ตอนที่ 5 : k i d d o :: f i v e ♡
k i d d o
- F I V E -.
อากาศเมืองไทยในตอนเช้านั้นจัดว่าเป็นประเภทของอากาศที่ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีอย่างมาร์คค่อนข้างจะชื่นชอบอยู่ไม่น้อย กับอากาศที่เย็นสบายไม่ถึงกับหนาวส่วนแสงแดดก็ยังส่องลงมาพอประมาณไม่ทำให้รู้สึกแสบร้อนผิวหนังและเหงื่อออกจนแทบเป็นลมเท่าช่วงบ่ายๆ การเดินไปทำงานของเขาในแต่ละวันจึงไม่ค่อยมีปัญหานัก นอกจากวันไหนที่ดูเหมือนว่าสภาพอากาศไม่เป็นใจเท่าไหร่รถบริการก็จะเป็นตัวเลือกอีกทางที่เขาจะเลือกใช้
“โรงเรียนเอกชนT.S.ครับ”
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีอะไรแปลกไปจากปกติอยู่นิดหน่อย ในเมื่อเช้านี้ก็มีอากาศที่แจ่มใส มันเป็นอะไรที่สบายมากกับการเดินไปทำงานแต่ทว่ามาร์คในชุดเสื้อเชิ้ตสีสุภาพกับกางเกงแสลคขายาวที่เหมือนเป็นยูนิฟอร์มการทำงานแบบกลายๆของเขากลับเลือกที่จะโบกแท็กซี่ไปยังจุดหมายปลายทางที่ห่างออกไปจากสถานที่ทำงานประมาณหนึ่งป้ายรถเมล์ ลอบถอนหายใจออกมานิดหน่อยตอนที่สมองสั่งการซ้ำเป็นรอบที่นับไม่ถ้วนว่านี่ไม่ใช่อะไรที่เขาควรเข้ามามีส่วนร่วมเลยสักนิดเดียว
“...”
ค่าแท็กซี่ที่ถือว่าสูงในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับการเดินทางที่ไม่ไกลมากแต่เป็นเพราะการจราจรที่ติดขัดในชั่วโมงเร่งรีบนั้นทำมาร์คต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ สองขายาวก้าวผ่านเข้าไปด้านในประตูโรงเรียนเอกชนด้วยใบหน้าติดจะนิ่งเฉย แม้จะเคยผ่านอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาสักหนหนึ่ง และก็ไม่คิดด้วยว่าเขาจะได้เข้ามาเพราะคำร้องขอไร้สาระของใครบางคนแบบนี้
“ฮัลโหล...” ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเลยเวลาเข้าแถวมาสักระยะแล้วสังเกตได้จากเด็กๆที่กำลังแยกย้ายกันขึ้นไปตามห้องเรียนตามตึกต่างๆ โชคดีหน่อยตรงสถานที่ที่มาร์คจะต้องไปนั้นอยู่ด้านข้างประตูทางเข้าโรงเรียนพอดิบพอดี เมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งถัดไปที่มาร์คจะทำก็คือการโทรหาคนที่ทำให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้
“ใช่ นายอยู่ไหน”
“โอเค”
ครืด...
“สวัสดีครับ”
บรรยากาศด้านหลังบานประตูสีชาที่ถูกเลื่อนเปิดออกนั้นปรากฏเป็นห้องกว้างๆที่ด้านในมีชุดโซฟาสำหรับรับแขกขนาดใหญ่ซึ่งตอนนี้ถูกจับจองไปด้วยร่างของบุคคลเกือบหกเจ็ดคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ทุกสายตาดูเหมือนว่าจับจ้องมาที่เขาเป็นทางเดียวเพราะว่าเขาเป็นผู้มาใหม่ มาร์คไม่รอช้าที่จะกล่าวทักทายบุคคลที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอาจารย์ก่อนจะกวาดสายตามองทุกคนในห้องอีกครั้ง
“สวัสดีครับ เชิญผู้ปกครองนั่งข้างบุตรหลานท่านเลยครับ”
หึ...ไม่ต้องมาทำหน้าหงอยแบบนั้นเลยไอ้ตัวแสบ
“ครับ เนื่องจากว่าทางเรามีเรื่องจะแจ้งให้ท่านผู้ปกครองของนักเรียนทุกท่านที่เชิญมาได้ทราบถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม ที่ถึงแม้จะไม่ได้เกิดในโรงเรียน แต่การสวมใส่ชุดนักเรียนที่มีตราสัญลักษณ์ของเราก็สร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวเองและสถาบันได้...”
