ตอนที่ 1 : k i d d o :: o n e ♡
k i d d o
- o n e -
ท้องฟ้าสีน้ำเงินกำลังไล่ระดับเข้มอ่อนในช่วงเปลี่ยนผลัดระหว่างดวงอาทิตย์ที่ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอดทั้งวันให้กลายไปเป็นดวงจันทร์กลมผ่องขึ้นมารับช่วงแทนที่ แม้วันนี้ท้องฟ้ามืดไวกว่าปกติแต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่เขาจะได้ไม่ต้องทนร้อนแดดยามเย็นที่แผดจ้าเป็นช่วงสุดท้ายก่อนจะหายลับขอบฟ้า สองขายาวใต้กางเกงแสลคสีสุภาพกับเชิ้ตสีอ่อนก้าวไปตามฟุตบาทอย่างไม่รีบเร่ง ใบหน้าหล่อเหลาแม้จะถูกแว่นสายตากรอบหนาปิดบังไปกว่าครึ่งแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าคนๆนี้ไม่น่าสนใจ
“เหมือนเดิมสองถุงครับ” กระทั่งเดินมาถึงจุดแวะพักประจำวันอย่างร้านน้ำเต้าหู้รถเข็นเจ้าอร่อยที่เหมือนเป็นของแถมในการเลือกย้ายมาอยู่ในละแวกนี้หลังจากเรียนจบ เหรียญในกระเป๋ากางเกงถูกควักออกมานับให้พอดีเพื่อส่งไปแลกกับน้ำเต้าหู้อุ่นๆสองถุงพร้อมรอยยิ้มจากคุณลุงคนขาย
“ขอบใจนะหนุ่ม”
“...”
ทุกวันของมาร์คมันเป็นชีวิตเรียบง่าย
ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือชีวิตแบบที่เขาต้องการ...ซึ่งสวนทางกับใครหลายๆคน
.
.
สาวเท้าต่ออีกไม่ถึงยี่สิบก้าวก็มาถึงห้องพักรายเดือนในรูปของตึกสูงสี่ชั้น แบ่งเป็นชั้นละสี่ห้อง เป็นที่พักให้เช่าสำหรับบุคคลชั้นธรรมดาทั่วๆไป แม้ไม่สะดวกสบายเท่าคอนโดหรูเสียดฟ้าที่มีบริการต่างๆครบครันแต่มันกลับให้ความสบายใจกับเขาได้อย่างน่าประหลาด กับบรรยากาศเงียบสงบจากชั้นสาม แม้จะเป็นตึกเล็กๆแต่ก็สะอาดสะอ้านและผู้คนที่พักอาศัยก็ดูเป็นมิตรต่อกันราวกับรู้จักกันมานมนาน
ผ่านป้อมยามมาพบกับด่านแรกก่อนจะเข้าสู่ส่วนที่เป็นบริเวณชั้นห้องพักก็คือเคาน์เตอร์ติดต่องานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับห้องพักที่ปกติแล้วจะเป็น ‘ป้าเชอ หรือ ป้าเชอรี่’ หญิงกลางคนร่างท้วมผิวขาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนผู้เป็นเจ้าของตึกที่เป็นคนนั่งประจำการอยู่บริเวณนี้ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ป้าเชอจะไม่อยู่...
“...”
แม้ไม่ได้ตั้งใจจะมองแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้เมื่อจู่ๆเจ้าของร่างเล็กบนเก้าอี้นวมสีดำตัวใหญ่หลังเคาน์เตอร์เตี้ยๆที่กำลังนั่งกอดเข่าดูทีวีเครื่องเล็กอยู่นั้นเบนสายตามาประสานเข้ากับเขาอย่างพอดิบพอดี แม้จะไม่ตั้งใจสังเกตนักแต่ดวงตากลมโตคู่นั้นมองจากตรงนี้ก็พอเดาได้ว่าคงจะรั้นอยู่ไม่หยอก รับกันเหลือเกินกับเรือนผมสีเข้มที่ถูกปล่อยไม่เป็นทรงยิ่งเพิ่มกลิ่นอายความทะโมนของเด็กแรกรุ่นได้ดีนักเชียว แม้จะเคยเห็นอยู่หลายหนเพราะอีกฝ่ายเป็นหลานชายของป้าเชอแต่เขาก็ยังไม่เคยเข้าไปพูดคุยกับเด็กคนนั้นสักครั้ง
แล้วมันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรด้วย...
