ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ลงแบบ E-BOOK ที่ MEB] FIC WIDOWER : { MARKBAM }

    ลำดับตอนที่ #8 : widower :: chapter eight

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.29K
      141
      18 ก.พ. 59

    ? themy butter
    +


    WIDOWER

    #MARKBAM

    CHAPTER EIGHT

     
     

                    วันนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกหนึ่งวันที่อากาศดีพอสมควร แม้ว่าจะมีแดดออกให้พอรู้สึกตามประสาเมืองร้อนอยู่บ้างแต่กับการที่มีลมหอบใหญ่พัดมาอยู่เนืองๆนั้นก็ทำให้วันนี้เป็นวันที่เหมาะแก่การทำงานเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากับคนที่ต้องลงมือเริ่มปั่นงานเขียนของตัวเองได้แล้วอย่างแบมแบมนั้นกลับต้องระหกระเหินตัวเองออกมาจากห้องพักตั้งแต่ช่วงสายจนกระทั่งตอนนี้เข็มนาฬิกาชี้ไปยังช่วงบ่ายเสียแล้ว

     


    ถ้าถามว่าเพราะอะไรน่ะเหรอ ก็คงมีอยู่เหตุผลเดียว


     

    “ชู่ว อย่าดึงหมวกสิลิลลี่” ก็เพราะว่าวันนี้แบมแบมมีกิจกรรมพิเศษอย่างการออกมาช่วยคุณพ่อลูกอ่อนข้างห้องหอบลูกเดินในตลาดต้นไม้แถวชานเมืองนี่ไง กระเป๋าเป้สีหวานที่แบมแบมไม่คิดว่ามาร์คจะกล้าสะพายถูกห้อยไว้กับไหล่หนาข้างหนึ่ง ส่วนตัวเขาก็หอบยัยหนูตัวเล็กเดินตามมาร์คต้อยๆ

     
     

    แบมแบมเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะผิดเป้าประสงค์จากตอนแรกไปกันใหญ่แล้ว


     

    “ลิลลี่ไม่ดื้อกับน้าแบมสิ” มาร์คที่กำลังหยุดก้มๆเงยๆสำรวจต้นไม้อยู่หันหลังกลับมาเอ็ดลูกสาวตัวเองด้วยใบหน้าจริงจัง แบมแบมลอบส่ายหัวน้อยๆกับท่าทางแบบนั้น...ทำอย่างกับว่าลิลลี่ฟังเข้าใจอย่างนั้นแหละ

     
     

    “สนใจต้นนี้เหรอคะ ป้าขายราคาพิเศษให้เลยนะถ้าหนูซื้อสามต้นขึ้นไป” คุณป้าเจ้าของร้านที่เห็นว่ามีลูกค้าเดินเข้ามาก็วางมือจากการตัดแต่งต้นไม้บนโต๊ะกลางร้านออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อันที่จริงแล้วแบมแบมก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้มาเดินตลาดต้นไม้แบบนี้สักเท่าไหร่ นานมากแล้วล่ะที่เขามากับครอบครัว


     

    “ผมอยากได้แค่สองต้นครับ สองต้นราคาพิเศษไม่ได้เหรอ” แบมแบมอมยิ้มเมื่อเห็นว่าคุณพ่อตรงหน้ากำลังทำการต่อรอง ใบหน้าหล่อคมเงยขึ้นมองคุณป้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ ร้ายกาจชะมัด


     

    “แหม...” คุณป้าเองก็ดูเหมือนว่าจะติดกับมาร์คเข้าเสียแล้ว เธอครางรับในลำคอพลางหันหน้าซ้ายขวามองว่ามีลูกค้าคนอื่นอยู่แถวนี้ด้วยหรือเปล่าและเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเขาทั้งสามคนคุณป้าก็ย่อตัวลงใกล้ๆกับมาร์คแล้วพยักหน้าตกลง


     

    “ฮ่าๆ คุณป้าใจดีจัง งั้นผมเอาสองต้นนี้ครับ” มาร์คยิ้มร่าอย่างชอบใจจนแบมแบมอดไม่ได้ที่จะย่อตัวไปกระซิบข้างหูคนเจ้าเล่ห์เป็นการหยอกล้อระหว่างที่คุณป้าเจ้าของร้านยกต้นไม้สองกระถางเล็กนั้นไปใส่ถุงให้ที่ด้านใน


     

    “...”

