ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ลงแบบ E-BOOK ที่ MEB] FIC WIDOWER : { MARKBAM }

    ลำดับตอนที่ #17 : widower :: special chapter (one and only)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.4K
      115
      14 มิ.ย. 59

    ? themy butter
    +



    SPECIAL PART

    - ONE AND ONLY -



     

                    บรรยากาศในห้องพักขนาดกลางดูเงียบเหงากว่าที่เคยทั้งที่ภายในนั้นก็มีผู้อยู่อาศัยถึงสามคน ยิ่งภายในห้องนอนของมาร์คที่ถูกจับจองไปด้วยร่างผอมเพรียวกับร่างน้อยๆที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกันแล้วนั้นยิ่งเงียบเสียจนน่ากลัว มีเพียงปอยผมของเด็กหญิงตัวน้อยที่ปลิวไสวในยามที่ลมจากแอร์พัดผ่านเท่านั้น

     
     

    “...” แก้มแดงๆของเด็กน้อยขึ้นสีแดงทั้งที่อากาศภายในห้องก็กำลังพอดี ไม่ได้หนาวเกินไปหรือร้อนจนเกินไป แต่ด้วยอาการหวัดที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้ร่างกายของหนูน้อยอ่อนเพลียง่ายกว่าปกติมาร์คจึงจำต้องให้หยุดเรียนเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่

     
     

    ส่วนคนโตที่นอนอยู่ข้างๆนั้นดูเหมือนว่าอาการจะหนักกว่าอยู่พอสมควร แก้มยุ้ยขึ้นสีอ่อนระเรื่ออย่างน่ารักหากแต่มันคงเป็นความทรมานของเจ้าของร่างกายที่ต้องนอนซมกับพิษไข้ที่รุมๆตัวอยู่ตลอดเวลาแบบนั้น ผ้าขนหนูชุบน้ำผืนเล็กพาดทับอยู่บนหน้าผากมนช่วยให้ความร้อนคลายลงไปได้นิดหน่อย

     
     

    “แบม...ตื่นกินยาก่อน”

     
     

    เสียงทุ้มของคุณเจ้าของห้องอย่างมาร์คต้วนเป็นเสียงแรกที่ดังขึ้นภายในห้องเงียบ ฝ่ามือหนาสะกิดไหล่บางที่โผล่พ้นผ้านวมผืนหนาให้รู้สึกตัว แน่นอนว่าคนที่มีไข้ก็นอนหลับไม่ค่อยสนิทอยู่แล้ว เพียงแค่แรงสะกิดเบาๆก็ทำให้เปลือกตาบางเปิดขึ้นแม้ว่าจะค่อนข้างยากลำบาก

     
     

    “หือ...” เสียงครางเครือในลำคอยิ่งทำให้ใบหน้าคมเข้มของคนฟังยิ่งฉายชัดถึงความวิตกกังวล ถ้าไม่ติดว่าจะโดนโกรธหรือโดนหาว่าบ้าแล้วล่ะก็เขาอยากจะจับเอาก้นเล็กๆนุ่มนิ่มของแบมแบมมาตีซะให้เข็ด โทษฐานที่ดื้อด้านไม่ยอมไปหาหมอตั้งแต่แรกๆจนตัวเองป่วยหนักขนาดนี้

     
     

    “กินยาก่อน ครบหกชั่วโมงแล้ว” ทั้งแบมแบมและลิลลี่เหมือนนัดกันมาป่วย ยังดีหน่อยที่ลิลลี่ไปหาหมอมาและได้รับยามาแล้วอาการจึงไม่แย่มาก แต่ยังคงมีไข้และอ่อนเพลียอยู่ตามประสาคนป่วย แต่กับแบมแบมนี่สิทั้งปวดหัวปวดตัวยังดื้อด้านไม่ยอมให้เขาพาไปหาหมอ

     
     

    ใครบอกว่ามีแค่เด็กที่กลัวหมอจับฉีดยากัน?


