ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #3 : ปราสาทที่ไร้ตัวตน

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 59


     





    Chapter 2 ปราสาทที่ไร้ตัวตน

     

    ดวงตาของนางฟ้า มักจะเปี่ยมมนตรา

    เอลันนิ่งงันไป... ภาพนั้นมีเวทย์มนต์หรือไร มันจึงสะกดเขาให้ตรึงสายตาอยู่เช่นนั้น เขารู้ว่าหนังสือเล่มนี้ต้องเป็นของเขา มันเกิดมาเพื่อเขา เสียงของมันร้องเรียกหาเขา และเขาก็ตามหามันมาตลอด ความปรารถนามันลุกช่วง ชายหนุ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของนางฟ้าสีน้ำเงิน เสียงกรีดร้องน่าสะพรึงกลัว และเสียงหัวเราะชวนประหวั่น ราวกับมีบทกวีลึกลับเรียกร้องเขาให้เปิดอ่าน มีมือประหลาดฉุดดึงเขาให้ตกอยู่ในห้วงของตัวอักษรร้อยพัน

    หนังสือเล่มนี้คงจะนอนสงบนิ่ง ในห้องสมุดของวิหารเก่าแก่ รอวันสลายไปในกองซากฝุ่นคลุ้งของกาลเวลา ไร้ค่าอยู่อย่างนั้น

    เพียงชั่ววินาทีแห่งการตัดสินใจ เอลันรู้ว่าเขาจะไม่มีวันย่างเท้าออกไปจากวิหาร...หากไม่ได้นำหนังสือเล่มนี้ติดตัวไปด้วย เขาไม่สนว่ามันเรียกว่าการขโมยหรือเปล่า การที่มันหายไป ก็คงไม่ได้ทำให้ใครสนใจ เอลันเชื่อมั่นว่าหนังสือไม่ควรถูกทิ้งในสุสานแห่งกาลเวลาเช่นนี้ มันควรจะได้...ออกไปทำหน้าที่ของมัน

    และเพียงชั่ววินาทีแห่งการตัดสินใจ... ชายหนุ่มก็คว้าหนังสือนั้นเข้ามาซ่อนใต้เสื้อโค้ทตัวเก่า...ในที่สุด

     

    พายุคำราม และไฟทั้งหมดดับพรึ่บ

    หัวขโมยกำลังนั่งคุดคู้ใต้ผ้าห่มบนโซฟา ในห้องนั่งเล่นที่มืดสนิท เปลวเทียนในโคมแก้วระริกไหววูบ สะท้อนเงามัวๆสีดำเต้นระบำอยู่รอบห้อง เม็ดฝนสาดมาเกาะกระจกหน้าต่าง ต้นไม้ข้างนอกโยกไหว โอนตามแรงพายุกระหน่ำ เอลัน ซึ่งตอนนี้เป็นหัวขโมยแล้ว กำลังหดตัวซ่อนใต้ผ้าห่ม เขาโผล่หัวหยิกหยองสีน้ำตาลแก่ออกมา แล้วดวงตาสีเทาหม่นก็ลุกวาว เมื่อมองหนังสือล้ำค่าในมือ

    สวย...สวยเหลือเกิน

    ปกกำมะหยี่ระยับ ยามต้องแสงเทียน...ราวกับฟ้าดารดาษดารา เอลันลูบไล้มือไปมาบนผ้ากำมะหยี่ลื่นๆ เป็นเงาวับ หน้าปกสลักอักขระประหลาดสีเงินที่เขาไม่มีวันอ่านออก ลายเส้นสอดประสานสีเงิน ตวัดเป็นลายเส้นรูปสตรีกำลังพิศชมกลิ่นกุหลาบในมือ