     


    ทั้งคู่เดินต่อมาเรื่อยๆเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ต้นไม้เล็กๆน้อยๆที่มาร์คซื้อมาเจ้าตัวเป็นคนถือเอาไว้เองทั้งหมด แต่นั่นมันก็ยังไม่ตรงความต้องการ ชายหนุ่มบอกแบมแบมตอนออกจากคอนโดมาว่ามีต้นไม้อยู่สองต้นที่แม่ของมาร์คย้ำนักย้ำหนาว่าต้องซื้อมาให้ได้เพราะว่าเธออยากได้เป็นพิเศษ


     

    “มาร์ค อันนี้ใช่ไหมอะ” แบมแบมเรียกชื่อคนตัวสูงที่ดูเหมือนว่ากำลังก้มหน้าก้มตาพินิจไม้ดอกกระถางเล็กบนถาดของร้าน เจ้าของชื่อหันกลับมาก่อนจะเดินเข้ามาใกล้คุณพ่อทูนหัวซึ่งกำลังขยับกระชับเด็กน้อยที่ซบหน้าลงกับไหล่บางๆของตัวเอง


     

    “แบมเมื่อยหรือเปล่า” มาร์คตอบไม่ตรงคำถาม เพราะมาร์ครู้ว่าลูกสาวของเขาถึงแม้จะตัวเล็กแต่ถ้าหากอุ้มนานๆเข้าก็ต้องมีเมื่อยกันบ้าง เขาชักจะเกรงใจปนกับสงสารคนตัวเล็กที่โดนเขาชวนมาลำบาก อันที่จริงแล้วมาร์คก็จะอุ้มเองนั่นแหละแต่แบมแบมให้เหตุผลว่าถ้าให้แบมแบมอุ้มมาร์คจะเลือกของได้สะดวกกว่า


     

    “ตอบไม่ตรงคำถามนะมาร์ค”


     

    แบมแบมไม่ตอบแต่เบนสายตาไปยังกระถางต้นไม้ด้านล่างที่ออกดอกชูช่อเป็นสีชมพูสดวางเรียงรายกันอยู่อย่างสวยงาม ลำต้นทรงแปลกตาของต้นชวนชมทำให้คนตัวเล็กจำมันได้ และที่ถามแบบนี้ก็เพราะว่ามาร์คบอกว่าแม่ของเขาอยากจะได้ต้นชวนชมมาประดับสวนสักต้นสองต้น อีกอันก็คือต้นโมก ต้นไม้ที่ออกดอกเล็กๆสีขาวแต่ส่งกลิ่นหอมชื่นใจซึ่งดูเหมือนว่ามาร์คจะเจอก่อนแบมแบมแล้วตรงอีกมุมหนึ่ง

     


    “งั้นเดี๋ยวผมเอาร้านนี้เลยแล้วกันเราจะได้รีบกลับ” มาร์คเดินเข้าไปหาคนขายที่กำลังคิดเงินให้ลูกค้ารายก่อนหน้าเพื่อเคลียร์เรื่องจำนวนและจ่ายเงิน แบมแบมจึงถือโอกาสนั้นเดินออกมาหน้าร้านเพื่อหย่อนตัวนั่งลงบนโต๊ะไม้เล็กๆด้านหน้า

     


    ปวดไหล่ชะมัด...


     

    “...” ลิลลี่เองแม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากอ้าปากงับไหล่ของแบมแบมจนเสื้อยืดสีเทาของเขาแฉะไปหมดก็ยังดูอ่อนเพลีย ขวดน้ำเล็กๆถูกจ่อเข้าปากก่อนที่เธอจะรับมันเข้าไปดูดโดยมีมือของแบมแบมช่วยประคอง

     
     