     

    “ปวดหัว...” แบมแบมครางเครือ รับยามากินทั้งที่สติขาดๆหายๆ นั่งโงนเงนได้ไม่นานหลังจากดื่มน้ำอึกสุดท้ายเข้าไปก็ทิ้งตัวลงนอนทันที  มาร์คถอนหายใจออกมานิดหน่อยด้วยความระอาใจ...เอาแต่กินยาแก้ปวดอยู่แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะหายกัน มาร์คน่ะไม่ห่วงหรอกที่ต้องลางานมาเฝ้าไข้ลูกและเมี...อ่า แฟน เป็นเวลาหลายๆวัน แต่กับคนป่วยน่ะมันน่าสงสารจะตายไป

     
     

    “แบมเดี๋ยวเย็นนี้ไปหาหมอกันนะ”

     
     

    “หือ...ไม่เอา” มาร์คก้มลงกระซิบแล้วก็ได้รับคำตอบเดิม แต่คราวนี้เขาจะเพิกเฉยต่อคำตอบนั้นแม้ว่าแบมแบมจะไม่พอใจแต่เจ้าตัวจะต้องไม่แย้งออกมาอีกแน่ๆถ้าได้ฟังประโยคไม้ตายจากปากของเขาหลังจากนี้

     
     

    “แม่ผมสั่งมา บอกว่าเย็นนี้จะเข้ามาพาแบมไปด้วยตัวท่านเองด้วย...ไม่รู้ล่ะ ตัดสินใจให้ดีนะ” และไม้ตายที่ว่าก็คือแม่ของเขานั่นเอง อันที่จริงแม่เขาก็ไม่ได้เป็นคนชอบบังคับคนหรอกนะ แต่กับคนป่วยที่เอาแต่ดื้อไม่ยอมไปหาหมอจนทำให้ตัวเองแย่น่ะมันก็ทำให้มาร์คต้องไปขอความร่วมมือจากแม่ด้วยการยืมท่านมาเป็นหมัดเด็ดที่จะทำให้คนหัวรั้นอย่างแบมแบมยอมทำตามได้

     
     

    เพราะว่าแบมแบมน่ะยังคงเกรงใจแม่ของมาร์คไม่ต่างจากวันแรกที่ได้เจอ...


     

    “ใจร้าย...ฟ้องคุณแม่ทำไม” แบมแบมถามกลับเสียงอู้อี้หากแต่ว่าโรยแรงจนสัมผัสได้ มาร์คส่ายหน้าน้อยๆให้กับริมฝีปากอวบอิ่มที่เคยสดใสแต่บัดนี้กลับซีดเผือกและแห้งแตกเสมือนดอกไม้ที่แห้งเฉา ชายหนุ่มไม่พูดอะไรต่อแต่เลือกที่จะกดริมฝีปากลงไปบนส่วนเดียวกันของอีกฝ่ายแทน

     
     

    “...”

     
     

    “นอนพักไป เดี๋ยวผมจะเอาลิลลี่เข้าไปนอนที่ห้องแก”

     
     

    เป็นครั้งแรกเลยนะที่มาร์ครู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณพ่อลูกสองแบบนี้น่ะ...

     






     

                    การหาหมอเป็นไปอย่างเรียบร้อย แบมแบมถูกจับฉีดยาเข้าที่แขนหนึ่งเข็มถ้วนอย่างไม่กล้าปริปากขัดเพราะเกรงสายตาของแม่เขาที่ยอมขับรถมาหาถึงคอนโดเพื่อรับให้แบมแบมไปหาหมอด้วยกัน เมื่อตระกูลต้วนเขาทำกันถึงขนาดนี้แล้วจะให้แบมแบมดื้ออยู่ก็ใช่เรื่อง ดังนั้นคนตัวเล็กจึงต้องยอมมาอย่างไม่มีอิดออด ผลสุดท้ายก็เลยต้องมาเจ็บตัวเพราะเข็มฉีดยาในที่สุด

     
     

