คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [fic] Toptory 'Zeal' Chapter 3
[ZEAL]
fic : TOPTORY
rate : PG-15
Author : Vindice
[[[อย่ามัวแต่ซุ่มอ่าน เม้นบ้างเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะครับ "( '_')]]]
คำเตือน(?):ไรท์เตอร์เป็นมือใหม่หัดแต่ง ถ้าผิดพลาด พิมพ์ผิด หรืองงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ
ตอนนี้ยาวมากกกก(?)บอกทำไม ฝากติดตามกันเยอะๆนะคร๊าบ
“ผมบอกว่าผมไม่รู้ไง ฮ..ฮืออ” เด็กหนุ่มร้องไห้โฮออกมาอย่างน่าสงสาร เขาคุกเข่าอ้อนวอนชีวิต พร้อมกับส่ายหัวปฏิเสธหญิงสาว เธอปลดล๊อคไกลปืนพร้อมแล้วจะเหนี่ยวไกลปลดปล่อยก้อนตะกั่วให้เข้าไปฝังในหัว ของซึงรี
ปัง!!~~~ เสียงลั่นไกลปืนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
*
*
ร่างของหญิงสาวกระตุกไปด้านหน้า ก่อนที่จะล้มลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ค่อยๆไหลออกมาจากด้าน หลัง นองเป็นแอ่งรอบตัว ซึงรีอ้าปากค้าง ตกใจสุดขีดเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นไวมาก
หลังจากหญิงสาวโดนปลิดชีพแล้ว แสงแดดจ้าจากปากทางช่องตึกก็ส่องผ่านเห็นเงาชายรูปร่างสูงโปร่งค่อยๆเดิน เข้ามาหาเด็กหนุ่มเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน สมองของซึงรีคิดอะไรไม่ออกแล้ว เพราะอารมณ์ของเขาเลยคำว่าความกลัวมาแล้ว ถ้าจะโดนฆ่าอีกรอบ คงไม่มีอาการกลัว มีแต่จะน้อมรับชะตากรรมของตนเอง
“เจ็บตรงไหนมั้ยครับ” ทันทีที่เจ้าของเงานั่นมาถึงก็ยื่นมือลงมาให้เด็กหนุ่มดึงแล้วลุกขึ้นมา
เป็นชายร่างสูงโปร่ง ผมสีทอง ใส่ชุดสูทดำสนิด กับแว่นกันแดดสีดำ ลักษณะการแต่งกายเหมือนครั้งแรกที่ซึงรีเจอกับผู้ที่ช่วยชีวิตของเขาไว้ ‘ชเว ซึงฮยอน’
“ข..ขอบคุณฮะ” เด็กหนุ่มยื่นมือรับน้ำใจจากอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทันทีที่เขาลุกขึ้นก็ปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าไปทั่ว
“นี่ครับ เช็ดน้ำตาซะ”ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดให้เด็กหนุ่ม
“ขอบคุณอีกครั้งฮะ”
ชายผมทองเดินไปที่ร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวแล้ว ดึงมือของเธอออกมาถกแขนเสื้อออกเผยเห็นรอยสักลายมังกรดำขนาดพอดีหลังฝ่ามือของเธอ
“จำไว้นะครับ ถ้าเจอคนที่มีลายสักแบบนี้ ให้รีบหนีสุดชีวิต”เขาเงยหน้าขึ้นมามองซึงรีพร้อมกับยกมือของศพหญิงสาวที่มี ลายสักนั่นให้ดู “หรือไม่ก็ฆ่ามันก่อนที่มันจะฆ่าเรานะครับ” คำพูดที่ดูโหดร้ายนั่นทำให้เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเฮือก
ชายผมทองลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มที่ยืนตัวแข็งอยู่
“ผมชื่อควอน จียงครับ ต่อไปนี้เวลาที่คุณไม่ได้อยู่กับหัวหน้า ผมจะมาดูแลคุณเอง”พูดพร้อมก้มโค้งให้อีกฝ่าย
“ฮ..ฮะ ผมชื่อซึงรี” ร่างเล็กก็โค้งตอบรับเช่นกัน “ขอบคุณมากนะฮะ ที่ช่วยชีวิตผมไว้”