    อันที่จริงวันนี้แบมแบมต้องเริ่มปั่นงานหลังจากวางที่พล็อตเสร็จแล้ว แต่พอเปิดคอมแล้วเริ่มพิมพ์ไปได้ไม่กี่หน้าเท่านั้นมาร์คก็มาชวนให้เขาออกไปดูต้นไม้ด้วยกัน อันที่จริงเขาจะปฏิเสธไปก็ได้แต่พอถามแล้วรู้ว่าไปกันแค่สองคนพ่อลูกภาพความลำบากที่มาร์คต้องหอบทั้งลิลลี่และสัมภาระบวกกับการเดินดูต้นไม้ไปพร้อมๆกันนั้นก็ผุดขึ้นมา


     

    ที่ตกลงมาด้วยนี่ก็เพราะว่าไม่อยากให้มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับลิลลี่ต่างหาก


     

    ไม่ใช่ว่าอยากมาเพราะมาร์คชวนหรืออะไรหรอกนะ...บอกเลย


     

    “แบม”

     
     

    “ห...หือ” คนที่เผลอเหม่อลอยสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกสะกิดจากด้านหลัง ใบหน้าหวานหันขวับไปตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นว่าเป็นมาร์คที่ยืนอยู่


     

    “เด็กในร้านเอาต้นไม้ไปไว้ที่รถให้แล้วล่ะ มานี่...เดี๋ยวผมอุ้มลิลลี่เอง” แบมแบมพยักหน้ารับก่อนจะส่งร่างของเด็กน้อยที่ปัดขวดน้ำออกจากปากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบให้แก่ผู้เป็นพ่อก่อนจะลุกขึ้นเดินตามหลังมาร์คอีกหนเพื่อกลับไปยังรถที่ส่งซ่อมจนกลับมาใช้งานได้ตามปกติแล้ว


     

     



                    อาจจะเป็นเพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่อยู่ในอุณหภูมิพอเหมาะที่ทำให้เด็กน้อยในชุดสีสดใสบนตักของคนตัวเล็กอย่างแบมแบมนั้นผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย ผ้าขนหนูผืนหนาถูกแบมแบมหยิบออกมาจากกระเป๋าเพื่อห่มคลุมให้เด็กน้อยที่ต้องคอยระวังในการเลี้ยงดู


     

    “แบมหิวหรือเปล่า เราแวะทานอะไรกันก่อนไหม” มาร์คหันมาถามขณะหักพวงมาลัยเลี้ยวไปตามเส้นทาง แบมแบมเม้มปากแน่นใช้ความคิดก่อนจะส่ายหน้าไปเป็นคำตอบ


     

    “โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ไปทานฝีมือแม่ผมทีเดียวเลยแล้วกัน”


     

    “...” เดี๋ยวนะ...


     

    “ย...ยังไงนะมาร์ค” แบมแบมขมวดคิ้วกับตัวเองทบทวนคำพูดนั้นของคุณพ่อลูกอ่อนก่อนจะหันไปถามอย่างจริงจัง อะไรแม่ๆบ้านๆนะ แบมแบมฟังผิดหรือเปล่า...


     

    “อ๋อ ผมจะเอาต้นไม้เข้าไปไว้ที่บ้านแม่เลยน่ะจะได้ไม่ต้องขนหลายรอบ” และความจริงก็กระจ่างเมื่อมาร์คตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ ชายหนุ่มเอนหลังขณะที่รถติดไฟแดงพลางยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ หันใบหน้ามามองคนที่นั่งเบาะข้างกันแบบเต็มๆตา


     

    “โห...เกรงใจจัง” แถมยังรู้สึกประหม่าแบบแปลกๆอีกด้วยนี่สิ


     

    “แม่ผมใจดีนะ ผมไม่ค่อยพาเพื่อนไปบ้านหรอก...ก่อนหน้าจะเลี้ยงยัยหนูผมไม่ค่อยว่างน่ะวันๆทำแต่งาน” มาร์คพูดพลางปิดเปลือกตาลง แบมแบมลอบมองเสี้ยวหน้าหล่อคมของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย มาร์คเป็นคนที่อยู่ใกล้แล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกๆอย่างรอบตัวของเขามันเต็มไปด้วยความสงบและบรรยากาศอุ่นๆ ดูต่างออกไปจากหลายๆคนที่แบมแบมเคยเจอ...


