ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Midnight Opera สุสานผีเสื้อ

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 ซากศพนางฟ้า

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 59



    Chapter 2 ซากศพนางฟ้า






    เสียงกรีดร้องดังมาจากที่ไกลลิบลิ่ว ยอดไม้แห้งกรังพัดไหวปลิดใบสุดท้ายร่วงสู่ผืนดิน

    “เฟิงเฟยลูกแม่!” เสียงร้องปิ่มว่าจะขาดใจของคุณนายชางดังกรีดแหลมเหมือนคนสติคลุ้มคลั่ง คนรับใช้ในบ้านพากันห้อมล้อมปลอบโยน ร่างของคุณนายชางแทบจะล้มลงไปกับพื้น สองมือสั่นสะท้านยกประนมอ้อนวอนต่อฟ้าดิน

    ใบ หน้าของอาชาซีดเผือด เขานั่งนิ่งไม่พูดอะไรอยู่นานบนเก้าอี้ จนกระทั่งเสียงรองเท้าหนัก ๆ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังขึ้นจากระเบียงทางเดินข้างนอก อาชารีบลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ชายในเครื่องแบบก้าวเข้ามายืนสง่าที่ประตู เขาคือ พันตำรวจโทณรงค์ นายตำรวจหนุ่มผู้เป็นเพื่อนรักของอาชา

    พัน ตำรวจโทณรงค์สบตาอาชาเพียงครู่เดียว ก่อนจะเหลียวไปบอกกับทุกคนในห้องโถงด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า เหงื่อเม็ดหนึ่งไหลจากขมับที่เต้นตุบตับของเขา

    “เราพบเฟิงเฟยแล้ว”

     

    โรงละครหอผีเสื้อแดงปิดร้างและซ่อนเร้นอย่างเงียบเชียบมาแสนนาน...เว้นเสียแต่วันนี้

    ตึก ไม้สีแดงสามชั้นยืนหงอยเหงากลางหนองน้ำกว้างขวาง รอบตึกคร่ำคร่าล้อมด้วยระเบียงทางเดินรกร้างอันไร้หลังคาปกคลุม หนองน้ำขุ่นข้นปราศจากการดูแล มีเศษใบไม้แห้งร่วงหล่นทับถม ชมพูพันธุ์ทิพย์แห้งกรังไร้ใบยืนต้นสะท้อนเงาวังเวงในผืนน้ำ สีสันตามแนวระเบียงและตัวอาคารหลุดลอกด้วยถูกหลงลืม สีแดงของโคมไฟที่ห้อยดูซีดจาง บ้างขาดแหว่ง บ้างเหี่ยวแห้ง รูปสลักตามหัวเสาเต็มไปด้วยคราบไคลเขียวเข้ม เศษฝุ่นเถ้าฟุ้งเป็นทางเมื่อลมพัดผ่าน

    ภาย ในตัวอาคารเหลือเพียงเศษซากของความรื่นรมย์ เก้าอี้กระจัดกระจาย ผนังหลุดลอก ฝุ่นผงหยากไย่ปกคลุมทั่วอาณา บันไดใหญ่ทอดยาวสูงขึ้นไป สุดปลายบันไดคือประตูแปดบานเรียงติดกัน

    บานหนึ่งเปิดอ้าไว้ ส่งเสียงเอียดอาดเหมือนเชื้อเชิญ

    เจ้า หน้าที่ตำรวจผลักประตูเข้าไป  อาชาประคองคุณนายชางเดินตามอย่างไม่รอช้า ภายในมีเพียงความมืดและกลิ่นอับชื้น ตำรวจกราดไฟฉายดวงใหญ่ เห็นที่นั่งเรียงรายสำหรับบรรจุผู้ชมกว่าสามร้อยชีวิต สถาปัตยกรรมโดยรอบเป็นศิลปะไม้แกะสลักของจีนผสมผสานกับจิตรกรรมแบบยุโรป อย่างลงตัว ความงามยังเห็นชัดจากรอยแกะสลักเนื้อไม้บนคิ้วเพดานและผนังอันสลักเป็นลวด ลายอุทยานสรวงสวรรค์บอกเล่าตำนานแห่งโลกตะวันออก เหนือเพดานเป็นภาพเขียนจิตรกรรมลายเส้นและการลงสีตามฉบับศิลปะตะวันตก

    เจ้า หน้าที่คนหนึ่งเดินเข้าไปเปิดไฟจากห้องควบคุมไฟที่ชั้นสาม แสงสีแดงบนเวทีสว่างริบหรี่จวนจะดับราวชั่วอึดใจ ก่อนที่แสงนั้นจะสาดจ้า ให้เห็นบางสิ่งบางอย่าง

    ดวงไฟสีแดงเหมือนคำสาป อาบจับซากศพนางฟ้าบนแพรเลือด!

