ตอนที่ 12 : k i d d o :: t w e l v e + รายละเอียดเปิดจองฟิค
k i d d o
- T w e l V e -
แม้วันนี้การจราจรจะติดขัดจนชวนให้คนใช้รถใช้ถนนรู้สึกโมโห แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีจะไม่ได้หงุดหงิดกับสิ่งเหล่านั้นมากมายอย่างที่ควรจะเป็นในยามปกติ แม้ผู้คนบนรถประจำทางสายเดิมจะแสนเบียดเสียด แต่มาร์คกลับรู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างรอบๆตัวเขามันช่างมีชีวิตชีวา ความรู้สึกมันเหมือนกับหนุ่มน้อยที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความรักอีกครั้งหนึ่ง...กับบุคคลที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นคนที่นำความรู้สึกเหล่านี้มาให้เขา
หลังจากพ้นการจราจรแสนอึดอัดมาได้แล้วก็ต้องเดินต่ออีกนิดหน่อยเพื่อเข้าไปยังตึกพักที่พักหลังมานี้มันเป็นสถานที่อันดับต้นๆที่มาร์คอยากจะใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่ในนั้น แม้ว่าห้องพักจะไม่ใหญ่โต ไม่มีบริการหรูหราครบครัน แต่เป็นเพราะว่าในนั้นมีเด็กแสบบางคนต่างหากที่ทำให้มาร์คกลายเป็นคนติดห้องไปอย่างไม่น่าเชื่อ
.
.
“แน่ใจนะว่าไม่กินแล้ว?” ชามซีเรียลในมือมาร์คถูกดวงตากลมโตของฃองเด็กสิบห้าจ้องมองเพียงแวบเดียวก่อนที่ความสนใจทั้งหมดจะกลับไปอยู่ในหน้าจอทีวีที่กำลังฉายรายการเรียลลิตี้ชื่อดังแทน มาร์คส่ายหน้าน้อยๆให้กับท่าทางนั้นของแบมแบมก่อนจะยกช้อนตักเอาเจ้าซีเรียลที่เหลืออยู่ในชามใส่ปากตัวเองพลางขมวดคิ้วมุ่นขณะเดินตรงไปยังซิงค์เพื่อจัดการกับถ้วยเลอะนมในมือ
อย่างกับเลี้ยงเด็กแน่ะ
เอ...แต่เขาก็เลี้ยงเด็กอยู่จริงๆนี่นา เพียงแต่ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เป็นเด็กอายุสิบห้า...
“ลุงงง มานั่งนี่” ยังไม่ทันที่จะได้เปิดน้ำเพื่อล้างถ้วยในมือดั่งใจคิดด้วยซ้ำเสียงเล็กที่ดังขึ้นกลับทำให้ต้องหยุดการกระทำ มาร์คลอบถอนหายใจกับตัวเองน้อยๆคล้ายกับว่าเอือมระอาเด็กเอาแต่ใจเต็มทีแต่การกระทำกลับสวนทาง มาร์ควางมือจากสิ่งที่กำลังโดยง่ายก่อนจะเดินกลับไปยังโซฟาที่มีเด็กชายในชุดอยู่บ้านนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนนั้น
“ฉันจะไปล้างถ้วยขนมที่นายกินไว้ยังจะเรียกอีก” แต่กระนั้นก็แกล้งปรามไปหน่อยๆเพื่อไม่ให้เด็กได้ใจ
“อยากอยู่กับถ้วยขนมโง่ๆนั่นมากกว่าผมเหรอ” ดวงตากลมโตตวัดมามองอย่างดื้อรั้น และนั่นก็พาลให้คนมองนึกหมั่นเขี้ยวเสียจนต้องเอื้อมมือไปบีบที่แก้มยุ้ยๆของเจ้าตัวจนครางฮือในลำคอ
“ทุกวันนี้ถ้าไม่นับเวลาไปทำงานฉันก็แทบจะตัวติดกับนายอยู่แล้วเด็กดื้อ”
“อยากพกลุงใส่กระเป๋าไปเรียนด้วยเลยเหอะ” มาร์คอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มกว้างเพียงแค่ได้ยินถ้อยคำที่พาลให้รู้สึกดีแปลกๆก่อนศีรษะกลมเอนจะซบลงมาบนไหล่ของเขาอย่างคุ้นเคย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแบมแบมไม่มีคำจำกัดความ เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนอกจากคราวนั้นที่มาร์คหลุดปากบอกไปว่าจะจีบเจ้าตัว หากแต่ที่ชัดเจนขึ้นก็คือการกระทำ แต่มาร์คก็มองว่าถ้าหากในอนาคตความสัมพันธ์ยังคงดำเนินไปในรูปแบบนี้เหมือนเดิมก็คงไม่มีอะไรต้องกังวล