     

    “คุณแก่กว่าผมปีเดียวเอง แต่แปลก...คุณดูเหมือนกับว่าทำงานมาแล้วเป็นสิบปี” จะว่าประชดก็ได้แต่เขาก็สงสัยจริงๆนั่นแหละตั้งแต่วันนั้นที่มาร์คฝากลิลลี่ไว้กับเขาเพื่อเข้าไปเคลียร์งานที่บริษัท แบมแบมก็เอาแต่คิดกับตัวเองว่ามาร์คน่ะต้องมีหน้าที่ทางการงานที่ดีพอสมควรแน่ๆ

     


    “อืม...ก็เกือบถูกอยู่นะ” แต่คนที่ได้รับคำตอบกลับยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม


     

    “หือ”

     

    “ผมทำงานที่บริษัทของครอบครัวน่ะเลยได้ลองฝึกงานมาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย เริ่มจากเด็กเดินเอกสารจนรู้ระบบงานมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ได้มาอยู่ในตำแหน่งที่วุ่นวายมากๆ...อย่างที่พ่อผมอยากให้เป็น” ไฟเขียวฉายวาบขึ้นมาในจังหวะที่มาร์คขยับปลายเท้าแตะคันเร่งเพื่อเตรียมออกตัว ดวงตาคมเบนกลับไปจ้องท้องถนนต่างจากแบมแบมที่ยังคงมองค้างอยู่ที่ใบหน้าอีกฝ่าย


     


    เห็นไหมล่ะ...มาร์คไม่ธรรมดาอย่างที่แบมแบมคิดจริงๆด้วย

     

     

     


     

                    ใช้เวลาไม่นานนักรถคันใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาในซอยที่ดูเหมือนเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ แบมแบมก็พอรู้จากปากมาร์คอยู่บ้างแหละว่าเขามีบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไป แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านมาร์คนั้นจะเป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องความแพงของบ้านและที่ดินแบบนี้น่ะ


     

    “แถวนี้บ้านหลังใหญ่ๆทั้งนั้นเลยมาร์ค” แบมแบมพูดขึ้นพลางกวาดสายตามองบรรยากาศร่มรื่นผ่านกระจกรถ ส่วนมากจะเป็นไม้ยืนต้นแบบให้ร่มเงาที่ปลูกไว้สองข้างทางสลับกับบ้านหลังใหญ่ซึ่งมองด้วยสายตาก็ดูออกว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นถูกทำขึ้นด้วยความประณีตมากแค่ไหน

     


    “ครับ แต่ส่วนใหญ่คนที่นี่เค้าก็ไม่ค่อยอยู่บ้านกันสักเท่าไหร่...หมู่บ้านมันเลยเงียบมากๆ ผมไม่ค่อยชอบ” มาร์คหัวเราะออกมาเมื่อพูดจบ คนตัวเล็กเองก็เห็นด้วยกับเรื่องที่บอกว่ามันเงียบเกินไป ดูเหมาะกับการพักผ่อนแบบอยู่เฉยๆมากกว่าการอยู่อาศัยแบบใช้ชีวิตเร่งรีบนะ...แบมแบมคิดว่างั้น


     

    “เมื่อก่อนคุณอยู่ที่นี่เหรอ...แบบว่า ตอนที่แต่งงาน” แบมแบมรู้ตัวว่ากำลังละลาบละล้วง แต่เขาอยากรู้นี่นา...อยากรู้ว่าก่อนที่จะมาเป็นคุณพ่อลูกอ่อนข้างห้องน่ะชีวิตของมาร์คมันเป็นยังไงมาบ้าง


     

    “เปล่าหรอกครับผมอยู่ที่นี่ตอนเด็ก ย้ายออกตอนเข้ามหาลัย” มาร์คตอบแค่นั้นก่อนจะเอื้อมมือไปหรี่แอร์ให้เบาลงเมื่อเห็นว่าแบมแบมเริ่มซุกฝ่ามือตัวเองเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมทับให้ยัยหนูน้อยในตอนแรก


     

    “...”

