คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เรื่องไม่คาดฝัน
“ทิวา พุดพิชญา”
เสียงชายร่างเล็กตวาดเรียก "เธอกล้าดียังไง ถึงมาหลับน้ำลายยืดในคาบเรียนของครู" ด็กหญิงเจ้าของชื่อตกใจดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จนขาเข้าไปขัดกับ ครูวินัยส่ายหน้าอย่างเอือมระอา "เธอนี่ไม่สมกับเป็นกุลสตรีเอาซะเลยนะ" ไม่ทันขาดคำ ทิวาก็ล้มลงไม่เป็นท่า เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ในห้อง ครูวินัยเคาะไม้เรียวลงบนกระดานดำอย่างแรงจนเด็กๆสะดุ้งโหยง รีบนั่งนิ่งเงียบกริบ ไม่กล้ากระดุกกระดิก ส่วนทิวาตื่นเต็มตา เธอรีบปาดน้ำลายที่ไหลย้อยอยู่ที่มุมปากออก แล้วตะกายกลับมานั่งที่อย่างร้อนรน
“ใครบอกให้เธอนั่ง”ครูวินัยชี้ไม้เรียวมาที่ทิวา "ออกมาแก้สมการข้อนี้ให้ถูกต้องซะก่อน" ไม้เรียวเปลี่ยนไปชี้โจทย์แรกบนกระดานดำแทน
ทุกสายตาหันมาจับจ้องเธออีกครั้ง ทิวาเกาหัวแก้เก้อในขณะที่ก้าวเดินออกไปสู่ลานประหาร ตลอดทางเธอเห็นเพื่อนๆ แสดงอาการต่างๆ นานา บางคนแอบชูสองนิ้วให้สู้ตาย บางคนกลั้นหัวเราะจนหน้าเหยเก บางคนทำหน้าตื่นตระหนกราวกับกำลังดูรายการเกมล่าท้าผี ในขณะที่เด็กหัวโจกเอนตัวไปซุบซิบพนันกันว่าทิวาจะรอดไม้เรียวหรือไม่ เสียงเคาะไม้เรียวดังขึ้นอีกครั้งจนเด็กๆ ทุกคนแทบเด้งตัวออกจากเก้าอี้
ทิวาเดินมาหยุดกึกอยู่หน้ากระดานดำ เด็กหญิงหัวหมุนขึ้นมาทันทีเมื่อเพ่งมองตัวเลขที่กำกับด้วยเครื่องหมายประหลาดที่เรียกกันว่าสมการ ทิวาเหลียวหลังไปขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อพบสายตาคมกริบของครูวิชัย เธอจึงลนลานควานหาชอล์กด้วยมือชื้นเหงื่อมากำไว้แทน
“ขอกลืนชอล์กลงคอเดี๋ยวนี้ยังจะดีซะกว่า” ทิวาคิด ก่อนนึกสาปแช่งใครก็ตามที่คิดค้นสมการคณิตศาสตร์ยากๆ แบบนี้ขึ้นมา เหงื่อหยดติ๋งเปื้อนรองเท้านักเรียนสีดำ ขณะที่เธอเหลือบมองไม้เรียวซึ่งคงจะย้ายมาฟาดน่องของเธอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
“บางทีฉันน่าจะยืดอกอย่างกล้าหาญว่าทำไม่ได้ แล้วยอมให้ครูฟาดให้จบๆ เรื่องไปซะน่าจะง่ายกว่า ไหนๆ ฉันก็เคยชินกับฤทธิ์ของไม้เรียวดีกว่าใครในห้องนี้อยู่แล้วนี่” ทิวาคิดถอดใจ เธอทิ้งชอล์กลงราง แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก เสียงประกาศก็ดังขึ้นทั่วโรงเรียน ทำเอาเจ้านกกระจอกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้นอกหน้าต่างโผบินขึ้นฟ้าด้วยความตกใจ