    “เจ็บเหรอลูก หน้าเหยเกเชียว” แม้ว่าจะออกมาจากโรงพยาบาลแล้วพร้อมกับถุงยาจำนวนหนึ่งแต่แบมแบมก็ยังไม่เลิกเบ้ปากเป็นเด็กเล็กเสียที ไม่คิดอายยัยหนูลิลลี่ที่เอาแต่มองมาด้วยสายตาเละห้อยเพราะพิษหวัดที่เล่นงานแม้ว่าจะถูกคุณย่าอุ้มไว้แนบอก

     
     

    “เปล่าครับ ไม่เจ็บแล้ว” แบแบมปฏิเสธทันควัน ส่งยิ้มบางๆให้แม่เขาอย่างนอบน้อม แบบนี้ไงล่ะแม่เขาถึงได้เอ็นดูนักเอ็นดูหนา

     
     

    “งือ ปะป๊า...คุณหมอทำแบมมี่เจ็บ!

     
     

    “งั้นเอาอย่างนี้ ตามาร์ค...เดี๋ยวเราขับรถไปร้านลุงคริสก่อนนะ ไปหาอะไรกินกันรับขวัญหนูแบมกันหน่อย เปิดหูเปิดตาไข้หวัดมันจะได้หายเร็วๆ” ดวงตาคู่สวยของคุณนายต้วนปรายมองลูกชายก่อนจะออกคำสั่ง มาร์คเองก็ไม่ได้ขัดอะไรทำเพียงแค่ยิ้มรับประโยคนั้น และแน่นอนว่าคนที่ถูกพาดพิงอย่างแบมแบมนั้นก็ได้แต่ยืนยิ้มแห้งอย่างจำยอม

     
     

    “ครับแม่”

     
     

                    ร้านอาอาหารไทยตกแต่งแบบเรียบง่ายหากแต่เรียบหรูเป็นสถานที่ที่คุณนายต้วนสั่งให้มาร์คขับรภมาทุกคนมา ระหว่างที่อยู่บนรถมาร์คเองก็ได้ยินแม่ของตนคุยโทรศัพท์กับคุณลุงคริสผู้เป็นเจ้าของร้านแล้วว่าให้จองโต๊ะที่วิวดีและเป็นส่วนตัวเอาไว้ให้ ตัวมาร์คเองน่ะไม่ค่อยชอบใช้อภิสิทธิ์แบบนี้สักเท่าไหร่เพราะมันดูไม่ค่อยยุติธรรมกับลูกค้าคนอื่น หากแต่กับแม่เขาผู้ถือคติว่าความสบายของลูกๆต้องมาก่อนแล้วล่ะก็...ห้ามกันไม่ได้จริงๆ

     
     

    “โห...นี่ร้านของลุงมาร์คเหรอ สวยนะแบมชอบ” คนตัวเล็กที่เดินตามขนาบข้างมาด้วยกันกับเขาหลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้วดังขึ้นเรียกให้มาร์คต้องเบนความสนใจไปยังคนตัวเล็กที่ดูกระชุ่มกระชวยขึ้นนิดหน่อย เดินไหวโดยไม่ต้องให้มาร์คช่วยพยุง

     
     

    “อืม...แต่ผมไม่ค่อยได้มาหรอก มีแม่ผมน่ะที่เป็นขาประจำ บางทีก็มากินบางทีก็มาขอสูตรอาหารจากลุงคริส”

     
     

    “ถึงว่าล่ะ...คุณแม่ทำอาหารอร่อยไม่แพ้ร้านแพงๆเลย”

     
     

    “นินทาอะไรแม่ตามาร์ค” แต่ยังไม่ทันที่แบมแบมจะได้พูดอะไรต่อเสียงของคุณแม่ของเขาที่อุ้มยัยหนูลิลลี่เดินนำหน้าอยู่นั้นก็ดังขึ้นราวกับมีหูทิพย์ เรียกเสียงหัวเราะจากแบมแบมได้เป็นอย่างดี

     





     

