คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ดินแดนอนธการ
Chapter 3 ดินแดนอนธการ
“เธอต้องไปจากที่นี่ ไปกับพวกเรา!”
คำนั้นเป็นดังสายฟ้าฟาดลงมายังใจกลางความนึกคิดของเด็กชายวัยแปดขวบ เขาอยู่ที่นี่กลางไร่ข้าวโพด มีเพื่อนเล่นคือหมู่นกและหุ่นไล่กา ในอาณาเขตไกลสุดลูกหูลูกตา อย่างแสนสงบ และปลอดภัย ไม่มีเพื่อนฝูงอื่นใด ทุกๆเช้าเขาจะออกไปวิ่งเล่นไล่จับเจ้ากระต่ายตัวน้อย หรือขโมยฝักข้าวโพดมาแย่งกันกินกับเหล่านกน้อย ทุกอย่างมันควรจะเป็นอย่างนั้น เป็นแบบนั้นตลอดไป
แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีสี่หญิงสาวแต่งกายด้วยอาภรณ์มีค่า ท่วงท่าสง่างามราวกับมีสายเลือดของผู้สูงศักดิ์บรรจุอย่างเต็มเปี่ยม ปรากฏตัวและกำลังพาเขาไปจากที่นี่
“แม่ของเธออยู่ที่ไหน”
โรมไม่ตอบ เขามุดศีรษะซ่อนในผ้าห่ม โผล่ออกมาเพียงดวงตาหวาดหวั่น แล้วกระเถิบกายไปคุดคู้ที่มุมห้อง ผู้หญิงคนนั้นถามซ้ำอีกครั้ง หล่อนเป็นสตรีสาวผู้สีผมสีดำยาวราวรัตติกาล และดวงตาสีเทาคล้ายหมู่เมฆฤดูหนาว โรมไม่กล้าจ้องดวงตาของนาง...เขารู้สึกหนาววูบ หนาวจนสั่นไปทั้งกาย
“เทอร์มิส เจ้านี่ช่างรังแกเด็ก...ต้องพูดดีๆกับเขาให้มากกว่านี้นะ เด็กน้อยต้องการความอ่อนโยน” หญิงสาวที่เพิ่งบีบแก้มเขาไปหยกๆ พูดขึ้น พลางเขยิบตัวมาใกล้โรม ยังไม่ทันที่เด็กชายจะถอยหนี หล่อนก็คว้าเขาไปกอดแนบอกเสียแล้ว “เห็นไหมล่ะว่าเจ้าเด็กน้อยไม่ดื้อไม่ซน ดูสิ...เขาออกจะชอบอ้อมกอดของข้า”
โรมพยายามขยับตัวอย่างอึดอัด นึกอยากตะโกนบอกหญิงสาวที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นางนี้ว่าเขาไม่ได้ชอบอ้อมกอดนางเลยสักนิด
“ว่ายังไงล่ะจ๊ะพ่อหนุ่มน้อยตัวกระเปี๊ยก แม่ของเธออยู่ที่ไหน” หญิงสาวที่กอดเขาแน่น ถามขึ้นพลางยิ้มใจดี โรมหายใจฟุดฟิด อยากจะบอกว่าเขาอึดอัดเสียจนพูดอะไรไม่ออก
“พวกท่านเข้ามาทำอะไรที่นี่”
เสียงใสกังวานของสาวนางหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับประตูไม้เปิดอ้า เหล่าดัชเชสต่างเหลียวไปยังผู้มาเยือนเป็นสายตาเดียวกัน สตรีสาวในชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีแดง เข้ากับผมสีน้ำตาลแดงเป็นคลื่นสลวย และใบหน้าอ่อนหวาน ทว่าดวงตาคมคาย ริมฝีปากน้อยๆจิ้มลิ้มราวกลีบกุหลาบเผยอเล็กน้อย