“ประกาศ! ประกาศ! ขอพบเด็กหญิงทิวา พุดพิชญา ที่ห้องพักคุณครูใหญ่ ในเวลานี้ด่วนค่ะ”
ทิวาถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนฉีกยิ้มกว้าง รีบยกมือขึ้นประนม
“หนูขออนุญาตนะคะคุณครู”
ครูวิชัยฟาดไม้เรียวหนึ่งที จนทิวาหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“รีบไปซะสิ” ครูเอ่ยอนุญาต ทิวารีบยกมือไหว้อย่างลนลานก่อนวิ่งออกจากห้องไป
ทิวารีบวิ่งหน้าแป้นลงบันได กระโปรงอัดกลีบสีน้ำเงินยับยู่ยี่สะบัดพลิ้วตามการเคลื่อนไหว เมื่อมาถึงที่พักบันไดชั้นหนึ่ง เด็กหญิงก็หยุดชะงักเมื่อนึกถึงเรื่องที่อาจเป็นสาเหตุให้ครูใหญ่เรียกเธอเข้าพบ
วีรกรรมแสบๆ นับไม่ถ้วนล้นทะลักออกมาจากสมองขี้เลื่อยของเธอ ความทรงจำรกรุงรังพันกันอิรุงตุงนังจนเธอยัดกลับเข้าไปเก็บที่แทบไม่ถูก
จริงๆ แล้วเธอไม่ได้ตั้งใจจะก่อเรื่องป่วนเสียหน่อย แต่พอยืนกรานว่าเรื่องแผลงๆ ที่เธอทำ เป็นการเรียนรู้จากการเล่นต่างหาก ส่วนเรื่องล้อเล่นแกล้งกันขำขำ ก็เป็นวิธีสร้างความสนิทสนมรูปแบบหนึ่ง พวกผู้ใหญ่ก็เต้นเร่าหาว่าเธอเถียงคำไม่ตกฟาก เธอจึงต้องยอมรับบทลงโทษแต่โดยดี
“หรือว่าจะเป็นเรื่องนั้น” เด็กหญิงเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับแววตาเดือดดาลเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันยอมรับผิด หรือขอโทษใครเด็ดขาด”
แสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้า เหล่าเด็กนักเรียนชั้นประถมต่างทยอยกลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้ว ถนนหลังโรงเรียนเงียบกริบไร้ผู้คน ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของเด็กหญิงที่ย่ำเศษใบไม้แห้งบนพื้นถนน เธอร้องเหมียวๆ เรียกเจ้าแมวน้อยสีนิลที่หายตัวไปด้วยความเป็นห่วง
ก็เจ้านิลเป็นเพื่อนที่เข้าใจเธอที่สุดนี่นา เพราะเรามีอะไรเหมือนกันอย่างหนึ่ง
แววตาของทิวาเศร้าไปวูบหนึ่ง แต่เธอก็รีบสลัดหัวพยายามเลิกนึกถึงเรื่องฟุ้งซ่าน แล้วกลับไปตั้งใจมองหาเจ้านิลทุกหนทุกแห่งอย่างไม่ยอมแพ้
ทันใดนั้นคิ้วของทิวาก็เริ่มขมวดเกร็ง เมื่อได้ยินเสียงแผดร้องอย่างเกรี้ยวกราดของแมวตัวหนึ่ง ดังมาจากลานเล็กๆ ข้างทาง ตามด้วยเสียงหัวเราะชอบใจของเด็กชายสามคน
ความโกรธพุ่งพล่านเข้าไปบีบเค้นหัวใจ เมื่อเธอเห็นเด็กชายทั้งสามผลัดกันโยนลังกระดาษซึ่งพันสก็อตเทปไว้อย่างแน่นหนา ทิวาแน่ใจว่าลูกแมวที่น่าสงสารของเธอถูกจับขังอยู่ข้างใน
