ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] TOPTORY 'Zeal'

    ลำดับตอนที่ #1 : [fic] Toptory 'Zeal' Chapter 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 359
      3
      26 พ.ค. 56

    [ZEAL]

    fic : TOPTORY

    rate : PG-15 (nc ไว้ลุ้นกันประมาณ..กลางเรื่องสำหรับคนชอบ อยากอ่าน nc ก็ติดตามเซ่!!)

    Author : Vindice

     

    [[ในที่สุดตอนแรกก็คลอดแล้วปล่อยให้รอเป็นเดือนแน่ะ ขอโทษจริงๆครับ -/\-]]

    [[พอดีกำลังเพลิดเพลินกับชีวิตปิดเทอมเลยลืมไปเลยว่าแต่งทีเซอร์ทิ้งไว้ ฮ่าๆ]]

     

     

    [[[อย่ามัวแต่ซุ่มอ่าน เม้นบ้างเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะครับ "( '_')]]]

     

    คำเตือน(?):ไรท์เตอร์เป็นมือใหม่หัดแต่ง ถ้าผิดพลาด พิมพ์ผิด หรืองงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ

     

     

    ชายร่างสูงยังคงจ้องมองดวงตาด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นเต็มเบ้า เขาอยากจะกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้คนตัวเล็ก ที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นแบบนี้

    “ซึงรี...”

     

    -[Flash Back]-

     

    “แฮ่ก แฮ่ก!”เสียงหอบเหนื่อยของชายร่างสูงที่ดังไม่หยุด ฝีเท้าที่เร่งสับวิ่งให้ไวเพื่อหนีให้พ้นจากบางอย่างที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่ ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาวิ่งหนีอะไรแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ต้องทำงานให้องค์กร(?)ก็ต้องมีการเสี่ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลา เสียงฝีเท้าที่ไล่ตามหลังชายหนุ่มมาไม่ไกลนักเป็นชายฉกรรจ์สองคนถือปืนยิง ไล่หลังมาติดๆ
     

    วิ่งมาได้ซักพักข้างหน้าของชายหนุ่มห่างไปประมาณร้อยเมตร ชายหนุ่มมองเห็นเงาเล็กๆที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเนิบนาบ เพื่อต้องการที่จะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า เขายกมือปุ่มกดที่ขาแว่นกันแดดสีดำเงาที่ใส่อยู่ เสียงเครื่องกลดังออกมาจากแว่นเบาๆ ภายในเลนส์แว่นนั้นสามารถซูมภาพที่อยู่ระยะไกลได้ชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ
     

    “ดึกป่านนี้ เด็กบ้าที่ไหนมาเดินเล่นแถวนี้วะ!”เขาสบถกับตัวเอง เมื่อวิ่งจนถึงตัวของเด็กนั่นเขาผลักร่างนั้นให้เข้าไปยังซอกตึกแล้วตามเข้า ไป ชายหนุ่มจับแขนของเขาแน่น จูงให้วิ่งไปพร้อมๆกัน
     

    “วิ่งให้ไว ถ้าไม่อยากตาย” ชายหนุ่มบอกกับเขาแล้วออกแรงวิ่งสุดชีวิต เด็กร่างเล็กนั่นก็วิ่งตามอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ขาเล็กๆของเขาวิ่งไปสะดุดล้มระหว่างทางไปนับครั้งไม่ถ้วนด้วยความเร็วในการ วิ่งที่เทียบกับชายหนุ่มไม่ได้เลย
     

    ไม่ไกลออกไปนัก ชายหนุ่มมองเห็นถังขยะขนาดใหญ่ที่มุมมืดของตึกข้างหน้า เขายกยิ้มที่มุมปาก สมองอันชาญฉลาดของเขาคิดหาวิธีเอาชีวิตของตัวเองรอดได้แล้ว ไม่สิ ชีวิตของเด็กนี่ด้วย เขารู้ว่าถ้าไม่ดึงเด็กนี่เข้ามาร่วมเสี่ยงชีวิตไปกับเขา ยังไงเด็กนี่ก็ต้องตายแน่ๆ เพราะมาเดินอยู่ในเส้นทางกระสุนที่พวกนั้นไล่ยิงตามมา
     