มาร์ครู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังกลายเป็นเด็กตามแบมแบมไปด้วย
ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่เรียกว่ายื้อเวลา...แต่เขาก็อยากจะโอ้เอ้แบบนี้ไปอีกนานๆ
ความเงียบสงัดในช่วงกลางดึกของคืนถูกทำลายลงด้วยเสียงริงโทนคุ้นหูที่แม้จะเปิดระดับเสียงไว้ไม่มากแต่กลับดังก้องจนปลุกให้คนตัวเล็กที่นอนตะแคงข้างกอดก่ายหมอนข้างใบยาวต้องขมวดคิ้วฉับ ยกมือขึ้นมาตะกุยเกาแก้มตัวเองสองสามทีจากนั้นค่อยพลิกตัวไปทุบเรียกคนตัวโตกว่าที่เหมือนว่าจะหลับเสียสนิทให้ลุกขึ้นมาจัดการกับเจ้าเสียงที่ดังขึ้นและช่างรบกวนการนอนนั่นเสียที
“มาร์ค...รับโทรศัพท์” เสียงยานคานดังขึ้นแทบจับใจความไม่ได้ทำให้มาร์คต้องขยับมือควานหามือถือที่น่าจะถูกวางไว้ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งแถวๆเตียง และในที่สุดเสียงนั้นก็เงียบไปเมื่อนิ้วยาวกดรับ
“ครับ...” เสียงงัวเงียของชายหนุ่มกรอกลงไปในสายโทรศัพท์ให้คนที่โทรเข้ามากลางดึกต้องรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่โทรมายามวิกาลรบกวนการนอนหลับกันแบบนี้
“...”
“ที่ไหน ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ได้ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“ลุง มีอะไรหรอ” ด้วยจู่ๆน้ำเสียงที่ง่วงงุนถูกแทนที่ด้วยกระแสของความตึงเครียดคนตัวเล็กที่นอนตะแคงอยู่ข้างกันก็ไม่รอช้าที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมาถามไถ่สถานการณ์ ฝ่ามือเรียวเอื้อมไปเปิดโคมไฟหัวเตียง มองหน้ามาร์คที่ฉายแววกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัดด้วยคิ้วเรียวที่ขมวดยุ่งไม่แพ้กัน
“เตี่ยโรคหัวใจกำเริบ ฉันต้องรีบไปโรงพยาบาล”
“...” แบมแบมเบิกตากว้างเมื่อได้รับรู้ถึงสาเหตุของสายเรียกเข้าเมื่อครู่นี้ ฝ่ามือเล็กเอื้อมไปปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่ซึมออกมาตามไรผมของมาร์คทั้งที่แอร์ในห้องอยู่ในระดับเย็นสบาย คนอายุมากกว่าเหมือนจะยังประมวลผลไม่ถูกว่าตัวเองต้องรู้สึกอะไรหรือทำอะไรก่อนในตอนนี้ทั้งที่สถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่
“รีบไปโรงพยาบาลเถอะมาร์ค”
“อืม ถ้าตอนเช้าฉันยังไม่กลับก็ฝากล็อคห้องด้วย” มาร์คพยักหน้ารับทั้งที่สีหน้ายังไม่สู้ดีนัก เสียงแบมแบมปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ความคิดแล้วยันกายลุกออกจากเตียงไปค้นหาเสื้อผ้าที่เรียบร้อยกว่านี้ออกมาสวมใส่อย่างรีบร้อน เด็กหนุ่มนั่งมองคนอายุมากกว่าอยู่กลางเตียงกว้างด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กัน
“หยิบกุญแจรถในลิ้นชักข้างๆเตียงมาให้ทีแบม” คนถูกวานรีบทำตามอย่างไม่รอช้า เสียงดึงลิ้นชักดังขึ้นตามด้วยเสียงฝีเท้าคนตัวเล็กที่ก้าวเข้ามาใกล้มาร์ค ริมฝีปากอิ่มทาบลงไปเบาๆบนแก้มของคนที่กำลังวิตกกังวลคล้ายต้องการให้กำลังใจอีกฝ่ายด้วยวิธีที่พอจะทำได้ในตอนนี้
“ขับรถห้ามเหม่อ มีสตินะ เดี๋ยวผมลงไปส่ง”
“โอเคครับ”
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาร์คต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้
แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เผชิญเรื่องร้ายๆเหล่านี้อยู่เพียงลำพัง...
