ตอนที่ 26 : BOY IN A JAR :: SEASON II :: Space
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
BOY IN A JAR
:: SEASON 2 ::
#FICJARMB
CHAPTER 7
( Space )
ทำนองเพลงสากลที่ถูกเปิดคลอเบาๆในช่วงบ่ายค่อนไปทางเย็นภายในร้านกาแฟและเบเกอรี่ขนาดย่อมยิ่งช่วยทำให้บรรยากาศภายในร้านดูอบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่นเป็นเท่าตัว เสียงเครื่องบดกาแฟที่ดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมนั่นก็เป็นตัวสร้างบรรยากาศชั้นดีไม่ต่างกัน
“เช็ดโต๊ะครบแล้วเหรอ” เสียงของพนักงานชายในชุดยูนิฟอร์มที่เป็นผ้ากันเปื้อนสีชาดังขึ้นกับเพื่อนร่วมงานตัวเล็กที่ดูเหมือนว่ากำลังเหม่อลอย... อื้ม ถูกแล้วล่ะ เหม่อลอยอยู่หลังร้านนี่ไง
“หือ...ครบ ครบแล้วล่ะ” เสียงหวานตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ สองมือเอื้อมไปเปิดกีอกน้ำเพื่อล้างทำความสะอาดคราบเหนียวเหนอะที่ติดมือมาจากการเช็ดโต๊ะออกโดยมีสายตาของเพื่อนร่วมงานร่างสูงมองตามทุกการกระทำ
“เดี๋ยวอีกสิบนาทีร้านก็ปิดแล้ว นายจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า”
“อ๋อ คงกลับเลยล่ะ...”
“แบมแบม!”
“...” คนถูกเรียกเผลอสะดุ้งก่อนจะหันหลังกลับไปมองตามต้นเสียง เห็นว่าเป็นยองแจนั่นเองที่โผล่หน้าเข้ามาเรียกเขาด้านใน แต่ดูเหมือนว่ายองแจจะถอดผ้ากันเปื้อนที่เป็นยูนิฟอร์มออกไปแล้ว...ทำไมล่ะ ก็ยังเหลือเวลางานอีกตั้งสิบนาทีไม่ใช่หรือไง
“มีอะไรเหรอยองแจ”
“กลับบ้านเถอะ คุณป้าเขาอนุญาตให้เลิกงานก่อนได้เพราะลูกค้าหมดแล้ว” แบมแบมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้คนตัวสูงที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆเขาคล้ายกับต้องการจะบอกว่า ‘ได้ยินที่ยองแจบอกแล้วใช่ไหม งั้นไปกันเถอะ’
เสียงฝีเท้าของคนทั้งสามเดินออกมาจากส่วนห้องครัวเล็กๆหลังร้ายไปยังส่วนที่ใช้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเก็บชุดยูนิฟอร์มของพนักงาน แบมแบมเองก็เริ่มที่จะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตอยู่ในร้านกาแฟแห่งนี้บ้างแล้วแม้ว่าจะยังคล่องแคล่วไม่เท่าพนักงานเก่าอย่าง ‘ยองแจ’ และ ‘พี่ต่อ’ ก็เถอะ
ยองแจเข้ามาทำงานที่นี่ได้เป็นเกือบจะสามเดือนแล้วล่ะ ส่วนพี่ต่อน่ะเหรอ...ยองแจบอกว่าพี่เขาเป็นพนักงานประจำแถมยังเป็นชาวต่างชาติด้วย ถ้าเขาจำไม่ผิดเหมือนยองแจบอกว่ามาจากประเทศไทย...ทำงานที่นี่มาตั้งแต่ร้านเปิดแรกๆก็น่าจะเกือบสองปี เป็นคนที่คุณป้าเจ้าของร้านวางใจให้ดูแลร้านมากที่สุด
“...”