    ชายหนุ่มเปิดฝาถังขยะแล้วโยนร่างเล็กลงไปก่อนจะกระโดดตามแล้วรีบปิดฝาถัง ขยะทันที เขาเอานิ้วชี้มาแนบที่ปากแล้วหันไปหาร่างเล็ก “ชู่วว์ อย่าส่งเสียง” ร่างเล็กพยักหน้ารับรัวๆแล้วนั่งอยู่นิ่งๆ ใบหน้านั่นอาบไปด้วยน้ำตา ดวงตาของร่างเล็กแลดูโศกเศร้าเหลือเกิน ชายหนุ่มมองด้วยความสงสารแต่ก็เดาได้ว่าไม่ได้ร้องไห้เพราะเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นนี้แน่ๆแต่คงร้องไห้มานานแล้ว เพราะดูจากเบ้าตาที่ช้ำแดงก่ำ ยังดีที่ขยะในถังมีแต่กระดาษลัง และขยะแห้ง แถมยังมีช่องให้แสงลอดผ่านเข้ามาภายในถังได้บ้าง จึงยังพอมีอากาศหายใจอยู่
     

    .

    .

    .

    เมื่อแสงที่ลอดผ่านช่องทิ้งขยะเล็กๆจากที่เป็นแสงจันทร์สลัว กลายเป็นแสงแดดจ้าจนสามารถมองเห็นทุกอย่างในถังขยะได้ เด็กที่เขาพามาด้วยเป็นเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังที่นั่งตัวสั่นจ้องมองเขา ด้วยความกลัว ดวงตาของเด็กหนุ่มบวมเฉ่งจากการร้องไห้เมื่อคืน  ชายหนุ่มส่ายหน้าเอือมๆแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา รัวนิ้วลงมาจอสัมผัสนั้นอย่างรวดเร็ว “ส่งอาเกร่ามารับฉันทีคาร์เตอร์”
     

    เด็กหนุ่มมองเขาด้วยท่าทางมึนงง สงสัยว่าชายร่างสูงพูดกับใครทั้งๆที่หน้าจอไม่ได้เป็นหน้าจอโทรออก ชายหนุ่มหันมามองแล้วขำในลำคอเบาๆเพราะท่าทางน่ารักของเขา
     

    “พวกมันคงไปแล้ว นายปลอดภัยแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูดปลอบหนุ่มน้อยราวกับผู้ใหญ่ใจดี
     

    ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงรถยนต์มาจอดอยู่หน้าถังขยะ ชายร่างสูงเปิดฝาถังแล้วมองสำรวจรอบๆภายใต้แว่นกันแดดไฮเทคนั่น จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ถอดแว่นดำออกเลย อาจจะเป็นเพราะความสามารถสุดล้ำของมัน เขาปีนออกมาแล้วช่วยดึงร่างเล็กออกมาด้วย
     

    ทันทีที่เด็กหนุ่มออกมาจากถังขยะนั่น ก็ต้องตกใจเมื่อเจอซุปเปอร์คาร์คันหรูที่จอดรออยู่ตรงหน้าแล้ว Koenigsegg Agera R (โคเอ็นนิกเซ็กก์ อาเกร่า อาร์) รถยนต์ที่แพงอันดับ 3 ของโลก ผลิตจากสวีเดน ดีไซน์สุดเฉียบกับสีขาวที่มีเส้นสีแดงเล็กๆตัดกันอย่างลงตัวของมันทำให้ หนุ่มน้อยต้องยืนอึ้งและร้องว้าวออกมาโดยไม่รู้ตัว ผู้ชายคนนี้ท่าทางจะไม่ธรรมดาซะแล้ว แต่ที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องตะลึงยิ่งกว่าคือ ... ในรถไม่มีคนขับ
     

    “บ้านหนูอยู่ไหน เดี๋ยวผมไปส่ง”ชายร่างสูงเดินอ้อมกระโปรงรถไปยังด้านประตูฝั่งที่นั่งคนขับพลางเอ่ยถาม
     

    “ผมจะไปกับคุณ” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ “..ได้มั้ยฮะ”
     

    “จะไปกับผมได้ยังไง ทำไมเราไม่กลับบ้านล่ะ ฮื้ม~”
     

    “ผมไม่มีบ้านหรอกฮะ”ดวงตาคมมองต่ำลงที่พื้น ดูโศกเศร้าจน ชายหนุ่มพูดไม่ออก กลัวว่าเขาจะร้องไห้โฮออกมาอีก
     