“ข้าเข้าใจว่านางควรจะเป็นหญิงสูงศักดิ์...นายกรัฐมนตรีบอกว่าแม่ของเด็กชายเป็นสตรีสูงส่ง แล้วทำไม...” หญิงที่กำลังกอดโรม คลายอ้อมแขนออก แล้วลุกตรงไปยังหญิงสาวผู้มาเยือน มองแม่สาวคนนั้นไม่วางตา นางขยับหมวกขน นกบนศีรษะเล็กน้อย สายตาจ้องมองแม่สาวผมสีน้ำตาลแดงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มือขาวผ่องเอื้อมไปสัมผัสผ้าฝ้ายเนื้อหนาที่หล่อนสวมอย่างสงสัย “แม่ของเจ้าหนูโรม เป็นเพียงเด็กหญิงในชุดสีทะมึนซอมซ่อ” นางรำพึงรำพันอย่างไม่เข้าใจ ผู้ถูกจ้องรีบกระเถิบถอยหลังอย่างระแวดระวังโดยสัญชาติญาณ
“นั่นพี่สาวผมต่างหาก!” โรมถลาวิ่งลงจากเตียงไปกอดพี่สาวของเขาไว้แน่น ซุกหน้ากับผ้าฝ้าเนื้อหนาที่หอมหวนอวบกลิ่นกุหลาบ “เธอชื่อโรซ่า...พี่สาวผม”
“อา...โรซ่า” สตรีสาวใต้หมวกขนนกพยักหน้าให้กับตนเองอย่างเข้าใจ ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “เราควรจะแนะนำตัวกันเสียหน่อย ข้าคือ เกรย์ย่า ดัชเชสแห่งแคว้นพลังอำนาจ ถ้าพวกเธอติดตามข่าวสาร น่าจะเคยเห็นข้าตามงานสังสรรค์” นางว่า พลางจูบแก้มซ้ายขวาของโรซ่า ราวกับจะทำความรู้จักอย่างแนบแน่น
“ส่วนนั่น ฟาราฟีเน่ ดัชเชสแห่งแคว้นเพลิงไฟ อย่าจ้องตาหล่อนนานนักล่ะ เดี๋ยวสายตาพวกเจ้าจะมอดไหม้เสียก่อน”
ฟาราฟีเน่ยักไหล่อย่างไม่สบอารมณ์ หล่อนนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กใต้โคมไฟ พลางตวัดสายตาไปยังเทียนสองสามเล่มที่โต๊ะ ฉับพลัน ไสเทียนก็ลุกไหม้ส่องแสงสว่าง
“และนั่น เทอร์มิส ดัชเชสแห่งแคว้นหนาวเหน็บ หล่อนมักจะชอบทิ้งไอเย็นและเกล็ดน้ำแข็งไว้ทุกๆที่”
“มิน่าล่ะ...ยอดข้าวโพดของฉันกลายเป็นน้ำแข็งเสียหมด” โรซ่าพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก ขณะมองดัชเชสแห่งดินแดนความหนาวเหน็บยืนอย่างสง่างามข้างบานหน้าต่าง ซึ่งตอนนี้ฝ้าไอเย็นเกาะเต็มเสียแล้ว
เกรย์ย่ายิ้มก่อนจะแนะนำสตรีนางสุดท้าย ซึ่งนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กอีกตัวข้างฟาราฟีเน่อย่างเรียบร้อย แววตาหม่นเศร้านั้นแฝงความเอื้ออาทรไม่น้อย
“นั่นคือ ดอลล่า ดัชเชสแห่งแคว้นน้ำตา ถึงจะขี้แยไปหน่อย แต่พวกเธอน่าจะรู้ดีว่าหล่อนฉลาดมาก”
“แล้วแม่ของพวกเธอล่ะ” ฟาราฟีเน่ ถามเสียงแหลม จนโรมต้องเขยิบกอดโรซ่าแน่น ...โรซ่ามองสตรีสูงศักดิ์ทั้งสี่อย่างไม่พึงใจนัก
“พวกท่านผู้สูงส่งเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อตามหาแม่ของพวกเรา... ข้าบอกได้เพียงว่า แม่และพ่อไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามีพวกเราอยู่ พวกเขาไม่เคยเหลียวแลว่าพวกเราจะหนีไปที่ไหน หรืออยู่ ณ หนใด ชีวิตของพวกเขามีแต่...งาน และ ...” เด็กสาวชะงักเสียงชั่วขณะ แล้วเอ่ยต่อ “เราลืมไปแล้วว่าพ่อแม่ของเราเป็นใคร พวกท่านคงมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ...เชิญกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่มีคนที่ท่านต้องการพบ” ปลายเสียงสุดท้ายของโรซ่าคล้ายจะสะอื้น แต่ดวงตาของหล่อนทระนงเกินกว่าจะร้องไห้ออกมา
