ตอนที่ 1 : SUGAR DADDY : CHAPTER 1
SUGAR DADDY
- CHAPTER 1 -
กรอบกระจกใสที่ห่อหุ้มภาพถ่ายครอบครัวใบใหญ่ไว้บนผนังสีครีมอ่อนสะท้อนให้เห็นเงาใบหน้าลางๆของคนที่ยืนทอดสายตามองมายังมันด้วยแววตาวูบไหว ฉายชัดถึงความสบสนและหม่นหมอง ริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อตามธรรมชาติเม้มเข้าหากันพลางหลุบสายตาลงต่ำ กระบอกตาที่เริ่มอุ่นชื้นขึ้นมาทำให้ฝ่ามือขาวสองข้างที่ถูกคลุมไว้ด้วยเสื้อไหมพรมแขนยาวตัวหนาค่อยๆขยับเข้ามากอบกุมกัน ออกแรงบีบมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นแสนน่าอายของตัวเองเอาไว้...
การสูญเสียคนที่รักราวกับชีวิตของตัวเองไปถึงสองคนพร้อมกันมันสร้างบาดแผลที่เจ็บปวดเหลือเกิน
“...”
ภาพความทรงจำในช่วงเวลาเก่าๆที่แสนสุขทำท่าจะหมุนวนย้อนกลับมาคล้ายต้องการทำร้ายให้เจ้าของความคิดได้ล้มทั้งยืนอีกครั้ง...ชัดเจนเหลือเกินว่าความเจ็บปวดเหล่านี้มันมีมากเกินกว่าที่สองขาและสองไหล่น้อยๆของเด็กชายวัยสิบห้าปีอย่าง ‘แบมแบม’ จะแบกรับมันเอาไว้เพียงลำพัง
ก๊อก! ก๊อก!
“คุณหนู...ป้าขออนุญาตนะคะ”
“ค..ครับ” ไหล่บางสะเทือนเล็กน้อยด้วยความตกใจจากเสียงเคาะประตู นึกขอบคุณเสียงแหลมๆของป้าเพ่ยหลีที่มาช่วยดึงสติเขากลับไปจากความคิดฟุ้งซ่านที่กำลังจะเกิดขึ้นในจิตใจ เสียงเล็กขานรับออกไปก่อนที่สองขาจะขยับพาตัวเองมายืนนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ข้างตู้เสื้อผ้าเนื้อไม้ราคาแพงคล้ายกับว่ากำลังสำรวจความเรียบร้อยของร่างกาย
“รถของทางนั้นมาถึงแล้วนะคะคุณหนู”
น้ำเสียงคุ้นหูของหญิงวัยกลางคนร่างเล็กดังขึ้นจากทางด้านหลัง เธอมองสบสายตาคุณหนูตัวน้อยของเธอผ่านกระจกใสบานใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่ดูออกอย่างง่ายดายว่ามันไม่ได้มาจากแววตา...หากแต่มันก็ไม่ได้ต่างกันกับเด็กชายตัวน้อยในชุดพร้อมเดินทางตรงหน้านี้มากนัก ริมฝีปากอวบอิ่มยิ้มรับแต่มันดูฝืนเสียจนคนมองอย่างเพ่ยหลีต้องหลุบสายตาลงต่ำแทน
“บอกเขาให้รอแบมสักครู่นะครับ ขอแบมลาคุณพ่อกับคุณแม่อีกครั้ง”
“คุณหนูแน่ใจแล้วเหรอ...ให้ป้าไปด้วยเถอะนะคะ ป้า...ป้าคิดถึงคุณหนู” น้ำเสียงแหลมเล็กของหญิงร่างเล็กที่ผ่านโลกกว้างมานานกว่าห้าสิบปีสั่นเครือน้อยๆอย่างที่ไม่เคยเป็น สองมือหยาบกร้านเพราะการตรากตรำทำงานมาค่อนชีวิตบรรจงแตะลงบนเอวคอดของคุณหนูเพียงคนเดียวในตระกูลอย่างหวงแหน
“ไม่เอาสิครับ...แบมโตแล้วนะแบมอยู่ได้ ทางนั้นเขาคงไม่ใจร้ายกับแบมหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วงแบมนะ” แม้ว่าภายในจิตใจแล้วเด็กตัวเล็กไม่ได้มีความคิดที่อยากจะจากไปเลยสักนิดเดียว หากแต่เพราะความจำเป็นหลากหลายประการมันบีบคั้นให้ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเส้นทางที่ไม่เคยคาดฝันเช่นนี้แล้วเด็กตัวเล็กๆแบบเขาจะเอาอะไรไปขวางไว้ได้กัน
“ถ้าคุณหนูลำบากหรือต้องการอะไรโทรมาหาป้านะคะ...ติดต่อมาหาป้าบ้าง”