อาจารย์ฝ่ายปกครองหน้าตาขึงขังคนเดิมยังคงพูดถึงสาเหตุที่เขาและผู้ปกครองคนอื่นๆถูกเชิญมาในวันนี้ไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าบรรยากาศภายในนั้นกดดันเอาเสียมากๆ เพื่อนตัวโตสองสามคนของแบมแบมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ และเขาก็เริ่มสังเกตเห็นว่าเด็กชายตัวเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างกันนั้นมือไม้เริ่มจะอยู่ไม่สุขแล้ว ฝ่ามือสั่นๆเริ่มลากนิ้วขูดเบาะโซฟาไปมาก่อนจะมาจบที่การประสานมันเข้าด้วยกันแล้วจิกเนื้อตัวเองเสียแดงเป็นรอย
และมันก็ขัดหูขัดตารบกวนสมาธิเขาเสียจนต้องเอื้อมมือตัวเองไปดึงฝ่ามือที่สั่นระริกข้างหนึ่งของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้หลวมๆบนตัก แบมแบมมีท่าทีตกใจและพยายามยื้อออกนิดหน่อยแต่ก็ไม่กล้าดื้อต่อหน้าอาจารย์ที่มาร์คคิดว่าคงจะมีอำนาจและเด็กๆคงกลัวเกรงกันพอสมควร
อืม ที่เขาว่ากันว่าห้องปกครองแอร์เย็นมากนั้นก็คงจะจริง
เพราะมือเด็กนี่เย็นเฉียบเสียจนน่ากลัว
“เอาล่ะ...เจติกานต์ ช่วยเล่าเหตุผลที่เราไปมีเรื่องกับเด็กกลุ่มนั้นหน่อย...เล่าให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆได้ฟังด้วย” แบมแบมหันไปมองเพื่อนตัวสูงที่นั่งอยู่บนโซฟาเยื้องๆกัน เจมีสีหน้าลำบากใจอยู่ไม่น้อยแต่กระนั้นก็ยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวต่างๆออกมาอย่างยอมจำนน
“ก็...ผมทะเลาะกับเขาเรื่องที่เขายืมของไปแต่ทำหาย เพราะผมจับได้ว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ทำหายแต่เอาของผมไปขายต่อ ก็เลยจะนัดคุยกันตอนสี่ทุ่มที่ลานกีฬาข้างหลังโรงเรียน แต่...พวกมันก็ยืดเยื้อ ท้าทายให้ผมอารมณ์เสีย ผมเลยด่าเขา แล้วเขาก็เข้ามาทำร้ายพวกผมกับกลุ่มเพื่อนเขา พวกผมเลยวิ่งหนี...” มาถึงตรงนี้มาร์คเองก็เริ่มรู้สึกตกใจขึ้นมาหน่อยๆแล้ว ถ้าหากว่าวันนั้นเด็กพวกนี้ไม่ได้โชคดีหนีรอดมาได้แบบนี้ล่ะ เขาไม่อยากจะคิด
“แล้วไอ้ของที่ว่านี่มันคืออะไรเจติกานต์” ความเงียบเข้าปกคลุม มาร์คลอบมองเสี้ยวหน้าหวานของเด็กน้อยข้างกายที่แผลฟกช้ำบนแขนยังปรากฏให้เห็นจางๆแล้วก็รู้สึกอยากจะบีบแก้มบวมๆนั่นเป็นการลงโทษเสียให้เข็ด ทั้งที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเองเสียหน่อยแต่ก็ไปหาเรื่องเจ็บตัวแถมยังเสียประวัติในโรงเรียนแบบนี้จนได้
“ก็...เครื่องเล่นเกมส์ครับ”
“...”