                    ทั้งเขา แบมแบม คุณแม่รวมไปถึงลิลลี่ได้รับการต้อนรับจากลุงคริสเป็นอย่างดีตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในตัวร้าน รวมถึงบริการที่น่าประทับใจนั้นก็ทำแบมแบมดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ออกมาพบปะโลกภายนอกหลังจากต้องนอนอุดอู้ด้วยพิษไข้ที่รุมเร้าอยู่ตลอดสามสี่วัน รวมไปถึงลิลลี่ที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีไข้แล้วแต่ก็ต้องทานยาที่ได้รับมาอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้ไข้กลับ

     
     

    “ลิลลี่หนูอิ่มแล้วเหรอ” แบมแบมเงยหน้าขึ้นมองมายังเด็กน้อยที่พยักหน้ารับเป็นการตอบคำถามของมาร์ค แก้มยุ้ยๆของยัยหนูยังคงขยับขึ้นลงจากแรงเคี้ยวแม้ว่าเธอจะบอกว่าอิ่มแล้วก็เถอะ

     
     

    “แบมเอาอะไรอีกไหม อิ่มหรือเปล่า” เมื่อเช็คลูกสาวเสร็จแล้วก็หันกลับมาเช็คคุณพ่อทูนหัวต่อ หากแต่แบมแบมเองก็ส่ายหน้าให้เขาเป็นคำตอบ แบมแบมก็เป็นแบบนี้เสมอ ขี้เกรงใจ...ยิ่งเฉพาะกับแม่เขาแล้วน่ะแบมแบมสุดแสนจะอ่อนน้อมเลยจริงๆ

     
     

    “กินไปเถอะลูก ไม่ต้องเกรงใจแม่...”

     
     

    “ขอโทษนะครับ นี่ใช่มาร์คหรือเปล่า?”



    แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกไปต่ออย่างที่ใจคิดมาร์คก็มีอันต้องหันไปมองตามเสียงเรียกที่ดูเหมือนว่าจะดังมาจากฝั่งซ้ายมือของตัวเอง สิ่งแรกที่เห็นก็คือร่างกายสูงโปร่งของผู้ชายคนหนึ่ง หากแต่พอมองขึ้นสูงจนเห็นใบหน้าคร่าตาแล้วมาร์คก็แทบจะร้องอ๋อออกมา

     
     

    “อ้าว! สวัสดีครับพี่แอนดริว...” มาร์คผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งมือไปทักทายกับอีกฝ่ายตามมารยาทที่ควรทำ ยอมรับว่าตกใจนิดหน่อยเพราะไม่คาดคิดจริงๆว่าจะได้เจอรุ่นพี่สมัยเรียนในที่อย่างนี้ นานเกือบจะสิบปีอยู่แล้วล่ะมั้งที่เขาไม่ได้ติดต่อกับพี่ชายคนนี้เลย

     
     

    “ฮ่าๆ...สวัสดีครับคุณแม่” ชายหนุ่มร่างกายสูงกำยำกว่ามาร์คขานรับก่อนจะก้มลงไปโค้งให้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ คุณนายต้วนยิ้มรับให้เด็กหนุ่มนิดหน่อยก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆกันกับมาร์คเพื่อร่วมโต๊ะอาหาร

     
     

    “นั่งก่อนไหมครับ รุ่นพี่มีธุระที่ไหนหรือเปล่า” มาร์คเองก็ออกปากเชื้อเชิญด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างกัน ชายหนุ่มออกจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่ได้บังเอิญเจอรุ่นพี่แอนดริว มาร์คจำได้ดีว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นเหมือนไอดอลของมาร์คตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย รุ่นพี่แอนดริวแก่กว่ามาร์คสองปีและเป็นประธานชมรมบาสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมือง

     
     

    มาร์คน่ะถึงกับหนีออกจากบ้านไปซ้อมบาสเพราะอยากจะเข้าชมรมของรุ่นพี่เลยนะในตอนนั้น


     

    “ถ้าอย่างนั้นก็ขออนุญาตร่วมโต๊ะด้วยนะครับ แต่ไม่ต้องสั่งอะไรเพิ่มหรอกผมเพิ่งทานมาอิ่มแล้วเมื่อกี้” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เอ่ยขออนุญาตทุกคนในโต๊ะด้วยท่าทางสุภาพก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ตัวที่ว่างข้างๆกันกับมาร์คออกมาแล้วนั่งลง