    จากกลิ่นหอมของดอกไม้...แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นเลือดคาวคลุ้ง

    “เฟิงเฟย!” เสียงกรีดร้องของคุณนายชางดังโหยหวนยาวนานปานคนคลุ้มคลั่ง หญิงหม้ายสิ้นเรี่ยวแรงในอ้อมแขนของอาชาในทันที

    ชายหนุ่มยืนชะงักไม่ต่างจากคนไร้วิญญาณเพ่งมองข้างหน้าดวงตานิ่งงัน

    เวที ไม้ถูกห่มคลุมด้วยฝุ่นหนาทึบ บนพื้นมีมีดเล่มหนึ่งตกอยู่ ปลายมีดคมปลาบแวววาวกระหายความตาย สีเงินวับแวมของมันถูกอาบด้วยสีแดงคล้ำของโลหิต!

    ข้าง กันนั้นคือกองผ้าแพรสีแดงปานประหนึ่งกองเลือด โลหิตดำคล้ำแวววาวไหลรินออกมาจากชายผ้า เจ้าสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงนอนคว่ำ แสงไฟสะท้อนลายปักผีเสื้อทองคำและหงส์ขาวบนชุดให้เกิดประกายลวงตา ใบหน้าของเธอบิดมาทางเก้าอี้ผู้ชม เส้นผมสีดำสยายยาว ใบทับทิมประดับผมร่วงหล่นไม่ไกล ดวงตาคู่งามว่างเปล่า ไร้ชีวิตไร้วิญญาณ...

    สีแดงแห่งมงคลกลับกลายเป็นสีโลหิตกลิ่นคาวคลุ้ง  คลับคล้ายมีน้ำตาอาดูรไหลรินจากแววเนตรคู่นั้น

    แว่วเสียงสะอึกสะอื้น และเสียงพึมพำอย่างสิ้นหวังของใครสักคน

     

    อาชาผุดลุกขึ้นจากเตียง ฉากฝันร้ายซ้ำซากวกวนเวียนไม่จบสิ้น

    หยด น้ำตาจากดวงเนตรว่างเปล่าที่เขาเห็นในวันนั้นยังฝังลึกเป็นตราไหม้อยู่ในใจ ภาพความตายของคนที่รักหลอกหลอนเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันจางหาย หัวใจของเขาแหลกสลายละเอียดยิบ ร่างทั้งร่างสิ้นเรี่ยวแรงเบาโหวงคล้ายไร้วิญญาณ ความหวังความฝันป่นปี้ต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาไขว่คว้าสิ่งใดไม่ได้เลย...

     ใน ความมืดอันเงียบงัน อาชานั่งนิ่งลำพัง ผนังตรงปลายเตียงเป็นภาพวาดของเฟิงเฟย ใบหน้าของเธออ่อนใสปานประหนึ่งตุ๊กตากระเบื้อง รอยยิ้มจากริมฝีปากจิ้มลิ้มเริงร่า ดวงตาสุกสกาวคู่งามทอดมองความว่างเปล่าอย่างไร้จุดหมาย

    นานมาแล้ว เขาเคยสัญญาว่าจะปกป้องเธอ แต่ท้ายที่สุด ชีวิตน้อย ๆ ของผีเสื้อปีกงามช่างแสนเปราะบาง

    เขา กำปิ่นผีเสื้อสีทองในมืออย่างถนอม ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ปักปิ่นนี้ให้เจ้าสาวเลย เธอยังไม่มีโอกาสได้เห็นมันเสียด้วยซ้ำ อาชาทอดทอดลมหายใจแผ่วเบา ถอนสะอื้นออกมาอย่างไร้เสียง... ค่ำคืนนั้นเขาร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา

     

     “อาชา...แกคิดว่านี่เป็นการฆาตกรรมหรือเปล่า ?”