.
.
กลิ่นโรงพยาบาลที่เขาไม่เคยนึกชอบใจพุ่งเข้ามาแตะปลายจมูกทักทายเป็นสิ่งแรกหลังจากที่มาร์คก้าวเข้ามาในโรงพยาบาลที่พ่อของเขาเข้ารับการรักษาอาการโรคหัวใจมาเป็นเวลาหลายปี คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะยืนมองตัวเลขในลิฟท์ที่เพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆจนกระทั่งประตูเปิดออก มาร์คเดินไปตามทางที่ยังจำได้กระทั่งมองเห็นบุคคลที่คุ้นตาสองคนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้องที่ด้านในผู้เป็นพ่อของตนกำลังรับการรักษาแบบเร่งด่วน
“แม่ พี่ภัทร” มาร์คเอ่ยทักทั้งสองคนพร้อมกับใบหน้าเป็นกังวล มารดาของเขายังคงมีรอยยิ้มจางๆส่งมาให้ แม่เป็นแบบนี้เสมอ เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งต่อหน้าลูกๆเพื่อให้ลูกชายทั้งสองคนของเธอได้รับรู้ว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้อ่อนแอไปด้วยอีกคน
“ตามาร์ค...พ่อเข้าไปเกือบชั่วโมงแล้ว”
“...” มาร์คนิ่งเงียบ ค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกันกับแม่ ส่วนภัทรเอาแต่มองไปยังประตูกระจกมัวๆตรงหน้าคล้ายอยากจะจ้องทะลุเข้าไปให้เห็นถึงด้านในซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้
“ฉันไปประชุมตอนที่เตี่ยอาการกำเริบ ถ้าแกอยู่บ้านเตี่ยก็คงไม่อาการหนักขนาดนี้” และเมื่อรับรู้ว่าน้องชายในสายเลือดทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆกันเสียงเข้มที่ค่อนไปทางสั่นเครือจึงค่อยๆดังขึ้นให้พอได้ยินกันสองคน มาร์คขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย นึกไม่เข้าใจในพี่ชายตนเองว่าทำไมถึงโทษเขาในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นไปเสียหมด
“อย่าทะเลาะกันตอนนี้ แม่ขอร้องนะภัทร” แต่ก่อนที่มาร์คจะได้ตอบกลับอะไรไปเสียงหวานที่โรยแรงลงอย่างเห็นได้ชัดของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้นจบบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นลงไปเสียก่อน มาร์คพิงศีรษะอันหนักอึ้งของตัวเองลงกับกำแพงเย็นเฉียบด้านหลัง ปิดเปลือกตาลงภาวนาขอให้บิดาของตนปลอดภัย
ครืด...