เขายิ้มรับเล็กๆแล้วเดินนำซึงรีออกไปจากช่องแคบๆนี่ ชายที่อยู่ตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายใจ ไม่กดดันเหมือนกับที่อยู่กับซึงฮยอน อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มที่เห็นได้ตลอดตั้งแต่เจอกัน หรืออาจจะเป็นเพราะใบหน้าเรียวหล่อของเขา เขาฆ่าคนได้ทั้งๆที่ยังยิ้มอยู่ แล้วไม่รู้สึกสะทบสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ซึงรีชักจะสงสัยแล้วสิ ว่าคนพวกนี้ทำงานอะไรกันแน่ แล้วตอนที่เจอซึงฮยอนครั้งแรก เขาวิ่งหนีใคร แล้วผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใคร คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวที่แน่นไปด้วยความรู้ของเด็กหนุ่ม
*
“เปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนดีกว่านะครับ เสื้อคุณเปื้อนเลือดหมดแล้ว” จียงบอกเด็กหนุ่มขณะที่กำลังปลดล๊อคเข็มขัดนิรภัยที่นั่งคนขับ แล้วยื่นมือมาปลดเข็มขัดให้อีกฝ่ายเช่นกัน
“ไปเปลี่ยนที่บ้านผม.. เอ่อ.. บ้านคุณท็อปก็ได้ฮะไม่ต้องซื้อใหม่ก็ได้”
“เสื้อผ้าที่คุณใส่ล้วนเป็นของหัวหน้าทั้งนั้น คุณยังไม่มีเป็นของตัวเองเลยนี่ครับ” เขากล่าวอย่างสุภาพ
“คุณท็อปให้เงินผมมาแค่พอซื้อกับข้าว แล้วอีกอย่างคือผมไม่มีเงินพอจะซื้อเสื้อผ้าพวกนี้หรอกฮะ”
เมื่อก่อนเด็กหนุ่มเป็นลูกคุณหนูที่อยากได้อะไรก็สามารถใช้บัตรเครดิตพ่อ ซื้อได้ตลอด แต่เขารู้ตัวดี ว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานะนั้นแล้วจึงต้องเจียมตัวไว้บ้าง
“ผมจะซื้อให้ต่างหาก ตามมาสิครับ”พูดเสร็จไม่รีรอ ชายร่างสูงโปร่งเปิดประตูแล้วเดินจ้ำเข้าร้านไปอย่างรวดเร็ว ซึงรียังไม่ทันได้ค้านอะไร ก็ต้องรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งตามเขาเข้าไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
.
.
.
“จ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตดีคะ” พนักงานสาวกล่าวถามซึงรีที่ยืนมองตัวเองอยู่ในกระจก
“เอ่อ..”
“บัตรเครดิต .. นี่ครับ” จียงเดินเข้ามาตัดบทแล้วยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานสาว ก่อนที่เธอจะรับบัตรแล้วเดินเข้าไปคิดเงินที่เค้าเตอร์
“ขอบคุณมากนะฮะ คุณ..” เด็กหนุ่มนิ่งค้างไปเพราะลืมชื่ออีกฝ่าย
“ควอน จียงครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ และรอยยิ้มที่ดูเป็นกันเองเสมอ
“ฮะ คุณจียง”
รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นนั่น ทำให้ซึงรีสามารถยิ้มตอบรับได้อย่างเต็มใจและมีความสุขเสมอ ถึงจะเพิ่งรู้จักกันก็เถอะ
“กลับกันเลยดีมั้ยครับ”
“ก็ดีฮะ แต่ผมยังไม่ได้ซื้อกับข้าวไปให้คุณท็อปเลยนะ”
“งั้นเดี๋ยวเราไปซื้อกันก่อนก็ได้ครับ” เขายิ้มอีกครั้ง เพื่อความสบายใจของเด็กหนุ่ม
“ว่าแต่ ตั้งแต่คุณเข้ามาในร้าน ทำไมคุณไม่ถอดแว่นกันแดดออกเลยล่ะฮะ “ เด็กหนุ่มยื่นหน้าไปมองแว่นกันแดดไกล้ๆ แล้วชี้ดูด้วยความสงสัย
“เพื่อชีวิตที่ยืนยาวยังไงล่ะครับ”
“เอ๊ะ!?”