“เด็กน้อยที่น่าสงสาร ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว เดียวดาย ไร้ที่พึ่ง ในไร่ข้าวโพด” ดอลล่าถอนสะอื้นออกมาแล้วร่ำไห้อย่างสะเทือนใจ จนฟาราฟีเน่แทบเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความระอา
“เราไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย ข้าโตพอที่จะดูแลตัวเองและน้องชายได้” โรซ่าบอกอย่างหยิ่งผยอง “แต่ที่แน่ๆ พวกคุณควรกลับไปได้แล้ว นี่คือเวลาพักผ่อนของพวกเรา”
“ธุระของพวกเรายังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ” เทอร์มิสพูดเสียงเย็นชา ดวงตาสีเทาหมอกของหล่อนจับที่โรซ่า จนเด็กหญิงรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาทันที “พวกเธออาจจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้อาณาจักรของพวกเรา...กำลังประสบภัยอย่างหนึ่ง”
“เราไม่รู้ และไม่คิดว่ามันจะสะเทือนอะไรกับพวกเรา” โรซ่าสวนกลับ แล้วพาโรมเดินเข้าไปนั่งบนเตียง โดยจ้องมองสี่ดัชเชสสาวอย่างไม่วางตา
“มันจะสะเทือนแน่...” เทอร์มิสยังคงเยือกเย็น “มันกำลังลุกลามจากปราสาทกลาง ไปยังชานเมืองใกล้เคียง และอีกไม่นานก็คงคืบคลานมาถึงที่นี่”
“มันคืออะไรฮะ” โรมรู้สึกสนใจ ดวงตาสีฟ้าใสของเขาโผล่ออกมาจากหลังของโรซ่า
“เงื้อมเงาแห่งความโศกเศร้า” ดอลล่าปล่อยสะอื้นออกมาแล้วตอบ “กรงเล็บแห่งความความสิ้นหวัง ความหดหู่ และปีกกว้างแห่งความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสเกินเยียวยา กำลัง..ย่างกราย”
ปัง!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นจนทุกคนตกใจ มันคำรามคล้ายข่มขู่ และพายุก็บิดเกรียวเข้ามาถล่มจนเทียนดับ
เอลันแทบสะดุ้งเมื่อจู่ๆฟ้าก็คำรณอย่างเกรี้ยวกราดจนต้นไม้หน้าบ้านหักไปอีกต้น ชายหนุ่มถอนลมหายใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เช้าวันพรุ่งนี้เขาต้องไปจัดการเก็บกองต้นไม้และใบไม้มหาศาลหลังพายุ น่าประหลาดที่ชาวอาณาจักรในโลกนิทานก็กำลังเผชิญพายุร้ายเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธว่าพายุพวกนี้คือเงื้อมเงาแห่งความโศกเศร้า
ดวงตาของเขาหม่นหมอง...ยามมองต้นไม้พยายามดื้อดึงต้านแรงพายุ ราวกับหวังให้พายุเห็นใจและทุเลาความรุนแรงลงไป... และสุดท้ายมันก็หักโค่นลง
ชายหนุ่มละดวงตาจากภาพนอกหน้าต่าง แล้วหันมาอ่านหนังสือ จมดิ่งต่อเรื่องราวแห่งมายาต่อ...