     
     

    “รุ่นพี่สบายดีนะครับ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” มาร์คเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กมัธยมที่ได้เจอไอดอลของตัวเองอีกครั้ง ชายหนุ่มไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของรุ่นพี่ที่เคารพเป็นอันดับแรกในการสนทนา อันนี้ไม่ใช่ถามไปตามมารยาทหากแต่มาร์คเองก็อยากรู้ว่าเวลาผ่านไปหลายปีแล้วชีวิตของรุ่นพี่ที่เก่งกาจในด้านกีฬาคนนี้จะเป็นอย่างไร

     
     

    “สบายดี แต่พี่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับสายกีฬาอย่างที่คิดไว้...พี่เรียนจบพวกกราฟฟิกมาตอนนี้ก็ทำงานให้บริษัทต่างชาติบริษัทหนึ่งอยู่”

     
     

    “คนนี้หรือเปล่าที่ทำให้มาร์คหนีออกจากบ้านไปแอบซ้อมบาสอยู่บ่อยๆน่ะหื้ม”

     
     

    “โธ่คุณแม่ครับ ไม่ใช่ความผิดของผมนะ ฮ่าๆ” คุณนายต้วนเองก็ไม่วายแกล้งเย้าเสียงสูงเรียกเสียงหัวเราะให้ครึกครื้นอีกครั้ง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูสนุกสนานขึ้นอย่างทันตาเห็น บทสนทนาเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆราวกับได้กลับไปอยู่ในโลกวัยรุ่นอีกครั้งก็ว่าได้

     
     

    แต่ดูเหมือนว่ามาร์คจะมัวดีใจจนหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า

     
     

    “เอ้อ...ว่าแต่ข้างมาร์คกับสาวน้อยคนนี้นี่ใครเหรอ” มานึกได้เอาก็ตอนที่รุ่นพี่ถามถึงนั่นแหละมาร์คถึงได้เกิดอาการใจกระตุกวูบขึ้นมา เริ่มจะรู้ตัวขึ้นมาแล้วว่าตัวเองมัวแต่สนใจคนมาใหม่จนปล่อยให้แบมแบมกับลิลลี่ที่เป็นเหมือนครึ่งหนึ่งของเขาหลุดหายไปจากบทสนทนา และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฝ่ามือใหญ่ของรุ่นพี่นั้นมันเคลื่อนมาวางพาดอยู่บนไหล่ของเขาแบบนี้

     
     

    “นี่แฟนกับลูกผมครับ”

     
     

    “เฮ้ย! มีลูกแล้วเหรอไอ้เสือ...ร้ายกาจจริงๆ”

     
     

    “อ่า สวัสดีครับพี่” มาร์คขยับกายเข้าใกล้แบมแบมที่นั่งข้างกันกับเขาที่ดูเงียบไปถนัดตาก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโอบไหล่เล็กอวดรุ่นพี่อย่างไม่ขัดเขิน ต่างจากแบมแบมที่เม้มปากแน่นและเลี่ยงที่จะสบสายตากับคนแปลกหน้าแบบตรงๆได้แต่ส่งยิ้มบางๆไปให้รุ่นพี่ของมาร์คที่จ้องเขาเขม็ง

     
     

    “ลิลลี่สวัสดีเพื่อนปะป๊าหรือยัง” หนูน้อยที่นั่งเขี่ยอาหารในจานเล่นเงยหน้ามองคนที่นั่งข้างปะป๊าตัวเองนิดหน่อยก่อนจะก้มหน้าลงไปสนใจเจ้าเศษอาหารในจานต่อ เป็นอีกครั้งที่ลิลลี่เกิดอาการดื้อแพ่งโดยไร้สาเหตุ

     
     

    “ว้า...สาวน้อยไม่อยากคุยกับคุณลุงเหรอคะ”

     
     