    พันตำรวจโทณรงค์เอ่ยถามอาชาผู้เป็นเพื่อนรัก ในเย็นวันหนึ่งที่ร้านอาหารเชิงเขาอันร้างผู้คน

    “เฟิงเฟย ไม่มีศัตรู เธอแทบจะไม่สนิทสนมกับใคร...นอกจากฉัน” เจ้าบ่าวผู้สูญเสียเจ้าสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสั่น เหม่อสายตามองเงาไม้ทึมทึบนอกระเบียงร้าน

    นายตำรวจบีบมือของตนเองเข้าด้วยกัน ขมับของเขาขมวดเกร็งอย่างคนคิดหนัก

     “หลัก ฐานชี้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย” เสียงของนายตำรวจดังขึ้นอย่างเย็นเยียบ “แพทย์ชันสูตรศพแล้ว เฟิงเฟยมีสารกล่อมประสาทในกระแสเลือดสูงมาก ดูเหมือนเธอกลุ้มใจบางอย่าง คนรับใช้ในบ้านเล่าว่าพักหลังมานี้เธอนอนไม่หลับ คุณนายชางจึงต้มสมุนไพรเพื่อให้ผ่อนคลาย แต่กลายเป็นว่าเธอเสพติดต้องดื่มมันทุกวัน คนในบ้านบอกว่าเธอมักกรีดร้องเพราะเห็นภาพหลอน อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยา...ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง...”

    นายตำรวจนิ่งไปอย่างตรึกตรอง ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด

    “แก รู้หรือเปล่า ? เฟิงเฟยป่วยหนักมาพักหนึ่งแล้ว เธออ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และผิวซีด มีประวัติการรับยาเพื่อรักษาอาการที่โรงพยาบาล แพทย์สันนิษฐานว่ามีเชื้อไวรัสลงตับ”

    สิ่ง ที่รู้มาใหม่ทำให้อาชาตระหนก ความรู้สึกผิดจู่โจมหัวใจชายหนุ่ม...เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าเฟิงเฟยป่วย กระเสาะกระแสะ เขาช่างเป็นคนรักที่แย่เหลือเกิน

    “เธอคงหลอนประสาทเพราะกินยามากเกินไป ประกอบกับความเครียดและอาการป่วยทำให้เธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย” ณรงค์เอ่ยสรุป

    เจ้าบ่าวผู้หัวใจแตกสลายเพียงแต่กระตุกรอยยิ้มที่มุมปากอย่างขื่นขม

    “เป็น ไปไม่ได้ เฟิงเฟยไม่มีทางฆ่าตัวตาย ผู้หญิงที่กำลังแต่งงานกับคนที่เธอรัก ซ้ำกำลังรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงานจะฆ่าตัวตายได้ยังไง ณรงค์ แกจะบ้าไปแล้วหรือ ?

    “เรื่องนี้ฉันพูดกับแม่ยายของแกแล้ว” ชายในเครื่องแบบเอ่ยขึ้นอีก ดวงตาเป็นประกายประหลาดหรี่แคบลง

    “แล้วคุณนายชางว่ายังไง ?” อาชาถามพลางเสหน้าไปทางอื่น มองฝ่าความมืดอย่างไร้จุดหมาย

    “ดูเหมือนญาติพี่น้องของเธอจะเชื่อแบบนั้น...โดยเฉพาะพี่สาวของเธอ เชื่ออย่างออกนอกหน้าเชียว...ออ...ฉันหมายถึง ไป๋ปิง น่ะ” นายตำรวจว่าพลางยื่นภาพถ่ายคู่กันของไป๋ปิงและเฟิงเฟยให้อาชา หญิงสาวสองคนในรูปแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งอ่อนหวานและเปราะบางดั่งผีเสื้อตัวน้อย ในขณะที่อีกคนเปี่ยมเสน่ห์และเย้ายวนดุจนางปีศาจ