เฮ้อ...นี่มันเรื่องบ้าอะไรของเด็กพวกนี้กันนะ
หลังจากผ่านเหตุการณ์สุดระทึกในห้องปกครองมาเรียบร้อยแล้วแบมแบมก็ดูเหมือนว่าจะสติหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อย ต่างจากเพื่อนๆอีกสามคนที่ดูเหมือนว่าจะโล่งอกโล่งใจกันเสียยกใหญ่ที่ครั้งนี้โดนแค่ตักเตือนแล้วก็แจ้งความเรื่องที่เกิดขึ้นกับทางตำรวจให้ตามเรื่องราวให้เท่านั้น โชคดีแค่ไหนที่อาจารย์เดชาจอมโหดไม่สั่งลงโทษอะไรร้ายแรงนอกจากว่าพวกเขาต้องหาเวลาว่างหนึ่งวันไปทำกิจกรรมจิตอาสาเท่านั้น
“แม่ง มึงห้อยพระไรมาวะไอ้เจ รอดตายปาฏิหาริย์มากๆ”
“กูไม่ได้ห้อย ไอ้เตอร์ต่างหาก” ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผิวขาวตาชั้นเดียวบุ้ยใบ้ไปทางเพื่อนหัวหน้าห้องร่างผอมของตัวเองที่เดินอยู่ข้างกัน คนถูกอ้างถึงชะงักฝีเท้าไปนิดหน่อยก่อนจะล้วงเอาสร้อยคอที่ห้อยไว้ด้านในออกมาโชว์เพื่อนๆด้วยใบหน้าค่อนข้างภาคภูมิ
“กูยืมพ่อมาสามองค์เลย พระท่านคงช่วยกันเต็มที่”
“สาธุ” แบมแบมส่ายหัวนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ายูคยอมก็เป็นไปอีกคน ยกมือไหว้พระบนคอไอ้เตอร์อย่างนอบน้อมจนไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไปมีเรื่องชกต่อยกันนอกโรงเรียนจนโดนเรียกผู้ปกครองกันอย่างนี้
อ่า...ว่าถึงผู้ปกครอง
“เออไอ้แบม แล้วคนที่มากับมึงนี่คือใครวะ...หน้านิ่งยังกะรูปปั้น ไม่รู้จะกลัวใครดีเลยระหว่างจารย์เดชากับคนที่นั่งข้างมึง” ท่อนแขนยาวๆของเตอร์พาดลงมาบนไหล่เล็กตามด้วยคำถามที่ทุกคนอยากรู้แต่เมื่อออกมาจากห้องปกครองได้โดยสวัสดิภาพก็เอาแต่ดีอกดีใจจนเกือบลืม
“ลุง” คนตัวเล็กตอบกลับอย่างขอไปที ขมวดคิ้วขึ้นนิดหน่อยเมื่อเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะหาคำไหนมาใช้เรียกมาร์คเหมือนกัน ญาติเหรอ? ก็ไม่หนิ หรือจะอาจารย์? ก็แค่ติวเตอร์ตอนเย็นเองนี่ คนในตึกงั้นเหรอ? ยิ่งไม่เกี่ยวใหญ่
“ลุงอะไรหนุ่มกว่าพี่ชายไอ้คิมอีก”
“อ้าว อย่าพาดพิงพี่กูครับ พี่กูแค่เกิดไวไปหน่อย” ยูคยอมที่เดินมาเงียบๆไม่วายต้องเอื้อมมือไปโบกหัวเพื่อนรักที่จู่ๆก็วกมากัดพี่ชายเจ้าตัวเสียอย่างนั้น
“ช่างเหอะ พวกมึงจะสนใจทำไมวะ” เป็นคำถามที่เหมือนจะส่งไปยังเพื่อนๆ แต่ส่วนหนึ่งแล้วแบมแบมก็กำลังถามตัวเองอยู่ด้วย
“เอ้า! ก็พวกกูไม่เคยเห็นนี่...มึงเองก็ไม่เคยพูดถึงเขาให้พวกกูฟังด้วย” ไอ้คิมว่าพลางขมวดคิ้วมุ่นเหมือนหมาตัวใหญ่ๆที่กำลังสงสัยในตัวเจ้านาย
“อะไรเนี่ยน้องแบม ซ่อนผัวเหรอ”
“ไอ้เจ! ตรงนี้กับกูคนละหมัดมั้ย”
แต่จะว่าไป...ที่วันนี้เขารอดจากห้องปกครอง และรอดจากการโดนป้าเชอด่ามาท้าต่อยไอ้เจจรงนี้ได้
ก็เพราะมาร์คสินะ...