    “แบมมี่...กลับบ้าน” ลิลลี่ไม่ตอบหากแต่ขยับตัวเข้าหาแบมแบมแทน ดวงตากลมโตที่ถอดแบบแม่มาไม่ผิดเพี้ยนส่งความเว้าวอนมายังคนตัวเล็กอย่างไม่ปิดบัง ได้ยินเสียงแม่เขาที่ดุลิลลี่อย่างไม่จริงจังนักลอยแว่วมาหลังจากนั้นแต่ลิลลี่ก็เลือกที่จะไม่สนใจ

     
     

    “ไม่ดื้อสิลิลลี่” มาร์คเองก็ดูไม่ค่อยชอบใจนักที่ลูกสาวของตัวเองทำท่าทางไม่น่ารักต่อหน้ารุ่นพี่ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ยัยหนูของเขาเป็นเด็กน่ารักแต่ทำไมจู่ๆถึงเกิดอาการดื้อไม่ฟังใครขึ้นมาแบบนี้กัน...ดวงตาคมทอดมองร่างเล็กๆที่นั่งหน้าง้ำค้วามืออีกข้างของแบมแบมไปวางไว้บนตักตัวเอง

     
     

    “ลิลลี่อาจจะเพลียแล้วล่ะมาร์ค ถ้ายังไงเดี๋ยวผมพาลิลลี่กลับก่อนก็ได้” มาร์คยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อคุณพ่อทูนหัวทำท่าจะตามใจลิลลี่แบบไม่มีเหตุผล ก็มาด้วยกันแล้วจะแยกกันกลับให้ยุ่งยากทำไม...นี่ทั้งลูกทั้งเมียเขาเป็นอะไรกันไปหมด ส่วนแม่เขาก็ไม่ออกความเห็นอะไรสักอย่าง เอาแต่นั่งมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกแล้วก็ส่ายหัวออกมาด้วยใบหน้ายิ้มๆ

     
     

    “เดี๋ยวสิแบม...”

     
     

    “ถ้าอย่างนั้นหนูแบมกับยัยหนูกลับกับแม่ก่อนก็ได้ลูก มาร์คมันกลับคนเดียวได้อยู่แล้ว...อา แม่ต้องขอเสียมารยาทหน่อยนะแอนดริว ดึกแล้วยัยหนูคงอยากกลับไปกินนมนอนตามประสาเด็กแล้วล่ะ”

     
     

    “ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับคุณแม่”

     
     

    ก่อนที่ข้อสรุปที่ดูเหมาะสมในสถานการณ์แปลกๆนี้จะดังมาจากประมุขของโต๊ะอย่างคุณนายต้วน แบมแบมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะค่อยๆผละตัวออกมาจากอ้อมแขนของมาร์คเพื่อหยิบเอารองเท้าที่ยัยหนูถอดทิ้งไว้ที่พื้นร้านขึ้นมาใส่ให้เตรียมตัวกลับ  ส่วนมาร์คเองก็ได้แต่มองการกระทำของแต่ละคนด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะเข้าใจอยู่หน่อยๆ


     

    “กลับดีๆล่ะมาร์ค ลานะครับพี่แอนดริว” เสียงหวานบอกลาทุกคนอีกครั้งก่อนจะคว้าเอายัยหนูอุ้มแนบอกเดินห่างออกไปพร้อมกับคุณนายต้วนที่เดินตามหลัง มาร์คเองก็มองตามไปจนสุดสายตาด้วยความรู้สึกแปลกๆบางอย่างหากแต่เขาก็เลือกที่จะทิ้งมันไว้ในใจแล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนานต่อ

     
     

    คุณพ่อทูนหัวของเขากับยัยหนูอาจจะเหนื่อยจนอยากกลับไปพักผ่อนล่ะมั้ง...




    .


    .



    “...”