    เอลันค่อยๆพลิกเปิดหนังสือ พลันกลิ่นกุหลาบหอมหวนก็อวลโชย คลับคล้ายเสียงเพลงอันสงบเยือกดังแผ่วกลางพายุมหึมา ภาพวาดสตรีสาวสูงศักดิ์ผู้มีเรือนผมและดวงตาสีดำสนิทปรากฏอยู่ที่หน้าแรก แต่งกายเรียบง่ายด้วยผ้าคลุมสีน้ำเงินเกือบดำ กลัดเข็มเงินเป็นตราดูงดงามแลสูงส่ง มือวางประสนกันด้านหน้า ไร้เครื่องประดับหรือเครื่องประทินโฉมใดๆ 

    ดวงตานางหม่นเศร้า...เอลันเพ่งพิศดวงตาคู่นั้นอย่างสลดใจโดยไม่รู้สาเหตุ ก่อนจะพลิกไปอีกหน้า

    นานมาแล้ว...ภรรยาของเขาเคยซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากพ่อค้าชรา หล่อนมักจะเล่าเป็นนิทานให้ลูกชายฟังทุกคืนก่อนนอน ทุกครั้ง เอลันจะนั่งบนเก้าอี้โยก และหลับตาฟังเสียงใสๆของภรรยากำลังเล่านิทาน และจินตนาการถึงนางฟ้าสีน้ำเงิน

    นับแต่นั้นมา ก็ไม่มีคืนใดที่เขาไม่ฝันเห็นนางฟ้าสีน้ำเงิน

    แม้ในยามที่ภรรยา...ลูกของเขา...และหนังสือนิทานเล่มนั้นได้หายไป...เอลันก็ยังคงฝันเห็นนางฟ้าสีน้ำเงิน

    ชายหนุ่มชะงักไปเมื่อนึกถึงวันที่ภรรยาและลูกชายของเขาหายไป... ดวงตาสีเทาพลันไร้แวว ไม่สะท้อนแสงใดๆ ทุกอย่างคล้ายตกอยู่ในห้วงความสงบนิ่ง

    แล้วฉับพลัน ฟ้าส่องแสงสว่างวาบ  พร้อมกรีดร้องดังเปรี้ยง! และลมพัดแรงจนกลอนประตูหักดังปั้ง! เด้งปลิว หวิวเฉียดหัวเอลันไปชนตุ๊กตาเต้นระบำบนชั้นไม้โอ๊ค จนตกลงมาแตกกระจายทั้งแขนขา! เอลันก็พลันหลุดจากภวังค์นึกคิดทั้งปวง

    ลมพัดหอบเอาใบไม้แห้งเข้ามาเต็มบ้าน ชายหนุ่มรีบกระโดดข้ามโซฟา ไปปิดประตู เขาต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อออกแรงต้านพายุ กว่าจะผลักประตูปิดจนสำเร็จ และเอาด้ามไม้เบสบอลขัดแทนกลอนประตูไว้

    “ให้ตายสิ! อากาศที่ประเทศนี้แปรปรวนยิ่งกว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน” เอลันสบถเบาๆ ก่อนจะเดินย่ำเศษใบไม้และเศษน้ำฝนสาดขังบนพื้นพรม กลับขึ้นมานอนคุดคู้บนโซฟาดังเดิม ชายหนุ่มมองหนังสือในมืออย่างหลงใหล ราวกับเด็กน้อยที่ตื่นเต้นกับตุ๊กตาทหารราคาแพงชิ้นแรกในชิวิต หรือ สตรีที่ได้อัญมณีล้ำค่าราคาแพงหูฉี่จากสามีสุดที่รัก

    และแล้ว...ในค่ำคืนแห่งพายุกระหน่ำ...หนังสือปริศนาก็ถุกเปิดอ่าน

     

     



    รถม้าปริศนาสีดำแล่นไปตามถนนรกร้างอันน่าสยองพองเกล้า

    เสียงกุกกักดังตลอดทาง สองข้างทางเป็นเงาไม้ครึ้มที่ซ่อนเร้นดวงตาเรืองแสงของเหล่าสรรพสัตว์ยามค่ำคืน ฟ้าขมวดปมเป็นก้อนเมฆรูปทรงบิดเบี้ยวเหมือนงานศิลปะที่พิลึกพิลั่น

    “แม่ของพวกเขาเป็นหญิงสูงศักดิ์ นางจะยอมให้ลูกๆมาตกระกำลำบากหรือ”

    “หึ! ฝันไปสิ ฉันเคยเห็นเจ้าเด็กชาย ทั้งซนและถือดีเป็นบ้า!