    “ไป๋ ปิงเป็นพี่น้องที่สนิทกับเฟิงเฟยที่สุด คืนก่อนวันแต่งงานเธอเข้าไปเยี่ยมเฟิงเฟย ก่อนกลับออกมา เธอพบจดหมายฉบับนี้ถูกขยำอยู่มุมห้อง” นายตำรวจเล่า ก่อนจะยื่นจดหมายยับยู่ยี่ฉบับหนึ่งส่งให้

    อาชารับมาพลางเหลือบตามองเพื่อนรักทีหนึ่ง ก่อนจะกวาดตาอ่านข้อความในจดหมาย

    “มัน เป็นจดหมายจากโรงละครที่ฮ่องกง ขอยกเลิกการแสดงเรื่องตำนานผีเสื้อแดงของเฟิงเฟย ประกอบกับช่วงนั้นมีนักระบำกายกรรมจีนหน้าใหม่กำลังโด่งดัง เฟิงเฟยคงเครียดกับเรื่องนี้มาก”

    เสียงของนายตำรวจหนุ่มแว่วเข้ามาในหู อาชาจับกระดาษแผ่นนั้นด้วยมือสั่นเทา อ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    เฟิงเฟย ของเขาเป็นศิลปิน เธอเป็นนักเต้นที่อ่อนไหวดุจสายลมพัด เริงร่าราวกับนกระเริงลม และพลิ้วไหวเสมือนผีเสื้อปีกบาง ช่วงเวลาที่ผ่านมาคือความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด พรสวรรค์ของหญิงสาวประจักษ์ต่อสายตาทุกคน ท่วงท่าร่ายรำและการแสดงกายกรรมของเธองดงามปานภาพวาดจากจินตนาการ ทำให้โรงละครมากมายในเอเชียต่างยื้อแย่งหญิงสาว

    ดั่งผีเสื้อที่โผบินได้สูงสุด แล้วกลับสิ้นแรง ถูกกระแสลมทำร้ายจนปีกหักแล้วดับชีพร่วงลง...

    “เรา ไม่มีหลักฐานที่จะปรักปรำใครได้เลย เราไม่พบลายนิ้วมือของฆาตกรบนด้ามมีดนอกจากลายนิ้วมือของเฟิงเฟย ในห้องนอนหรือในโรงละครไม่มีร่องรอยการต่อสู้  ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายอื่น ๆ บนร่างกายเฟิงเฟย นอกจากรอยเสียบของมีดที่ใต้ลิ้นปี่...เสียบจากด้านหน้า...กินข้าวสักหน่อย เถอะเพื่อน หน้าแกซูบจนจะเป็นผีอยู่แล้ว” นายตำรวจเอ่ยติดตลกเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด

    “เฟิงเฟยเป็นคนเดียวที่รู้ว่าใครฆ่าเธอ” อาชามองอาหารบนโต๊ะด้วยสายตาว่างเปล่า เขาไม่มีจิตใจจะกลืนอะไรลงท้องสักนิด

    “เธอฆ่าตัวตาย...อาชา เจ้าหน้าที่ทุกคนคิดแบบนั้น”

    “แกด้วยหรือเปล่า” เจ้าบ่าวผู้หัวใจแตกสลายเพ่งสายตามองเพื่อนรัก

    “นาย สั่งให้ฉันเร่งปิดคดี” ตำรวจหนุ่มถอนหายใจใหญ่ขณะวางช้อนส้อมในมือ “มันตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ฤทธิ์ยาสมุนไพรที่เธอเสพติดทุกวันไม่เพียงกล่อมประสาทเธอ แต่ยังหลอนประสาทด้วย เธอเครียดจัดที่ถูกยกเลิกการแสดง อาจจะด้วยความโกรธ หรืออารมณ์คลุ้มคลั่งชั่วขณะ ประกอบกับความกดดันในช่วงแต่งงาน เธอจึงฉีกภาพนางรำทิ้งในห้องนอนตนเอง แล้วเดินไปที่โรงละครหอผีเสื้อแดงเพื่อฆ่าตัวตายบนเวที...”