*
“ไปซื้อกับข้าวถึงญี่ปุ่นเลยรึไงครับ” ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกกับเสียงทุ้มต่ำที่กำลังไกล้เข้ามา ขณะที่เขากำลังเปิดประตูเข้าบ้าน “โอ้โห ได้เสื้อผ้าใหม่ซะด้วย” ชายร่างสูงเดินเข้ามาไกล้พร้อมกับจับชายเสื้อของเด็กหนุ่มแล้วถูเบาๆ
“เงินแค่สามหมื่นวอนซื้อเสื้อตัวละหลายแสนวอนได้เลยหรอเนี่ย แถมซื้อได้เป็นสิบๆตัวอีกต่างหาก อื้มม~” น้ำเสียงกับสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูประชดประชันนั่น ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะพูด
“เข้ามาอาบน้ำอาบท่าก่อนแล้วมาคุยกันนะ” พูดเสร็จชายหนุ่มก็เดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน
“เห้อ~ จะบอกดีมั้ยนะ กลัวคุณท็อปเป็นไม่สบายใจจัง”
.
.
.
“นายจะบอกว่าไปเจอเงินตกสิบล้านวอน แถมหลงทางในเมืองเนี่ยนะ” ชายหนุ่มหัวเราะร่ากับคำแก้ตัวของซึงรี ที่เล่าเป็นฉากๆมานานกว่าสิบห้านาที ในห้องรับแขกใจกลางบ้าน เขาเอนล้มลงตัวนอนกับโซฟาแล้วหัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม
“จะ..จริงๆนะ ก็ผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศนี่ ผมไม่รู้เส้นทางในเมืองหรอกฮะ”เด็กหนุ่มถอนหายใจ ทำท่าหมดอาลัยตายอยากให้อีกฝ่ายเชื่อสนิด
ชายหนุ่มหยุดหัวเราะ ลุกขึ้นมาแล้วยื่นหน้าไปหาร่างเล็กจนจมูกแทบจะติดกัน
“อ...อะไรฮะ” เด็กหนุ่มพยายามหลบสายตาไปทางอื่น
“จียงบอกผมหมดแล้วล่ะ” ชายหนุ่มกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่ายเบาๆ
ซึงรีเบิกตาโตมอง ชี้นิ้วไปที่ใบหน้าหล่อ ที่กำลังยิ้มเย้ยอย่างเจ้าเล่ห์
“นี่คุณรู้?”
“เขาไม่ได้บอกหรอ ว่าผมว่าผมส่งเขาไปดูแลนาย”
“บอกแค่ว่าจะมาดูแลผม ตอนที่คุณไม่ว่าง”
“แค่นั้นนายก็น่าจะรู้แล้ว เรียนถึงฮาเวิร์ดแค่นี้ทำไมคิดไม่ออกกันนะ” ชายหนุ่มขำแล้วทำสีหน้าเย้ยหยันใส่เด็กหนุ่ม
“ก็ตอนนั้นคนมันตกใจนี่ฮะ ... คนเพิ่งรอดชีวิตหวุดหวิดมานะคุณท็อป” สายตาของเด็กหนุ่มเริ่มดูเศร้า เสียงเริ่มแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขารู้สึกผิดกับคำพูดเมื่อครู่
“โอ๋ๆๆ ไม่ร้องนะ ผมแค่ล้อเล่นเฉยๆ มากินข้าวกันดีกว่า โอ้โหพิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยนของโปรดผมเลยนะ นายรู้ได้ยังไง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้สึกผิด เขาพยายามสร้างบรรยากาศใหม่
“คุณจียงบอกน่ะฮะ” ซึงรีตอบเสียงอ่อยๆดูเหมือนสิ่งที่เขาพยายามทำจะไม่ได้ผล
“ผมขอโทษละกัน ที่ล้อเล่นอะไรแบบนี้ … แล้วก็เลิกคุยกับผมแบบเป็นทางการได้แล้ว เรียกว่าพี่ท็อปเถอะ”