“มันย่างกรายมายังไงคะ” โรซ่าถามขึ้นด้วยความอยากรู้ เด็กหญิงชักจะสนใจกับเรื่องราวพวกนี้ขึ้นมา เพราะมันอาจจะสะเทือนมาถึงความปกติสุขของหล่อนและน้อง แต่ถึงกระนั้นดวงตาของเด็กสาวก็ยังคงเพ่งมองสี่ดัชเชสอย่างระแวดระวัง...ไม่วางใจ
“เราจะจม!” เกรย์ย่าพูดขึ้น นางทำน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวและดวงตาเบิกกว้างพาให้ใจสั่น
“จมลงไปในน้ำหรอฮะ” โรมสงสัย
“เปล่า!” ดอลล่าปฎิเสธ “เราจะจมไปในความสิ้นหวัง! มันระบาดไปทั่ว บางคนพยายามหนี แต่บางคนเต็มใจที่จะจม และบางคนถูกบังคับให้จม”
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ” โรซ่าเอียงศีรษะถาม
“เพราะว่านางร้องไห้ไม่หยุด! ทุกคนจึงต้องทุกข์ระทมไปพร้อมกับนาง” เกรย์ย่าทำสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน พลันนั้นดอลล่าก็สะอื้นโฮออกมา ทุกคนเหลียวไปที่ดัชเชสแห่งแคว้นน้ำตา
“ไม่ใช่ข้านะ! เกรย์ย่าหมายถึง ‘นาง’ ผู้ไม่ยอมหยุดร้องไห้” ดอลล่าปฏิเสธละล่ำละลัก พลางบิดผ้าซับน้ำตาทิ้ง หยดน้ำตาไหลรินเต็มพื้นห้อง
“ยังมีคนขี้แยกว่าดอลล่าอีกหรอคะ” โรซ่าถามพลางมองน้ำตาที่ถูกบิดออกมาจากผ้าขมวด
“ปกติ ‘นาง’ ไม่ใช่คนขี้แย” ฟาราฟีเน่พูดขึ้น “แต่บางอย่างทำให้ ‘นาง’ร้องไห้ไม่หยุด หรือไม่ยอมหยุดร้องไห้ และไม่มีใครทำให้นางหยุดได้”
“ไม่มีใครรู้สาเหตุ ทุกคนเหมือนจะรู้สาเหตุ แต่อยู่ๆก็ไม่มีใครรู้สาเหตุ มันอาจจะนานเสียจนว่าทุกคนลืมไปหมดแล้ว ...น่าประหลาดไม่มีใคร ‘จำ’ ได้สักคน” เทอร์มิสครุ่นคิด
“แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเรา..คงสิ้นหวังแน่!” ดอลล่าปล่อยสะอื้นออกมาอย่างเศร้าโศกอีกครั้ง
“ผมไม่เข้าใจ” โรมเริ่มเกาหัวแกรก เขาไม่รู้จัก ‘ความสิ้นหวัง’ และไม่มีวันเข้าใจว่ามันคืออะไร เขาไม่เคยมีความหวัง ไม่เคยหมดหวัง ไม่เคยปรารถนาความหวัง และเขาไม่รู้ว่าจะต้องการความหวังไปทำไม มันมีประโยชน์อะไร
“เธอจะถูกบังคับให้เข้าใจแน่เจ้าหนูน้อย...” เทอร์มิสเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก ไอหนาวเกาะกุมไปทั่ว และฝ้าที่กระจกดูเหมือนจะหนาทึบจนโรมและโรซ่าแทบสั่นสะท้าน “แต่พวกเธอต้องไปกับเรา”
เกรย์ย่า ดัชเชสแห่งแคว้นพลังอำนาจตรงเข้ามาทรุดเข่าลงต่อหน้าเด็กชายและเด็กหญิงซึ่งกอดกันกลมบนเตียง
“เขาว่ากันว่าพวกเธอมียาวิเศษ ที่จะรักษา ‘นาง’” ดวงตาของดัชเชสสาวเปี่ยมไปด้วยความหวัง ขณะโน้มตัวเข้าไปใกล้เด็กทั้งสอง โรซ่าและโรมรีบเอนตัวถอยห่าง
“เขาที่ว่านั่นคือใคร” เด็กหญิงถาม