ทิวาสูดหายใจฟึดฟัด พลางกำหมัดกัดฟันกรอด เพราะตัวการไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของครูใหญ่ซึ่งเป็นศัตรูตลอดกาลของเธอ
หมอนั่นชอบดึงเสื้อยับยู่ยี่ออกนอกกางเกงอย่างที่เจ้าตัวคิดว่าเท่ ส่วนลูกกระจ๊อกของเจ้านั่น คนหนึ่งอ้วนเผละเป็นลูกโป่งอัดแก๊ส อีกคนผอมแห้งยิ่งกว่าไม้เสียบลูกชิ้น เจ้าพวกนี้ชอบทำตัวกร่างไม่แพ้เจ้านาย
“ปล่อยเจ้านิลเดี๋ยวนี้นะ” ทิวาแผดเสียงอย่างโกรธเกรี้ยวขณะวิ่งไปขวางกลางวง เมื่อเจ้านิลได้ยินเสียงทิวามันก็ ร้องเหมียวๆ เรียกไม่หยุดด้วยความดีใจ
“ฉันบอกให้ปล่อยมันยังไงเล่า”
“เธอก็แย่งไปให้ได้สิ วะฮะฮ่า” เด็กชายหัวโจกหัวเราะท้องคัดท้องแข็งที่เห็นทิวาเป็นเดือดเป็นร้อน เขายิ่งไม่ยอมหยุดง่ายๆ ทิวาวิ่งวนไปรอบๆ พยายามยื้อแย่งลังมาให้ได้ราวกับเล่นลิงชิงบอลกันไม่มีผิด เจ้าอ้วนแสยะยิ้มเมื่อเป็นฝ่ายรับไว้ได้และเหวี่ยงลังเจ้านิลออกนอกวงไปไกล หัวใจของทิวาหล่นวูบ โชคดีเด็กหญิงวิ่งไปรับลังนั้นไว้ได้ทัน แต่ก็พลาดสะดุดกิ่งไม้ล้มคว่ำลงจนเสื้อผ้าเปรอะไปด้วยดินโคลน เสียงหัวเราะเกรียวกราวดังตามหลัง
ทิวารีบฉีกกล่องออก พาเจ้านิลที่ร้องจนเสียงแหบแห้งออกมา ดวงตาสีอำพันสั่นระริก ทิวาจึงกอดปลอบพลางลูบหัวลูบตัวให้มันหายสั่น
“แมวจรจัดแบบนั้นจะไปห่วงอะไรมันนักหนา” หมอนั่นตะโกนถาม
“เออจะว่าไป...มันก็น่าสมเพชไม่ต่างจากเธอหรอกนะ...” หมอนั่นยิ้ม เดินใกล้เข้ามา แล้วมานั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าทิวา เด็กหญิงมองตาขวาง เด็กชายทำสีหน้าชอบใจก่อนจะจบประโยคว่า “ก็มันไม่มีแม่เหมือนกับเธอยังไงล่ะ”
“พ่อก็ไม่ว่าง แม่ก็ไม่มี น่าสงสารเป็นบ้าเลยเนอะ” เจ้าอ้วนและเจ้าผอมสลับกันพูด แล้วหัวเราะพร้อมกันราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรม
ไม่มีแม่... ทิวาก้มหน้าต่ำปล่อยให้ผมม้าตกลงมาปิดตา คำพูดนี้เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของเธอ
“ก็ดีกว่าพวกพ่อแม่ไม่สั่งสอนอย่างพวกนายนั่นแหละ” ทิวาเงยหน้าขึ้น
“คิดว่าเป็นลูกครูใหญ่ แล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรพวกนายหรอไงยะ” เด็กหญิงกำมือแน่น ก่อนจะสวนหมัดอัดใส่จมูกของหมอนั่นเต็มแรง จนหงายหลังไปกองกับพื้น เจ้านิลเองก็อยากจะเอาคืนพวกเด็กเหลือขอบ้าง มันรีบกระโดดออกจากอ้อมแขนของทิวา แล้วสะบัดกรงเล็บฝากรอยข่วนเป็นแนวยาวบนใบหน้าของเด็กชาย เขาร้องโหยหวนสุดเสียง