.
.
ร่างสูงโปร่งของอาจารย์ภาษาอังกฤษเดินเข้ามายังห้องหมวดภาษาต่างประเทศในช่วงเกือบเที่ยงด้วยใบหน้านิ่งเรียบไม่ต่างจากเคยในสายตาของคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผินอย่างเพื่อนร่วมหมวดคนอื่นๆ แต่กับแจ็คสันหวังที่เห็นมาร์คมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วนั้น ไอ้ท่าทางนิ่งๆแต่มีไอเย็นแผ่ออกมาจากตัวแบบนั้นมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในอารมณ์ที่จะไม่ค่อยดีนักและไม่ควรเอาตัวเข้าไปวุ่นวายให้มาร์ครำคาญใจมากกว่าเดิม
“ฮาย~ มาร์ค...ฮาวอาร์ยู?”
แต่แจ็คสันเคยบอกหรือเปล่า...ว่าการแกล้งมาร์คตอนอารมณ์เสียน่ะสนุกจะตายไป
“...” ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมาจากปากสีอ่อนของมาร์คนอกจากแววตาแข็งๆและนิ้วกลางที่ถูกยื่นให้ในระดับต่ำกว่าสายตาเพราะภายในห้องมีอาจารย์ที่อาวุโสกว่าอยู่หลายท่าน
“ฮ่าๆ เป็นอะไร ลาช่วงเช้าไปทำอะไรมา”
“แม่ยังไม่ถามมากขนาดนี้” อ่า แต่ดูท่ามาร์คจะไม่ได้อารมณ์เสียมากมายขนาดที่แจ็คสันคิด เพราะอีกฝ่ายยังสามารถกวนประสาทเขากลับได้แบบนี้
“เดี๋ยวนี้ทำอะไรก็เป็นความลับ ใช่สิ...” คนร่างกายกำยำทำท่าทางฟึดฟัดก่อนจะเบะปากมองมาร์คที่ยืนเอนสะโพกพิงโต๊ะทำงานของตัวเองด้วยท่าทางราวกับสาวน้อยขี้งอน ทำเอามาร์คหลุดขำออกมากับท่าทางแบบนั้น ส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองที่มีกองสมุดของนักเรียนที่ส่งไว้สูงเกือบท่วมหัว
“...”
มาร์คไม่ได้อารมณ์เสียหรอก...
มันก็เป็นแค่อารมณ์ที่บอกไม่ถูก...หลังจากที่เด็กนั่นเมินเขาทันทีที่รอดออกมาได้จากห้องปกครอง
การทำงานในวันนี้ของมาร์คมันช่างเหนื่อยล้าและน่าเบื่อ เขาตรวจงานเด็กผิดหลายครั้งจนรู้สึกว่าสมองของเขามันตื้อตันไปหมด มีเพียงภาพเดียวที่เอาแต่ลอยวนมาอยู่ในหัวของเขาตั้งแต่เช้า แม้รู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจทำไปแล้วมันไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่ส่วนลึกในใจก็ยังเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจตอบ ‘ตกลง’ ให้กับเด็กคนนั้นไป
“ลุง...” เหตุการณ์เมื่อวานลอยกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง ฉายวนเป็นรอบที่นับไม่ถ้วนจนมาร์คเริ่มรำคาญตัวเองอยู่ไม่น้อย น้ำเสียงใสที่หมองลงกว่าปกติ มาร์คไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำเพื่อให้เขาสงสารหรือว่ามันออกมาจากความรู้สึกจริงๆกันแน่ เสียงนั้นดังขึ้นหลังจากที่เขาสอนอีกฝ่ายเรื่องโครงสร้างภาษาอังกฤษจบลง
“ฉันชื่อมาร์ค” แม้จะไม่ปรายตาขึ้นมามองแต่มาร์คก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังขยับปากไม่มีเสียงล้อเลียนเขาอยู่เหมือนในทุกๆครั้ง
“อ่า นั่นแหละลุงมาร์ค ผมมีเรื่องอยากให้ช่วย”
“อะไร” มาถึงตรงนี้มาร์คค่อยยอมเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าที่หงอยกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เด็กน้อยบนพื้นตรงหน้านั่งกอดเข่าเอาแก้มยุ้ยๆซบลงบนเข่าตัวเองมองมาทางเขา ยิ่งทำท่าแบบนี้ยิ่งเหลือตัวนิดเดียวเข้าไปกันใหญ่
“ลุงช่วยไปเป็นผู้ปกครองให้ผมหน่อยสิ ฝ่ายปกครองเรียกอะ...”