“อย่างน้อยก็เจ้านายกรัฐมนตรีหน้าเซ่อคนหนึ่ง” ฟาราฟีเน่กอดอกเชิด สะบัดเสียงอย่างหงุดหงิดใจ
“และก็ในหนังสือที่เกือบจะไร้ค่าน่าสิ้นหวังเล่มนี้ มันบันทึกทุกเหตุการณ์ในอาณาจักรของเรา รู้กระทั่งว่าใครแอบผายลม” ดอลล่าควักเอาหนังสือขนาดเบ้อเริ่มออกมาจากใต้เสื้อคลุม แล้วกอดเจ้าหนังสือหนาหนักนั้นพลางร้องไห้ โรซ่านึกสงสัยว่านางซ่อนหนังสือขนาดใหญ่แบบนั้นไว้ใต้ผ้าคลุมด้วยวิธีไหน
“กับคำพูดของอาจารย์ผู้มีผ้าพันแผลเต็มตัว” เทอร์มิสตอบ พลางยกมือขึ้นเช็ดฝ้าน้ำแข็งตามกระจก เมื่อเพ่งมองพายุที่บิดเกรียวด้านนอกหน้าต่าง
“พูดตรงกันเหมือนคัดลอกมาเปี๊ยป! น่าขำไหมล่ะ” เกรย์ย่าทำตาโตใส่เด็กทั้งสองจนพวกเขาตกใจ
“พูดไว้ว่า...” ดัชเชสสาวแห่งแคว้นน้ำตาค่อยๆพลิกเปิดหนังสือเล่มเก่าอย่างทุลักทุเล แล้วชูแว่นขยายมาแนบตา ก่อนจะอ่าน “เด็กชายชื่อโรมและเด็กหญิงชื่อโรซ่าเปรยท่ามกลางสายลมฤดูร้อนกับหุ่นไล่กาว่า เจ้าหุ่นไล่การ้องไห้ทำไม ข้าจะเช็ดน้ำตาให้เจ้านะ อย่างโศกไปเลยนะ เจ้าเศร้าอะไรข้าจะทุกวิถีทางให้เจ้ายิ้มและหยุดร้องไห้”
“นั่นผมพูดกับหุ่นไล่กานะ...” โรมรีบแย้ง “ตอนนั้นผมกำลังปลอบหุ่นไล่กา...เออ...เหมือนเด็กที่พูดกับของเล่น” เขาไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับความสิ้นหวังที่ทุกคนเผชิญ จนกระทั่งเทอร์มิสอธิบาย
“เธอทำให้ทุกวิถีทางให้หุ่นไล่กายิ้มและหยุดร้องไห้ได้...เราเชื่อว่าเธอจะทำให้ ‘นาง’ ยิ้มและหยุดร้องไห้ได้เช่นกัน”
“ไม่เคยมีใครเปรยแบบนั้น น่าสิ้นหวังจริงๆ” ดอลล่าปิดหนังสือ...ฝุ่นตลบอบอวบไปทั่ว จนใบหน้าของดัชเชสสาวมอมแมมเป็นสีฝุ่นอย่างน่าขัน
“ไม่มีสักคนในอาณาจักรแห่งนี้ที่พูดอะไรแบบเธอ...มันน่าประหลาดไหมล่ะ” เกรย์ย่าผู้เปี่ยมพลังอำนาจ เบิกตากว้างใส่เด็กทั้งสอง ดูเหมือนนางจะมีพลังแห่งความสงสัยอัดแน่นเต็มดวงตาคู่โต นางทำท่าฉุกคิดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกว้างเหมือนนึกอะไรออก “ใช่แล้ว! ในอนาคตเราน่าจะบรรจุ หนทางทำให้ยิ้มศาสตร์ และ แนวทางการหยุดร้องไห้ศาสตร์ ลงไปเป็นวิชาหลักให้นักเรียนของอาณาจักร” ดัชเชสสาวยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจในความคิดของตัวเอง
“นั่นจะเป็นเรื่องของอนาคต” เทอร์มิสพูดอย่างใจเย็น ดูเหมือนนางจะเป็นคนเดียวที่พูดจาปกติที่สุด ดัชเชสแห่งแคว้นหนาวเหน็บเดินตรงมายังเด็กทั้งสอง โรมรู้สึกหนาวจนไอน้ำแข็งออกจากปากของเขา ดวงตาสีเทาหมอกของดัชเชสแดนเหน็บหนาว เพ่งมองเด็กทั้งสองนิ่ง “ได้โปรดเถอะนะ...พวกเธอทั้งสองเป็นความหวัง...”