แบมแบมเม้มปากแน่นก่อนจะหันตัวกลับมาส่งยิ้มบางๆให้กับผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้า ใบหน้าเหี่ยวย่นที่ฉายชัดถึงความเศร้าหมองดูไม่น่ามองเอาเสียเลยในสายตาของคนตัวเล็ก ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจโอบเอาร่างผอมบางของแม่บ้านคนดีที่รับใช้ปรนนิบัติครอบครัวของเขาและตัวเขาเองมาตั้งแต่เกิดไว้ เธอเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของแบมแบม...
“แบมสัญญา...ถ้ามีโอกาสแบมจะขอให้เขาพากลับมาเยี่ยมบ้านของคุณพ่อคุณแม่บ่อยๆ”
“คุณหนูของป้า...” หยดน้ำตาไหลอาบแก้มแม่บ้านเก่าแก่เมื่อความรู้สึกมันสุดจะหักห้าม แต่ตัวเธอก็เป็นเพียงแค่แม่บ้านรับใช้ ไม่มีอำนาจบาตรใหญ่อะไรจะไปหักล้างข้อตกลงของคนในครอบครัวที่เขาจัดการกันเอาไว้ได้...สิ่งที่เธอทำได้ก็มีแค่เพียงสวดมนต์ภาวนาให้เด็กดีของเธอได้พบเจอกับคนที่ดีก็เท่านั้น
“ป้าเพ่ยไปต้อนรับพวกเขาเถอะครับ เดี๋ยวแบมจะตามลงไป”
และแบมแบมเองก็ไม่สามารถคาดเดาอะไร ได้แต่อ้อนวอนว่าครั้งนี้ขอให้เป็นโชคดีที่นำทาง...
.
.
การเดินทางด้วยรถยนต์ไปยังสนามบินกินระยะเวลาเกือบสองชั่วโมง ความเศร้าที่ต้องจากบ้านเกิดเริ่มเกาะกินจิตใจเล็กน้อย ก่อนที่จะรู้สึกใจเสียจนอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาในตอนที่ต้องบอกลากับคนสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ด้วยท่าทีเข้มแข็ง ใบหน้าเปรอะน้ำตาของป้าเพ่ยหลีทำให้แบมแบมเริ่มลังเล แต่กระนั้นการตัดสินใจมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเขามาตั้งแต่แรก
ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่เดินไปขึ้นเครื่องพร้อมกับคนในชุดสูทสีสุภาพที่บอกว่าจะพาเขาไปส่งก็เท่านั้น
“อีกไม่กี่นาทีจะถึงคฤหาสน์แล้วครับคุณหนู”
“...” ไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอเหม่อลอยไปนานเท่าไหร่ ทิวทัศน์ด้านนอกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เรื่อยๆตั้งแต่ออกมาจากสนามบินหลังเครื่องลงจอด โชคดีที่เป็นการบินเข้าเมืองหลวงภายในประเทศจึงใช้เวลาไม่นานนักไม่อย่างนั้นแบมแบมคงต้องเบื่อและเฉาตายอยู่บนเครื่องบินเป็นแน่
และตอนนี้ตัวเขาก็ถูกขับพาเข้ามาในส่วนที่คิดว่าน่าจะเป็นใจกลางเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะสถานที่รอบๆดูพลุกพล่านไปด้วยผู้คนและสถานที่อำนวยความสะดวกมากมาย
คนตัวเล็กเลือกที่จะไม่ตอบรับอะไรออกไป ทำเพียงแค่มองบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนจากสถานที่พลุกพล่านมาเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่เงียบสงบ ขนาดของที่ดินรวมถึงตัวบ้านแต่ละหลังนั้นทำให้รับรู้ได้โดยไม่ต้องคิดทบทวนให้ปวดหัวว่าราคาของมันจะสูงขนาดไหน ส่งผลให้ตอนนี้ดวงใจเล็กๆเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาว่าบุคคลที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ราคาแพงขนาดนี้นั้นบุคลิกนิสัยใจคอจะเป็นอย่างไรกัน
ความกังวลในคราแรกเริ่มจะปนเปไปกับความตื่นเต้นเสียแล้ว
.