     


    ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง รถยนต์สีดำเคลื่อนตัวเข้ามาจอดสนิทภายในโรงรถของบ้านเป็นที่เรียบร้อย แบมแบมผู้ทำหน้าที่เป็นตุ๊กตาหน้ารถขยับตัวอุ้มเอาเด็กน้อยที่หลับสนิทขึ้นพาดไหล่รอมาร์คที่กำลังเดินอ้อมรถมาเปิดประตูให้ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นในอก

     


    บ้านมาร์คใหญ่มาก แถมยังสวยอย่างกับบ้านในละครที่ม๊าเขาชอบดูเลยอะ...


     

    “มาร์ค...แม่คุณอยู่คนเดียวเหรอ” แบมแบมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงถามอย่างนั้นตอนที่เตรียมจะเดินออกไปจากโรงจอด มาร์คที่เดินอุ้มลิลลี่นำหน้าเขาหันมามองด้วยรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าแต่ก็ไม่ตอบอะไรกลับมาให้แบมแบมสบายใจเลยสักนิดเดียว

     
     

    “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”


     

    “...”

     


    อยากบอกให้รู้ว่าแบมแบมน่ะไม่ใช่ประเภทที่เข้ากับคนหมู่มากได้ง่ายๆหรอกนะ


     

    กระทั่งตอนนี้เขาได้เหยียบเข้ามาในบ้านหลังใหญ่สุดโอ่อ่าของมาร์คเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่าแบมแบมกำลังเกร็งตัวเองจนแขนสั่นไปหมดหลังจากที่มีแม่บ้านสองคนมารับเอายัยหนูไปดูแลให้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลัวอะไรในเมื่อแม่ของมาร์คซึ่งวันนี้เป็นคนเดียวที่อยู่บ้านก็ได้กล่าวต้อนรับขับสู้เขาอย่างเป็นมิตรแล้วก็ตาม

     
     

    “...” อาจจะเป็นเพราะว่าแบมแบมกำลังทึ่งกับความจริงที่ว่าบ้านของมาร์คนั้นใหญ่โตจนมีแม่บ้านถึงห้าคน...ไม่รวมคนสวนและคนเฝ้าหน้าประตูที่เห็นตอนขับรถผ่านมานั่นอีก


     

    “แบมแบม ไปช่วยแม่ทำอาหารกัน”


     

    “อ...เอาสิ”


     


    แบมแบมเข้าใจแล้วล่ะ...ว่าต่อให้มาร์คพักงานไปอีกสักสามชาติยัยหนูลิลลี่ก็ไม่มีทางอดตายแน่นอน


     

     

     


     

                    บรรยากาศครึกครื้นในช่วงดึกของคืนภายในร้านอาหารแบบเปิดโล่งทำให้ค่ำคืนนี้ดูไม่เงียบเหงา วงดนตรีที่ทางร้านจ้างมาขึ้นแสดงให้ความบันเทิงแก่ลูกค้าก็เปลี่ยนผลัดกันอยู่เนืองๆ โดยส่วนใหญ่เพลงที่เล่นก็จะเป็นแนวชิลๆฟังสบายตามสไตล์ร้านอาหารที่หนักไปทางเครื่องดื่มมึนเมาเสียมากกว่า


     

    “มึงบอกว่าเขาพามึงไปบ้านเหรอ” แม้ว่าคืนนี้จะออกมากันแค่สี่คนแต่บทสนทนาก็ไม่เคยขาดห้วง เขา ยองแจ แชริน และพี่แจ็คสันแฟนไอ้ยองแจซึ่งสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนก็ผลัดกันเล่าเรื่องของตัวเองบ้างคนอื่นบ้างไปเรื่อยๆตามบรรยากาศ


     

    “เออ...บ้านใหญ่โคตรเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมอยากมาเช่าห้องอยู่” แบมแบมยักคิ้วรับพลางจิ้มอาหารในจานเข้าปาก มืออีกข้างประคองแก้วเครื่องดื่มเอาไว้พร้อมยกดื่ม

     
     

    “แสดงว่ารวย” แชรินทำตาวาวเสียจนแบมแบมอยากปาถั่วในจานใส่หน้าบวมๆนั่นให้หายหมั่นไส้


     

    “แบม...นี่มึงจะตกถังข้าวสารป้ะเนี่ย”


     