ที่นี่เป็นร้านกาแฟเล็กๆ พนักงานมีอยู่ไม่กี่คนหรอก และคนที่แบมแบมพูดคุยด้วยมากที่สุดก็ดูเหมือนจะมีแค่สองคน อ่า...แบมแบมมาทำงานที่นี่ได้เกือบอาทิตย์แล้วล่ะหลังจากวันนั้น วันที่เอ่ยปากบอกกับเนียร์ไปว่าแบมแบมต้องการที่จะมาทำงานกับยองแจ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเนียร์ไปพูดกับมาร์คยังไงสุดท้ายมาร์คถึงยอมให้แบมแบมมาทำงานที่นี่ได้
แต่ทั้งหมดนี่แบมแบมทำก็เพื่อความปลอดภัยของมาร์คนะ...
“วันนี้พี่มาร์คมารับเหมือนเดิมใช่ไหม” ยองแจถามขณะที่ทั้งสองพากันเดินออกมาจากร้าน ยองแจเห็นว่ารถของแจ็คแจ็คมาจอดรออยู่นานแล้วล่ะ แต่ว่าช่างเถอะ...แจ็คแจ็คน่ะยังไงก็ต้องรอยองแจอยู่แล้ว เขาจะอยู่เป็นเพื่อนคนตัวเล็กรอให้มาร์คมารับก่อน
“อื้อ แจ็คสันมารอแล้วไม่ใช่เหรอ ยองแจกลับก่อนเถอะ” แต่ดูเหมือนว่าแบมแบมจะไม่คิดแบบนั้น คนตัวเล็กขี้เกรงใจพยายามบอกให้ยองแจกลับบ้านไปก่อน
“ไม่เป็นไรหรอก รอคนเดียวอันตรายนะ”
“ไม่...”
“แบม...ยองแจ ยังไม่กลับกันอีกเหรอ” เห...
“อ้าว พี่ต่อ! นึกว่ากลับไปแล้วนะเนี่ย” สองเพื่อนรักหันควับไปมองเจ้าของเสียงด้านหลังอย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นยองแจที่เอ่ยทักทายรุ่นพี่ในร้านขึ้นมาก่อนโดยที่คนตัวเล็กอย่างแบมแบมก็ยิ้มรับน้อยๆเช่นเดียวกัน เก้าอี้ยาวหน้าร้านถูกยองแจขยับให้ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตี๋นั่งลงข้างๆกัน
“ยังหรอก พี่ต้องรอตรวจเช็คของอีก” ยองแจลืมไปว่าพี่ต่อเขาไม่ใช่แค่พนักงานที่มาทำตามหน้าที่แล้วก็กลับอย่างยองแจกับแบมแบมเสียเมื่อไหร่ หน้าที่ของพี่ต่อมีทั้งเช็คของรวมไปถึงล็อคและเปิดร้าน ใครไม่รู้ก็คงคิดว่าพี่ต่อเป็นเจ้าของร้านกาแฟแห่งนี้กันทั้งนั้นแหละ
“อ๋อ...” เป็นแบมแบมที่ขานรับเสียงยานออกมา ใบหน้าหวานผงกขึ้นลงงึกงักอย่างน่าเอ็นดู
“แล้วนี่นั่งรอใครกัน”
“ผมรอเป็นเพื่อนแบมแบมน่ะ ของผมมารออยู่ตรงนู้นแล้ว” ยองแจตอบพลางทำปากยื่นปากยาวไปทางรถยนต์ที่ดับเครื่องเปิดกระจกอยู่ตรงลานจอดรถข้างร้าน เห็นว่าแจ็คสันนั่งหลับอยู่ในนั้น...สบายเขาเลย
“อ๋อ...”
“แล้วใครมารับแบมแบมล่ะ”
ปริ๊น!
