คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 หอผีเสื้อแดง
Chapter 1 หอผีเสื้อแดง
เสียงนกกลางคืนแหบพร่า คล้ายเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของภูตผี
พระ จันทร์คืนนี้ขาวสล้าง มีรัศมีสีน้ำเงินโอบล้อมดูเยือกเย็น ฤดูกาลนี้ดอกท้อกำลังเบ่งบาน ลำน้ำสีชาสายใหญ่ มีไอหมอกไอเหมยโชยชื้นขึ้นมาเช่นไอวิญญาณ ดอกท้อสีชมพูปลิดปลิวร่วงลงจูบผิวน้ำ เสมือนผีเสื้อโบยบินแล้วสิ้นแรง
ดึก แล้ว ตามถนนหนทางเงียบเชียบ หนูและแมลงสาบวิ่งวุ่นตามแนวถนนอันระเกะระกะด้วยโต๊ะเก้าอี้ และเศษขยะเหม็นหึ่ง กลิ่นธูปจากศาลเจ้ายังโชยหอม แสงเทียนจากวัดวาอารามจวนริบหรี่
๐ เพลงขลุ่ยผิว แผ่วสะอื้น ในคืนหลง
"เขา" ทะนง หนาวซ่าน สะท้านสั่น
หิมะพรม พร่างฟ้า น้ำตาจันทร์
ผืนดินนั้น ขมขื่น ด้วยขลุ่ยครวญ
แว่ว เสียงขับขานบทเพลงจากที่ใดสักแห่งไกลแสนไกล แขกขายผ้าใบหน้าหยาบกร้านมีเคราดำครึ้มยืนนิ่งหน้าร้านแหงนมองพระจันทร์สี ประหลาดด้วยดวงตาผวาหวาด เขารีบดึงประตูเหล็กพับปิดล็อคกุญแจแน่นหนา เจ้าหมาสองสามตัวเดินคุ้ยหาซากอาหารตามแนวบาทวิถี ลมพัดมาแผ่ว ๆ พวกมันตกใจครางหงิงก่อนจะวิ่งเร่หลบใต้โต๊ะไม้ริมทาง
ย่าน แห่งนี้เป็นย่านตลาดเก่าแก่ ตอนกลางวันครึกครื้นผู้คนทำมาค้าขาย ทั้งพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านต่างแออัดยัดเยียด ชาวไทย ชาวจีน ชาวซิกส์ และ ชาวมุสลิม ล้วนอยู่ร่วมกลมกลืน แต่ยามดึกดื่นที่นี่สงบสงัดชวนวิเวก ชาวบ้านล้วนซ่อนตัวในห้องหับมิดชิด
ไอ หมอกแผ่ซ่านตามแนวถนนไร้ผู้คน แว่วเสียงร้องเพลงเย็นเยียบจากรั้วบ้านสูงใหญ่ ความมืดอาบไล้ที่นี่ให้ดูทึบทะมึน รั้วหนาเป็นสีออกแดงซีดเก่าคร่ำคร่า พันธุ์ไม้เลื้อยเลาะปกคลุม ปูนถูกกาลเวลากะเทาะจนเห็นอิฐเรียงกันอัดแน่น
๐ พิณผีผา พาโศก กังวานซ้ำ
ดีดสายย้ำ คำตัดพ้อ ขอไห้หวน
"นาง" กรายนิ้ว กรีดเส้นสาย ใต้แสงนวล
ดีดสายรวน เล่นปนเส้น สายน้ำตา
แว่ว ผีผาดีดสลับเส้นสาย เสียงพิณอ่อนหวานเฉกเช่นเสียงไข่มุกร่วงเกรียวกราว นาฬิกาเรือนใหญ่จากบ้านหลังใดสักหลังในย่านนี้ส่งเสียงกังวานตีบอกเวลา เที่ยงคืน
หลัง กำแพงปูนหนาทึบ ต้นไม้ไร้ใบต่างโยกไหวเชื้อเชิญ แลเห็นแสงไฟสว่างไสวจากตึกแดงหลังใหญ่สร้างด้วยไม้ผสมปูน รูปแบบสถาปัตยกรรมเรียบง่ายตามแบบตะวันออก ปกคลุมด้วยหลังคากระเบื้องสีแดงคดโค้ง เนื้อไม้ขอบคิ้วตึกล้วนเสลาสลักลายประแจจีน(1) บ้างเป็นลายสวัสดิกะสี่เหลี่ยมหักมุมไขว้กัน บ้างเป็นลายเมฆอ่อนช้อยแปลกตา โคมกระดาษสีแดงเรียงยาวส่องสว่างตามแนวระเบียงชวนหลงใหล
๐ ขุนเขาหม่น เมฆเหงาลับ หลบทิวสน
เงาอุทก เอ่อท้น ท่วมนัยนา
เขากอดขลุ่ย ครวญรำพึง ถึงผีผา