“ญาติคุณธเนศใช่ไหมคะ” ผ่านไปไม่นานนักในความเป็นจริงแต่นานนับปีในความรู้สึกของคนที่รอพยาบาลสาวพร้อมกับแฟ้มสีเข้มในมือเดินออกมาเป็นเหมือนตัวแทนความหวังของคนที่ตั้งตารอทั้งสามคน แม่ของพวกเขารีบก้าวเท้าเข้าไปหาพยาบาลสาวพร้อมกับใบหน้าที่พยักรับถี่ๆ แววตาของเธอเจือไปด้วยความหวังหากแต่มันก็ระคนไปด้วยความกลัวจนมาร์คต้องเข้าไปประคองด้านหลังเอาไว้
“คนไข้อาการปลอดภัยแล้วค่ะ เดี๋ยวอีกสักครู่รบกวนญาติไปรับฟังแนวทางการรักษาต่อที่ห้องคุณหมอนะคะ”
“โฮ! พ่อปลอดภัยแล้วตามาร์ค” คุณนายต้วนหันตัวโผเข้ากอดบุตรชายด้วยความโล่งใจ
“ขอบคุณครับ” ภัทรเป็นคนกล่าวขอบคุณพยาบาลสาวก่อนที่เธอจะหายเข้าไปหลังประตูสีมัวบานเดิม ความรู้สึกหนักอึ้งเมื่อครู่ค่อยๆจางหายไป น้ำตาของหญิงที่เป็นภรรยาและเป็นมารดาของบุตรชายทั้งสองคนไหลลงมาด้วยความโล่งอก มาร์คมองภาพที่กำลังเกิดขึ้นด้วยจิตใจที่แสนสับสน
อันที่จริงแล้วสื่งที่ภัทรพูดมามันก็ไม่ใช่ผิดไปเสียทั้งหมด
เพราะถ้าหากเขากลับไปทำงานที่บริษัท...เขาก็คงดูแลคนในบ้านได้ดีกว่านี้ใช่ไหม
เขาเห็นแก่ตัวมานานเกินไปแล้วหรือเปล่า
.
.
หลังจากคืนวันนั้นที่มาร์คกลับมาจากโรงพยาบาลแบมแบมก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป เป็นบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มาร์คยังคงใส่ใจแบมแบมเหมือนเดิม ยังคงทำให้แบมแบมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษเหมือนเดิม แต่ในความเหมือนเดิมนั้นมันมีอะไรบางอย่างที่เด็กชายวัยสิบห้าสัมผัสได้ว่ามันต่างออกไป
“แน่ใจนะว่าไม่ใส่หมดนี่เลย” ความคิดทั้งหมดชะงักลงเมื่อเสียงทุ้มของคนอายุมากกว่าที่กำลังตั้งใจเหลือเกินกับการใส่ของกินหลอกเด็กอย่างพวกลูกชิ้นที่มาในรูปแบบแผ่นสีสวยๆลงไปในถ้วยมาม่าที่กลายมาเป็นมื้อดึกของแบมแบมในคืนนี้จนคนมองต้องแอบอมยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เหลือไว้กินวันหลังบ้างก็ได้ลุง ตู้เย็นมีมันไม่เสียหรอก” มาร์ชะงักมือไปนิดหน่อย เอาอีกแล้ว...ทุกครั้งที่แบมแบมพูดอะไรทำนองนี้ออกมามาร์คมักจะมีอาการแบบนี้อยู่ตลอด แล้วจะไม่ให้แปลกใจได้ยังไง
“งั้นนายมาลองทำเองไหม เผื่อฉันไม่อยู่จะได้ทำเองถูก” หัวใจดวงน้อยเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตหน่อยๆเมื่อจู่ๆมาร์คก็พูดประโยคที่แบมแบมนึกกลัวเหลือเกินออกมาโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยบะหมี่สำเร็จรูปที่กำลังส่งกลิ่นหอมยั่วคนหิวที่ดูเหมือนว่าอารมณ์หิวจะเริ่มหายไปทีละนิด
“จะไปไหนล่ะ” แบมแบมเอนสะโพกพิงกับเคาน์เตอร์ครัว ยกแขนทั้งสองขึ้นกอดอกใช้ลิ้นดุนเจ้าเครื่องคงสภาพฟันในปากอย่างเสียนิสัย หน้าตาดูเอาเรื่องแต่ใครจะรู้ว่าภายในใจนั้นกำลังสั่นไหวอยู่ไม่น้อย
“...” ไม่มีคำตอบใดๆนอกจากความเงียบและมาร์คที่ทำท่าทางเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำถามเมื่อครู่ของเขา แต่อันที่จริงแล้วมาร์คจงใจจะเลี่ยงกันเสียมากกว่า และแน่นอนว่านั่นมันก็เริ่มทำให้อารมณ์ของเด็กชายเดือดขึ้นมาด้วยอารมณ์น้อยใจปนกับความหวาดระแวงที่ก่อตัวมาได้ระยะหนึ่ง
“ทำไมไม่ตอบวะ!”