“โอ๊ะ...แบมไปก่อนนะยองแจ ไปก่อนนะครับพี่ต่อ” แต่ยังไม่ทันที่แบมแบมจะได้ตอบคำถามของชายหนุ่มรุ่นพี่เจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงก่อนจะลุกขึ้นยืนสุดความสูงโบกมือลาเพื่อนที่นั่งพยักหน้าให้ยิ้มๆและโค้งตัวทำความเคารพให้กับรุ่นพี่ที่คอยช่วยดูแลเขาเวลาทำงานอย่างสุภาพก่อนที่สองขาจะพาตัวเองกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหารถยนต์ที่จอดสนิทอยู่ข้างฟุตบาท ก่อนปิดประตูรถก็ยังไม่วายหันมาส่งยิ้มหวานให้ทั้งสองคนบนเก้าอี้ยาวหน้าร้านอีกครั้ง
“...”
“ที่มารับเมื่อกี้น่ะ...พ่อทูนหัวแบมแบมมันล่ะครับพี่ต่อ”
อ่า...แบมแบมบอกไม่ทันก็ไม่เป็นไร ยองแจบอกให้แทนเลยแล้วกัน
“คาดเข็มขัดสิ”
ประโยคแรกหลังจากแบมแบมก้าวขึ้นรถดังขึ้น เสียงแอร์ในรถยังดังกว่าเสียงลมหายใจของคนทั้งสองเสียอีก มาร์คพูดเสียงนิ่งขณะที่แบมแบมก็เอนศีรษะตัวเองพิงบานประตูรถหลับตาลงคล้ายกับว่าเหนื่อยล้าเต็มที ดวงตาคมปรายมองคนข้างๆอีกครั้งก่อนจะลอบพรูลมหายใจออกมา
แบมแบมจะยอมเหนื่อยมาทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงเขาไปทำไมกัน
จำเป็นต้องทำขนาดนี้จริงๆน่ะเหรอ
“จะแวะกินอะไรก่อนไหม” มาร์ครู้นะว่าแบมแบมยังไม่หลับหรอก ที่หลับตาก็เพราะว่าเขาจะได้ไม่ต้องชวนคุยมากต่างหาก
“ที่บ้านไม่มีแล้วเหรอมาร์ค” แบมแบมเปิดปากตอบทั้งที่ไม่ลืมตา นี่ไงล่ะ...ก็เป็นอย่างที่มาร์คคิดจริงๆ แบมแบมไม่ได้หลับ แค่แกล้งทำไปเพื่อเลี่ยงบทสนทนากับเขาก็เท่านั้น
“อืม มีแต่ผักเนื้อไม่มี” บทสนทนาของเรามันก็ฟังดูปกติ แต่ถ้าหากว่าใครได้ลองมาเป็นมาร์คต้วนในตอนนี้จะรู้และมั่นใจแบบล้านเปอร์เซ็นต์เลยว่าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด บรรยากาศระหว่างเราสองคนมันไม่ได้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรู้สึกดีๆเหมือนเมื่อก่อนเลย
“งั้นกินข้างนอกกันก็ได้”
“อืม”
เดธแอร์เกิดขึ้นหลังจากจบประโยคนั้น มาร์คไม่ชวนคุยอะไรอีกส่วนแบมแบมก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะแกล้งหลับเสียจนหลับจริงๆไปเสียแล้ว เสียงหายใจเบาๆสม่ำเสมอดังออกมาเป็นจังหวะในช่วงขณะที่รถติดไฟแดงเปรียบเป็นโอกาสดีที่มาร์คจะได้เชยชมเด็กน้อยของเขานอกเสียจากเวลาหลับ ปลายนิ้วของมาร์คแตะลงบนแก้มใสแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆของเจ้าตัวทำให้มาร์คใจเต้นได้ไม่ยาก
“...” ละเลียดไล้ปลายนิ้วมาเรื่อยๆจากพวงแก้มใสจนมาถึงริมฝีปากอิ่มที่ช่วงนี้ไม่ค่อยเจื้อยแจ้วเหมือนอย่างเคย แบมแบมไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว...ไม่ใช่เด็กน้อยที่จะเชื่อฟังและกลัวมาร์คอีกต่อไป ถึงแบมแบมจะไม่ได้บอกมาตรงๆแต่มาร์คก็พอจะรู้ด้วยตัวเองบ้างจากอาการเหล่านี้
“อย่าโตไปมากกว่านี้ได้ไหม” เสียงทุ้มก้มลงกระซิบแผ่วเบาคล้ายอยากจะวอนขอ แม้จะรู้ดีว่าการขอในเรื่องแบบนี้นั้นมันโง่งมและไร้เหตุผลสิ้นดี แบมแบมต้องเติบโตและเรียนรู้มากขึ้นไปตามกาลเวลานั่นแหละ...