เข้าสู่ช่วงหัวค่ำในห้องพักเล็กๆที่มาร์คดำเนินชีวิตลำพังตามปกติ ทีวีขนาดกลางกำลังถ่ายทอดสดรายการกีฬาที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชื่นชอบอย่างฟุตบอล ร่างสูงทอดกายอย่างสบายใจอยู่บนโซฟายาว ขนมขบเคี้ยวถูกส่งเข้าปากตามด้วยเบียร์กระป๋อง ดวงตาคู่คมยังจับจ้องที่ลูกกลมๆในหน้าจอไม่ยอมวาง อาจจะฟังดูแปลกสักหน่อยถ้าบอกว่าตัวเขาเองไม่ได้คุยหรือศึกษาดูใจกับผู้หญิงที่ไหนเลยตั้งแต่สมัยปีสี่แต่ก็ไม่รู้สึกเหงา อาจเป็นเพราะว่านิสัยโลกส่วนตัวสูงของตัวเขาเองที่เป็นกำแพงกั้นเอาไว้...เพื่อนเขาส่วนใหญ่ก็บอกกันอย่างนั้น
“....” รายการกีฬาดำเนินต่อไปสักระยะเปลือกตาของคนที่ทำงานใช้ทั้งแรงกายและแรงสมองมาทั้งวันก็เริ่มที่จะหรี่ลง สติเริ่มเหือดหายไปทีละน้อยเพราะความง่วงที่คืบคลาน
เปรี๊ยะ!
“เฮ้ย!” ทว่ากลับต้องสะดุ้งโหยงขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่ชวนให้ตกใจดังขึ้นท่ามกลางความเงียบพร้อมกับไฟบริเวณโซฟาที่ดับมืดลงมีเพียงแค่แสงสว่างริบหรี่จากทีวีที่ยังส่องให้พอมองเห็นทาง ชายหนุ่มรีบยันตัวขึ้นนั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะลุกยืนฝ่าเท้าก็สัมผัสได้กับวัตถุที่คล้ายกับเศษกระจกจนต้องรีบชักเท้ากลับขึ้นมาด้วยความตกใจ
“อะไรวะเนี่ย”
เพราะว่าเปิดไฟตรงนี้เอาไว้แค่ดวงเดียวจึงทำให้ทั้งห้องมืดสนิท ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำเอาเขาเริ่มหัวเสียหน่อยๆแล้ว แต่เมื่อพอจะเข้าใจแล้วว่าสาเหตุน่าจะมาจากหลอดไฟที่เกิดระเบิดขึ้นฝ่ามือใหญ่ไม่รอช้าที่จะกดโทรศัพท์ไปยังเบอร์ของคนที่ควรจะต้องแจ้งให้ทราบ รอจนกระทั่งปลายสายกดรับเสียงทุ้มก็กรอกลงไปทันทีโดยไม่รีรอ…โชคดีแค่ไหนกันที่ไม่กระเด็นเข้ามาโดนอวัยวะสำคัญอย่างดวงตาหรือใบหน้า
“ห้อง 335 หลอดไฟเสีย...ช่วยขึ้นมาดูหน่อยนะครับ”
.
.
อันที่จริงแล้วมาร์คก็พอจะทำใจตั้งแต่มาเช่าห้องว่าห้องพักราคาประมาณนี้บริการต่างๆก็คงอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป...ไม่ได้บริการดีเลิศเหมือนห้องพักหรูหรา
แต่กับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้ มาร์คว่ามันก็ค่อนข้างจะ...