จากนั้นทิวาก็ลุกขึ้นยืน แล้วตรงเข้าไปกระชากคอเจ้าผอมกะหร่อง ก่อนจะออกแรงผลักมันกระเด็นไปชนเจ้าอ้วน พากันล้มเสียหลักไปด้วยกันทั้งคู่ เสียงร้องโอดโอยดังประสานเสียง
ทิวาปัดเศษใบไม้แห้งออกจากกระโปรงของตัวเอง ก่อนจะอุ้มเจ้านิลมาไว้แนบอก
“อย่ารังแกเจ้านิล และพาดพิงถึงแม่ฉันอีก ถ้าพวกนายไม่อยากเจ็บตัว”
เจ้านิลถูหัวของมันกับแขนของทิวาเหมือนจะปลอบเธอ เด็กสาวสูดหายใจลึกแล้วเดินจากไปอย่างไม่ใยดี
“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยทิวาตัวแสบ กล้าอวดดีกับฉัน ฉันจะฟ้องแม่ให้ไล่เธอออก” เสียงเจ้าเด็กหัวโจกตะโกนไล่หลังอย่างโกรธแค้น
และเวลานี้ทิวากำลังยืนนิ่งอยู่หน้าห้องพักครูใหญ่โดยที่ไม่แน่ใจในชะตากรรมของตัวเอง
“เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน”
เด็กหญิงสูดหายใจลึกรวบรวมความกล้าก่อนเคาะประตู
“เชิญ” เสียงสุขุมของครูใหญ่ดังออกมาจากในห้อง ทิวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ผลักประตูอย่างเบามือ เธอโผล่หน้าเข้าไปสำรวจภายในห้องโอ่โถง ก่อนก้าวเท้าเข้าไปสัมผัสไอเย็นยะเยือกจนขนลุกซู่จากเครื่องปรับอากาศ กลางห้องมีโต๊ะทำงานไม้สักทองขนาดใหญ่สลักลายไทยวิจิตรตั้งอยู่ หญิงชราผู้มีผมสีขาวแซมเทาเกล้ามวยอย่างเป็นระเบียบนั่งอย่างสง่างามอยู่บนเก้าอี้ นางขยับแว่นสายตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแย้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแปลกๆ ที่ทิวาไม่เข้าใจความหมาย
“เชิญนั่งสิจ๊ะ” เธอผายมือไปที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่
บรรยากาศเงียบสงัดทำให้ทิวารู้สึกเกร็ง เธอค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้แต่มันก็ยังส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดสร้างความอึดอัดให้เธอมากยิ่งขึ้น เมื่อนั่งประจันหน้ากับหญิงชรา ซองสีขาวก็ถูกยื่นมาให้ทิวาทันทีทันใด
เด็กหญิงเบิกตาโต รีบร้องถามอย่างร้อนลน “ครูใหญ่จะไล่หนูออกเหรอคะ”
หญิงชราชะงักกับคำถามนั้น นางเพ่งมองซองสีขาวชั่วอึดใจ ก่อนจะระบายยิ้มออกมา ทิวาไม่ชอบใจรอยยิ้มแบบนั้นเอาเสียเลย เพราะเธอเดาความหมายไม่ออกสักนิด
“ไม่ใช่จ้ะ หนูลองเปิดอ่านดูก่อนสิจ๊ะ” ทิวาจึงคลี่กระดาษในซองเปิดออกอ่าน เด็กหญิงอ้าปากเหวอ มือข้างที่ถือกระดาษสั่นเทาจนต้องเอามืออีกข้างมาจับไว้