    “ส่วนเจ้าเด็กหญิงก็หยิ่งและแสนรู้จนน่าหมั่นไส้...เฮ้อ!

    “อนาถ...แสนอนาถ...นึกแล้วระเหี่ยใจ บางทีทุกสิ่งคงถึงกาลวินาศ”

    “อย่าสิ้นหวังไป เมื่อถึง ปราสาทของนาง ทุกอย่างคงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด”

    เสียงบทสนทนาของกลุ่มคนที่ฟังไม่รู้เรื่องดังก้องปะปนกับเสียงฝีเท้าม้า ไม่มีใครรู้ว่าจุดหมายของเจ้ารถม้าไร้สารถีนั่นไปที่ไหน เสียงฟ้าคำรณเป็นคราวคล้ายข่มขู่นักเดินทาง แต่ม้าดำสองตัวที่มีดวงตาเรืองแสงแดงกร่ำก็ยังคงวิ่งฝ่าไอหนาวเยือก ราวกับมันรู้จุดหมายปลายทางด้วยตัวของมันเอง มันวิ่งผ่านเงาไม้สองข้างทางโยกไหวคล้ายเงาปีศาจจ้องเขมือบวิญญาณเหยื่อ แสงจันทร์ส่องนำทางหลังกลุ่มเมฆสลัว โคมไฟไม้ที่แขวนอยู่ส่องแสงวูบวาบโยกไปเอนมามองคล้ายดวงวิญญาณในกรงขัง

    รถม้าจอดหน้า ปราสาท ใช่แล้ว...ทุกคนบนรถม้าย่อมหวังว่าพวกเขาจะมาถึง ปราสาท อันโอ่อ่า ที่สูงเสียดฟ้า ข่มพวกเขาให้ตัวเล็กกระจิดเท่ามดตัวน้อย

    ประตูรถม้าเปิดออกด้วยตัวเองราวกับมีมือประหลาด เสียงประตูเอี๊ยกอ๊าดดังกรีดร้องจนนกสองสามตัวกระพือปีกหนี พร้อมกับ หญิงสาวสูงศักดิ์สี่นางก้าวลงจากรถ ลมโบกสะบัดขนวิหคสีดำพลิ้วไหว ร่างในชุดสีม่วงไลแลคมันเงารัดรูปก้าวลงมา ใบหน้าขาวผ่องใต้หมวกขนนกยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ดวงตาซ่อนพลังอำนาจอันล้ำลึกไว้อย่างน่าประหวั่น

    “ข้าหมดอาลัยอย่างบอกไม่ถูก” สตรีในชุดอาภรณ์โปร่งบางสีชมพูอ่อนก้าวตามลงมา ท่วงท่านั้นสง่างามน่ายำเกรง ผมสีแดงยาวระบัดมาปลกใบหน้างดงาม ทว่าดวงตาหวานซึ้งกลับโศกเศร้าชวนหม่นหมอง ทอดมองโดยรอบอย่างสิ้นหวัง “บางที...เราอาจจะมาเสียเที่ยว” ว่าแล้วน้ำตาของนางก็ไหลซึมลงมา

    “ดอลล่า น้ำตาของเจ้าจะทำให้ทุกคนสิ้นหวังเสียหมด เช็ดมันเสีย” เสียงเย็นเยือกของอีกหนึ่งสตรีดังขึ้น นางผู้สูงศักดิ์ผมสีดำสนิทสยายยาวราวม่านรัตติกาลก้าวตามลงมา ท่ามกลางราตรีหมอง ชุดขนสัตว์สีเงินฟูฟ่องราวช่างทำให้นางโดดเด่นเทพธิดาแห่งหิมะ ใบหน้าอันเยือกเย็นเพ่งมองฝ่าความมืดไปอย่างนิ่งขรึม

