ตอนที่ 20 : SUGAR DADDY : SPECIAL CHAPTER
SUGAR DADDY
- SPECIAL PART -
สายลมเย็นๆในแบบที่หาไม่ได้ในเมืองหลวงพัดปะทะเข้ากับใบหน้าคมของชายหนุ่มนอกสายเลือดของตระกูลต้วนในวัยเพียงสิบแปดปีอย่าง 'มาร์ค ต้วน' ที่กำลังเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านในเมืองเล็กๆทางภาคเหนือของประเทศ อากาศที่บริสุทธิ์กว่าตัวเมืองหลายเท่านักทำให้ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มจางๆออกมา เปลือกตาปิดลงพลางรับกลิ่นไอธรรมชาติเข้าปอดในขณะที่บรรยากาศสองข้างทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆโดยไม่มีตึกสูงเหมือนอย่างในเมืองใหญ่มาบดบังธรรมชาติแต่อย่างใด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไอ้เสือ...ขอโทษด้วยที่พี่ไม่ได้เข้าไปหาแกเลย”
จนกระทั่งรถยนต์เคลื่อนเข้ามาในเขตบ้านหลังใหญ่ขนาดสามชั้นที่ถูกดีไซน์อย่างสวยงามคนที่มาร์คเฝ้าอยากพบเจอด้วยความคิดถึงก็ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า หลังจากที่แต่งงานได้สามปีพี่เจย์ไม่ได้ดูแก่ลงไปกว่าเดิมเลย ต่างกันกับเขาที่แม้จะอายุเพียงสิบแปดปีแต่กลับมีบุคลิกและท่าทางที่แก่เกินวัยเพราะทั้งการเรียนที่ก้าวกระโดดกว่าคนในวัยเดียวกันรวมทั้งหน้าที่ในบริษัทที่เริ่มเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบอยู่จำนวนหนึ่ง
“ไม่เป็นไรครับ ถึงพี่เข้าไปในเมืองผมเองก็คงไม่ว่างมาคุยเล่นเหมือนตอนเราเด็กๆอยู่ดี...นี่ผมเพิ่งปลีกตัวมาได้หลังจากไปช่วยคุณปู่คุยงานที่ต่างประเทศ อยากมาหาพี่กับเจ้าตัวเล็กใจจะขาด”
“ฮ่าๆ งั้นเข้าไปในบ้านกันเถอะ มาลินเตรียมอาหารเอาไว้ให้เสียเต็มโต๊ะไปหมด”
“...”
เจย์ต้วนในวัยยี่สิบหกปีมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขทุกครั้งในยามที่พูดถึงภรรยาคนสวยและลูกชายวัยสองขวบเศษ มาร์คเดินตามหลังอีกคนไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกัน...รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่วันนี้จะได้เจอหลานชายเป็นครั้งแรกและสามารถหยอกเย้าจับต้องได้ไม่ใช่แค่มองผ่านหน้าจอมือถืออย่างที่ผ่านมา
“สวัสดีจ้ะมาร์ค...น้องแบม สวัสดีครับคุณอามาร์คก่อนเร็ว”
“สวัสดีครับพี่มาลิน น้องแบม...ฮ่าๆ หลานน่ารักกว่าในรูปที่พี่เจย์ส่งให้ผมดูเสียอีก ตัวโตกว่าที่คิดเยอะเลยล่ะ” มาร์คยิ้มกว้าง ย่อกายลงต่ำให้ใบหน้าของตัวเองพอดีกับหลานชายวัยสองขวบครึ่งที่ยืนเกาะชายกระโปรงคุณแม่เอาไว้แน่น เด็กตัวเล็กเบนกายหลบไปด้านหลังคล้ายกับไม่ไว้ใจหากแต่สายตากลับจ้องเขม็งมายังคนแปลกหน้าไม่ยอมวาง
หากแต่เมื่อมาร์คได้มองหน้าเด็กตัวน้อยแล้วก็พลันนึกถึงเรื่องที่พี่เจย์เคยโทรมาเล่าให้ฟังช่วงที่มาดามมาลินเพิ่งคลอดแบมแบมได้ไม่กี่วันว่าช่วงที่ตั้งท้องได้ไม่กี่สัปดาห์เธอเคยฝันว่าได้รับดอกไม้สีขาวแปลกตามาจากคนแปลกหน้า เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและชวนหลงใหลเป็นที่สุดจึงทำให้หลงคิดกันไปว่าจะได้ลูกสาวแสนสวยสักคน หากแต่เมื่อรู้ว่าเป็นเด็กชายจึงทำให้ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะเลี้ยงแบมแบมมาแบบทะนุถนอมราวกับเป็นดอกไม้บอบบาง...เป็นดอกไม้แสนมีค่าที่เขาเคยออกปากว่ารับคำกับพี่เจย์ว่าจะดูแลรักษาให้ดีที่สุด
หากแต่ใบหน้าหวานเกินเด็กชายกับจมูกและริมฝีปากรั้นๆนั่นมันก็น่าแกล้งให้ร้องไห้จ้าเสียจริง...