“โอเคฮะ”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ตั้งหน้าตั้งตากินพิซซ่าที่ซึงรีซื้อมา ไม่มีใครคิดที่จะเปิดบทสนทนาใหม่อีกเลย ในใจของซึงฮยอนก็อยากจะกล่าวขอโทษอีกเป็นครั้งที่สอง แต่มันจะดูซ้ำแซะเกินไป ซึงรีก็อยากจะบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะดูจากสีหน้าของร่างสูง เขาดูเป็นกังวลมากหลังจากที่พูดดูถูกอีกฝ่ายไว้ ไม่นานเด็กหนุ่มก็เกิดความดีๆ แต่ก็ไม่เชิงเพราะนี่เป็นสิ่งที่ตนเองอยากรู้มาได้ซักพักแล้ว
“พี่ท็อปฮะ”
“หืม” ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาออดอ้อนเพื่อจะ สำนึกผิด พยายามจะทำออกมาเนียนๆแต่เด็กหนุ่มก็รับรู้ได้
“นี่ .. ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ เลิกรู้สึกผิดได้แล้ว”
“ใคร!? ใครรู้สึกผิด ไม่มี๊”
“เสียงสูงจังนะฮะ คิกคิก”ร่างเล็กทำท่ากลั้นขำเล็กๆ
“ว่าแต่นาย... มีอะไรหรอ”
“วันนี้ที่ผมเจอพี่จียงเขาก็แต่งตัวเหมือนพี่ แถมยังใส่แว่นกันแดดไม่ยอมถอดเหมือนพี่ด้วย พอผมถามเค้าก็ตอบกวนๆว่า ‘เพื่อชีวิตที่ยืนยาว’ มันเกี่ยวอะไรกันหรอฮะ แว่นกันแดดเนี่ย”
“อืม... ที่จียงพูดก็ถูกนะ เพื่อชีวิตที่ยืนยาว”
“พี่ก็จะตอบกวนผมอีกคนหรอฮะ”
“ป่าวนะครับ.. นั่งรอเดี๋ยวนะ อย่าไปไหนล่ะ” ชายหนุ่มบอกก่อนที่จะลุกเดินหายไปจากห้องครัว
“ถามก็ไม่ยอมตอบดีๆ หนีไปซะและ เห้อ~” ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนั่งบ่นอุบอยู่คนเดียว
พรึ่บ!~ ไม่กี่นาทีต่อมา ไฟทั้งบ้านก็ดับลง
หลังจากทุกอย่างรอบๆตัวมืดลง ร่างเล็กก็นั่งตัวแข็งเพราะทำอะไรไม่ถูก ไม่นานเขาก็ตัดสินใจยืนขึ้นแล้วค่อยๆสาวเท้าทีละก้าวช้าๆเดินออกจากห้องครัว เพื่อไปตามหาซึงฮยอน
“ให้ตายสิ มองอะไรไม่เห็นเลย พี่ท็อปปป~”ร่างเล็กกล่าวเรียกอีกคนเสียงดัง
มือก็คว้าอากาศไปเรื่อยๆกลัวว่าจะไปชนเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ หรือกำแพง แต่เขาก็กะเส้นทางเดินได้ดีเพราะเริ่มชินกับบ้านหลังนี้แล้ว ร่างเล็กในความมืดพยายามเดินไปที่ใจกลางบ้านที่มีกำแพงใส หวังอาจจะเจอแสงจากดวงจันทร์ทำให้มองเห็นได้บ้าง
“พี่ท็อปปฮะ~ ”
จริงๆตอนนี้ถ้าเป็นซึงรีคนเก่า เขาอาจจะร้องไห้โฮด้วยความกลัวไปแล้ว แต่เขาเจอประสบการณ์เกือบตายหวุดหวิดมาถึงสองครั้งแล้ว ไฟดับแค่นี้คงทำให้เขากลัวไม่ได้
แต่..
ความกลัวก็เริ่มคลืนคลานเข้ามาในจิตใจ เมื่อร่างเล็กเดินชนเขากับบางอย่างด้านหน้าเบาๆ ทันทีที่สัมผัสโดนก็รู้ได้เลยว่าที่ชนเป็นมนุษย์แน่ๆเพราะความอุ่นจากเนื้อ ผ้าที่สัมผัสโดน
“พ...พี่ท็อป~”เด็กหนุ่มเอ่ยถาม “พี่ท็อปทำไมไฟดับฮะ พี่ลืมจ่ายค่าไฟหรอ”
... ไม่มีเสียงตอบรับจากมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า เขาเริ่มหน้าซีด ตัวแข็งเกร็งและพยายามถอยห่าง แต่ก็โดนมือทั้งสองดึงเอวเข้ามาติด
“ถ้าไม่ใช่พี่ท็อป.. ละ...แล้วคุณเป็นใครล่ะฮะ”
…ไม่มีเสียงตอบรับเช่นเคย ทันทีที่เอวของร่างเล็กชิดกับคนตรงหน้า เด็กหนุ่มพยายามใช้มือเล็กๆดันตัวออกมา แต่ก็ไม่สามารถต้านแรงได้ มนุษย์ที่อยู่ด้านหน้านี้กำลังประสงค์ร้ายกับเขาอยู่รึปล่าวนะ