“...”
ก่อนที่สุดท้ายริมฝีปากอิ่มจะถูกลอบช่วงชิงความหวานด้วยริมฝีปากบางของมาร์คที่ประกบทับลงไปแผ่วเบาดั่งสัมผัสของสายลมเอื่อยอ่อน เขาไม่อยากให้แบมแบมตกใจจนตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด...คนตัวเล็กของเขาดูเหนื่อยมากขึ้นทุกวัน อาจจะเป็นเพราะการทำงาน หรืออาจจะเป็นเพราะตัวของเขาที่ทำให้แบมแบมกำลังเหนื่อย...
มาร์คไม่รู้อะไรเลย มาร์คกลายเป็นคนที่ตามแบมแบมไม่ทันเสียแล้ว
.
.
.
ช่วงเวลาเช้ามืดของวันใหม่เปลี่ยนเยือนเคลื่อนมาถึงในที่สุด มาร์คขยับกายกระชับเด็กน้อยในอ้อมกอดอย่างแสนรัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่อย่างน้อยเขามีแบมแบมอยู่ข้างกายก็ดูเหมือนว่าปัญหาทุกอย่างมันเล็กลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ...แม้ว่าตอนนี้คนที่เป็นเหมือนกำลังใจของเขาจะกำลังทำตัวน่าเป็นห่วงก็เถอะ
“...” มาร์คนอนลืมตาท่ามกลางความมืดภายในห้อง เขานอนไม่ค่อยหลับ เป็นมาหลายวันแล้ว...อาจจะเพราะคิดมากหรือเครียดอะไรบางอย่าง แขนข้างหนึ่งยกขึ้นมาพาดบนหน้าผากตัวเองท่าทางเหมือนกับกำลังใช้ความคิดก่อนที่ลมหายใจอุ่นๆจะถูกพรูออกมา
เมื่อประมาณอาทิตย์ก่อนเขาคุยกับจินยองเรื่องแบมแบมที่ทำตัวแปลกไป โดยปาร์คจินยองอาสาจะเข้าไปพูดคุยให้หากแบมแบมมีเรื่องไม่สบายใจอะไรเก็บไว้ แต่ผลที่ได้ก็คือว่างเปล่า ไม่มีอะไรดีขึ้น จินยองบอกกับเขาแค่ว่าแบมแบมกำลังโต อารมณ์อาจจะแปรปรวนขอให้เขาทนไปอีกหน่อย
และถ้าหากถามอะไรออกไปมาร์คก็แน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่ใจว่าแบมแบมจะต้องไม่ตอบอะไรออกมาและทำให้เราต้องทะเลาะหักหาญน้ำใจกันเหมือนคืนนั้น เขาไม่ชอบเลย...
“แบมแบม ตื่นเถอะ” เมื่อคิดได้ดังนั้นมาร์คก็ขยับตัวปลุกอีกคนที่หลับอยู่ข้างกันให้รู้สึกตัว วันนี้เป็นวันหยุด ไม่มีงานที่เขาต้องทำและที่ร้านกาแฟนั้นหยุดทำการทุกวันอาทิตย์อยู่แล้ว วันนี้เขาทั้งสองคนว่าง มาร์๕มีความคิดว่าถ้าหากเราได้ไปลองเปลี่ยนบรรยากาศดูอะไรๆอาจจะดีขึ้นบ้าง
“หืม...” คนตัวเล็กครางฮือในลำคอพลางพลิกตัวเข้าหามาร์ค เหมือนกับแบมแบมในช่วงที่ปกติ...