.
.
วันที่สองที่มาร์คมาค้างอยู่ ณ บ้านของพี่เจย์ผ่านไปอย่างเรียบง่าย ไร้ซึ่งเรื่องงานให้ต้องเครียดจนกุมขมับเหมือนอย่างที่เป็นมา มาร์คเข้ากับหลานชายตัวเล็กได้ดีกว่าเมื่อวานเพราะความพยายามในการหลอกล่อให้เด็กน้อยขำในท่าทางตลกๆรวมทั้งขนมนมเนยที่เขาขนมาฝากนั้นก็เป็นตัวล่อชั้นดี และเมื่อเด็กน้อยถูกใจก็กลายเป็นว่าวันนี้ทั้งวันแบมแบมก็เอาแต่เดินตามคุณอายังหนุ่มต้อยๆต่างจากท่าทางหวาดกลัวเมื่อวานเสียลิบลับ
“แบมแบม...ดูนั่นสิ นก”
ในช่วงบ่ายมาร์คอุ้มหลานชายเอาไว้ด้วยแขนแกร่งเพียงข้างเดียว มืออีกข้างชี้ให้เด็กชายมองไปยังต้นไม้ใหญ่บริเวณลานสนามหญ้าที่เขียวขจีบ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้เป็นเจ้าของ นกตัวน้อยสีเหลืองสดกำลังเกาะอยู่บนกิ่ง...และดูท่าเหมือนว่าหลานชายตัวเล็กเองจะชอบใจอยู่ไม่น้อย
“นก! นก...อยู่นั่น” เสียงเล็กที่ฟังไม่ค่อยชัดนักพูดตามเสียงดังก่อนจะหันมามองหน้าคุณอาเพื่อรอรับคำชม มาร์คกดจมูกโด่งลงบนแก้มนิ่มของเด็กชายจนได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ สองมือน้อยปรบเข้ากันจนเกิดเสียงเปาะแปะ ก่อนริมฝีปากหยักจะขยับไปกระซิบเสียงแผ่วอย่างที่เด็กตัวน้อยต้องการ
“เก่งมากเด็กดี”
“อา...” มาร์คเลิกคิ้วมองเด็กตัวน้อยที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
“ไม่ใช่อา ป๊า” มาร์คพูดกับเด็กชายในอ้อมกอดเมื่อเห็นว่าดวงตากลมใสๆนั้นจ้องมองมายังเขาไม่วางตา แบมแบมเกาะติดเขาแจจนแทบไม่สนใจพี่เจย์และมาดามมาลินมาตั้งแต่เช้า ทำให้หน้าที่ป้อนข้าวเช้าในวันนี้ก็ตกเป็นของมาร์คไปด้วย พอเป็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้กลายเป็นคุณพ่ออีกคนก็ไม่เชิง
“...”
“เรียกป๊าก่อนแล้วจะพาไปซื้อไอศกรีมอร่อยๆ เราชอบหรือเปล่า...หืม” เด็กน้อยยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำว่าไอศกรีมที่แสนโปรดปราน มาร์คค่อยๆวางเด็กชายในอ้อมแขนลงกับพื้นหญ้า ให้เด็กชายยืนในขณะที่ตัวเขาคุกเข่าลงกับพื้นจนหน้าของทั้งคู่อยู่ในระนาบเดียวกัน ปากอิ่มๆของเด็กชายอ้าออกกว้างก่อนจะเปล่งออกมาเป็นเสียงให้มาร์คยกยิ้มกว้างในที่สุด
“ปะป๊า...”