จะพบกัน คราใดเล่า แสนเศร้าตรม
ยาม นี้ดึกดื่นเที่ยงคืน คละคลุ้งกลิ่นสุราเมรัย ยินเสียงอุปรากรขับร้อง บรรดาหญิงสาวออกมาร่ายรำกลางแสงสลัวบนเวทีใหญ่ ผ้าแพรงดงามโบกพลิ้ว ร่างกายอ่อนช้อยราวไร้โครงกระดูก งดงามเชื้อเชิญปานผีเสื้อราตรีเริงระบำ
เจ้านกกาตัวหนึ่งกางปีกมาเกาะบนยอดหลังคา มันเอียงหัวไปมาดวงตาแวววาว
เหตุใดกันหนอ...โต๊ะเก้าอี้ล้วนว่างเปล่าไร้ผู้ชม แนวระเบียงต่างซอมซ่อรกร้าง ไร้เสียงปรบมือชื่นชม ?
หรือโรงอุปรากรมืดสลัว มีเพียงผู้ชมที่ไร้ร่างกาย ?
เจ้า นกกาสะดุ้งกางปีกบิน เมื่อประตูใหญ่พลันเปิดออก เสียงบานประตูกระทบผนังดังกึกก้อง เห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่งโผวิ่งออกมา ใบหน้าขาวซีดตื่นกลัว ผ้าแพรสีแดงรอบร่างกายพลิ้วไหวราวกับกลุ่มหมอกสีเลือด เท้าเปลือยเปล่าทั้งคู่วิ่งไม่หยุด เหยียบย่ำไปตามแนวระเบียงอันเกลื่อนกลาดด้วยใบไม้แห้ง เสียงหืดหอบดังปะปนกับเสียงอึกทึกของหัวใจ
ทุกอย่าง พลันเงียบเชียบเมื่อร่างหญิงสาวหยุดชะงักที่ซุ้มประตูสูงใหญ่ ก่อนจะล้มคว่ำบนพื้น ดวงตาเหลือกลานเบิกโพลง ผ้าแพรสีแดงที่สวมอยู่เริ่มเปียกโชก กลิ่นคาวความตายคละคลุ้ง โลหิตรินไหลเป็นทางปานธารทับทิม
แม้โต๊ะเก้าอี้ว่างเปล่า...กลับได้ยินเสียงปรบมือดังสนั่น เสียงนั้นกึกก้องยาวนาน
ราวกับผู้ชมผู้ไร้ตัวตน กำลังสนุกสนานดื่มด่ำมหรสพแห่งความตาย
เสียงปรบมือกระหึ่มก้องทำให้ชายหนุ่มผู้นั่งแถวหน้าสุดของโรงละครสะดุ้งหลุดจากภวังค์
เสียง ปรบมือเบาลงแล้ว เหลือเสียงหัวใจของชายหนุ่มที่เต้นโครมครามในความเงียบสงบ เขากระชับสูทสากลสีดำชั้นดีของตัวเองด้วยมาดเคร่งขรึม อาชายก ผ้าขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าเย็นเฉียบ เส้นผมออกสีน้ำตาลคลอเคลียต้นคอ ส่วนหนึ่งไล่เลี่ยลงมาปลกหน้าผากซึ่งเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ดวงตาสีอำพันฉายความหวั่นไหว
พิธีกรเดินออกมาอยู่กลางเวทีเพื่ออวดโอ่การแสดงระบำนกยูงเผ่าไต(2) ที่เพิ่งจบไป อาชาพยายามหวนทบทวนนึกภาพตาม ทว่าชายหนุ่มลืมภาพการแสดงน่าทึ่งสองสามชุดที่ผ่านมาเสียจนสิ้น เขาคงเผลองีบหลับไปอย่างไร้มารยาท แต่กระนั้นภาพในภวังค์ฝันเมื่อครู่ช่างน่าพรั่นพรึง เหมือนกับความจริงไม่ผิดเพี้ยน
“อากาศ ในโรงละครเย็นเฉียบเสียจริงนะคุณ คงไม่หนาวเกินไปใช่ไหม” ชายวัยหกสิบปีผู้ไว้หนวดโค้งทรงสวยหันมาทัก เมื่อเห็นใบหน้าซีดจัดของชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ
“สงสัยผมตื่นเต้นที่จะได้ชมการแสดงชุดต่อไปที่คุณแนะนำ” อาชาเอ่ยตอบ เฉลิมพล ลูกค้า คนสำคัญของเขาอย่างมีมารยาท เฉลิมพลเป็นผู้กว้างขวางในแวดวงอุปรากรร่วมสมัย เขามีความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่อยู่เสมอ ความฝันของเฉลิมพลคือพัฒนาอุปรากรของเอเชียให้เป็นสากล ในวันนี้เจ้าตัวจึงเชิญอาชามาชมการแสดงที่นี่ พวกเขาทั้งสองนั่งประชิดขอบเวทีซึ่งเป็นที่นั่งที่ดีที่สุดสำหรับโรงละคร แห่งนี้ เพื่อจะได้เห็นสีหน้าแววตาของนักแสดงบนเวทีอย่างแจ่มชัด เห็นรายละเอียดของเส้นสายริ้วผ้า ไปจนถึงลีลาการพลิ้วไหวของร่างกายอย่างชิดใกล้
“คอย ดูการแสดงชุดต่อไปนะครับ ผู้หญิงคนนี้น่าทึ่งเหลือเชื่อ ผมเชื่อว่านักออกแบบเสื้อผ้าอย่างคุณจะได้แรงบันดาลใจจากเธอแน่นอน” เฉลิมพลหันมากระซิบอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขณะจับจ้องไปที่เวทีอย่างเฝ้าคอย ถึงแม้จะอายุถึงหกสิบปีแล้ว แต่ดวงตาของเขายังแพรวพราวเปี่ยมความร่าเริง เส้นผมยังเป็นสีดำขลับจัดทรงอย่างคนเจ้าสำอาง ใบหน้ามีเพียงริ้วรอยบาง ๆ ร่างสะโอดสะองสมชายชาตรี
“ผมรอชมอยู่ครับ” อาชายิ้มน้อย ๆ ขณะเฝ้าคอยการแสดงชุดต่อไป อาชาเป็นนัก ออกแบบเสื้อผ้าอิสระ ผลงานของเขามักสะท้อนความงามอันอ่อนช้อยและเรียบง่ายของสตรีตะวันออก เสื้อผ้าแต่ละชุดของอาชามีเอกลักษณ์คือลายปักด้วยมืออันประณีตบรรจงที่สืบ ทอดจากช่างฝีมือแห่งเซี่ยงไฮ้(3) อากง(4) ของเขาเคยเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าในสมัยที่เซี่ยงไฮ้กำลังเฟื่องฟูด้วยวิทยา การสมัยใหม่ สมัยนั้นสตรีชั้นสูงและเหล่าผู้มีชื่อเสียงนิยมสวมกระโปรงรัดรูป ดัดผมลอนประณีต และแต้มริมฝีปากด้วยสีแดงสด ช่างออกแบบในยุคนั้นจะผสานความอ่อนหวานแบบตะวันออกเข้ากับความเย้ายวนแบบ ตะวันตก มีศิลปะในการปกปิดเนื้อหนังและเปิดเผยเรือนร่างให้ยวนตาทว่าสง่างาม
น่าเสียดายเมื่อจีนมุ่งสู่ยุคแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม(5) ของพรรคคอมมิวนิสต์(6) พวกกองทัพพิทักษ์แดง(7) พุ่งเป้าทำลายศิลปะทั้งหลายจนสิ้น เสื้อผ้า เส้นไหม ถูกตราบาปว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งชนชั้นสูง ช่างตัดเย็บฝีมือดีล้วนต้องหลบหนีซ่อนเร้น บางคนถูกไล่ต้อนให้วางมือจากเข็มและจักรเย็บผ้า ไปทำไร่ไถนา
โชค ดีที่อากงของเขาหนีพ้น พร้อมกับนำวิชาการตัดเย็บมุ่งหน้าสู่เมืองไทย หวังสร้างเนื้อสร้างตน และถ่ายทอดศิลปะบนท้องผ้าให้ลูกหลาน...รวมถึงอาชา
อาชา หลุดจากภวังค์เมื่อไฟในโรงละครดับพรึบ ชายหนุ่มเพ่งตามองฝ่าความมืดไปยังเวที ทุกสถานเงียบกริบ จนรู้สึกว่าแม้กระทั่งเสียงหายใจของตนเองยังดังเกินไป แสงสว่างสลัวสีแดงสาดเป็นลำอยู่กลางเวที อาชานิ่งตะลึงด้วยพิศวง
โอ! ร่างที่กำลังเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลงพิณบนเวทีนั่นคือผีเสื้อหรือไร ?