“แบมแบม!” คนที่ตั้งท่าจะโวยวายกลายเป็นฝ่ายต้องผงะไปเสียเองเมื่อจู่ๆน้ำเสียงที่เคยอบอุ่นกลับตะคอกดังสวนออกมาเสียจนเด็กชายตกใจเผลอก้าวถอยหลัง ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศทั้งหมดหากแต่มันกลับไม่ใช่ความเงียบที่ทำให้สบายใจเหมือนที่ผ่านมา มันเป็นความเงียบที่มีความไม่เข้าใจลอยฟุ้งกระจายอยู่ในนั้น
ดวงตากลมโตชะงักงัน ฉายแววทั้งตกใจ เสียใจและหวาดกลัวออกมาในคราวเดียวกัน
“ผมไม่กินแล้ว ขอตัว”
เป็นเด็กหนุ่มวัยสิบห้าที่เร็วกว่าเมื่อสัมผัสได้ว่าความอุ่นร้อนจากหัวตากำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำ เด็กหนุ่มรีบหันหลังแล้วยกแขนปาดมันออกไปเร็วๆโดยไม่ให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นมัน เสียงฝีเท้าดังปึงปังห่างออกไปทีละน้อยก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่ดังสนั่น หากแต่คนอายุมากกว่ากลับทำเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม
มาร์คยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม...
มองแบมแบมหันหลังจากไปโดยไม่แม้แต่จะพูดรั้งอะไรออกมา
.
.
บรรยากาศอึมครึมดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดหลังจากวันนั้นที่มาร์คเผลอตะคอกแบมแบมไป เด็กน้อยไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา มันเหมือนราวกับว่ามาร์คได้ทำการหมุนย้อนเวลากลับไป ย้อนกลับไปในตอนที่แบมแบมไม่ได้สนใจใยดีเขา ย้อนกลับไปในตอนที่เราสองคนเป็นเพียงแค่บุคคลที่อาศัยอยูร่วมตึกกันเหมือนในช่วงแรก
“เดี๋ยวผมบอกป้าให้ เค้าออกไปตลาดนัดอะ” ดวงตาคู่คมมองไปยังจุดแรกที่ตนจะได้มองเห็นใบหน้าหวานของเด็กชายผู้เป็นหลานเจ้าของตึก เด็กน้อยเจ้าของใบหน้าดื้อรั้นกำลังพูดคุยอยู่กับผู้อาศัยคนหนึ่งที่เหมือนจะลงมาคุยธุระอะไรบางอย่าง แบมแบมยังไม่สังเกตเห็นเขา และนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะมาร์คจะได้สามารถมองใบหน้าแสนคิดถึงนั่นได้อีกสักพัก
“...”
อ่า...