“ฮ่าๆ ตัวแสบ”
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เด็กชายเอ่ยปากเรียกคุณอาของตนว่าป๊า...หาใช่ในตอนที่ได้เจอกันหน้าคฤหาสน์เสียเมื่อไหร่
.
.
มื้อค่ำที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน มาร์คได้นอนในห้องรับรองแขกที่กว้างขวางสะอาดตาห้องนี้ตั้งแต่คืนแรก มันเป็นห้องที่ไม่ค่อยมีใครได้เข้ามาพักจริงจังนัก เพราะมาร์คเองก็พอจะรู้มาบ้างว่าญาติๆของพี่เจย์นั้นไม่ใช่คนประเภทที่ควรไว้วางใจสักเท่าไหร่ มาเยี่ยมในแต่ละครั้งมักจะมีความต้องการบางอย่างแฝงมาอยู่เสมอ...
“...” หากแต่ยังไม่ทันที่เปลือกตาของชายหนุ่มนักธุรกิจจะได้ปิดลง เสียงร้องไห้จ้ากับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาต้องผุดลุกขึ้นมาเสียก่อน จำได้ดีว่าเสียงร้องไห้นั้นเป็นของหลานชายตัวเล็กอย่างไม่ผิดเพี้ยน และก็ใช่...เมื่อฝ่ามือใหญ่ดึงบานประตูเข้ามาด้านในก็เห็นว่าเป็นมาดามมาลินที่มีแบมแบมร้องไห้อยู่ในอ้อมแขน
“ตัวแสบร้องไห้ทำไม”
“มาร์ค...ถ้าพี่จะขอให้น้องแบมมานอนที่ห้องกับมาร์คด้วยสักคืนมาร์คจะว่ายังไงจ๊ะ ดื้อกับพี่มากเลย...เจ้าตัวเอาแต่บอกว่าจะมานอนกับป๊า พี่ก็งง...เพราะพ่อเจย์เขาก็นอนอยู่ด้วยกันแล้วจะนอนกับป๊าที่ไหน ต้อนไปต้อนมาสรุปว่าเป็นมาร์คนี่เอง”
“...” มาร์คเลิกคิ้วก่อนจะหลุดขำออกมา เบนสายตาไปมองเด็กชายในอ้อมกอดที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร เด็กคนนี้ติดเขามากกว่าที่คิดไว้เสียอีก...คืนนี้ถ้าหากว่าไม่ยอมคงมีหวังไม่ต้องนอนกันทั้งบ้านแน่ๆ
“ได้ครับพี่มาลิน เรื่องแค่นี้เองร้องไห้ทำไม” มาร์ครับคำก่อนจะขยับไปรับเอาร่างน้อยๆของเด็กชายในชุดนอนมาอุ้มไว้แนบอก ใบหน้ากลมซบลงกับไหล่กว้างของคุณอาอย่างรู้งาน น้ำตาเม็ดเล็กหยุดไหลราวกับสั่งได้แถมยังหาวกลิ่นนมออกมาให้มาร์คแกล้งแซวอีกต่างหาก
“ดูสิ คุณอามาอยู่ด้วยไม่กี่วันลูกลิงของแม่ก็เปลี่ยนใจง่ายจริงเชียว” มาดามมาลินมองภาพนั้นก่อนจะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม นานๆทีจะมีคนแปลกหน้าที่ถูกชะตามาคอยตามใจและเล่นเป็นเพื่อนก็แบบนี้ล่ะนะ...