เจ้า ผีเสื้อสีแดงถลาบินกลางพายุอย่างพลิ้วไหว ผืนผ้าแพรผ่านพัดรอบกายเสมือนละอองเกสร พายุรุนแรงชั่วขณะจิต เจ้าผีเสื้อร่อนลมหลงทางอ้างว้าง บางครั้งฝืนสู้ฝืนบิน บางครากลับหมดแรงซบลงกับผืนดิน
อาชายืดตัวตรง เขาไม่เคยเห็นการร่ายรำที่ประหลาดและตรึงตาถึงเพียงนี้ ลีลาของนางระบำไม่ต่างจากสายลม...ใช่แล้ว! ผีเสื้อแดงเลอโฉมผู้นี้กำลังเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม!
ดีไซเนอร์ หนุ่มระบายลมหายใจอย่างตะลึงลาน เมื่อการแสดงแสนสั้นจบลง และแสงไฟบนเวทีค่อย ๆ หรี่ดับ ใบหน้าของผีเสื้อสีแดงขาวผ่อง ดวงตาสีดำคู่นั้นประหลาดนัก เป็นดวงตาที่บรรจุไว้แต่เพียงความว่างเปล่า
เสียง ปรบมือกระหึ่มกึกก้องทั่วทั้งโรงละคร ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนส่งเสียงชื่นชมอื้ออึง อาชากลับนั่งนิ่งหลงในความพิศวง แว่วเสียงเฉลิมพลล่องลอยกระทบโสตประสาท
“เฟิงเฟย...ชื่อของเธอคือเฟิงเฟย! เฟิงเฟยที่แปลว่าสายลมล่องลอย!”
ลายปักหงส์ขาวท่ามกลางผีเสื้อและหมู่มวลดอกเหมยโดดเด่นบนกี่เพ้า(8) สีแดงสด
ย่าน ตลาดเก่าแก่แห่งนี้ครึกครื้นผู้คนในยามกลางวัน เว้นเสียแต่ในซอยโรยกรวดแคบ ๆ พอให้รถคันหนึ่งผ่านไปได้ ข้างหนึ่งเป็นแนวรั้วก่ออิฐถือปูนสูงทะมึนมีพืชพันธุ์ไม้เลื้อยปกคลุมเกือบ ท่วม ซุ้มประตูทรงจีนตั้งตระหง่านเป็นทางเข้า มังกรและหงส์เคียงคู่อยู่บนยอดหลังคากระเบื้อง มันเก่ามากเสียจนสีหลุดลอกเหลือให้เห็นเป็นเพียงซากของความรุ่งโรจน์
พิณ และขลุ่ยเล่นเพลงมงคล ดังเล็ดลอดมาจากข้างในซุ้ม ลมหอมหวานพัดป้ายไม้แกะสลักโยกไหวไปมา เสียงโซ่เสียดสีดังเสียดแหลม อักษรจีนบนป้ายเขียนไว้ว่า หอผีเสื้อแดง
ชาว ตลาดเก่าที่นี่รู้กันดีว่าหอผีเสื้อแดงเป็นโรงละครเก่าแก่ที่ถูกปิดร้างมา นานแล้ว ไม่มีใครกล้าผ่านไปมาทั้งในยามกลางคืนหรือกลางวัน ที่นี่จึงไร้ผู้คน เห็นแต่เพียงหญิงอัปลักษณ์ท่าทางวิกลจริตกำลังปัดกวาดเศษใบไม้บนลานกว้างซ้ำ แล้วซ้ำเล่า ไม่มีใครรู้หรือสนใจหาคำตอบว่าเธอเป็นใคร
ใน อาณาเขตแนวรั้วเดียวกัน มีเคหาสน์ของเจ้าสัวแซ่ชางผู้มั่งคั่งตั้งตระหง่านเคียงข้างกับหอผีเสื้อแดง ...ทุกคนล้วนรู้จักเจ้าสัวแซ่ชางอย่างดี ด้วยว่าเขาคือเจ้าของหอผีเสื้อแดงนั่นเอง
อาณาเขต ที่กั้นระหว่างหอผีเสื้อแดงและเคหาสน์ตระกูลชาง เป็นหนองน้ำใสแจ๋วปานกระจกแก้วมองดูละม้ายทะเลสาบย่อส่วน สะพานหินสีเทาทอดข้ามเชื่อมสองอาณาเขตถึงกัน มีต้นหลิวลู่ลมยืนนิ่งริมฝั่งเหมือนคนไว้อาลัย