เป็นเหมือนเดิมเถอะแบมแบม มาร์คไม่ว่าอะไรหรอกนะ
“วันนี้เราไปเที่ยวกันเถอะ” มาร์คก้มลงกระซิบข้างใบหูเล็ก ส่งผลให้ดวงตากลมที่งัวเงียนั้นค่อยๆเปิดขึ้นอย่างง่ายดายเพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘เที่ยว’
“ที่ไหนเหรอมาร์ค”
“เถอะน่า ไปอาบน้ำ” มาร์คอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มนิ่มของคนเพิ่งตื่นด้วยความหมั่นเขี้ยว แบมแบมครางประท้วงในลำคอน้อยๆก่อนจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งตั้งสติแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยให้มาร์คมองตามแผ่นหลังบางๆนั่นไปด้วยความคิดบางอย่าง
โอเค...นับว่าเป็นโชคดีที่แบมแบมไม่พยศตั้งแต่เริ่มต้นล่ะนะ
รถยนต์ของมาร์คต้วนเคลื่อนเข้ามาในจังหวัดที่เป็นเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อย โชคดีที่มันเป็นช่วงเดือนที่ไม่มีวันหยุดมากนักหรือช่วงเทศกาล การออกต่างจังหวัดจึงเป็นเรื่องที่ทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก กระเป๋าเป้สัมภาระวางอยู่ที่เบาะด้านหลัง ให้ความรู้สึกที่คล้ายแต่ก็ต่าง..
“เดี๋ยวเลี้ยวตรงนี้ก็ถึงแล้ว บรรยากาศดีไหม” มาร์คเปิดปากถามคนที่นั่งเงียบๆมาเกือบตลอดทาง มีบ้างที่แบมแบมเปิดปากถามว่ามาร์คหิวน้ำหรือเมื่อยไหมเพราะว่าระยะทางก็ใช่ว่าจะใกล้เสียเมื่อไหร่
“ก็ดีนะมาร์ค ต้นไม้เยอะดี” แบมแบมตอบพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ เขารู้สึกคุ้นๆกับสถานที่แห่งนี้อยู่เหมือนกัน ต้นไม้เริ่มโอบล้อมเขาทั้งสองมากขึ้นรวมไปถึงบรรยากาศรอบๆที่ค่อนข้างร่มรื่นชวนผ่อนคลายต่างกันโดยสิ้นเชิงจากในเมืองใหญ่
“เหรอ...” มาร์คครางรับพลางหมุนเลี้ยวพวงมาลัยเข้าลึกกว่าเดิม ปรากฏให้เห็นภาพของบ้านไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ห่างออกไป แสงแดดยามเช้าสาดส่องมากระทบเพิ่มความสวยงามให้กับเนื้อไม้ราคาพงดูชวนมองยิ่งขึ้น
“คุ้นๆมั้ย” เสียงทุ้มถามพลางดับเครื่องยนต์ลงตรงส่วนที่เป็นลานจอดรถ ใบหน้าคมหันมาส่งยิ้มให้คนรักบางๆ
“อื้อ...” แบมแบมขานรับแต่สีหน้าดูครุ่นคิด คนตัวเล็กเริ่มมองไปรอบๆอีกครั้งก่อนที่เปลือกตาบางจะปิดลงคล้ายกับว่าต้องการนึกย้อนกลับไปถึงความทรงจำเก่าๆ
นึกออกแล้ว...
“บ้านหลังนี้มาร์คเคยพาแบมแบมมาแล้วนี่!”