“ลุงเชิดบอกว่าจะขึ้นมาดูให้พรุ่งนี้”
“เข้ามาตอนนี้ไม่ได้เหรอ เพิ่งจะสองทุ่มเอง ห้องลุงแกก็อยู่ข้างล่างนี่” มาร์คว่าพลางขมวดคิ้ว
“ลุงแกนอนแล้ว”
“...” จบประโยคที่เพิ่งได้ยินผ่านหูไปมาร์คก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อนอกจากใบหน้าที่แสดงออกถึงความเซ็งไม่ปิดบัง
“ปิดสวิทซ์ไฟดวงที่มันระเบิดไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเศษพวกนี้ผมกวาดให้” แม้รู้ว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีคนผิดในเรื่องนี้แต่มาร์คก็ยังรู้สึกหงุดหงิดแบบบอกไม่ถูก เขาต่อสายไปยังผู้ดูแลตึกหวังให้มีช่างขึ้นมาจัดการ แต่นอกจากจะไม่มีช่างไฟแล้วกลับกลายเป็นว่าตอนนี้ตึกไม่มีผู้ดูแลตัวจริงด้วย มีเพียงหลานชายวัยกระเตาะของเธอที่ขึ้นมาจัดการพร้อมกับกระบอกไฟฉายโง่ๆหนึ่งอัน ในชุดนอนลายนกเพนกวินสีน้ำเงินทั้งตัวเหมือนเด็กหกขวบพร้อมนอนแบบนี้...
ทำเอามาร์คเกือบรู้สึกผิดที่ไปรบกวนเวลานอนของเด็กกำลังโต
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวฉันกวาดเอง” มาร์คโบกมือปัดๆไปให้กับเด็กตาโตแก้มห้อยตรงหน้า ดวงตาดื้อรั้นที่มาร์คเคยมองจากไกลๆ เมื่อได้มามองใกล้ๆเป็นครั้งแรกก็ทำให้มาร์คค่อนข้างมั่นใจในความคิดนั้นเลยทีเดียว เด็กตัวเล็กขมวดคิ้วเข้าหากันนิดหน่อยพลางก้มลงไปพูดมุบมิบอะไรสักอย่างกับตัวเองที่มาร์คไม่สามารถได้ยินได้ แต่จากรูปการแล้วน่าจะเป็นการแอบบ่นเสียมากกว่า
“บ่นอะไร” แล้วมาร์คก็อดไม่ได้กับพฤติกรรมแบบนั้นของเด็กชายตรงหน้าที่ทำเหมือนเขาเป็นเพื่อนเล่น ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ และอาจจะบวกด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ทำให้เขาใช้เสียงนิ่งๆกับหน้าเหวี่ยงๆคล้ายกับต้องการจะหาเรื่องเด็กออกไปแบบนั้นทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะนิ่งเฉยกับสิ่งที่รบกวนจิตใจ
“ผมเปล่า มีแต่ลุงนั่นแหละที่เอาแต่บ่น”
“ใครลุ...”
“ถ้าไม่มีอะไรผมไปแล้วนะ ง่วงสุดๆ...ฮ้าววว~”
“ไอ้เด็กนี่!” มาร์คขมวดคิ้วจนแทบจะชนกันกว่าเดิมเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตนและท่าทางไม่ยี่หระต่อคำพูดของเขา แถมยังหาวซะกว้างจนเห็นรีเทนเนอร์ที่ครอบอยู่เต็มปาก ก่อนที่เด็กชายในชุดนอนสีน้ำเงินหันจะหลังให้เขาแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจ...
ให้ตาย เด็กนี่จงใจกวนประสาทเขาชัดๆ
.
.