เคหาสน์ตระกูลชางดัดแปลงมาจากรูปแบบสถาปัตยกรรมซื่อเหอย่วน(9) อันเคร่งขรึมและอ่อนช้อยอยู่ในที มีตึกทั้งสี่ทิศหันหน้าเข้าหากันประสานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มี แนวระเบียงสีแดงสลับซับซ้อนคอยเชื่อมตึกทั้งสี่ทิศ ทางเดินตลอดสายมีหลังคาลอนกระเบื้องสีเทาอ่อนช้อยปกคลุม ประดับประดาด้วยโคมสีแดงวาดลวดลายสัตว์มงคล
ลานกว้างตรงกลางระหว่างตึกทั้งสี่เป็นอุทยานร่มรื่น ผู้ อาศัยจะได้ยินเสียงน้ำตกและสายน้ำไหลกระทบโขดหิน ท่ามกลางหมู่แมกไม้มีศาลาแปดเหลี่ยมซ่อนเร้น บัวแล้งน้ำชูช่อตามรายทาง พุ่มดอกเบญจมาศสีเหลืองอวดหน้าสลอน กลุ่มหินตั้งตระหง่านจัดวางดั่งขุนเขา ต้นไม้น้อยใหญ่ผนวกเข้ากับเหลี่ยมมุมของเคหะสถานได้อย่างกลมกลืน
วันนี้บานประตูหรูอี้สีแดง(10) ของเคหาสน์เปิดกว้างต้อนรับแขกเหรื่อ...สิงห์สองตัวอันสลักจากหินยืนตระหง่านขนาบข้างประตูต้อนรับผู้มาเยือน มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าในวันนี้ อาณาจักรลับแลของเจ้าสัวผู้มั่งคั่งมีงานมงคล
ใน เรือนครัววุ่นวาย อาหารมงคลกว่าสิบอย่างเรียงราย ไฟจากกระทะเหล็กใบเขื่องลุกโชติสว่างวาบท่วมห้องเครื่อง เสียงตะหลิวกระทบกระทะดังกังวาน คละเคล้ากลิ่นหอมฉุน คนรับใช้ที่กำลังเดินผ่านไปมา ต้องเหลียวมาเกาะดูด้วยน้ำลายสอ พ่อครัวควงปลายมีดเงาปลาบแล่เนื้อปลาอย่างคล่องแคล่ว พร้อมเด็ดผักกุยช่ายอีกกำมือโยนลงกระทะผัด
ป้ายวิญญาณ(11) ของเจ้าสัวชางผู้ล่วงลับตั้งอยู่ในห้องกว้าง กลิ่นควันจากกระถางธูปหอมโชย ทั่วอาณาประดับไปด้วยผ้าแพรสีแดงสด และป้ายอักษรมงคล
ห้อง นอนสีแดงของเจ้าสาวอยู่บนชั้นสองของปีกตึกทางทิศตะวันออก โต๊ะเครื่องแป้งเรียงรายด้วยเครื่องประดับและเครื่องสำอาง หน้าบานกระจกสะท้อนภาพใบหน้าขาวผ่อง ริมฝีปากจิ้มลิ้มรับกับจมูกเล็ก ๆ เป็นความงามอันบริสุทธิ์ มีเพียงดวงตาคู่ประหลาดที่ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแลดูเศร้าหมอง เพราะดวงตาคู่นั้นบรรจุไว้แต่ความว่างเปล่า
ชุด ที่เธอสวมคือกี่เพ้าสีแดงเลือดนก ลวดลายปักหงส์ขาวโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามและการเริ่มต้นใหม่ กิ่งดอกเหมยชูช่ออวดกลีบสีชมพูตามแนวบ่าและเอวมองดูอ่อนช้อยงดงาม เหล่าผีเสื้อสีทองอันเป็นสื่อแห่งความมั่งคั่งตามความเชื่อของชาวจีนโบยบิน ตลอดชายผ้า แสงตะวันจูบไล้ประกายเส้นไหม ดูราวเจ้าผีเสื้อมีชีวิต