“แบม...แบมนอนป๊า ไม่นอนห้องนะ”
“จ้ะๆ พูดย้ำแบบนี้แม่น้อยใจนะเนี่ย...ฝากด้วยนะมาร์ค หลานกินนมมาแล้วล่ะแค่เอานอนเฉยๆก็พอจ้ะ” มาร์ครับคำมาดามมาลินอีกสองสามประโยคประตูห้องก็ถูกปิด ลูกลิงที่เกาะไหล่ถูกอุ้มมาวางลงบนเตียงแผ่วเบาก่อนที่มาร์คจะแทรกกายลงไปในผ้าห่มผืนเดียวกัน ไฟทั้งห้องถูกปิด มีแววตาใสแจ๋วของเด็กที่นอนมองเขาอยู่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สะท้อนในความมืด
“ดื้อกับคุณแม่ทำไม...ทีหลังอย่าร้องไห้อีกนะ” มาร์ควางปลายนิ้วชี้ลงบนปลายจมูกรั้นอย่างแผ่วเบา
“นอนกับป๊า ไม่นอนแม่” แม้จะยังพูดไม่เก่งนักแต่นั่นก็ทำให้มาร์คยิ้มกว้าง หัวใจของชายหนุ่มอายุสิบแปดปีสั่นระรัวขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด มาร์คยิ้มกว้างในความมืดส่งฝ่ามือใหญ่ไปลูบผมเด็กชายคล้ายต้องการกล่อมนอนก่อนปลายนิ้วยาวจะเลยมาเกลี่ยใบหน้าหวานๆแสนซื่อราวกับลูกกวางตัวน้อยอย่างแผ่วเบา
“หอมแก้มหน่อยได้ไหม” มาร์คกระซิบถามไปอย่างนั้น เพราะยังไม่ทันที่เด็กตัวน้อยจะพยักหน้ารับหรือส่ายหัวปฏิเสธจมูกโด่งๆก็กดลงไปบนแก้มเนียนเสียแล้ว เสียงหัวเราะคิกคักที่ดังขึ้นเป็นเหมือนใบเบิกทางให้มาร์คถลำลงไปลึกกว่าเดิม เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีพลิกตัวคร่อมทับหลานชายวัยเกือบสามขวบที่นอนยิ้มกว้างไม่รู้อิโหน่อิเหน่บนเตียงด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่ความรู้สึกเพียงอาและหลานอีกต่อไป...มาร์ครู้สึกละอายแต่ก็ย่ามใจไปในเวลาเดียวกัน
“ปะป๊า...โปโปอีก” ริมฝีปากเจ่อของเด็กน้อยวาววับจากน้ำลายของคนอายุมากกว่าที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์บางอย่างของตัวเองไว้ได้ หากแต่การกระทำนั้นกลับกลายเป็นว่าถูกใจเจ้าตัวจนร้องขอจะเอาอีกอย่างไม่รู้ประสา มาร์คสูดหายใจเข้าลึกมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ตีกันมั่ว เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“นอนเถอะ...นอนกันดีกว่า”
และนั่นก็ทำให้มาร์คได้รู้ว่าคนที่อันตรายที่สุดสำหรับแบมแบมก็คือเขาเอง...เขาไม่สามารถทนอยู่ในความรู้สึกนี้ได้ และไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้น อีกสองวันถัดมาเขาจึงตัดสินใจลาพี่เจย์และมาดามมาลินกลับมาช่วยงานที่บ้านในเมืองใหญ่ก่อนกำหนด แน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่มาร์คได้เห็นน้ำตาของเด็กชายตัวเล็ก แบมแบมร้องไห้จนแก้มยุ้ยๆน่ารักนั้นขึ้นสีแดงจนน่าสงสารในวันที่เขาเข้าไปบอกลา
“ไม่ร้องสิครับ เดี๋ยวคุณป๊าของน้องแบมก็มาหาใหม่...ไปถ่ายรูปกับป๊าหน่อยสิครับเด็กดี” กระเป๋าเดินทางสองสามใบถูกวางเอาไว้หน้าบ้านรอให้คนรถนำรถออกมาจากที่จอดเท่านั้น พี่มาลินเป็นคนช่วยพูดให้เด็กน้อยหยุดสะอื้นแล้วเข้าไปถ่ายรูปคู่กับคุณอาที่อยู่ๆก็บอกว่ามีธุระที่ต้องทำและขอตัวกลับก่อนกำหนด แม้ว่าจะเสียใจแต่เด็กชายก็ยอมเดินเตาะแตะไปหาคนอายุมากกว่าในที่สุด
“ปะป๊า...ฮึก ม มาอีกไหม” คำพูดฟังยากแต่มาร์คก็สามารถฟังมันได้อย่างชัดเจน ใบหน้าหล่อคมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ ส่งปลายนิ้วไปเกลี่ยน้ำตาให้หลานชายคนดีอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ในใจของเขาก็หนักอึ้งไม่ต่างกัน
“เดี๋ยวเราก็จะได้เจอกันอีก...เป็นเด็กดีไว้ล่ะ”
“เอาล่ะนะ...1 2 3” กล้องฟิล์มในมือของพี่เจย์ถูกกดชัตเตอร์จนเกิดเสียงดัง มาร์คอุ้มแบมแบมเอาไว้แนบอกก่อนจะปล่อยลงเมื่อพี่เจย์บอกว่าการถ่ายรูปเสร็จสมบูรณ์แล้ว มาร์คมองใบหน้าหวานของหลานชายคนดีเป็นครั้งสุดท้ายเพราะเขาหมายใจเอาไว้กับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาเหยียบบ้านหลังนี้...ความคิดที่อยากจะกลับมาพบเจอหลานชายที่เคยเห็นแต่ในรูปสักครั้งช่างเป็นความคิดที่ผิดมหันต์
เขาคิดไม่ซื่อกับลูกชายของคนที่มีพระคุณมากที่สุดในชีวิตในขณะที่เด็กคนนั้นยังไม่สามขวบดีด้วยซ้ำ...