    “ทำไมข้าไม่เห็นปราสาทสักหลัง! เสียงแหลมจากใครอีกคนในรถม้าดังขึ้น มือเรียวบางผลักประตูให้เปิดกว้างอย่างแรง “เห็นทีพวกเราจะเสียเวลาเก้อ โดนเจ้านายกรัฐมนตรีหน้าเซ่อให้ข้อมูลผิดๆถูกๆมา” นางว่าพลางก้าวพรวดลงมาอย่างใจร้อน ดวงตาสีแดงตวัดไปโดยรอบอย่างไม่พึงใจนัก ริมฝีปากจิ้มลิ้มเชิดน้อยๆ ก่อนที่นางจะยกชายกระโปรงสีเพลิงลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าอันเย่อหยิ่ง

    สี่หญิงสาวสูงศักดิ์ทอดมองไปยัง ปราสาทเบื้องหน้า...ใช่ มันควรจะเป็นปราสาท หรือจะเป็นเพราะฟ้าคืนนี้มืดสนิทเกินไปจึงทำให้พวกนางมองเห็นแต่ทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ไม่มีปราสาทสักหลัง เป็นไปได้ว่า ความมืดอาจจะบดบังสิ่งก่อสร้างให้ซ่อนไว้ใต้ปีกรัตติกาล

    “หดหู่ ข้ามองเห็นเพียงความว่างเปล่าที่หดหู่” ดอลล่า ดัชเชสแห่งแคว้นน้ำตา ยกมือขึ้นปิดใบหน้าอันเศร้าหมอง แม้ว่านางจะเป็นหญิงสาวที่ทุกคนในราชสำนักรู้ว่าเฉลียวฉลาด มีสติปัญญาน่ายกย่อง และวางตัวได้สง่างามอย่างผู้ทรงภูมิ แต่ใครๆก็รู้ว่าหล่อนเจ้าน้ำตา ดินแดนที่หล่อนปกครองจึงเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นของสายฝน และเสียงกรีดร้องของฟ้าคำราม มันเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะหักห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล ทีแรกทุกคนสุดรำคาญ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็รู้ว่าควรปล่อยให้นางร้องไห้ มากกว่าพยายามจะหยุดนาง ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดดัชเชสผู้ปราดเปรื่องจึงอ่อนไหวง่ายเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครพยายามหาคำตอบ พวกเขาหวังว่าในภายภาคหน้า อาจจะมีคนรู้สาเหตุ

    “แล้วปราสาทอยู่ที่ไหน? เจ้ารถม้าน่าจะพาเรามาถูกทาง” ฟาราฟีเน่ ดัชเชส[1]แห่งแคว้นเพลิงไฟแทบจะกรีดร้องเมื่อเดินลงจากรถม้า นางเดินวนไปทางซ้ายแล้วก็เดินวกกลับไปทางขวา ไม่สนใจน้ำตาของดอลล่า และไม่ใส่ใจใบหน้าฉงนฉงายของใครทั้งนั้น สิ่งที่นางสงสัยก็คือ เจ้ารถม้าถูกสั่งมาตั้งแต่ต้นทาง ว่าให้พาที่มี ปราสาทรถม้าไม่เคยพานักเดินทางหลงทาง และไม่เคยไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง “แต่นี่อะไร...ข้าเห็นแต่ทุ่งข้าวโพด! กับหุ่นไล่กา นึกแล้วอยากจะเผามันให้ทั่ว” นางสบถเสียงแหลมก่อนจะตวัดดวงตาสีแดงเพลิงไปที่หุ่นไล่กา แต่ก่อนที่ไฟจะลุกพรึบ อีกมือก็รีบห้ามไว้อย่างเย็นเยือก

    “เจ้าไม่ควรจะวู่วามทำอะไรที่อาจก่อความ เสียหายแก่ที่นี่ มันอาจร้ายแรงถึงชะตากรรมของพวกเราทั้งผอง” แน่นอนว่าการห้ามของ เทอร์มิส ดัชเชสแห่งแคว้นหนาวเหน็บได้ผล ฟาราฟีเน่เพียงสบถเบาๆ แล้วเดินไปเดินมาต่อ