โรซ่าประสานสายตากับเทอร์มิสอย่างนิ่งงันราวกับต้องมนต์สะกด...
“ดูพวกคุณสิ้นหวังมาก” เด็กหญิงพึมพำเบาๆ “ถึงกับมาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าพวกเราจะช่วยพวกคุณได้ นอกจาก...ประโยคที่เด็กคนหนึ่งเปรยกับหุ่นไล่กาของเขา”
เทอร์มิสชะงักไป...ก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็น
“เราไม่ได้สิ้นหวัง นั่นเป็นความหวังของเราต่างหาก”
โรซ่าและโรมสบสายตาดัชเชสสาวทั้งสี่ เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยออกมาในที่สุด
“ก็ได้...เราจะไปกับคุณ”
น่าหดหู่เมื่อทั้งอาณาจักรกำลังตกเป็นทาสของความสิ้นหวัง
รถม้าไร้สารถีเคลื่อนผ่านสายฝนเข้าไปในเขตเมืองหลวง ท้องฟ้าวิปริตขมวดเกรียวเมฆสีครึ้มเป็นรูปทรงน่าสะพรึงกลัว ไม่มีแสงดาว แสงจันทร์ หรือแสงตะวัน พื้นถนนปูด้วยอิฐเต็มไปด้วยน้ำท่วมขัง สายน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วเมื่อล้อรถม้าแล่นผ่าน ทั้งอาคารบ้านเรือนกลายเป็นสีมืดหมอง ทุกคนใส่เสื้อสีหม่นกางร่มเดินไปมา เสียงสะอึกสะอื้นดังระงม ได้ยินเสียงไอจามดังติดต่อไปทั่วราวกับกำลังมีโรคระบาด
โรมแหวกผ้าม่านที่หน้าต่างบานกระจกออกไป ตรงซอกตึกมีชายในชุดซอมซ่อนั่งกอดสุนัขตัวเปียกอยู่ท่ามกลางน้ำขังข้างกองขยะ ที่หัวมุมถนน มีเด็กหญิงยืนตากฝนร้องไห้โฮอยู่คนเดียว ยายแก่ร่างหนาวสั่นคนหนึ่งกำลังฝ่าสายฝนลำพัง ดวงตาฝ้าฟางเศร้าหมอง
ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กชายมองทุกสถานอย่างหดหู่... เขาไม่เคยเข้ามาในเมือง และไม่เคยพบเห็นสภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้เลย นานมาแล้ว เคยมีนักเดินทางผ่านมาแวะเวียนไร่ข้าวโพดของเขา และเล่าถึงความสนุกสนานในเมืองใหญ่...ทุกคนมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
เกิดอะไรขึ้นนะ...ความสงสัยก่อตัวขึ้น ก่อนที่หูของโรมจะแว่วเสียงสะอื้นไห้ของสตรีนางหนึ่ง...ราวกับดังอยู่ข้างหูเขานั่นเอง...
ความคิดเห็น