     
     

    “แบม...” เสียงทุ้มของมาร์คต้วนกระซิบเข้าข้างใบหูของคนที่ปิดเปลือกตาในช่วงกลางดึกของคืน ร่างเล็กของตนถูกเรียกขยับกระชับผ้าห่มนิดหน่อยด้วยความรำคาญหากแต่มาร์คก็ยังไม่ยอมแพ้ เขารู้ดีว่าควรปล่อยให้คนป่วยได้พักผ่อน แต่อะไรบางอย่างลึกๆในใจมันก็บอกว่าเขาต้องปลุกแบมแบมขึ้นมาเดี๋ยวนี้

     
     

    “แบม...ตื่นแป๊บนึงได้ไหม” มาร์คไม่รู้จะใช้คำพูดแบบไหนเพื่อรบกวนคนป่วยให้น้อยที่สุด ขอเพียงแค่แบมแบมลืมตาขึ้นมามองมาร์คก็จะได้พูดอะไรบางอย่างออกไป บางอย่างที่มันค้างคาใจมาตั้งแต่จังหวะที่แบมแบมหันหลังเดินออกไปจากร้านอาหารนั่น เขาพยายามบอกตัวเองว่าแบมแบมอาจจะแค่เหนื่อย แต่นั่นล่ะ...ความจริงแล้วเขาเองก็รู้สึกแปลกๆอยู่ไม่น้อย

     
     

    “ห...หือมาร์ค กลับมาแล้วเหรอ” ในที่สุดความพยายามของมาร์คก็สำเร็จ แบมแบมยอมตื่นแม้ว่าจะยังงัวเงีย ฝ่ามือเล็กจับเข้าที่ต้นแขนใหญ่เป็นตัวช่วยในการพยุงให้ลุกนั่ง หน้าตางัวเงียเหมือนเด็กน้อยเพิ่งตื่นแบบนั้นมันทำให้มาร์คอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหอมแก้มยุ้ยๆนั่นเสียหนึ่งที

     
     

    “อืม”

     
     

    “ลิลลี่ไปนอนบ้านคุณแม่นะ” แบมแบมชิงบอกก่อนจากนั้นก็นิ่งเงียบเป็นฝ่ายรอให้เขาพูด

     
     

    “ผมขอโทษนะวันนี้”

     
     

    “ขอโทษเรื่อง?” แบมแบมส่งยิ้มบางๆให้เขาที่ถือวิสาสะทิ้งใบหน้าลงบนฝ่ามือเล็กๆนั่นแล้วเอาหนวดสากๆของตัวเองถูไถผิวนิ่มไปมาอย่างออดอ้อน สาบานเลยว่านอกจากแบมแบมแล้วจะไม่มีใครได้เห็นมุมนี้ของมาร์คหรอก ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากอีกฝ่ายก็ยิ่งโล่งใจ

     
     

    “ไม่รู้สิ ผมไม่น่าให้ความสนใจกับรุ่นพี่มากขนาดนั้น ควรจะกลับบ้านพร้อมแบมกับลูกมากกว่า” มาร์คนิ่วหน้า เขาอาจจะเป็นคนที่คิดช้าไปหน่อย กว่าจะมาทบทวนได้ว่าตัวเองกำลังไม่สบายใจก็ตอนที่บทสนทนาระหว่างเขากับรุ่นพี่แอนดริวมันดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างตอนแรกจึงได้ขอตัวกลับก่อน

     
     

    “ไม่เป็นไร ก็กลับถึงบ้านปลอดภัยแล้วนี่ไง”

     
     

    “แน่ใจจริงเหรอว่าไม่เป็นไรน่ะ หื้ม?” มาร์คเปลี่ยนจากการซบหน้าที่ฝ่ามือมาเป็นการขยับโอบอีกฝ่ายไว้ในอ้อมอก ตอนนี้แบมแบมเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ถูกล็อคไว้ในอ้อมกอดท่ามกลางความมืดของห้องและอากาศเย็นๆที่ชวนให้งีบหลับ มาร์คขยับกระชับผ้าห่มให้แบมแบมเล็กน้อยขณะรอฟังคำตอบ

     
     