    “บางทีปราสาทนั่นอาจไร้ตัวตน และพวกเราถูกเจ้านายกรัฐมนตรีซื่อบื้อหลอกเอา” ฟาราฟีเน่ทำหน้ายุ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรมากเพราะเกรงใจเทอร์มิส ซึ่งใครๆก็รู้ดีว่าดัชเชสแห่งความหนาวเหน็บผู้นี้แสนเยือกเย็นและมีดวงตาที่ใครๆก็ไม่กล้ามอง...เพราะมันชวนหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลัง แต่ถึงกระนั้นนางก็แสนจะอบอุ่น...น่าเศร้าที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ความอบอุ่นของดัชเชสแห่งแคว้นหนาวเหน็บเป็นเช่นไร

    “สงบสติอารมณ์ของเจ้า แล้วมองรอบๆให้ดี เจ้าก็รู้อยู่ว่าอาณาจักรของเรามีสิ่งที่เหนือความคาดหมายเสมอ” เทอร์มิส เข้าใจดีว่า ฟาราฟีเน่ มักใจร้อนและวู่วามทำอะไรรุนแรงเสมอ ก็แน่ล่ะ...นางเป็นผู้ปกครองเมืองที่ลุกโชนไปด้วยไฟสีแดงเพลิง แม้แต่ป่าไม้ก็ก็ผลิใบเป็นประกายเพลิง เทอร์มิสจำได้ว่า ชาวเมืองทุกคนก็สุดจะน่ากลัวและอันตราย เพราะเพียงตวัดสายตาด้วยความโกรธขึ้ง พวกเขาก็สามารถแผดเผาร่างศัตรูให้มอดม้วยด้วยไฟบรรลัยกัลป์ โชคดีที่ฟาราฟีเน่ผู้เอาแต่ใจตัวเอง ยังมีความอ่อนโยนซึ่งเล็กน้อยมากซ่อนเร้นอยู่ แต่ความอ่อนโยนนั้นก็มีอำนาจพอที่จะทำให้นางไม่ไล่เผาทั้งอาณาจักรให้วอดวาย หลายคนสงสัยว่าความอ่อนโยนของนางเป็นเช่นไร และมาจากไหน...แน่นอนว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ และไม่มีใครพยายามจะหามัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าสักวัน คำตอบจะปรากฏเองในภายภาคหน้า

    “ข้าเชื่อมากถึงมากที่สุดว่าปราสาทจะต้องซ่อนอยู่ที่นี่ อาจจะใต้ดิน บนฟ้า หรือในยอดข้าวโพด” เกรย์ย่า ดัชเชสแห่งแคว้นพลังอำนาจพูดอย่างอารมณ์ดี นางขยับหมวกขนนกซึ่งเอียงกระเท่เร่บนศีรษะให้เข้าที่ แล้วพยายามทรงตัวบนรองเท้าส้นสูงครึ่งฟุตเดินย่ำไปตามร่องดินในทุ่งข้าวโพด ชุดกระโปรงรัดรูปสีม่วงมันวาวของนางทำให้นางดูโดดเด่นยังกับเจ้าข้าวโพดพิสดาร กลางท้องทุ่งราตรี นางมีรอยยิ้มและความเริงร่าที่เปี่ยมพลังเสมอราวกับแคว้นที่นางปกครองอยู่ แต่ที่น่ากลัวก็คือ...พลังอันเริงร่าของนางมาพร้อมกับอำนาจที่ชวนประหวั่นพรั่นพรึง ไม่มีใครพยายามจะรู้ว่าอำนาจชวนประหวั่นนั่นคืออะไร แน่นอนว่าพวกเขากลัวด้วยซ้ำที่จะรู้คำตอบ

    “นั่นใช่ต้นไม้หรือเปล่า” ดอลล่าเช็ดน้ำตาแล้วถามขึ้น ขณะนั้นทุกคนก็รีบเหลียวไปมองหาต้นไม้

