอลันไม่รู้ว่าทำไมถึงทรมานเช่นนี้ เขาไม่คิดหาคำตอบ เพราะรู้ว่าต่อให้มีคำตอบ....ก็คงเป็นคำตอบที่เขาไม่มีวันเข้าใจ และสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการที่สุด คือพบนางฟ้า และปลอบนาง

    เอลันรีบวิ่งไปที่ชั้นหนังสือนั้น

    "นางฟ้า..."

    ชายหนุ่มนิ่งชะงักไป ดวงตาเบิกค้าง แล้วกลับเลื่อนลอย เขาควรจะรู้แต่แรกว่านางฟ้าไม่มีทางมาร้องไห้ในวิหารร้างแน่ๆ หญิงสาวที่สูงศักดิ์คนนั้นควรจะอยู่ในโลกแห่งความฝัน นางไม่มีตัวตนจริงเสียหน่อย...ดังนั้นหลังชั้นหนังสือ จึงไม่มีนางฟ้าอย่างที่เขาหวัง...

    เอลันถอนหายใจอย่างผิดหวัง เขามองไปรอบๆเห็นเพียงความว่างเปล่า น่าประหลาดที่กลิ่นหอมหวนนั้นยังคงอยู่พาตกอยู่ในห้วงอารมณ์เคลิ้มฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น เอลันเดินเข้าไปอย่างใจลอย ชั่วขณะหนึ่งในหนุ่มรู้สึกราวต้องมนต์สะกด ประหนึ่งว่าเท้าของเขาเดินไปเอง

    แล้วเอลันก็แทบหยุดหายใจ ราวกับเวลาหยุดหมุน และทุกสรรพสิ่งชะงักงันเพียงแค่นั้น ณ วินาทีที่สายตาของเขาปราดไปเห็นสันปกกำมะหยี่สีน้ำเงิน

    มันตั้งนิ่งตรงนั้น แอบมิดชิดอยู่มุมสุด...ตรงชั้นล่างสุดของชั้นหนังสือ ราวกับหวาดผวา กลัวใครจะมาเห็น แต่อำนาจของมันเพรียกหาเขา

    มือของเอลันสั่นขณะเอื้อมไปดึงหนังสือเล่มนั้นออกมา...ปกกำมะหยี่ลื่นเมื่อมือสัมผัส เป็นมันวาวราวท้องฟ้าดารดาษดวงดาว สลักตัวอักษรสีเงินเป็นอักขระที่เขาไม่มีทางอ่านเข้าใจ

     ความรู้สึกตื้นตันหวนคืน...เขาจำได้ว่าภรรยาของเขามักเล่านิทานให้ลูกๆฟัง จากหนังสือเล่มนี้ นิทานที่บอกกล่าวเรื่องราวของนางฟ้าแสนเริงร่า กับอาณาจักรอันเป็นไปด้วยความเบิกบาน

    จะมีหนังสือเล่มนี้สักกี่เล่มบนโลกใบนี้กัน เอลันโทษตัวเองที่ทำมันหายไปเมื่อตอนย้ายบ้าน และขอบคุณโชคชะตาที่พาเขาเดินมาที่นี่ บางอย่างบอกกับเขาว่าหนังสือเล่มนี้สำคัญ...เขาไม่รู้ว่ามันสำคัญกับเขาอย่างไร เขารู้เพียงแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาหวงแหน...หวงที่สุด

    ชายหนุ่มกลั้นหายใจขณะพลิกเปิดปกเปิดหนังสือเล่มนั้น ฉับพลันราวกับภาพในความฝัน กลีบดอกกุหลาบมากมายปลิววคว้างออกมาจากหน้ากระดาษ ที่น่าพิศวงคือกลีบดอกไม้เหล่านั้นเป็นสีน้ำเงิน

    และชายผู้น่าเบื่อที่สุดในหมู่บ้าน...ก็พบกับภาพวาดของนางฟ้าในความฝัน

    นางควรจะยิ้มให้กับเขา...

    แต่น่าผิดหวัง...หญิงสาวกำลังร่ำไห้ และดวงตาที่มองมาราวกับ ดวงตาของสตรีผู้ซึ่งสูญเสียความสุขสุดท้ายในชีวิตไป  













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×