บรรยากาศวุ่นวายในโรงเรียนมัธยมค่อยๆคลายกลายเป็นความสงบเมื่อสองขายาวของอาจารย์อัตราจ้างพิเศษก้าวเดินมาจนถึงสวนสาธารณะขนาดกลางใกล้ที่พักของตัวเอง แม้ว่ายังไม่เคยมีโอกาสมานั่งเล่นแต่เพียงแค่เดินผ่านและมองจากด้านนอกก็ช่วยให้จิตใจที่วุ่นวายมาทั้งวันสงบลงได้อย่างน่าแปลก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกจะพักแถวนี้ ไม่ไปอยู่คอนโดที่ต้องขับรถไปกลับนานกว่าหนึ่งชั่วโมง
เขาเบื่อความเร่งรีบ เบื่อการแข่งขัน...แต่ก็นะ ถ้าไม่ฝึกแข่งขันก็ไม่มีวันเติบโต
“โอ๊ะ...อาจารย์มาร์ค สวัสดีค่ะ วันนี้กลับเร็วจังนะคะ”
“ครับ กำลังจะกลับกันเหรอ” มาร์คขานรับเมื่อเห็นว่านักเรียนสาวมัธยมปลายสองคนที่กำลังจะเดินสวนกันไปหยุดทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม น่าแปลกเหมือนกัน ทั้งที่เขาก็ไม่ใช่อาจารย์อัธยาศัยดีอะไร ออกจะนิ่งขรึมเสียด้วยซ้ำเพราะบุคลิกส่วนตัว แต่ก็ยังมีเด็กๆที่อยากจะเข้ามาทำความรู้จักอยู่อย่างนี้
“ค่ะ พอดีว่าเจน่าพาพิมไปซื้อกระดาษมาทำงานพรีเซ้นต์อังกฤษของอาจารย์มาร์คนั่นแหละก็เลยเพิ่งกลับน่ะค่ะ” เป็นหญิงสาวผมยาวข้างๆกันที่อธิบายยาวยืดพลางชูถุงอุปกรณ์ให้ดูเป็นการยืนยัน มาร์คเองก็ทำให้เพียงแค่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆให้พวกเธอไปตามมารยาทครูที่ดี
“จะรอดูงานนะครับ”
“ค่ะอาจารย์~” หญิงสาวทั้งสองคนขานรับพร้อมกันพร้อมกับแก้มใสๆที่ขึ้นสีระเรื่ออย่างน่ารัก เพื่อนในหมวดของมาร์คก็ชอบแซวอยู่เหมือนกันเวลามีเด็กนักเรียนสาวๆเข้ามาพูดคุยกับเขาว่าพวกเธอมักจะทำท่าทีเขินอายเหมือนจะมาสารภาพรักอะไรทำนองนั้น...แต่มาร์คว่า ‘แจ็คสัน หวัง’ นั้นก็พูดเกินไปหน่อย
“...”
หลังจากแวะซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าประจำเรียบร้อยแล้วต่อไปก็คือการเดินเข้าตึกพักเหมือนอย่างทุกวัน บรรยากาศทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด ลุงยามคนเดิมกับวิทยุเครื่องโปรดของแกที่เล่นเพลงเก่าคลาสสิคแทบตลอดทุกครั้งที่เดินผ่าน แม่บ้านคนเดิมที่กำลังกวาดพื้นชั้นล่างและคอยมองตาขวางเวลาใครเดินไปทำให้พื้นเลอะ และอีกอย่าง
ไอ้เด็กตัวแห้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมสีดำหลังเคาน์เตอร์...
คราวนี้มาร์คตั้งใจมองไปยังเด็กคนนั้นโดยไม่ปิดบัง และก็ดูเหมือนว่าเด็กรั้นคนนั้นจะไวต่อสายตาเป็นพิเศษเมื่อใบหน้าที่ก้มทำการบ้านเกือบชิดโต๊ะนั้นเงยขึ้นทันควันทำให้สายตาเราสอดประสานกันอีกครั้งราวกับภาพเทปถูกเปิดซ้ำ และมาร์คค่อนข้างมั่นใจเหลือเกินว่าใบหน้าของเขาตอนนี้นิ่งสนิท เป็นใบหน้าที่ไม่ได้พร้อมจะผูกมิตรกับใครทั้งสิ้น จ้องหน้าเด็กชายด้วยอารมณ์ที่เป็นศูนย์ แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะเข้าใจอะไรผิดไปหน่อย
“...”
“...” เพราะจู่ๆเจ้าทะโมนตัวเล็กนั่นก็ค่อยๆฉีกยิ้มทีละน้อยจนกลายเป็นการยิ้มกว้างให้เขาเสียจนตายิบหยีราวกับว่าเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาเนิ่นนาน...และรอยยิ้มเต็มแก้มที่ส่งมานั้นมันทำเอามาร์คก้าวขาแทบไม่ออก ยืนจ้องอีกฝ่ายค้างไปราวกับได้เห็นของแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต
.