    “มันเหมือนจะเป็นต้นไม้ แต่ก็ไม่ใช่ หรือบางทีก็อาจจะเป็นต้นไม้” เทอร์มิส ดัชเชสแห่งแคว้นหนาวเหน็บ มองฝ่าความมืดไปยัง ต้นไม้ประหลาดรูปทรงฝ่ามือยักษ์ที่มีกรงเล็กยาวเฟื้อยที่คว่ำอยู่ แต่มองอีกทีก็เหมือนแมงมุมประหลาดกำลังขยุ้มเหยื่อ

    “มันเหมือนประตู!” ฟาราฟีเน่ร้องขึ้น ดัชเชสสาวใจร้อนรีบวิ่งผ่านทุ่งข้าวโพดไปยังต้นไม้นั้น มองเผินๆราวกับเปลวเพลิงลามผ่านยอดหญ้า จนน่ากลัวว่านางจะทำไฟลุกขึ้นมาจริงๆ

    “ใจเย็นๆสิฟาราฟีเน่” เทอร์มิสร้องขึ้น แล้วก็ถอนหายใจเมื่อห้ามดัชเชสสาวผู้เอาแต่ใจไม่ทัน เพราะเจ้าหล่อนวิ่งแล่นไปหยุดอยู่ที่ต้นไม้นั่นแล้ว

    “มันคือประตูจริงๆด้วย!” ดัชเชสแห่งพลังอำนาจผู้มีรอยยิ้มเป็นนิจ หัวเราะขึ้นอย่างดีใจ เมื่อหล่อนวิ่งตามไปถึงติดๆ “รีบตามมาสิ หลังประตูบานนี้ต้องมีปราสาทแน่ๆ” เกรย์ย่าถอดหมวกขนนกโบกไปมาเรียกดอลล่าซึ่งกำลังพยายามเช็ดน้ำตาตัวเอง และเทอร์มิสซึ่งยืนนิ่งใบหน้าเยือกเย็น

    “งั้นก็ตามไป...” เทอร์มิส ดัชเชสแห่งแคว้นเหน็บหนาว เหลียวมาบอกด้วยสีหน้าเย็นชืด  “แล้วก็เลิกเช็ดน้ำตาเสียเถอะ เพราะดูเหมือนมันจะไม่หยุดไหลเสียที” แล้วนางก็เดินผ่านทุ่งข้าวโพดไป...น่าหวั่นหวาดเมื่อทันทีที่ดัชเชสแห่งแคว้นหนาวเหน็บก้าวย่างไป...ไอเย็นก็แผ่ซ่าน...ยอดข้าวโพดพลันกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง และสีเทาของความหนาวก็ปกคลุมไปทั่ว

    ดอลล่าสูดลมหายใจยาวลึกเมื่อมองทุกคนเดินผ่านประตูไป...หลังประตูมีความหวังสุดท้ายของพวกนางอยู่ หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเชิดหน้าตรง และเดินอย่างสง่างามตรงไปยังต้นไม้ประหลาด...ซึ่งยืนตระหง่านโดดเดี่ยวกลางท้องทุ่งรัตติกาล

    หรือจะตาฝาดไป ดอลล่าเห็นกิ่งก้านราวกรงเล็บของต้นไม้นั่นขยับเคลื่อน…และเห็นเจ้าหุ่นไล่กาส่งรอยยิ้มมา

    ไม่หรอก...คงเป็นเพราะดวงตาของนางพร่าเลือนด้วยน้ำตาเสียมากกว่า

    ดอลล่าเดินไปหยุดที่หน้าต้นไม้อันมีกิ่งก้านชวนหลอนหลอก เมื่อมองใกล้ๆก็พบว่ามีประตูจริงๆด้วย กคนผ่านประตูไปหมดแล้ว ดัชเชสสาวนิ่งงันอย่างครุ่นคำนึง...แล้วประตูนี้จะพาไปที่ใด...ในเมื่อด้านหลังประตูมีแต่ทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา

    ดัชเชสแห่งน้ำตาตัดสินใจเอื้อมมือจับตุ๊กแกไม้แกะสลัก...ซึ่งคาดเดาว่าเป็น ลูกบิดประตู แล้วผลักเปิดเข้าไปด้านใด แสงสว่างอันอบอุ่นก็สาดเข้ามาในดวงตาของนาง

     

     

    ทุกอย่างน่าผิดหวัง! น่าผิดหวังอย่างที่ไม่เคยคาดมาก่อน

    บางทีเหล่าดัชเชสอาจจะมาผิดที่ นี่มันไม่ใช่ปราสาทนี่น่ะ! แต่มันคือบ้าน! บ้านในโพลงต้นไม้ ห้องหับคับแคบ แสงไฟสีนวลอบอุ่น รอบห้องเต็มไปด้วยจานชาม ทัพพี ผ้าเช็ดมือ กรอบรูป และหุ่นฟางเรียงราย ข้าวของวางระเกะระกะบนโต๊ะ ตุ๊กตาไม้แกะสลักมากมายอัดแน่นอยู่บนชั้นวางของ บางตัวเป็นตุ๊กแกน่ากลัว บ้างก็เป็นกระต่ายน้อยน่ารัก ตรงกลางมีโต๊ะไม้ตั้งอยู่ พุดดิ้งและพายบลูเบอร์รี่ กับฝักข้าวโพดวางบนนั้น ตรงมุมมีเตียงแคบๆสองชั้นขั้นอัดติดผนัง ขนมิ้งค์สีเทาห้อยอยู่ที่หัวเตียง ปะปนกับผ้าห่มขนแกะบนเตียง

    “สวัสดีฮะ” เสียงเจ้าหนูน้อยดังขึ้นแบบงงงวย เขาผุดหัวออกมาจากห่ม หน้าตาเปรอะเปื้อนเล็กน้อย ผมหยิกหยองสีเขียวยุ่งเหยิง ดวงตาสีฟ้าใสมองผู้บุกรุกทั้งสี่อย่างสงสัย “พวกคุณต้องการพบใครฮะ” ที่นี่ดูคับแคบไปถนัดตาเมื่อสี่ดัชเชสสาวมายัดเยียดกันอยู่ตรงประตู

    “แก้มยุ้ยย้วยน่าชังชะมัด นี่สินะเจ้าหนูโรม” เกรย์ย่าร้องขึ้น นางทำท่าดีใจจนเหมือนจะร้องไห้เสียมากกว่า ก่อนจะพยายามทรงตัวหลบโคมไฟห้องกลางเพดาน ตรงไปนั่งบนเตียงเตี้ยๆ ผมทรงสูงของนางเกือบจะชนเอากับขอบเตียงชั้นบน ดัชเชสแห่งแคว้นพลังอำนาจบีบแก้มเด็กชายเสียจนแดงกร่ำ

    “ฮะ..ผมชื่อโรม” เด็กชายผมเขียวยกมือขึ้นลูบแก้มที่เพิ่งถูกลวนลาม เริ่มกระเถิบเข้าไปในกองผ้าห่มแบบหวาดหวั่น ทุกสายตาจ้องมองที่เขาจนน่ากลัว แสงจากโคมไฟที่สาดส่อง ทำให้เห็นเงาของทั้งสี่สาวกำลังย่างกรายมาที่เขา หัวใจของเด็กชายเต้นรัว เหงื่อซึมขึ้นเต็มใบหน้า

    อันตราย! สัญชาติญาณบอกเขาเช่นนั้น ผู้หญิงสี่คนนี้จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป!



    [1] ดัชเชส เป็นตำแหน่ง ขุนนางหญิงผู้ปกครองแคว้นต่างๆในอาณาจักร ซึ่งมีอยู่หกแคว้น  น่าประหลาด ว่าแคว้นทั้งหกในอาณาจักรมักจะถูกปกครองโดยผู้หญิง แต่ก็ไม่เคยมีใครสงสัยว่าทำไม




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×