    ดวง ตาของอาชาขรึมลงอย่างยอมจำนน เฟิงเฟยผูกพันกับโรงละครแห่งนั้น บรรพบุรุษของเธอเป็นผู้สร้างหอผีเสื้อแดงขึ้นมา โรงละครสามชั้นเคยรุ่งโรจน์เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสวและเสียงมหรสพครื้นเครง ผู้คนแออัดยัดเยียดต่างหวังได้ชมฝีมือการแสดงชั้นเลิศจากเหล่านางรำ

    ผ่านวันคืน ฤดูกาลผันแปร วันหนึ่งโรงละครกลับรกร้างเงียบงัน เหลือเพียงซากความยิ่งใหญ่ท่ามกลางหมู่ไม้ไร้ใบ

    เฟิงเฟย เคยเล่าให้ฟังนานแล้ว หญิงสาวชอบไปวิ่งเล่นที่นั่นแต่เด็ก ฟังเสียงสายลมแล้วจินตนาการถึงเสียงดนตรีบนเวที ยามดึกค่อนคืน เธอจะแอบมาซ้อมเต้นระบำอยู่ตามแนวระเบียงเพียงลำพัง ให้แสงดาวเป็นผู้ชม ให้หมู่ไม้เป็นคนดู

    “คดี ไม่ได้อยู่ในมือของฉันอีกแล้วอาชา นายของฉันส่งต่อให้เจ้าหน้าที่คนอื่น ถ้าไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม ฉันจำเป็นต้องปิดคดี แต่แกอย่าห่วงเลยเพื่อนรัก ฉันจะทวงความเป็นธรรมแก่เฟิงเฟยถึงที่สุด...ว่าแต่” เสียงของนายตำรวจแผ่วเบาลง “ความสัมพันธ์ของเฟิงเฟยกับคนในบ้านเป็นยังไงบ้าง แกพอรู้ไหม ?”

    อาชา เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ความทรงจำที่เคหาสน์ทรงจีนหลังนั้นย้อนคืนอีกครั้ง ภาพผู้คนเดินเหินขวักไขว่ในบ้านหลังใหญ่ฉายในมโนสำนึก สัมผัสได้ถึงกลิ่นดอกไม้อ่อน ๆ และเสียงสายน้ำซู่ซ่า

    “บ้าน หลังนั้นมีคุณนายชางเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนเจ้าสัวชางที่เสียชีวิตไปเมื่อปี ที่แล้ว  เฟิงเฟยมีพี่สาวสองคน และน้องสาวที่ป่วยหนักตั้งแต่เกิดอีกคนหนึ่ง ผู้หญิงทั้งสี่คนเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่ต่างคนต่างอยู่ ความสัมพันธ์ค่อนข้างห่างเหิน จะพบปะก็ต่อเมื่อมีงานสำคัญ เอาเข้าจริง...นอกจากไป๋ปิงแล้ว ฉันไม่เคยเจอพี่น้องอีกสองคนของเธอเลย ”

    เซียนซาน พี่สาวคนโต และ เยี่ยนหยาง น้อง สาวคนเล็ก” นายตำรวจเอ่ยขึ้นมาอย่างครุ่นคิด “คุณนายชางขอร้องไม่ให้สอบสวนลูกสาวสองคนนี้ เพราะพวกเธอป่วยกระเสาะกระแสะ เดินเหินไม่ไหว พบใครไม่ได้”

     “ถึง อย่างนั้นก็ไว้ใจไม่ได้” ดวงตาของอาชาฉายประกายวูบวาบ วาระนั้นแขกเหรื่อเริ่มทยอยเข้ามาในร้าน เสียงผู้คนพูดกันอื้ออึง ความสงบเงียบเมื่อครู่หายไป

     คลับ คล้ายว่าเขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีแดงนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไป เธอนั่งโดดเดี่ยว โต๊ะข้างหน้าว่างเปล่า ผู้คนล้วนเดินผ่านไปมา ไม่มีใครสนใจหญิงสาวคนนั้น

    สตรีผู้นั่งเดียวดายเหลียวหันมายังชายหนุ่ม...เธอสวมหน้ากากสีทองปกปิดใบหน้าส่วนบน

    เพียงเสี้ยววินาทีที่อาชากะพริบตา...ที่นั่งตรงนั้นพลันว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของใครสักคน





     









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×