    ช่ายหนุ่มถอนหายใจ หยิบกระเป๋าสะตางค์หนังสีดำขึ้นมาหยิบธนบัตรทั้งหมดในนั้นแล้วเดินมายัดใส่มือเด็กหนุ่ม
     

    “กลับบ้านไปซะ แล้วทีหลังก็อย่ามาเดินตามซอกตึกแบบนี้ดึกๆดื่นๆอีกมันอันตรายรู้มั้ย” เด็กหนุ่มรับเงินมาแล้วยืนมองนิ่งๆ
     

    ชายหนุ่มลูบผมร่างเล็กเบาๆแล้วค่อยเดินกลับไปที่ตัวรถ แต่ขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถ ภายในแว่นกันแดดสีดำนั่นก็มีแสงสีแดงกระพริบที่กลางเลนส์คล้ายกับบอกตำแหน่ง อะไรบางอย่าง เขาสะดุ้งเฮือก แล้วหันหลังวิ่งกระโจนกอดร่างเล็กแล้วล้มตึงลงไปทั้งคู่

     

    “ซึบ~”เสียงวัตถุบางอย่างเคลื่อนที่ผ่านกลางอากาศด้วยความเร็วราวจรวดจนเกิดเสียง

     

    “ขึ้นรถ!!”
     

     “ฮะ” เด็กหนุ่มเบิกตาโตด้วยความตกใจ
     

    “ผมบอกให้ขึ้นรถไง อยากโดนยิงตายใช่มั้ย!” สิ้นสุดเสียงทุ้มต่ำที่กัดฟันพูด ทั้งคู่ก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นรถทันที
     

    ทันทีที่ขึ้นรถชายหนุ่มเหยียบคันเร่งมิดจนเกิดเสียงล้อเสียดสีกับพื้นจน เกิดเสียงดังสนั่นแล้ว เคลื่อนที่ออกมาด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มขับรถออกมาพ้นจากตัวเมืองได้ซักพักหน้าก็เริ่มซีดเซียวจะเด็กหนุ่ม เริ่มสังเกตุได้
     

    “อ๊ะ! คุณโดนยิงนี่” เด็กหนุ่มพูดด้วยความตกใจสุดขีดแล้วชี้ไปที่แขนของชายร่างสูง
     

    “แผลแค่นี้เองสบายมากไอหนู” กัดฟันพูดแล้วกดเสียงต่ำลงพยายามที่จะบอกอีกคนว่าไม่เป็นไร แต่สีหน้าของเขาบอกตรงกันข้าม
     

    “ไปโรงพยาบาลมั้ยฮะ คุณ..”เด็กหนุ่มเงียบไปพยายามที่จะถามชื่ออีกฝ่าย
     

    “ไม่ล่ะ แผลเล็กแค่นี้ไปทำที่บ้านก็ได้”
     

    “นี่แผลโดนยิงนะฮะ” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับ แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไปจนถึงที่หมาย

     

    *

     

    “ถ้าอยากกินอะไรก็ไปเปิดในตู้เย็น ทีวีอยู่โน่น โทรศัพท์อยู่นี่ ตามสบาย เดี๋ยวผมไปทำแผลก่อน” ทันทีที่เข้ามาในตัวบ้านชายหนุ่มก็พูดรัวใส่ร่างเล็กที่เดินตามมาติดๆ “คาร์เตอร์เตรียมชุดพยาบาลมาให้ชั้นที” เขาพูดพลางเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้าน
     

    “คาร์เตอร์? คนที่เขาคุยโทรศัพท์ด้วยเมื่อเช้านี่นา”เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ เด็กหนุ่มพยายามมองหาผู้ที่ร่วมสนทนาอยู่กับเขา แต่ก็ไม่พบ
     

    ซักพักก็มีตุ๊กตาพลาสติกขนาดครึ่งตัวคน รูปร่างคล้ายคนพุงป่อง แต่มีหน้าเหมือนหนูเดินต้วมเตี้ยมออกมาจากห้องหนึ่งภายในบ้าน พร้อมกับถือถาดเครื่องไม้เครื่องมือพยาบาลแล้วค่อยเดินขึ้นบันไดทีละก้าว ช้าๆขึ้นไปยังชั้นบนตามชายหนุ่มไป
     

    “บะ..แบร์บริค!?”
     