“นี่ล้อเล่นกันหรือเปล่าคะ” ทิวาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เงยหน้าสบตาคุณครูใหญ่ที่ยังคงยิ้มอย่างมีเลศนัย
“หนูน่ะเหรอจะได้รับทุนให้ไปเรียนต่อเมืองนอก” บางทีเธออาจจะยังไม่ตื่นจากความฝันในคาบวิชาคณิตศาสตร์ของครูวิชัยก็ได้ “เป็นไปไม่ได้หรอกน่า” ทิวาพึมพำ แค่ของรางวัลเล็กน้อยที่ครูประจำชั้นจะให้เด็กที่มีผลการเรียนดีเป็นประจำทุกปี อย่างพวงกุญแจ หรือดินสอไม้ธรรมดา ก็ไม่เคยได้ตกถึงมือของเธอ นับประสาอะไรกับทุนพวกนี้ ทิวาเพ่งมองชื่อนามสกุลจริงของเธอปรากฏชัดอยู่ในจดหมายนั้นไม่มีผิดเพี้ยน พร้อมระบุทุนการศึกษาไม่จำกัดจำนวนจนกว่าเธอจะเรียนจบหลักสูตรอีกต่างหาก
“เนื้อความพวกนั้นเป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง มีแต่หนูคนเดียวที่ได้ทุนนี้ ครูขอแสดงความยินดีด้วยนะจ๊ะ”
ทิวาเงยหน้าสบตาครูใหญ่อีกครั้ง ดวงตาสุขุมของหญิงชราทำให้ทิวาจำนน ครูใหญ่ออกจะเคร่งขรึมเป็นที่เกรงขามของนักเรียนปานนั้น คงไม่ล้อเล่นกับเธอหรอกน่า เด็กหญิงจ้องจดหมายชัดๆ อีกครั้ง จะว่าไปแล้วมันก็น่าดีใจใช่ย่อย
“ทีนี้เจ้าเด็กหัวโจกลูกชายครูใหญ่กับพรรคพวกของมันก็คงไม่กล้าอวดดีกับเด็กทุนอย่างฉันอีกต่อไป” ทิวาพึมพำกับตัวเอง พลางลูบคางฝันหวาน แอบหัวเราะอยู่ในใจ เธอจะคุยโวจนเจ้านั่นได้อายเลยล่ะ!
ระหว่างนั้นเอง ครูใหญ่ก็ยื่นเอกสารอีกฉบับให้เธออีก
“นี่เป็นเอกสารจบการศึกษา ต่อจากนี้ไปเธอหมดสถานภาพเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้แล้วนะจ๊ะ” ทิวาหลุดจากฝันแล้วอ้าปากเหวอเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มสมอง ทุกอย่างช่างรวดเร็วยังกับถูกจับวางไว้แล้ว
“เอาล่ะ...หนูกลับบ้านไปบอกข่าวดีกับคุณพ่อเถอะจ้ะ”
“แต่ยังไม่หมดชั่วโมงเรียนเลยนี่คะ”
“แต่หน้าที่ของพวกครูหมดลงแล้ว ต่อจากนี้ไปเป็นหน้าที่ของหนูที่จะกำหนดอนาคตของตัวเอง” ครูใหญ่ลุกขึ้นมาโอบไหล่เด็กหญิงให้ลุกตาม ก่อนจะเดินไปส่งทิวาที่ประตู
หลังจากทิวาออกจากห้องไปแล้ว หญิงชราก็ถอดแว่นสายตาออก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้นกดเลขหมาย
“ดิฉันจัดการทุกอย่างให้ตามที่คุณต้องการแล้ว” ครูใหญ่มองประตูที่ปิดสนิท แล้วพูดต่อ
“แต่ดิฉันขอเตือนคุณด้วยความหวังดีนะคะ เด็กคนนี้แสบอย่างเหลือเชื่อ คุณคงต้องเตรียมรับมือเอาไว้ให้ดีๆ เชียวล่ะ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากปลายสาย
“นั่นไม่ใช่ปัญหาแม้แต่นิดเดียวค่ะ”
ความคิดเห็น