.
ใช้เวลาไม่นานรถคันใหญ่ที่อำนวยความสะดวกมาตั้งแต่สนามบินก็จอดลงเมื่อถึงที่หมาย ฝ่ามือเล็กยังไม่ทันที่จะเอื้อมไปแตะประตูรถเพื่อออกแรงเปิดมีอันต้องชะงักค้าง ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองเจ้าของฝ่ามือใหญ่ในชุดสูทสีเข้มที่ชิงเปิดประตูให้จึงโค้งศีรษะน้อยๆเป็นการขอบคุณ ส่วนกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบก็มีคนเข้ามาช่วยขนย้ายให้แล้วอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าคนทั้งหมดถูกตระเตรียมเอาไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ
เมื่อทุกอย่างทุกจัดการเรียบร้อยก็เหลือเพียงแค่เขาที่ยืนเคว้งอยู่ตามลำพัง เบื้องหน้าเป็นประตูเข้าสู่ตัวบ้านขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดกว้างแต่แบมแบมก็ยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะเดินเข้าไปโดยพลการ หากแต่เมื่อหันหลังกลับไปมองดูรถยนต์ที่พาตัวเขามาที่นี่ก็เห็นว่ากำลังแล่นห่างออกไปอีกทางเสียแล้ว จึงทำให้ตอนนี้ในห้วงความคิดของคนตัวเล็กกำลังถูกปกคลุมไปด้วยความไม่เข้าใจและกังวล...
“แบมแบม”
“...”
“นายคือแบมแบม...ลูกชายคนเดียวของพี่ชายฉัน ฉันเข้าใจถูกไหม?”
ดวงตากลมเลิ่กลั่กมองหาต้นเสียงอยู่ไม่นานก็พบเข้ากับร่างสูงสง่าในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่กำลังก้าวเดินออกมาจากตัวบ้านจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างใจเย็น และเมื่อประมวลผลได้ริมฝีปากอิ่มจึงเม้มเขาหากันซ่อนความประหม่าก่อนจะจัดระเบียบร่างกายให้ดูนอบน้อมและเรียบร้อยมากที่สุด จากนั้นจึงค่อยโค้งศีรษะลงอย่างประณีตเพื่อแสดงความเคารพ
“ครับ...ผมชื่อแบมแบม ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ...ค คุณอา”
“เสียใจด้วยเรื่องพี่เจย์กับมาดามมาลิน” แบมแบมมีความรู้สึกว่าตอนนี้เขากำลังกลายเป็นคนขี้ขลาดโดยไร้ซึ่งเหตุผล เพียงเพราะว่าสายตาคมๆคู่นั้นที่สบประสานเข้าในครั้งแรกที่เผลอจ้องมองมันเต็มไปด้วยอำนาจและความน่าเกรงขาม ดังนั้นมันจึงทำให้ความกล้าในตอนแรกนั้นเหือดหายไปจนสิ้น...แบมแบมไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นตรงๆด้วยซ้ำ
“ค..ครับ”
“โจวมี่...เข้าไปบอกให้คุณซุนเตรียมชาไว้ที” หากแต่ประโยคนี้แบมแบมกลับทำใจกล้าเหลือบตามอง ทำให้เห็นว่าร่างกายสูงใหญ่ตรงหน้ากำลังเบนความสนใจยังบุคคลที่คนตัวเล็กจำได้ว่าเป็นคนไปรับเขาออกมาจากบ้านและจัดการเรื่องการเดินทาง รวมถึงคอยดูแลจนกระทั่งมาถึงปลายทางกำลังยืนรับคำสั่งจากคนตรงหน้าอย่างนอบน้อม
“...”