    หลังจากที่ตะลึงกับหุ่นยนต์แบร์บริคแล้วเขาก็ถือวิสาสะเดินสำรวจบ้าน ภายในบ้าน โทนสีส่วนใหญ่มีสีดำและสีขาว เฟอร์นิเจอร์แทบทุกชิ้นล้วนทำมาจากวัสดุชั้นดี มีกำแพงกระจกใสขนาดใหญ่สามารถมองออกไปด้านนอกเห็นภูเขาและทะเลสาบขนาดย่อม ชั้นล่างมีห้องประมาณสามถึงสี่ห้องแต่เขาไม่กล้าที่จะเข้าไปดู
     

    “ชักหิวแล้วสิ ตู้เย็นอยู่ไหนนะ”เขาบ่นพึมพำแล้วเดินเข้าไปในห้องที่ไม่มีประตู ด้านในเป็นห้องครัวเล็กๆมีโต๊ะกินข้าวอยู่ตรงกลาง เมื่อเปิดตู้เย็นออกมาก็พบกับขนมช๊อคโกแลตเรียงราย และเบียร์ชั้นดีเต็มไปหมด “กินแต่ขนมกับเบียร์ ไม่อ้วนตายหรอกหรอเนี่ย”
     

    “หยิบเบียร์ให้ผมขวดสิ” ร่างเล็กสะดุ้งโหยงแล้วหันไปหาต้นตอของเสียง ชายร่างสูงปลือยท่อนบนแขนถูกพันด้วยผ้าพันแผลและมีเลือดซึมออกมานิดๆ เด็กหนุ่มหยิบแล้วยื่นเบียร์ให้อีกฝ่าย “เปิดให้ด้วยสิครับ ดูแขนผมนี่”
     

    “ดะ..ได้ครับ”ร่างเล็กพูดตะกุกตะกักแล้วหยิบที่เปิดขวดบนตู้เย็นมาเปิดฝาออก
     

    ชายหนุ่มรับมาแล้วกระดกดื่มทันทีพร้อมกับเดินไปเปิดทีวีนั่งดูที่โซฟาสี ขาวสะอาดกลางบ้าน ร่างเล็กหยิบน้ำเย็นแล้วเดินตามไปนั่งข้างๆด้วยท่าทีมีมารยาทและสุภาพราว ผู้ดี
     

    “เราชื่ออะไร” ร่างสูงเปิดประเด็นสนทนา
     

    “ผมชื่อ อี ซึงฮยอน เรียกผมว่า ซึงรี ก็ได้ฮะ”
     

    “ผมชื่อ เชว ซึงฮยอน เรียกว่าท็อปละกัน” หลังจากร่างสูงกระดกดื่มเบียร์จนหมดขวดอย่างรวดเร็วราวกับอดน้ำมาเป็น อาทิตย์ก็วางไว้บนโต๊ะแก้วใส แล้วหันมาตั้งใจคุยกับเด็กหนุ่ม
     

    “ม...มองอะไรฮะ” ชายหนุ่มเพ่งมองร่างเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าจนทำให้เขานั่งตัวเกร็ง แข็งทื่อ
     

    “หน้าตาซื่อๆ ไม่น่ามีพิษภัยอะไร ... นายบอกว่าไม่มีบ้านใช่มั้ย”
     

    “เคยมีฮะ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” เมื่อพูดถึงบ้านเด็กหนุ่มเริ่มดูเศร้า
     

    “เคยมี?”
     

    “ใช่ฮะ ผมอยู่กับพ่อและแม่ แต่หลังจากแม่เสียได้ไม่นาน พ่อก็เอาแม่เลี้ยงมาอยู่ที่บ้าน พ่อหลงเขามากจนลืมความสำคัญของผมไปเลย แม่เลี้ยงก็ใจร้ายข่มเหงรังแกผมสารพัด จนผมทนไม่ได้ก็ต้องหนีออกจากบ้านมา ... คร่าวๆก็เป็นแบบนี้แหล่ะฮะ”
     

    “เรียนที่ไหน?” ชายหนุ่มยังไม่หยุดซักถามประวัติ
     

    “ผมเรียนอยู่ มหา’ลัยฮาเวิร์ด ที่อเมริกาตอนนี้ปิดเทอมฮะแล้วก็ไม่มีเรียนซัมเมอร์ด้วย เลยกลับมาหาพ่อกับแม่ที่เกาหลี แล้วก็เป็นอย่างที่เล่าให้ฟัง”
     