“ปล่อยนะ อุ้บ!” เด็กหนุ่มพูดไม่ทันได้ขาดคำ ก็มีบางอย่างมาปิดปากเขาไว้สนิด สัมผัสมันช่างอุ่น และนุ่มนวลชวนสัมผัสเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่มันกำลังค่อยๆดูดริมฝีปากล่างของเขาอย่างออนโยนเป็นจังหวะช้าๆไม่เร่งรีบ มือของคนตรงหน้าค่อยๆลูบไล้เอวเขาอย่างเบามือ
‘จูบ’ มันคือ ‘จูบ’ แน่ๆ แล้ว..ใครเป็นคนจูบกันล่ะ
เด็กหนุ่มขาเริ่มอ่อนระทวย คล้ายกับมีใครมาดึงเส้นเอ็นออกไปจนหมด มือเล็กๆจากที่กำลังพยายามดันตัวออกมาก็อ่อนแรงลง แต่กลับลูบไล้แผ่น อกของคนตรงหน้าอย่างพอใจ ดวงตาคมของเด็กหนุ่มค่อยๆหลับตาลงในความมืดด้วยความเคลิบเคลิ้มไปกับริม ฝีปากนุ่มของคนตรงหน้า
ไม่นานไฟทั้งบ้านก็กลับมาสว่างอีกครั้ง
ดวงตาคมของเด็กหนุ่มเริ่มเห็นถึงความสว่างผ่านเปลือกตาที่ปิดอยู่ เขาค่อยๆยกเปลือกตาขึ้นช้าๆ แต่เขาก็ต้องเบิกตาโตอย่างฉับพลัน เมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เขาผลักอีกฝ่ายออกห่างจากตัวเองทันที
“!!!!!” เด็กหนุ่มตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ
“นี่ไง ที่พี่กำลังจะบอกคือ ..แว่นมันมองเห็นในที่มืดได้น่ะ” ซึงฮยอนถอดแว่นกันแดดออกแล้วค่อยๆอธิบายคุณสมบัติของแว่นนั่นอย่างระมัด ระวังเนื่องด้วยอาการของร่างเล็กไม่ค่อยสู้ดีด้วย
“แล้วพี่.. ม...มา จะ..จูบผมทำไม.. ผมเป็นผู้ชายนะฮะ!!” ร่างเล็กพูดติดๆขัดๆ จากที่ใบหน้าแดงระเรื่อ ตอนนี้มันแดงอย่างกับมะเขือเทศผลสุก
“เอ่อ... สาธิตให้ดูไงครับว่ามองในที่มืดได้จริงๆ แล้วมันก็ยังมองทะลุกำแพงได้ด้วยนะ...”
ชายหนุ่มยังคงบอกคุณสมบัติของแว่นต่อไปอย่างไม่รู้ร้อน แต่คนตรงหน้าเขินอายจนแทบจะเอาหัวมุดดินจะลุแกนโลกไปแล้ว ดวงตาคมของเด็กหนุ่มยังคงเบิกโตมองอีกฝ่ายที่กำลังพูดแต่หูเขาไม่ได้ยินอะไร เลย ได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักรัวๆอยู่ที่อกซ้าย มือเล็กๆก็แตะค้างอยู่ที่ริมฝีปากของตนเอง อยู่ดีๆซึงรีก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนโดยไม่อยู่รอชายหนุ่มพูดจนเสร็จ
“...แล้วแว่นนี้ก็จับพิกัดได้แถมยัง.. อ่าว.. นั่น!! นายจะรีบไปไหนพี่ยังอธิบายไม่จบเลยนะ” ซึงฮยอนยืนเกาหัวแกร่กๆด้วยความมึนงง พร้อมกับมองตามหลังซึงรีไปจนลับตา
“อะไรของเขานะ ก็ไหนบอกอยากรู้ว่าแว่นนี่มันมีดีอะไร ก็จะบอกอยู่นี่ไง เด็กคนนี้นี่มันยังไงนะ ให้ตายสิ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ แล้วเดินกลับไปที่ห้องครัว ทันใดนั้นเขาก็พบกับถ้วยชามที่เพิ่งกินกันเสร็จเมื่อซักพัก
“พ่อบ้านซึงรี!!!!!!! นายยังไม่ได้ล้างจานเลยนะ!!!!!”
To be continued …
ขอเพียง 10 เม้นท์!! ไม่เยอะไปใช่มั้ย เดี๋ยวมาแต่งตอน4ต่อนะคร๊าบ
ความคิดเห็น