“ฉัน ‘มาร์ค ต้วน’ เป็นน้องชายของพี่เจย์ พ่อของนาย...จำหน้าเอาไว้ดีๆล่ะ” คนตัวเล็กมีอันต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายคางถูกถือวิสาสะเชยขึ้นด้วยนิ้วชี้ของบุคคลที่บอกว่าตัวเองเป็นอาของเขา ดวงตากลมหลบเลี่ยงไม่ได้จึงต้องจำใจมองสบประสานกับดวงตานิ่งเรียบหากแต่แฝงไปด้วยอำนาจของ ‘คุณอามาร์ค’ ที่ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะได้เห็นหน้าคร่าตาเป็นครั้งแรกอย่างตั้งอกตั้งใจ
...ไม่ใช่ว่าแบมแบมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณพ่อของเขามีน้องชายอีกคน เพราะก็มีบางครั้งที่คุณพ่อเผลอพูดเปรยๆถึงแต่ก็ไม่เคยลงรายละเอียดลึก และแบมแบมเองก็ไม่ได้มีความสนใจหรือใส่ใจในเรื่องของวงศาคณาญาติมากนัก ดังนั้นคุณอาที่มีเพียงชื่อแต่ไม่เคยได้เห็นหน้าคร่าตาจึงกลายเป็นเรื่องที่คนตัวเล็กไม่เคยให้ความสำคัญจนแทบจะหลงลืมไป
จนกระทั่งหลังจากงานศพเสร็จสิ้นไปได้เกือบสองเดือนวันเปิดพินัยกรรมก็มาถึง บรรดาญาติๆต่างพากันมารวมตัวอย่างมีความหวัง แบมแบมไม่นึกโกรธสักนิดถ้าสมบัติในบ้านจะตกเป็นของพวกเขาหากมันเป็นความประสงค์ของคุณพ่อ...แต่ทว่าคนเดียวที่คุณพ่อลงลายมือไว้ว่าให้รับหน้าที่ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดที่มีรวมทั้งตัวเขาจนกว่าจะอายุครบยี่สิบปีดันกลับกลายเป็นชื่อของคุณอาที่แบมแบมไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้ามาก่อนสักครั้งเดียว...
แม้กระทั่งในช่วงที่จัดงานศพของคุณพ่อและคุณแม่ คุณอาคนนี้ก็ไม่เคยโผล่มาให้เห็นสักหน
“...ต่อจากนี้ไปผู้ปกครองของนายคือมาร์คต้วน ไม่ใช่เจย์ต้วนหรือมาดามมาลินอีกต่อไป”
“ครับ” และเมื่อเปิดพินัยกรรมออกมาเป็นเช่นนี้แล้ว ฝ่ายญาติๆที่เหลือจึงช่วยกันติดต่อและเดินเรื่องมายังคุณอาคนนี้ให้ คล้ายกับว่ากำลังหวังดีต่อเขากันเสียเต็มประดา...แต่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นการปัดภาระให้ห่างจากตัวเองต่างหาก
“อีกอย่าง...เรียกฉันว่า ‘ป๊า’ แทนคำว่าอาก็แล้วกัน เราจะได้สนิทใจกันไวๆ ตกลงไหม?”