“ผีเสื้อ สีแดงของแม่...ขบวนเจ้าบ่าวกำลังมาถึงแล้วนะ” หญิงวัยกลางคนโน้มตัวจูบหน้าผากบุตรีอย่างแสนรัก ลูบลายปักดอกเหมยสีชมพูและผีเสื้อสีทองบนชุดกี่เพ้าของบุตรสาวแผ่วเบา ก่อนจะปักปิ่นทองและช่อใบทับทิมมงคลเสียบที่เรือนผมดำขลับของเจ้าสาวเพื่อ อวยพร แล้วห่มผ้าแพรสีแดงคลุมใบหน้าให้
นกกากรีดร้อง เสียงของมันเสียดแหลมเยือกเย็น ดังมาจากระเบียงอีกด้าน
คุณนายชางหยุดชะงัก สายลมพัดผ่านผิวกายจนเย็นเฉียบ กลิ่นกำยาน(12) ประหลาดล่องมาจากตรงนั้น ...จากระเบียงด้านตรงข้ามที่ห้อมล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบ
หญิง วัยกลางคนมองผ่านหน้าต่างไปอย่างสงสัย มู่ลี่ไม้ไผ่ปกปิดมิดชิดราวกับผู้อยู่อาศัยในปีกตึกฝั่งนั้นต้องการซ่อนตัว จากผู้คน ม่านขยับเบา ๆ คล้ายเห็นเงาวูบไหวของใครบางคน
เสียงผีผาสะอื้นไห้มาจากที่ไกลลิบลิ่ว...แต่ไม่มีใครในพิธีมงคลได้ยิน
ขบวน ของเจ้าบ่าวมาถึงแล้ว เสียงดนตรีเอิกเกริกรื่นเริง เด็กเล็กเด็กน้อยลูกหลานคนใช้ในบ้านถือกาน้ำชาออกมาต้อนรับ ฝ่ายเจ้าบ่าวขนขนมมงคล ทั้งข้าวเหนียวเคลือบงา ขนมเปี๊ยะ ขนมโก๋ ข้าวพองทุบห่อกระดาษสีแดงวางเรียงรายบนโต๊ะในห้องโถง พร้อมด้วยผลไม้นำโชคอย่างส้มเช้งกว่าร้อยผล ตั้งเคียงข้างเนื้อสัตว์นำโชคตามธรรมเนียมจีนแต่ดั้งเดิม
“เฟิงเฟยแต่งตัวเสร็จแล้ว รออยู่ในห้อง อาชา...นำดอกไม้และปิ่นทองไปให้น้องสิลูก” คุณนายชางผู้เป็นหญิงหม้ายออกมาต้อนรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
อาชา ยิ้มแก้มปริ ในวันนี้เขาสวมชุดสูทสากลสีดำ แต่ปักลายมังกรสีแดงและทิวไผ่ตรงปกและชายเสื้อ หัวใจของเขาเต้นรัวแรง ใบหน้าทุกคนรอบกายที่ร่วมแสดงความยินดีปานประหนึ่งภาพมายา ชายหนุ่มรู้สึกพร่าตา ชั่ววูบเขาเห็นแววเนตรเย็นชาของใครคนหนึ่งจ้องมา
“เก็บ ค่าผ่านทางด้วยค่ะ” เสียงของเด็กสาวใบหน้ากลมแป้นเหมือนซาลาเปาสองคนฉุดดึงชายหนุ่มจากภวังค์ สองเด็กสาวถือริบบิ้นกั้นทางไว้ ชายหนุ่มควักเอาซองสีแดงยื่นให้ เด็ก ๆ ยิ้มแก้มปริรีบรับซองแดงใส่กระเป๋าแล้วเปิดทาง
ดวงตาอาชาเปี่ยมสุข เขายังจำภาพวันที่พบเฟิงเฟยครั้งแรกได้ดี วันนั้นเธอคือผีเสื้อแดงร่อนลมอยู่บนเวที ในวันนี้เธอคือเจ้าสาวของเขา
ปิ่น ทองคำที่เขาเตรียมมาคือปิ่นลายผีเสื้อ ชายหนุ่มออกแบบด้วยตัวเอง ลวดลายละเอียดลออ ไม่มากไม่น้อยเกินงาม เส้นลวดทองคำบาง ๆ ม้วนขด ปิ่นนั้นช่างดูบอบบางราวกับเฟิงเฟยของเขาไม่มีผิด
อาชา เดินมาถึงห้องนอนของเฟิงเฟยแล้ว... ชายหนุ่มแหวกม่านโปร่งบางเข้าไปตามทาง ได้กลิ่นหอมหวนจากดอกไม้ชนิดหนึ่งโชยมาต้องจมูก กลิ่นนั้นช่างหอมเย็นเร้นลับ