    “ก็แย่แล้วมึง” แบมแบมมองค้อนเพื่อนที่พอดึกเข้าก็เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องอย่างยองแจและแชรินไปคนละทีก่อนที่เจ้าตัวจะเบนใบหน้าไปมองเวทีของร้านที่มีวงดนตรีอะคูสติกกำลังเล่นเพลงรักซึ้งๆอยู่ มองดูแล้วทั้งวงนั้นแก่สุดน่าจะอายุไม่เกินยี่สิบด้วยซ้ำขยันกันจริงเชียว


     

    “แล้วที่ทำอยู่แบบนี้คือมึงชอบเขาหรือแค่สงสาร” แบมแบมจำต้องละความสนใจออกจากเวทีการแสดงตรงหน้าเพื่อหันไปมองตามเสียงของแฟนเพื่อนอย่างพี่แจ็คสัน เลยได้เห็นว่าแววตาของรุ่นพี่ออกแนวทีเล่นทีจริงเสียจนคนตัวเล็กต้องยกแก้วของตัวเองขึ้นกระดกคลายความสับสน


     

    “ผมสงสารลูกเขาไงพี่”


     

    “แค่นั้น?”

     


    “...”

     


    ก็...แค่นั้นแหละ

     
     

                    เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามดึกสงัดของคืนซึ่งเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการนอนหลับพักผ่อน ทว่าก็มีผู้คนบางกลุ่มเช่นกันที่ยังไม่หลับใหล เพราะในขณะนี้ซึ่งเข็มนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาตีสามครึ่งกลับมีร่างของใครบางคนกำลังถูกหิ้วปีกออกจากลิฟท์มาด้วยท่าทีที่ไม่น่ามองนัก

     
     

    “มึงไหวป้ะเนี่ย”


     

    “...” คนถูกถามไม่ตอบอะไร ปีกเล็กๆถูกพยุงด้วยร่างของเพื่อนสองคนอย่างหมดสภาพ แบมแบมเมาหัวทิ่มเลยล่ะคืนนี้...ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องปกติของแบมแบมนะที่จะเมาเรื้อนแบบนี้ ทว่าคืนนี้นั้นดูเหมือนว่าจะหนักกว่าที่ผ่านมาเพราะว่าคนตัวเล็กแทบไม่มีสติประคองให้ตัวเองเดินได้ด้วยซ้ำ


     

    “ยองแจ พักก่อน! หัวฉันจะทิ่มตามไอ้แบมแล้วเนี่ย” เสียงแหลมของหญิงสาวอย่างแชรินดังขึ้นเมื่อชเวยองแจพยายามลากแบมแบมไปโดยไม่สนใจคนที่พยุงแขนอีกข้างที่เดินเซถลาเพราะรับน้ำหนักคนเมาไม่ไหว


     

    “ทำไมพอเมาแล้วแม่งตัวหนักวะ นั่งก่อนๆ” ยองแจเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน สุดท้ายทั้งคู่จึงตัดสินใจพากันนั่งยองพักหลังจากเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว แชรินเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มกรอบหน้าเสียจนต้องอ้าปากสูดเอาอากาศเข้าอย่างสุดแรง


     

    “ห้องไอ้แบมมันเลข 407 นี่หว่า” ยองแจเอนหลังพิงกำแพงอย่างไม่กลัวว่าจะเปื้อน เงยหน้ามองประตูห้องตรงหน้าที่มีป้ายเลขติดอยู่พลางขมวดคิ้ว


     

    “ตรงนี้มัน 408 แล้วนี่ยองแจ” แชรินยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อ หันไปมองหน้าเพื่อนชายที่เม้มปากครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

     


    “เราเดินเลยห้องมันแล้ว นี่ห้องว่าที่สามีมัน”

     


    “โอ๊ะ!คนหล่อๆรวยๆนั่นอ่ะนะ...โอ้ยตายแล้ว” แชรินเผลอเสียงดัง ทำตาโตเสียจนชเวยองแจต้องเอื้อมมือข้ามหน้าแบมแบมมาตะปบปิดปากหญิงสาวเอาไว้เพราะเสียวว่าจะมีใครเปิดประตูออกมาด่าเอาแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่

     