“...” ดวงตาเรียวคมคู่นั้นเหมือนกับมีมนต์สะกดชักนำบางอย่าง ความคิดของแบมแบมกระเจิดกระเจิงราวกับมีใครเป่าลมแรงๆใส่กองกระดาษที่วางซ้อนกันไว้จนมันปลิวว่อน แม้ในใจจะร้องปฏิเสธเพราะไม่คิดว่าการเรียกสรรพนามใกล้ชิดแค่นั้นช่วยให้สนิทใจกันได้ หนำซ้ำจะทำให้กระดากอายกันเสียเปล่าๆ หากแต่พอเอาเข้าจริงแล้วริมฝีปากคู่นั้นกลับขยับแผ่วเบาเป็นคำตอบรับสั้นๆที่ทำให้แบมแบมได้เห็นรอยยิ้มแรกจากใบหน้าทรงเสน่ห์โดยไม่ได้คาดคิด
“ค...ครับ”
“ดีมาก เป็นเด็กดีกับฉันนะ”
แน่นอน...มันเป็นเรื่องที่แบมแบมถนัดมากที่สุดแล้วล่ะ
.
.
ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังมีความรู้สึกมึนหัวและคอแห้งเป็นอย่างมากเสียจนอยากจะปิดเปลือกตาลงไปอีกรอบ ลองฝืนใจยกคอขึ้นมามองลอดผ่านกระจกบานใหญ่ข้างๆกับหัวเตียงก็ทำให้เห็นว่าตอนนี้ด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยความมืด...จำได้ว่าหลังจากที่ถูกต้อนรับด้วยน้ำชาจากแม่บ้านแล้วอามาร์คก็เดินแยกไปอีกทางหนึ่ง บอกทิ้งท้ายไว้แค่ว่าพรุ่งนี้ค่อยมาคุยเรื่องอื่นๆกันต่อเพราะยังเคลียร์งานไม่เสร็จ จากนั้นคุณซุนลีหรือแม่บ้านประจำคฤหาสน์วัยกลางคนก็พาแบมแบมมาส่งที่ห้อง
แล้วเขาก็ อ่า...เผลอหลับไป นี่เขาเผลอหลับไปนานเท่าไหร่กันนะ
“...” เมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลับไปสองแขนเล็กจึงค่อยๆยันตัวเองให้ลุกขึ้น กวาดสายตามองไปรอบๆกายอีกครั้งหนึ่งแม้ว่าตอนที่เข้ามาครั้งแรกได้ทำการมองสำรวจผ่านๆไปบ้างแล้วก็ตาม ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าห้องนอนขนาดกลางนี้ถูกตกแต่งในแบบที่คล้ายคลึงกับห้องนอนเดิมอย่างน่าประหลาด
สองขาเรียวพาตัวเองลุกจากเตียงเดินไปยังกระจกตั้งพื้นที่มีความสูงกว่าตัวเขาเล็กน้อย ฝ่ามือเล็กแตะไปตามเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองพยายามสางให้มันเข้าที่แบบลวกๆก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกได้ว่าตอนนี้ลำคอของเขากำลังแห้งเป็นผง พยายามมองหาน้ำดื่มสักขวดก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่า
ก๊อก! ก๊อก!