ม่านชั้นสุดท้ายถูกแหวกออก...ดวงตาของอาชาเบิกโพลง หัวใจของเขาหยุดเต้น
บนพื้นพรมสีขาวบริสุทธิ์ มีเพียงภาพเขียนพู่กันจีนรูปนางระบำในผ้าแพรสีแดงวางทิ้งไว้ เนื้อกระดาษปลิดปลิวฉีกขาดเป็นสองแผ่น
ห้องนอนว่างเปล่า...เจ้าสาวของเขาหายตัวไป!
(1) ลายประแจจีน เป็นลาย แบบจีนชนิดหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมหักมุมไขว้กัน ซึ่งประยุกต์นำลวดลายของธรรมชาติ มาปรับเป็นลายเส้นเรขาคณิต กลายเป็นสัญลักษณ์ทางสิริมงคล หมายถึงมงคลอันไม่มีที่สิ้นสุด
(2) ระบำ นกยูงเผ่าไต เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของชาวไตในเขตมณฑลยูนหนาน ท่าระบำเลียนแบบอากัปกิริยาของนกยูง โดยชาวไตจะนับถือนกยูงเป็นนกศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขสิริมงคล
(3) เซี่ยงไฮ้ ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจีน ในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง จนกระทั่งปี พ.ศ.2385 อังกฤษ ใช้เซี่ยงไฮ้เป็นท่าเรือเพื่อทำการค้าและต้อนรับนักลงทุนต่างประเทศ เซี่ยงไฮ้ได้กลายเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีประเพณีจีนอันผสมผสานค่านิยมตะวันตกไปพร้อมๆ กัน ในปัจจุบัน เซี่ยงไฮ้ถือเป็นเมืองที่เจริญที่สุดของจีน
(4) อากง แปลว่า ปู่ หรือ ตา ในภาษาจีนแต้จิ๋ว
(5) การปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) เป็นการปฏิวัติที่ประเทศจีน เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2509-2519 เพื่อกวาดล้างแนวคิด กลุ่มคน หรือสิ่งใด ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น กวาด ล้างระบอบข้าราชการอิทธิพล ระบอบนายทุน ทำลายศิลปะที่เกี่ยวข้องกับความฟุ่มเฟือยและเป็นสัญลักษณ์ของนายทุน กวาดล้างเยาวชนที่ประพฤติตัวแบบชนชั้นกลาง เปลี่ยนชื่อถนนหนทางที่เป็นชื่อของเจ้าขุนมูลนายเสียใหม่ วินิจฉัยบรรดาครูบาอาจารย์และข้าราชการระดับต่างๆ ว่ามีการกระทำอันใดไปในทางรับใช้ชนชั้นนายทุนและชนชั้นกลางหรือไม่ ฯลฯ
(6) พรรคคอมมิวนิสต์จีน ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ.2464 มีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมความสามัคคีของกรรมกรและชาวนาเพื่อโค่นล้มระบบนายทุน และสร้างสังคมที่เจริญก้าวหน้า เสมอภาคเท่าเทียมกัน