50%
“บ...บ้านที่เราอยู่ด้วยกันตอนนั้น” เสียงหวานแผ่วไปในประโยคหลัง บ้านหลังนี้เป็นของมาร์คกับคุณแทมมี่ เขาเคยมาที่นี่ครั้งเดียวตอนที่ยังตัวเล็ก บ้านหลังนี้ที่เคยมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับเขา...เป็นสถานที่ที่เขาเคยมีความสุขที่สุดในชีวิต
“ไม่ได้มาตั้งหลายปีเลย”
“นั่นสิ” เสียงประตูรถฝั่งคนขับถูกเปิดแล้วปิดลงทำให้คนตัวเล็กต้องก้าวขาลงตามไป ในใจเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา...เขารู้ว่ามาร์คคงจะกำลังอยากเอาใจเขา อยากให้แบมแบมเลิกทำท่าทีห่างเหิน...ซึ่งแบมแบมเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยสักนิด
รออีกนิดนะมาร์ค รอให้เนียร์หาทางรักษาอาการบ้าๆนี้ให้ได้ก่อน...
ช่วงบ่ายของวันเวียนมาถึง หลังจากที่ทั้งสองคนรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จมาร์คก็เป็นฝ่ายชวนให้แบมแบมเดินตามมาทางหลังบ้าน ลึกเข้าไปไม่มากนักเสียงน้ำไหลที่ดังขึ้นเรื่อยๆก็ทำให้คนขี้กลัวอย่างแบมแบมเก็บอาการไม่อยู่ มือเล็กขยับเข้าไปเกาะท่อนแขนของคนตัวโตอย่างหาที่พึ่ง
“กลัวเหรอ”
“...” แบมแบมไม่ตอบแต่เลือกจะเบนใบหน้าไปทางอื่น มาร์คก็รู้ทันเขาทุกอย่างนั่นแหละ...
“หันมานี่สิ” มาร์คขยับใบหน้าเข้าไปใกล้หลังจากหยุดจังหวะฝีเท้าลง แบมแบมเม้มปากก่อนจะหันกลับมาตามที่คนรักบอก ภาพแรกที่เห็นก็คือรูปหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าที่อยู่ใกล้เกินไปเสียจนหัวใจดวงน้อยมันเต้นเสียคับอก
คบกันมาตั้งนานแล้วแต่แบมแบมก็ยังเขินมาร์คไม่หายเลย...
“...” ส่วนภาพที่สองก็คือบรรยากาศที่อยู่ด้านหลังของมาร์คต้วนซึ่งทำให้ดวงตากลมโตนั้นเบิกกว้างกว่าที่เคย เสียงเล็กเผลออุทานออกมาเบาๆอย่างน่ารักเสียจนคนมองอย่างมาร์คอดใจไม่ได้ยื่นหน้าเข้าไปกดจมูกลงบนแก้มยุ้ยนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว
“อยากเล่นน้ำหรือเปล่า”
“อยากสิ” แบมแบมตอบแบบแทบไม่ต้องใช้ความคิด คนตัวเล็กสาวเท้าเข้าไปใกล้บริเวณโขดหินที่มีแม้น้ำไหลผ่านอย่างระมัดระวัง ใบหน้าหวานยกยิ้มกว้างขึ้นมาพลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด...
ไม่ยักรู้เลยว่ามีน้ำตกอยู่ที่นี่ด้วย
“คราวก่อนมามาร์คไม่เห็นบอกเลยว่ามี”
“ก็ครั้งนั้นมันดูยุ่งเหยิงไปหมดเลยลืมเรื่องนี้ไป” มาร์คตอบพลางก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง วงแขนใหญ่โอบรอบเอวบางพลางวางคางของตัวเองลงบนไหล่ ปิดเปลือกตาลงอย่างผ่อนคลาย…วันนี้แบมแบมดูอ่อนลงกว่าเดิมเยอะเลย มาร์คเองก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“...”