แต่ยังไม่ทันที่ความคิดนั้นจะจบลงดวงตากลมที่มาร์คต้องมาแอบมองเหมือนพวกโรคจิตแบบนี้ก็เหลือบมาเห็นเขาเข้าอย่างจัง สายตาสองคู่สบประสานเข้าหากันก่อนจะเป็นคนตัวเล็กที่หลบสายตา ก้มหน้าลงไปจัดการกับสิ่งที่มาร์คคิดว่าน่าจะเป็นการบ้านเพราะกระเป๋านักเรียนของเจ้าตัวยังเปิดกว้างอยู่บนเคาน์เตอร์ตัวใหญ่
“แบม”
หลังจากสามวันที่เขาและแบมแบมไม่ได้คุยกัน ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการเริ่มบทสนทนาครั้งแรกของเราที่ได้ยินเสียงกันจริงๆไม่ใช่การส่งข้อความไปง้อเหมือนที่มาร์คทำอยู่ตลอดหลังจากวันนั้น แบมแบมชะงักมือที่กำลังจับปากกาขยับยุกยิกอยู่แต่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองกัน มาร์ควางกระเป๋าทำงานของตัวเองลงบนเคาน์เตอร์ นึกอยากจะเอื้อมมือไปเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมามองหน้ากันแต่เขาก็รู้ว่าทำได้แค่ในความคิด
“มีธุระอะไรครับ ป้าเชอไม่อยู่ตอนนี้”
“มีธุระ แต่ไม่ใช่กับป้าเชอ” มาร์คพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม เขารู้ว่าวันนั้นเขาผิดที่ใส่อารมณ์ออกไปทั้งที่รู้ว่าตัวเขาเองนั่นแหละเป็นต้นเหตุให้แบมแบมอารมณ์ระเบิดออกมาแบบนั้น เขารู้ว่าตัวเองทำให้เด็กชายอึดอัดตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาล แบมแบมทนมาตลอดและเลือกที่จะไม่เซ้าซี้แต่มาร์คก็ยังเอาแต่สับสน
ไม่ใช่แบมแบมที่เด็ก...แต่เป็นเขาเองที่ทำตัวงี่เง่าไม่สมอายุเอาเสียเลย
“แต่ผมไม่มีธุระอะไรกับคุณ” ดวงตาแข็งกร้าวชวนให้ใจหายเงยขึ้นมองกัน มาร์คชะงักไปนิดหน่อยกับสรรพนามไม่คุ้นหูซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่นึกชอบมันเสียเลย ไหนจะแววตากระด้างที่หายไปนานจนมาร์คไม่คิดว่าเขาจะได้รับมันแล้วแบบนี้อีก
“ฉันขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่นายคืนนั้น ที่ฉันทำตัวให้นายรู้สึกอึดอัดถ้าอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรฉันพร้อมจะบอกนายแล้วนะ” แววตาจริงจังถูกส่งไปให้เด็กน้อย มาร์ครู้ว่าอีกฝ่ายก็แค่แกล้งทำเพื่อจะไล่เขาให้ไปไกลๆ และมาร์คยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายเองก็คิดมากเรื่องเขาอยู่ไม่น้อยจากขอบตาแดงๆช้ำๆที่เขาเห็นมันมาตลอดเวลาที่ไมได้คุยกันนั่น
“ก็บอกมาสิ” แบมแบมเสียงสั่นนิดหน่อยแต่ใบหน้าหวานยังคงเชิดขึ้นเหมือนกับคนที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด
“รอป้าเชอกลับมาแล้วไปหาฉันที่ห้องสิ” มาร์คไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาท แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยชักสีหน้าเพราะคิดว่าเขายียวนก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาห้ามเด็กน้อยเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจพูดประโยคถัดไปที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกยินดีที่จะพูดมันออกมาแม้แต่น้อย
“อย่าเพิ่งโมโห...ฉันพูดจริงๆ เราต้องไปคุยกันที่ห้อง ฉันเหลือเวลาอยู่กับนายที่นี่ไม่มากแล้วแบมแบม”
ไม่ดราม่าได้มั้ย คำตอบ : ไม่ได้ อิอิ
เอ้อ แล้วตอนนี้เราว่าถึงเวลาแล้วที่จะเปิดจองเนอะ นานกว่านี้เดี๋ยวจะไม่ได้เปิดเอา
รายละเอียดก็อยู่ในลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยนะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจจริงๆจ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

//ทำไมเรื่องนีี้ไม่ชอบแจ้งเตือนตลอดเลยอ่ะ
น้องแบมน่ารักน่าขยี้มากฮืออ อ่านเรื่องนี้ทีไรเราคิดไม่ดีกะน้องแบมตลอดเลยอ่ะไม่รู้ทำไม ว่อย55555
ปัญหาแค่นี้เชื่อว่าพี่มาร์คจะต้องจัดการได้นะ ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบตอนนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เจอกันอีกเลยซักหน่อยสู้ๆนะทั้งสองคน
มาร์คใจร้ายเข้ามาในชีวิตน้องแบมแล้วก็ออกไปง่ายๆแบบนี้ได้ไงไม่เอานะ
สงสารเด็กดื้อจัง จะโดนลุงใจร้ายทิ้งแล้ว จะไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆแล้วอ่า
รับมาต่อนนะคะไรท