.
รู้สึกเหมือนเมื่อกี้ตาเขาจะพร่าๆแปลกๆยังไงชอบกล...
ก๊อก! ก๊อก!
หลังจากกลับเข้าห้องมาได้เพียงสิบนาที ยังไม่ทันที่จะถอดเสื้อเชิ้ตและกางเกงแสลคสีดำออกจากตัว ทำได้เพียงแค่หาน้ำเย็นๆดื่มดับอาการกระหายจากการเดินเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น มาร์คไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะคิดว่าน่าจะเป็นลุงเชิดที่เข้ามาจัดการเรื่องไฟที่เสียหายให้ตามที่เด็กนั่นบอกเมื่อคืน
“เชิญครับ” และก็เป็นไปตามคาดเมื่อเปิดประตูออกไปก็พบกับนายช่างใหญ่ประจำตึกที่ฉีกยิ้มโชว์ฟันหน้าที่หายไปซี่สองซี่ตามวัยที่ร่วงโรยให้เขาพร้อมกับกระเป๋าเครื่องมือใบโต พ่วงมาด้วยลูกมือ...ล่ะมั้ง อีกหนึ่งคน
“ขอบคุณที่เชิญนะลุง”
เด็กบ้า...
“...”
“คุณมาร์คหลบไปนั่งทางนู้นก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเศษผงมันจะหล่นใส่เอา...เอ้า! แบมแบม มาจับบันไดให้ลุงหน่อย” ต้นประโยคลุงเชิดหันมาพูดกับเขา ส่วนท้ายเป็นการหันไปบอกเด็กชายในชุดเครื่องแบบนักเรียนมัธยมต้นหลุดลุ่ยที่ปักตราโรงเรียนเอกชนใกล้ๆกับโรงเรียนรัฐที่มาร์คสอนอยู่ไว้บนอก
“เดี๋ยวผมช่วยดีกว่าครับ เด็กตัวแค่นั้นจะไปมีแรงอะไร” มาร์คว่าพลางเดินมาอีกฝั่งของบันไดเหล็กแบบพับ ถกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นจนถึงข้อศอกเผยให้เห็นท่อนแขนที่เส้นเลือดปูดนูนประปราย เอื้อมไปจับบันไดอีกฝั่งไว้พลางจ้องเด็กตรงหน้าที่ทำไม่รู้ไม่ชี้มองเขานิ่งๆแต่ปากเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆไม่ยอมหยุด
ไม่รู้ทำไม...แต่มาร์คกลับรู้สึกอยากล้วงเจ้าสิ่งที่อยู่ในปากของอีกฝ่ายโยนทิ้งไปให้ไกลๆเสียอย่างนั้น
“...อื้อหือ สายไฟข้างในมันช็อตครับคุณมาร์ค แต่ลุงแก้ให้แล้วนะหายห่วง...ไอ้เจ้าแบมส่งหลอดไฟมาให้ลุงทีซิ” ‘ไอ้เจ้าแบม’ ที่ลุงเชิดพูดถึงเมื่อครู่นี้ยอมละมือออกจากบันไดเพื่อก้มลงไปค้นหลอดไฟจากกระเป๋าเครื่องมือ ยิ่งก้มโค้งตัวจนเสื้อเลิกขึ้นแบบนี้ก็ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายตัวนิดเดียว แถมเอวยังคอดรับกับสะโพกกลมกลึงเหนือต้นขาเล็กๆนั่นอย่างเหมาะเจาะ แค่ลมหอบใหญ่ๆพัดมาก็คงจะปลิวได้แล้ว
อา...นี่เขาเปล่าลามกนะ
“นี่ใช่ปะลุงเชิด” หลอดไฟแบบเดียวกันกับที่ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆไปเมื่อคืนถูกส่งไปให้ลุงเชิดเปลี่ยนอย่างใจเย็น ทั้งห้องเงียบสนิทมีเพียงเสียงจากการซ่อมหลอดไฟเท่านั้นที่ได้ยิน...