ความคิดอัปยศแบบนั้นจะต้องเลือนหายไปตามกาลเวลา เขาจะหายไปจากชีวิตของเด็กคนนี้เอง
“เดินทางกลับดีๆนะมาร์ค เสียดายเหลือเกิน...ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกทีเมื่อไหร่”
ชายร่างสูงเดินเข้ามากอดคนที่ตัวเองรักเหมือนน้องชายแท้ๆด้วยความจริงใจ เขาไม่ได้ทำงานในเมืองใหญ่อีกต่อไปแล้ว แถมยังมีงานใหม่และครอบครัวให้รับผิดชอบโดยสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเงินทองของพ่อและแม่เพราะอยากเลี้ยงครอบครัวด้วยเงินที่หามาได้ด้วยตัวเอง ส่วนมาร์คเองอีกหน่อยก็คงต้องถูกโยกย้ายไปทดลองงานที่บริษัทต่างประเทศและไม่ค่อยมีเวลาว่างที่เป็นส่วนตัว...ความห่างที่ไม่อยากให้เกิดกำลังจะเดินทางมาถึง
“พี่เจย์ครับ...ก่อนจะกลับไปผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอ”
“สำหรับนายแล้วได้ทุกอย่าง” เจย์จ้องลึกเข้าไปในแววตาของน้องชายอย่างจริงจัง เขาเองก็พอจะสังเกตได้ว่าคนตรงหน้าดูแปลกไป มาร์คมีท่าทีแปลกๆแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
“ต่อจากนี้ไปผมขอให้พี่อย่าพูดชื่อผมหรือเล่าเรื่องของผมให้แบมแบมฟัง...ผมอยากให้เขาโตขึ้นโดยไม่ต้องรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของผม”
“มาร์ค!”
“ได้โปรดเถอะครับพี่เจย์...” มาร์ครู้สึกเจ็บแปลบในอกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อประโยคที่เขาไตร่ตรองเอาไว้ตั้งแต่คืนที่ได้นอนกับหลานชายตัวเล็กแล้วเกิดความคิดอันน่ารังเกียจบางอย่างขึ้นมา ทางเดียวที่จะตัดความรู้สึกนี้ได้ก็คือการหายไป เขาจะหายไปจนกว่าถึงวันและเวลาที่เหมาะสม...
“นายเป็นอะไรมาร์ค มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
“พี่เจย์...ผมไม่ใช่น้องชายโดยสายเลือดของพี่ ลูกชายของพี่ไม่ใช่หลานโดยสายเลือดของผม” มาร์คจ้องเข้าไปในนัยน์ตาเข้มของคนอายุมากกว่า บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นของเด็กน้อยที่ดังแว่วมาอยู่เป็นระยะให้มาร์คต้องรู้สึกผิดอยู่ลึกๆในใจ
“แล้วยังไงมาร์ค ถ้าคำสาบานที่นายเคยให้ไว้กับพี่มันทำให้นายกังวลนายสามารถละทิ้งมันได้ตลอดเวลา...”