(7) กองทัพพิทักษ์แดง (Red Guard) คือ กลุ่มเยาวชนที่ได้รับการศึกษาและอบรมบ่มเพาะตามวิถีแนวคิดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ อุทิศตนเพื่ออุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์อย่างสุดโต่ง จนทำให้เกิดความรุนแรงในจีน ถึงขั้นตัดเศียรพระพุทธรูป สาปแช่ง ฆ่าประจานผู้ที่ไม่เห็นด้วย
(8) กี่เพ้า เป็น เครื่องแต่งกายสำหรับสตรีชาวจีน มีลักษณะเหมือนเสื้อที่มีชายยาวปกคลุมท่อนขา ขนาดพอดีตัว ด้านข้างมีตะเข็บผ่าเพื่อให้ก้าวขาได้สะดวก ต่อมาได้รับการปรับปรุงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ใน เมืองเซี่ยงไฮ้ ให้มีรูปทรงแนบกับสรีระ เพื่อเน้นทรวดทรงของผู้สวมใส่ เป็นแฟชั่นที่นิยมในสังคมชั้นสูงของจีนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
(9) ซื่อเหอย่วน เป็นลักษณะของสิ่งก่อสร้างที่อยู่อาศัยของชาวจีน มีลักษณะเป็นสวนล้อมรอบด้วยเรือน 4 หลัง โอบล้อมสวนตรงกลางเอาไว้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนศิลปะในการสร้างที่อยู่อาศัยอันแสวงหาความสงบ ความปรองดอง และ ความรู้จักพอ
(10) ประตูหรูอี้ หมาย ถึง ประตูสมปรารถนา ตามปกติบ้านแบบซื่อเหอย่วน จะมีประตูสีแดงเป็นประตูรั้วตั้งทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ บานประตูจะประดับที่เคาะประตู และอักษรมงคล ผู้อาศัยจะเรียกชื่อประตูตามอักษรมงคลที่ประดับเหนือประตู ประตูหรูอี้ในที่นี้จึงหมายความว่า มีอักษรมงคลเขียนไว้เหนือประตูว่า หรูอี้ อันหมายถึง สมปรารถนา
(11) ป้ายวิญญาณ เป็น ป้ายสัญลักษณ์ที่วิญญาณผู้ตายเข้าสิงสถิตอยู่และถือว่าวิญญาณนั้นเป็น เทพเจ้า ข้อความในป้ายจะระบุชื่อแซ่ผู้ตาย วันเดือนปีเกิด ปีตาย ชื่อบุตรชายคนโต จำนวนบุตรทั้งหมด ชื่อแซ่ภรรยา เป็นต้น ป้ายวิญญาณถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สื่อสารกับคนในครอบครัวได้ เมื่อคนในครอบครัวมีปัญหา จึงมักจะไปปรึกษาเล่าความให้ฟัง รวมทั้งขอความช่วยเหลือให้ได้รับในสิ่งที่พึงประสงค์
(12)
กำยาน คือ สิ่งที่ใช้จุดให้เกิดควัน
และมีกลิ่นหอมหลากหลายตามแต่ส่วนผสมที่ใส่ลงไป
คล้ายกับธูปแต่มีสูตรส่วนผสมที่แตกต่างกัน คือ
ส่วนผสมหลักของกำยานจะสกัดจากต้นกำยานโดยเฉพาะ
ในอดีตนิยมจุดกำยานเพื่อถวายแด่องค์เทพตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู
ปัจจุบัน นิยมจุดระหว่างนั่งสมาธิ และสร้างบรรยากาศ
กลิ่นหอมของกำยานจะช่วยให้จิตนิ่งสงบมากขึ้น
ความคิดเห็น