“มาสิ เดี๋ยวฉันพาเล่นน้ำ” มาร์คสูดกลิ่นหอมจากซอกคอขาวอีกครั้งก่อนจะชักจูงให้อีกฝ่ายเดินตามมาบริเวณที่มีน้ำไหลแรงกว่า มาร์คลดกายนั่งลงโดยใช้หินก้อนใหญ่เป็นฐานพิงก่อนจะดึงรั้งให้คนที่ยืนคร่อมทำหน้าตาบอกไม่ถูกนั้นนั่งลงซ้อนทับบนตักตัวเอง
“แบบนี้ดีไหม”
“ม...มาร์ค”
อากาศช่วงบ่ายคล้อยไปทางเย็นกำลังสบายได้ที่เลยจริงๆในความรู้สึกของยองแจที่กำลังนอนเหยียดยาวดูรายการทีวีวันหยุดอยู่บนโซฟายาวกลางห้อง ซองขนมกระจายอยู่บนโต๊ะเกลื่อนกลาดโดยที่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะสนใจมันแต่อย่างใด
“...” แม้ว่ารายการทีวีจะถูกเปิดไว้แต่ยองแจเองกลับไม่ได้ให้ความสนใจมันมากนัก ดวงตาเรียวจดจ้องอยู่บนจอสี่เหลี่ยมในมือของตัวเอง ปลายนิ้วเรียวกดเข้าออกเลื่อนไปเรื่อยเพื่อหาสอดส่องเรื่องราวและเหตุการณ์ที่ดูน่าสนใจจากในโซเชียลมีเดียต่างๆ
อ้อ...แต่ไม่ใช่ของยองแจหรอกนะ ส่องผ่านไอดีของแจ็คแจ็คน่ะ
“พี่ต่อโพสต์รูปเหรอ โอ้โหแปลกใหม่” ปากบางขมุบขมิบกับตัวเองพลางส่งปลายนิ้วเข้าไปกดดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหน้าจออย่างสนใจ ก็จะไม่ให้ยองแจแปลกใจได้ยังไง ในเมื่อพี่ชายที่ทำงานร่วมกันมาเกือบสามเดือนอย่างพี่ต่อน่ะเกิดมีความเคลื่อนไหวทางสังคมขึ้นมา มันน้อยมากเลยนะที่จะมีความเคลื่อนไหวในโซเชียลน่ะ
“...” เพราะฉะนั้นแล้ว หากมีความเคลื่อนไหวอะไรยองแจก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปดูหรอก หึหึ
ดวงตาเรียวไล่อ่านข้อความและรูปภาพที่ถูกโพสลงอย่างถี่ถ้วน จนกระทั่งแน่ใจแล้วเสียงหัวเราะประหลาดๆจึงถูกแค่นออกมา ยองแจส่ายหัวเบาๆเมื่อสิ่งที่ตนเองคิดไว้มันไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากที่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว กับรูปวาดลายเส้นที่พี่ต่อโพสต์ลงและแคปชั่นแสนหดหู่นั้นน่ะ...
‘เจอแมวน่ารักแต่ดันมีเจ้าของแล้ว ก็แห้วดิ’
“โถ...พี่ต่อผู้น่าสงสารของยองแจ ไม่เอาไม่ร้อง” ปากเล็กบุ้ยใบ้อยู่คนเดียวพลางเค้นสีหน้าเหมือนกับว่ากำลังสงสารคนที่กำลังพูดถึงเสียเต็มประดา ปลายนิ้วจิ้มลงไปตรงกล่องโต้ตอบก่อนจะเลื่อนเพื่อเลือกหาสติ๊กเกอร์ที่ดูเข้ากับสถานการณ์ที่สุดมาหนึ่งตัวก่อนจะกดส่งไป
“หลงเสน่ห์แบมแบมเหมือนพี่มาร์คล่ะซี้ งี้แหละเพื่อนเราโซฮ็อต” เบ้ปากเป็นการตบท้ายก่อนจะกดออกมาเพื่อเลื่อนหาสิ่งอื่นที่น่าสนใจต่อไป
ว่าแล้วเชียวว่าพี่ต่อต้องชอบแบมแบมแน่ๆ แต่เจ้าตัวน่ะคงไม่รู้หรอกเพราะเล่นซื่อใสซะขนาดนั้น ในหัวของแบมแบมคงมีแต่มาร์คลอยวนเวียนเต็มไปหมดจนไม่มีที่ว่างให้ใครเข้าไปอยู่แล้วล่ะ อันนี้ยองแจเดานะแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นการเดาที่ถูกต้องนั่นแหละ ถึงช่วงนี้สองคนนั้นจะดูอึมครึมใส่กันแต่เชื่อสิ...รักกันจะตาย