    “ชู่ว...เงียบๆ เอาคีย์การ์ดไอ้แบมมานี่”

     


    “ทำไมอะ” ถึงจะถามอย่างนั้นแต่มือขาวก็ล้วงเอาคีย์การ์ดของแบมแบมออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้ชเวยองแจด้วยท่าทางที่แสดงออกชัดถึงความไม่เข้าใจ จนกระทั่งรอยยิ้มเล็กๆถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของยองแจนั่นแหละแชรินถึงได้ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้อย่างรู้ใจ...ชเวยองแจคงจะคิดอะไรสนุกๆขึ้นมาได้แน่ๆ

     


    “ตั้งใจฟังนะแชริน...”   

     




     

     

                    ไอความเย็นและแสงสว่างที่ส่องมากระทบผิวกายบางทำให้เปลือกตาคู่สวยขยับขึ้นลงพร้อมกับอาการปวดตุบๆในหัว ฝ่ามือเล็กยกขึ้นมากอบกุมมันเอาไว้ตามสัญชาติญาณพลางพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เขาจำได้ว่าเมื่อคืนออกไปดื่มกับพวกยองแจแล้วจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย เมาจนน็อคตามสไตล์นั่นล่ะ


     

    “...” แบมแบมเบื่อนิสัยเสียของตัวเองที่ชอบดื่มแบบไม่รู้ลิมิตแต่มันก็เป็นอะไรที่ยากต่อการแก้ไข เขาเหมือนไม่รู้ว่าลิมิตของตัวเองอยู่ตรงไหน คิดว่าตัวเองยังไหวอยู่แต่พอรู้ตัวอีกทีก็กลับมานอนปวดหัวที่ห้องแล้วแบบนี้ทุกครั้ง เมื่อคืนก็คงเป็นยองแจกับแชรินที่แบกเขากลับมา...

     
     

    “ตื่นแล้วเหรอ”


     

    “อืม” แบมแบมครางรับในลำคอทั้งที่ยังไม่เปิดเปลือกตาแม้จะลุกขึ้นนั่งแล้ว เสื้อเชิ้ตสีเข้มบนร่างกายเจือกลิ่นหอมเย็นๆชวนให้ล้มตัวลงนอนอีกรอบแต่แบมแบมก็ต้องใช้ฝ่ามือค้ำยันตัวเองเอาไว้ให้นั่งโงนเงนอยู่อย่างนั้น เขามีงานที่ต้องทำหลังจากอู้แบบเต็มวันไปเมื่อวานนี้


     

    “ผมทำมื้อเช้าไว้แล้ว มีกาแฟดำแก้แฮงค์ให้ด้วยนะ ไปทานสิ”

     


    “...” ฝันเหรอ...แบมแบมฝันถึงมาร์คอยู่ใช่ไหม คราวนี้ท่าทางจะอาการหนักจริงๆแฮะ ฝันแบบได้กลิ่นได้ยินเสียงแบบคมชัดโคตรๆเลยอะ

     


    “อือ...”

     


    “แอ๊ะ!” เหมือนมีแรงกระทบเบาๆบนกลุ่มผมของเขาเสียจนเจ้าตัวสะดุ้งเฮือก เสียงเล็กๆกับกลิ่นแป้งเด็กที่คุ้นจมูกนั้นทำให้แบมแบมจำต้องเปิดเปลือกตาพลางเงยหน้าขึ้นมองตามทิศทางที่แรงถูกส่งมาในที่สุด

     


    “...ลิลลี่”

     


    “ม...มาร์ค!

     


    เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันไม่ใช่แค่ฝันแล้วล่ะ!

     
     




     
    TALK!

    ให้เธอได้กับเขาและจงโชคดี *ร้องเพลง*

    สวัสดีค่า ตอนนี้ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวไปแตะจุดที่ละมุนขึ้นเรื่อยๆเนอะ
    เป็นยังไงบ้างคะตอนนี้? งานพาเข้าบ้านก็มา อยากให้คุณนักเขียนเตรียมตัวเป็นสะใภ้ ฮ่าๆ
    แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ โหวตและแท็กนะคะ ดีกับใจมากจริงๆ

    เจอกันตอนหน้าค่ะ ♥

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×