“ไม่”
“...” ใช่ เขาจำได้ว่าคำตอบของเขาคือ ‘ไม่’ แต่เพราะอะไร อาจจะเพราะดวงตากลมๆที่ช้อนมองเขาเหมือนกับลูกแมวที่ถูกเจ้าของปล่อยทิ้งไว้ข้างทางแสนเว้าวอนแบบที่มาร์คไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำได้ หรือจะเพราะริมฝีปากอวบอิ่มที่เม้มเข้าหากันเหมือนคนคิดไม่ตกและหมดหนทางถ้าหากเขาไม่ยอมตกลงนั่นที่ทำให้คำตอบในใจของมาร์คมันค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย
แสบชะมัด...เลยเด็กคนนี้
“สวัสดีครับ มาร์คพูดครับ” หลังจากที่ทำหน้าที่อาจารย์จนล่วงเลยเวลาเลิกเรียนของเด็กนักเรียนมาเกือบสามสิบนาที เสียงโทรศัพท์มือถือของมาร์คก็ดังขึ้น ดวงตาคมเห็นเป็นเบอร์จากฝ่ายธุรการซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นปรากฏบนหน้าจอ
“...อ่า ได้ครับ รอห้านาทีนะ”
“...”
เอกสารงานต่างๆที่ตรวจไว้มีอันต้องชะงักค้างกลางคันเมื่อมาร์คได้รับโทรศัพท์เรียกตัวจากธุรการ สองขายาวรีบเร่งเดินไปยังลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่างไม่สนใจเสียงเรียกจากแจ็คสันที่คงจะถามแต่เรื่องไร้สาระ จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆของตัวเองไปยังตึกธุรการหลังจากที่ปลายสายบอกว่ามีคนมารอพบเขาอยู่ด้านล่าง ด้วยคำที่อีกฝ่ายกำชับมาด้วยว่าเป็นเรื่องด่วนมากและต้องพบมาร์คเดี๋ยวนี้ก็แอบทำให้ชายหนุ่มกังวลอยู่หน่อยๆว่าจะมีเรื่องวุ่นอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
“รออยู่ด้านในค่ะอาจารย์” เสมียนสาวในชุดสุภาพชี้มือบอกเขาให้เดินไปยังห้องรับรองเล็กๆเยื้องไปด้านหลังของเธอ มาร์คกล่าวขอบคุณก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปเต็มแรง
และภาพที่เขาเห็นนั้นก็คือ...
“...”
“นายมาทำอะไรที่นี่แบมแบม!”
talk.
เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วว ~
ล่าสุดก็เป็นผู้ปกครอง ถถถถ
กะจะลงตั้งแต่เมื่อคืนแต่ไม่สบายซะก่อน
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ
#kiddomb
twitter: @since9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ว่าแต่ก่อนมาเป็นผู้ปกครองได้ตกลงอะไรกันไว้ก่อนหรือเปล่า น่าจะมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อยนะ
แล้วแบมแบมมาหามาร์คที่ร.ร.ทำไมกัน
ปล.หายไวไวนะคะ