    “ก็...หึงนิดหน่อย” และเด็กดีของเขาก็ไม่เคยปิดบังความรู้สึกของตัวเอง แบมแบมไม่เคยอ้อมค้อมในเรื่องของความรู้สึก มันเป็นข้อดีที่ทำให้เขารู้เท่าทันความรู้สึกและท่าทีของคนตัวเล็กอยู่เสมอ แม้ว่าในวันนี้จะมีอะไรบางอย่างมาบดบังทำให้เขามองมันพลาดไปในตอนแรกก็เถอะ

     
     

    “คำตอบน่ารักชะมัด” แบมแบมแกล้งเบะปากใส่เขาคล้ายกับไม่เชื่อน้ำคำจนต้องก้มลงไปมอบจูบให้แผ่วเบาด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ทำไมมาร์คจะไม่รู้ล่ะว่าแบมแบมในตอนนี้น่ะแม้ว่าจะถูกปลุกขึ้นมากลางดึกแต่ก็ยังดูสดชื่นและเป็นตัวของตัวเองมากกว่าแบมแบมคนที่อยู่ในร้านอาหารเสียอีก

     
     

    “ก็...รุ่นพี่คนนั้นเขาดูไม่ค่อยบริสุทธิ์ใจกับมาร์คยังไงก็ไม่รู้ สัมผัสได้อะ มันแปลกๆ” ปากอวบอิ่มเจรจาคำพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่ามันจะทำให้มาร์คขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่เลือกที่จะปฏิเสธหรือเถียงอะไรออกไป เพราะเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้หลายๆอย่างเปลี่ยนตามไปด้วย ไม่ผิดที่แบมแบมจะคิดแบบนั้น มันผิดที่เขาเองนั่นแหละที่ไม่รู้จักวางตัว เผลอตื่นเต้นมากเกินไป

     
     

    “ทีหลังจะระวังให้มากกว่านี้ครับ” พูดจบจมูกโด่งก็กดลงไปบนแก้มนิ่มอีกหนึ่งฟอด

     
     

    “อือ...ห่วงนะมาร์ค หวงด้วย” ให้ตาย...นี่มันเป็นประโยคที่หาฟังได้ยากมากเลยนะจากคนตัวเล็กคนนี้น่ะ!


     

    “เข้าใจแล้วครับทูนหัว” เสียงทุ้มรับคำหนักแน่น เขาไม่ได้แค่รับปากไปแบบลอยๆ เพราะทุกอย่างที่แบมแบมพูดหรือคิดมันส่งผลต่อเขาเสมอ อะไรที่ทำแล้วก่อให้เกิดความขุ่นเคืองหรือผิดใจถ้าเลี่ยงได้ทั้งเขาและแบมแบมก็จะเลี่ยง เราเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ด้วยกันและปรับใช้มันอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเหตุผลหลักของการกระทำเหล่านี้มาร์คก็บอกได้เต็มปากเลยว่าเป็นเพราะเขาน่ะ รักคุณพ่อทูนหัวคนนี้ไปแบบเต็มประตู

     
     

    “ฮ่ะๆ...”

     

    บอกไว้เลยว่ามาร์คต้วนไม่เคยมีนโยบายที่จะนอกกายนอกใจพ่อทูนหัวคนดีคนนี้อยู่แล้วล่ะ J



    .end.



     
    สวัสดีค่า แวะเอาสเปมาลงให้ ลืมปะป๊ามาร์คกันไปหรือยังน้า ~
    อันนี้ก็เป็นสเปหนึ่งในสามตอนที่เราแต่งแถมให้ไปสำหรับคนที่สั่งรูปเล่มเนอะ
    ส่วนเหตุผลที่เลือกเอาตอนนี้มาลงให้อ่านก็เพราะว่าเป็นตอนที่ฟลว.ในทวิตเตอร์ (แอค @since9397)
    เลือกว่าอยากอ่านมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งหลังจากสอบถามไปเมื่อช่วงบ่าย
    ยังไงก็คอมเมนต์ติชมกันไว้ได้เลยน้า คิดถึงตัวละครเรื่องนี้ คิดถึงคนอ่านทู้กคนโลยยยย ♥


    #FICWDWMB 

    TWITTER : @SINCE9397



     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×