“ชื่อแบมแบมเหรอเรา”
“อืม” เด็กตรงหน้าที่กลับมาช่วยจับบันไดอีกครั้งพยักหน้าตอบเขาเหมือนขอไปที เป็นท่าทางที่ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้มาแต่ต้นหรือเพราะจงใจกวนประสาทเขากันแน่
“กี่ขวบแล้วล่ะ” กระนั้นมาร์คก็เลือกยิงคำถามต่อ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทแต่ดูเหมือนเด็กคนนี้จะเริ่มหงุดหงิดเพราะเขาถามซักไซ้ไล่เรียงขึ้นมาเสียอย่างนั้น อะไรล่ะ...ก่อนหน้านี้ยังส่งยิ้มให้อยู่เลยไม่ใช่หรือไง
“สิบห้า”
“โอ๊ะ...หนุ่มน้อย” มาร์คแกล้งว่าพลางเบะปากน้อยๆ ขณะใช้สายตาไล่มองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเป็นการเอาคืนเล็กๆ
“ชกคนแก่ปากแตกได้แล้วกัน โอ้ย!”
“ไอ้แบม! เอาใหญ่แล้วนะ...อย่าไปคุยกับมันเลยครับคุณมาร์ค เล่นกับหมาหมาเลียปาก” มาร์คแอบเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนอายุมากที่ยืนอยู่บนบันไดสูงเหนือศีรษะของเขาทั้งคู่ปาอะไรบางอย่างคล้ายจุกยางพลาสติกลงมาโดนหัวกลมๆของเด็กปากเก่งนั้นดังป๊อกจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นกุมหัว ใบหน้าที่ค่อนไปทางหวานเนื่องจากดวงตากลมโตนั่นขมวดคิ้วเข้าหากันส่งสายตาไม่พอใจมายังเขาเต็มๆเหมือนกับจะโทษว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนต้องเจ็บตัว
เด็กชะมัด...
เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีภารกิจเปลี่ยนหลอดไฟก็เสร็จสิ้นลง มาร์คช่วยคุณลุงพับบันไดที่น้ำหนักค่อนข้างมากเก็บให้เรียบร้อย แต่กับกล่องเครื่องมือนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นหน้าที่ของคนที่ติดสอยห้อยตามมาซึ่งดูคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆในนั้นมากกว่า
“ขอบคุณนะครับลุงเชิด”
“ไม่เป็นไรคุณมาร์ค ว่าแต่ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่เมื่อคืนล่ะว่าไฟเสียผมจะได้รีบมาซ่อมให้เลย เชอรี่ไม่อยู่มาตามผมที่ห้องก็ได้ ปล่อยเอาไว้นานอันตรายอยู่เหมือนกันนะครับเนี่ย” หากแต่เมื่อสิ้นประโยคของคนอาวุโสกว่ามาร์คก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมาแกนๆพลางค่อยๆปรายสายตาไปยังเด็กชายที่กำลังนั่งยองๆเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋าเครื่องมืออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำหูทวนลมแถมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองกันแบบนั้น
“หึ...”
ตัวแค่นี้แสบนักนะ แบมแบม...
talk.
ลงตอนแรกแล้ว เป็นยังไงบ้างบอกกันหน่อยนะ
ส่วนตัวชอบอ่านอะไรทำนองนี้เลยอยากลองแต่งเองในแบบที่เราอยากให้เป็นบ้าง
มาตอนแรกก็ยังอาจเดาอะไรได้ไม่มากเนอะ ติดตามกันต่อไปน้า
ทางทวิตเตอร์ติดแท็ก #kiddomb ได้นะคะ
twitter : @since9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไหนจะเรียกว่าลุง ไหนจะเรื่องหลอดไฟที่ไม่ยอมตามช่างมาซ่อม
แบมแบมมีปัญหาอะไรกับมาร์คหรือเปล่า อายุห่างกันเท่าไหร่10ปีได้มั๊ย
แต่แบมแบมเรียกซะลุงเลยนะ แสบจริงๆ