    “ท่าทางที่บ้านจะมีฐานะดี แถมเรียนเก่งซะด้วย นี่ผมกำลังคุยกับลูกเศรษฐีอยู่รึปล่าวนะ ฮะๆ” ชายหนุ่มหัวเราะสั้นๆ แล้วถามต่อ “แล้วนายคิดยังไง ถึงขอมาอยู่ด้วยกับคนแปลกหน้าอย่างผม”
     

    “ก็คุณช่วยชีวิตผมไว้ผมอยากจะตอบแทนบุญคุณ แล้วท่าทางคุณคงจะรวยไม่น้อย.. คนธรรมดาคงไม่มีปัญญาขับรถที่มีราคาแพงเป็นอันดับ 3 ของโลกหรอกนะฮะ”
     

    “พูดได้ฉลาดมาก ผมชอบ นายอยากตอบแทนชีวิตผมใช่มั้ย” ร่างเล็กพยักหน้ารับ
     

    “งั้นมาอยู่เป็นเพื่อนผมได้มั้ย บ้านหลังนี้ผมอยู่คนเดียวมีแต่เจ้าแบร์บริคเป็นเพื่อน” ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนโซฟาอย่างระมัดระวังแผลของตนเอง
     

    “ให้ผม .. อยู่ด้วยเฉยๆเนี่ยนะฮะ”
     

    “ผมไม่ให้นายอยู่เฉยๆหรอกนะ นายต้องทำงานบ้าน เป็นพ่อบ้านช่วยเจ้าพวกแบร์บริค เดี๋ยวผมจะแนะนำเพื่อนๆผมให้รู้จัก.. คาร์เตอร์!!” ชายหนุ่มตะโกนลั่นห้อง
     

    ไม่นานก็มีแบร์บริคเนื้อสีขาว ลายสูทสีดำ เนกไทด์สีชมพู ค่อยๆเดินต้วมเตี้ยมลงมาจากชั้นบนของบ้าน และทันทีที่หยุดอยู่ตรงหน้าร่างเล็ก เสียงกลไกลที่ข้อต่อขาก็ดังขึ้น มันก้มโค้งให้เขา90องศา แล้วเงยขึ้นมาเหมือนเดิม
     

    ‘สวัสดีครับ ผมชื่อคาร์เตอร์ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ’เสียงกวนๆน่ารักคล้ายตัวการ์ตูนดังมาจากลำโพงด้านหลัง
     

    “ฮ..ฮะ ผมซึงรีนะ” ร่างเล็กโค้งกลับให้แบร์บริคกลับเช่นกัน “น่ารักดีนะฮะ คาร์เตอร์เนี่ย คุณ..” เขาชะงักทันทีที่หันไปหาชายหนุ่ม ภาพที่เห็นคือเลือดจากแผลที่ต้นแขนไหลเป็นทางยาวหยดลงบนโซฟา ซึมจนเป็นจุดขนาดใหญ่
     

    “คุณท็อป!! ทำแผลยังไงฮะเลือดถึงไหลขนาดนั้น” ร่างเล็กเบิกตาโตแล้วชี้ไปที่แผลนั่น
     

    “แย่ละ สงสัยเย็บแผลไม่สนิดคงต้องขึ้นไปทำแผลใหม่”ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วเบา ใบหน้าซีด ปากซีดคล้ายกับคนกำลังจะเป็นลม “เดี๋ยวผมมานะ อยู่ทำความรู้จักกับคาร์เตอร์ไปก่อน”
     

    เขาค่อยๆใช้แขนข้างที่ปกติดียันตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินโซเซไปที่บันได แต่เมื่อเดินจากโซฟาสีได้ไม่กี่ก้าวชายร่างสูงก็ต้องล้มลมไปนอนกองกับพื้น
     

    “คุณท็อป!!!” เด็กหนุ่มรีบวิ่งรุดไปนั่งลงข้างๆแล้วเขย่าตัวอีกคนรัวๆ “ตื่นสิฮะ! มีสติไว้นะอย่าเพิ่งหลับนะฮะ!”
     

    “เลือดไหลไม่หยุดเลย .. ไม่นะ .. “
     

    to be continued ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×