“ไม่ใช่ครับ”
“เรื่องคำสาบานเป็นสิ่งที่ผมเต็มใจ...แต่คนเรามีจิตใจที่ตื้นลึกหนาบางไม่เท่ากัน ผมรักแบมแบมแบบหลานตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพที่พี่ส่งมาให้จากโรงพยาบาล...สมบัติของพี่เจย์เป็นสิ่งที่ผมจะดูแลรักษา แต่เมื่อวันนี้ผมได้ลองเข้าใกล้...มันทำให้รู้ว่าผมไม่ได้อยากเพียงแค่ดูแล แต่ผมอยากครอบครองมันด้วย”
“มาร์ค...นี่นายพูดจริงเหรอ” พี่เจย์เบิกดวงตากว้างกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ยังคงรอฟังสิ่งที่มาร์คจะพูดต่อไป
“ครับ จากวันนี้ผมจะหายไป...พี่ติดต่อผมได้เสมอแต่ห้ามให้แบมแบมรู้เด็ดขาด ในชีวิตนี้ผมไม่เคยขออะไรพี่...นี่เป็นคำขอเดียวของผม”
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่นายนะมาร์ค...แต่นายรู้อะไรหรือเปล่า” มาร์คนิ่ง มองอีกฝ่ายด้วยจิตใจที่ปวดหนึบ
“...ว่าสมบัติที่มีค่าที่สุด มันก็คู่ควรแล้วกับคนที่เห็นค่าและสามารถดูแลรักษามันได้”
“ขอบคุณครับพี่เจย์ ในวันที่ดอกไม้น้อยๆของพี่ต้องเผชิญกับพายุผมสัญญาว่าผมจะเป็นคนที่ดูแลมันเอง...ด้วยชีวิต”
“...”
ลาก่อนดอกไม้สีขาวที่แสนเลอค่า…
และหวังว่าสักวันหนึ่ง เราคงจะได้เจอกันอีกครั้ง
.
.
เรื่องราวทั้งหมดในอดีตที่ถูกเล่าโดยคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นพร้อมกับสมุดบันทึกที่เป็นเหมือนสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นเรื่องราวที่ถูกปั้นแต่งขึ้นเพื่อหลอกลวงแต่อย่างใด ร่างเล็กของเด็กชายวัยเกือบสามขวบในตอนนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปีที่เพิ่งเรียนจบพร้อมดีกรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งผู้ซึ่งกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงอกเปลือยใต้เสื้อคลุมผ้าแพรของคนอายุมากกว่าพร้อมใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามตัวอักษรและรูปภาพสีซีดในหน้ากระดาษเก่าแผ่วเบา
“...และเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง แต่สาเหตุที่ทำให้ได้เจอเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก” มาร์คหยุดฝ่ามือใหญ่ที่บรรจงลูบกลุ่มผมนิ่มเพราะอีกฝ่ายขยับกายลงมาเพื่อเอาหน้าซบกับอกแกร่งของตัวเอง ริมฝีปากของชายวัยกลางคนยกยิ้มขึ้น แบมแบมของเขาน่ารักไม่เคยเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่ได้เจอ
“ขอบคุณนะครับป๊าที่เล่าเรื่องพิเศษแบบนี้ให้ฟังในวันพิเศษของแบม แบมดีใจจังครับที่ได้รู้ว่าป๊าคิดแบบนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น” ฝ่ามือข้างซ้ายของเด็กหนุ่มที่นิ้วนางมีแหวนทองคำขาวเรียบๆสวมอยู่ยกขึ้นลูบสันกรามของคนที่ยิ่งอายุมากยิ่งดูดีเบาๆ มาร์คทอดสายตามองเด็กน้อยขี้อ้อนบนตักตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
“นั่นเพราะว่านายเรียนจบแล้ว...โตพอที่จะได้รู้ความคิดไม่ซื่อตรงของฉันที่มีต่อเด็กสองขวบครึ่งได้แล้ว”
“ผมจำไม่ได้เลยจริงๆ” แบมแบมย่นคิ้ว นึกเสียดายเรื่องราวที่อีกฝ่ายเล่ามาซึ่งสอดคล้องกับสมุดบันทึกของคุณพ่อ รูปถ่ายของเขาและอามาร์คที่แนบอยู่ในหน้ากระดาษแม้จะเคยเห็นมานานแล้วแต่ก็เพิ่งได้รู้เบื้องหลังของมันในวันนี้