“ค...ใครครับ” ถ้าหากว่าเป็นบ้านหลังเดิมแบมแบมคงไม่ลังเลที่จะเดินไปเปิดประตูเป็นแน่ แต่กับสถานที่ใหม่ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านของบุคคลที่เป็นถึงน้องชายของคุณพ่อแต่กระนั้นแบมแบมก็ยังไม่มีความไว้ใจใดๆให้แม้แต่น้อย ดวงตากลมโตจ้องไปยังบานประตูไม้สีขาวอย่างรอคอยคำตอบ
“ซุนลีค่ะ”
“อ๋า รอสักครู่ครับ” เมื่อชื่อและสำเนียงการพูดที่มีเอกลักษณ์ของแม่บ้านหญิงดังขึ้นคนตัวเล็กจึงค่อยๆเดินไปเปิดประตูให้อ้าออกได้
“มีอะไรเหรอครับ...อ อามาร์ค” แม้จะไม่ได้เปล่งเสียงดังมากนักในคำหลังแต่ก็ดูออกได้ไม่ยากว่าเจ้าของใบหน้าหวานกำลังอยู่ในอารมณ์ตกใจระคนสงสัย เพราะในจังหวะแรกที่เปิดประตูสายตาก็มองเห็นเพียงร่างของหญิงวัยกลางคนที่ถือถาดอะไรบางอย่างขึ้นมา หากแต่พอมองไปด้านหลังแล้วกลับมีร่างกายสูงโปร่งของคนที่เพิ่งได้คุยกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยืนซ้อนอยู่เสียอย่างนั้น
แบมแบมก็แค่...ตกใจ
“ซุนลีเอาอาหารว่างกับชามาเสิร์ฟค่ะ เห็นว่าคุณแบมแบมยังไม่ได้ลงไปทานมื้อค่ำ” แบมแบมพยักหน้ารับแต่ก็อดคิดในใจไม่ได้ว่ามันใช่ความผิดเขาเสียที่ไหน ใครจะไปรู้ว่าเวลาอาหารของสถานที่แห่งนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ และถ้าอยู่ดีๆให้เดินลงไปมันจะไม่ดูแปลกประหลาดไปหน่อยหรือไงกัน
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมเอาเข้าไปเอง” ร่างเล็กในชุดเดิมโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนจะคว้าเอาถาดสีเงินใบใหญ่มาไว้ในมือแทน และเมื่อหมดหน้าที่แม่บ้านหญิงก็เดินจากไปอย่างนอบน้อม ส่งผลให้ร่างของบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังเมื่อครู่ปรากฏแจ่มชัดต่อสายตาคนมองมากกว่าเดิม
“แล้วอามาร์ค...”
“ป๊า”
“ค ครับ?” คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันพลางขยับเอียงคอนิดหน่อยเมื่อจู่ๆคนตรงหน้าก็พูดขัดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆที่ฟังไม่เข้าใจ
“ตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือไง...ป๊ามาร์ค ไม่ใช่อามาร์ค”
“...”
อ่า ใช่! แบมแบมลืมไปเสียแทบจะสนิทเลย
“ขอโทษครับ...เอ่อ ป๊าจะเข้ามาก่อนไหมครับ?” แม้จะมีความประหม่าแต่แบมแบมก็ไม่ลืมที่จะเชื้อเชิญเจ้าของบ้านให้เข้ามาด้านในก่อนถ้าหากต้องการ ก็รู้สึกแหละนะว่ามันดูแปลกๆ แต่แบมแบมคุมสติตัวเองไม่ค่อยอยู่จริงๆว่าจะต้องทำตัวอย่างไรเวลาอยู่ต่อหน้าคุณอามาดนิ่งคนนี้
“อืม”
เพียงมาร์คขานรับนิ่งๆในลำคอแค่นั้นแบมแบมก็รีบใช้ศอกของตัวเองดันบานประตูให้เปิดกว้างกว่าเดิมเปิดทางให้มาร์คเดินเข้ามาได้อย่างสะดวก ถาดอาหารสีเงินถูกยกไปวางไว้บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียงเพราะว่าตอนนี้ดูไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมกับการรับประทานสักเท่าไหร่ ดวงตาคู่งามมองตามร่างกายสูงโปร่งของคุณป๊าคนใหม่ที่เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียงที่ยับย่นของเขาด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าตอนแรกที่เจอกัน
“เพิ่งตื่นหรือไง” เสียงทุ้มมาพร้อมกับสายตาที่ทำให้คนถูกมองชักจะทำตัวไม่ถูก มือเล็กยกขึ้นมาเกาแก้มยุ้ยของตัวเองพลางตอบรับอย่างนอบน้อม
“ครับ”
“ปกติพูดน้อยแบบนี้หรือเปล่า” มาร์คเปลี่ยนท่าทางการนั่งเป็นการนั่งหลังตรงยกเอาแขนทั้งสองมากอดอกไว้อย่างคนมีมาด ไม่รู้ว่าแบมแบมคิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาของคนอายุมากกว่าที่มองมานั้นมันเหมือนกับมีพลังบางอย่าง ยิ่งในตอนที่นัยน์ตาคมเข้มไล่พินิจไปตามร่างกายของเขาอย่างใจเย็น ไม่จาบจ้วงทว่ากลับชวนให้รู้สึกเขินอายแปลกๆเสียจนอยากจะมุดหน้าหนี
“อ่า ไม่ครับ...แต่คุณพ่อบอกว่าแบมชอบพูดมากในเรื่องที่หาสาระไม่ได้” หากแต่คนตัวเล็กก็พยายามทำใจให้นิ่ง ตอบกลับด้วยรอยยิ้มน้อยๆเมื่อเผลอนึกถึงคำพูดแหย่ของบิดาผู้เป็นที่รัก
“งั้นเหรอ” ใบหน้าหวานสลดลงนิดหน่อยเมื่อพูดถึงบิดาผู้ล่วงลับแล้วพาลให้นึกถึงเรื่องเก่าๆ และแน่นอนว่าท่าทางทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของใครอีกคนที่เอาแต่ใช้สายตาของตัวเองจับจ้องสังเกตท่าทางบุคลิกของเด็กน้อยตรงหน้าอยู่แทบทุกการกระทำ
“คุณพ่อท่านก็แค่แกล้งแซวน่ะครับ อันที่จริงท่านใจดีกับผมมากๆเลย”
“อืม...” แบมแบมเม้มปาก พยายามทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมองบุคคลอายุมากกว่าผู้ที่เป็นทั้งเจ้าของบ้านและผู้ปกครองซึ่งจะคอยดูแลเขาจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะด้วยแววตากึ่งกล้ากึ่งกลัว ถึงแม้ว่าแบมแบมจะไม่ใช่คนประเภทที่กลัวการเข้าสังคมแต่ก็ไม่ใช่ประเภทผูกมิตรกับเขาไปทั่วเหมือนกันนั่นแหละ
“ห้องพออยู่ได้หรือเปล่า”
“...”
“อยู่ได้ครับ” แบมแบมไม่ใช่คนมีปัญหามากอยู่แล้ว ถึงแม้จะเกิดและโตมาในครอบครัวที่สุขสบายแต่ถ้าต้องเผชิญกับความลำบากเขาก็คิดว่าตัวเองมีความอดทนที่สูงพอ
“ก็ดี...พรุ่งนี้ฉันจะให้คนพาไปซื้อของใช้ที่จำเป็น”
“นายต้องมีแม่นมคอยดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่ครับ! ผมอายุสิบห้าปีแล้ว...ดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนดูแลใกล้ชิดหรอกครับ” คำถามนี้ทำให้คิ้วบางกระตุกขึ้นมา น้ำเสียงที่เคยหวานนอบน้อมแปร่งไปนิดหน่อยด้วยตะกอนของความไม่พอใจ หมายความว่ายังไงกัน...อามาร์คมองว่าเขาเด็กขนาดที่ต้องมีคนดูแลใกล้ชิดจริงๆหรือแค่แกล้งถามประชดประชันกันแน่
“...”