“จำได้ก็เกินไปแล้ว นายยังเล็กมากในตอนนั้น” มาร์คส่งปลายนิ้วชี้เรียวกดลงไปบนริมฝีปากอวบอิ่ม แม้อายุจะล่วงเลยเข้าสู่เลขสี่ต้นๆแล้วแต่อามาร์คของแบมแบมนั้นกลับทวีความดูดีและเป็นที่หมายตาของสาวๆมากกว่าเดิมเสียอีก ทำให้จากลูกกวางใสซื่อต้องผันตัวมาเป็นลูกลิงตามติดสอยห้อยตามคนรักไปไหนมาไหนไม่ยอมห่าง
ยิ่งในงานพิธีจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยช่วงเช้าวันนี้อามาร์คก็ถูกทั้งบรรดาอาจารย์และนักศึกษาทั้งสาวทั้งหนุ่มรุมล้อมจนแบมแบมหงุดหงิดไปพักใหญ่ๆ แต่พอได้เห็นดอกไม้ช่อใหญ่จากร้านดอกไม้ชื่อดังที่อามาร์คสั่งมาให้นั้นรอยยิ้มจึงถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งได้
แบมแบมโตแล้ว ไม่ใช่เด็กสิบห้าเหมือนเมื่อก่อน...รู้ว่าการแสดงออกว่าหึงหวงนั้นไม่ใช่เรื่องผิด
และคนอย่างอามาร์คน่ะน่าหวงน้อยเสียเมื่อไหร่กัน
“อื้อ...ป๊าครับ เค็มนะ” แบมแบมแกล้งบุ้ยปากเมื่ออีกฝ่ายกดนิ้วชี้เข้ามาด้านในโพลงปากตัวเอง เสียงเล็กแกล้งบ่นอุบอิบจนได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆจากลำคอของคนที่เอนหลังพิงหัวเตียงส่วนอีกมือก็คีบบุหรี่ด้ามเหล็กที่พักหลังมานี้ลดอัตราการสูบลงไปบ้างเพราะแบมแบมขอเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงในสุขภาพ
“ทีตอนนี้ทำมาเป็นบ่น”
“แบมล้อเล่นครับ เอาใส่เข้ามาใหม่สิครับ” และลูกกวางตัวน้อยก็เปลี่ยนมาเป็นแม่กวางที่มีลูกเล่นแพรวพราวด้วยระยะเวลาและความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้น ท่อนแขนแข็งแรงเอื้อมมาล็อคคอคนบนตักเอาไว้ก่อนที่มาร์คจะก้มใบหน้าลงมาแล้วพ่นลมหายใจเป็นควันบุหรี่กลิ่นมิ้นต์เย็นๆออกมาให้แบมแบมสำลักค่อกแค่กเป็นการแกล้งเด็กซน
“แค่กๆ...”
“เดี๋ยวเอาใส่เข้าไปใหม่แน่ แต่ไม่ใช่นิ้ว”
“ป๊า! อื้อ...” ตามด้วยเสียงกระซิบทุ้มๆข้างหูที่ทำเอาเด็กน้อยตาเบิกโพลง คิดจะดิ้นหนีแต่ก็ดูเหมือนว่าจะช้าเกินไป เพราะว่ากวางยังไงก็เป็นกวางอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางเปลี่ยนชาติกำเนิดไปเป็นราชสีห์อย่างมาร์คได้หรอก...ลูกกวางน้อยดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของคนแก่กว่าก่อนที่สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นเสียงครางตอบรับอื้ออึง
ไม่จำเป็นต้องหวือหวา
หากแต่ทั้งสองคนสามารถเติมเต็มความรู้สึกของกันและกันได้ในทุกๆวัน…เท่านั้นก็เพียงพอ
คิดถึงน้องแบมกับคุณป๊ากันมั้ยยย
(เราก็คิดถึงเหมือนกัน ;___;)
เอาสเปที่ลงในเล่มมาลงให้คนที่ไม่ได้เก็บเล่มได้อ่านกันเนอะ คอมเมนต์ติชมได้น้า
#FICSDMB
@SINCE9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เราเข้าใจอามาร์คแล้วว่าทำไมถึงไม่ติดต่อหลานเลย (เพราะกลัวติดคุกนี่เอง55555) คงรู้สึกผิดที่ไปรักแรกพบกับหลานตัวน้อย เลยต้องไปทำใจ น่าสงสาร ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้น พรหมลิขิตยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี
แอบเศร้าเบาๆ ตอนมาร์คจะไป
แล้วไม่ให้เล่าเรื่องตัวเอง