“ถ้าคิดว่าตัวเองโตมากขนาดนั้นแล้วทำไมไม่ไปลองใช้ชีวิตตัวคนเดียวดูล่ะ”
“...” แบมแบมนิ่งเงียบก่อนจะกดฟันคมขบริมฝีปากตัวเองเสียแทบห้อเลือด อารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นหายไปอย่างรวดเร็ว นึกโทษตัวเองที่ไม่รู้จักสงบอารมณ์ให้มากกว่านี้ ทำให้ตอนนี้หัวใจดวงน้อยกำลังเต้นระส่ำด้วยความกลัวที่ก่อตัวขึ้นมาจากคำพูดห้วนๆนั้น
แย่ที่สุด...แบมแบมในสายตาคุณอาคงจะกลายเป็นเด็กไม่ดีไปเสียแล้ว
“ฉันไม่ชอบเด็กก้าวร้าว พยายามทำตัวให้ดีๆไว้ล่ะ...เพราะบทลงโทษจากฉันมันไม่เหมือนกับคนอื่น” ยิ่งอีกฝ่ายบรรจงพูดประโยคคาดโทษยาวเหยียดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำแบมแบมก็ยิ่งเกร็งเสียจนมือเล็กๆเริ่มสั่น ใบหน้าหวานพยักหน้ารับคำโดยก้มต่ำไม่มองหน้าอีกฝ่าย
“...”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพี่เจย์เลี้ยงนายมายังไง ตามใจแค่ไหน...แต่ตอนนี้นายอยู่กับฉัน เข้าใจใช่ไหม?”
“ค...ครับ”
แบมแบมครางรับเสียงเครือ หากย้อนกลับไปได้เขาสาบานว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้ แต่ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาไม่ชอบเลยจริงๆเวลามีใครพูดเชิงสบประมาทว่าเขาไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ แบมแบมก็แค่อยากให้ทุกคนมองเขาเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ต้องมีใครมาคอยประคบประหงม เพราะระยะเวลาตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เสียเกือบสี่เดือนนั้นเขาก็ไม่เคยไปอ้อนวอนขออยู่กับญาติคนไหนซักครั้ง
ปึง!
“เฮ้อ...” คนตัวเล็กลอบปิดเปลือกตาพลางถอนหายใจออกมาคล้ายกับโล่งอกเมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นหลังจากที่มาร์คลุกพรวดออกไปแม้ว่าบทสนทนาในวันแรกที่ได้พบเจอกันจะจบลงได้ไม่ดีนัก ฝ่ามือเล็กยกขึ้นกอบกุมหน้าอกของตัวเองที่ก้อนเนื้อด้านในมันเต้นระรัวจนแทบจะกระเด็นออกมาด้านนอกเป็นการปลอบประโลมตัวเอง
เพียงเท่านี้แบมแบมก็พอจะเดาได้แล้วล่ะ
ว่าชีวิตของเขาต่อจากนี้มันคงจะไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป...
คุณป๊าอย่าดุซี่ น้องกลัวหมดแล้วเห็นไหม!
เรื่องนี้ไม่ม่านะคะ ถึงม่าก็จะมีเพียงเล็กน้อยเพราะว่าเราไม่ถนัดจริงๆ มาสายละมุน 55555555
นี่ก็เป็นตอนแรกคงจะยังเดาอะไรกันได้ไม่มากนักใช่ไหมเอ่ย
(แอบใบ้ให้ว่าฟิคเรื่องนี้โหดร้ายเพราะมีการกินเด็กเป็นยาอายุวัฒนะ แฮ่)
นี่ก็เป็นฟิคอีกเรื่องที่เราตั้งใจกับมันมาก ถ้าอ่านแล้วชอบ ถูกใจก็ฝากคอมเมนต์ติชมเป็นกำลังใจให้เราด้วยน้า
แล้วเจอกันค่า ♥
#FICSDMB
TWITTER : @SINCE9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กลัยมาอ่านรอบสอง
แฮ่!!!!
โอ้โหไห้เรียกป๊าเลยเหรอมาร์ต