“ทำอะไรไอ้อ้วน”
“ปากเสีย ไปเลียพื้นห้องจนกว่ายองแจจะพอใจเดี๋ยวนี้” เสียงใสตอบกลับได้อย่างชัดเจนราวกับว่าเป็นคำพูดที่ไตร่ตรองมาแล้วเป็นอย่างดี เสียงหัวเราะจากด้านหลังดังขึ้นเบาๆตามด้วยเสียงเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม แน่นอนว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากแจ็คสันหวังคนเดิม
“คุยกับคริสตัลต่างหาก”
“...” ยองแจตวัดค้อนกลับไปหนึ่งวงก่อนจะหันมาสนใจหน้าจอสี่เหลี่ยมในมืออีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะเผลอนึกไปว่าบางทีการที่เขาและแจ็คแจ็คนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนและผูกมัดต่อกันเหมือนอย่างแบมแบมกับมาร์คนั้นก็ดูเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน
เพราะยองแจดูตัวอย่างจากแบมแบมแล้ว ถ้าหากเป็นเขากับแจ็คแจ็คคงจะอดทนกันไม่ได้เท่านั้นแน่ๆ
ไม่แจ็คสันก็ยองแจคงต้องตายกันไปข้างตั้งแต่เริ่มทะเลาะกันครั้งแรก
“แล้วป๊ามาแล้วหรอ ข้างล่างใครดู” ยองแจถามไถ่อย่างชำนาญราวกับว่าตึกทั้งหลังนี้เป็นของตน แจ็คสันเองก็ขานรับในลำคอพลางเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกันกับยองแจที่เปลี่ยนท่าจากนอนเหยียดยาวสมาเป็นนั่งพิงพนักโซฟาได้สักครู่
“มาแล้ว วันนี้ไม่ค่อยสบายเลย รู้สึกอยากนอนแล้วตื่นอีกทีปีหน้า” แจ็คสันพูดพลางหลับตาพรูลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน อาจจะเป็นเพราะว่าการทำบัญชีอพาร์ตเมนท์และงานเล็กๆจากบริษัทใหญ่ของม๊าที่ฮ่องกงนั้นจะทำให้เวลาพักผ่อนของเขามีน้อยลงไปทุกทีๆ
“เอาตื่นอีกทีชาติหน้าแทนได้มะยองแจจะได้ช่วยสงเคราะห์ให้แจ็คแจ็ค” ยองแจลอยหน้าลอยตาพูดแม้ว่าสายตาจะยังไม่ละห่างไปจากโทรศัพท์มือถือของแจ็คสัน จนกระทั่งมันถูกกระชากออกไปโดยฝีมือของคนที่นั่งข้างกัน
“ของก็ของเขายังจะมาพูดจาไม่น่าฟังอีก เดี๋ยวจับฟาดตูดลาย”
“สงสัยจะอยากตื่นอีกทีชาติหน้าจริงๆ” ยองแจเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางหันไปมองหน้าแจ็คสันเขม็ง ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าสองคนนี้โดนบังคับให้อยู่ด้วยกันแน่ๆ แต่เปล่าเลย...นี่แหละ ชีวิตประจำวันของคนทั้งคู่
คิดภาพเวลาพูดจาหวานๆใส่กันเหมือนแบมแบมกับมาร์คทำแทบไม่ออกเลย...
“เออนี่ว่าจะหยุดทำงานอพาร์ตเมนท์สักพัก” ก่อนที่แจ็คสันจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังกว่าเมื่อครู่พร้อมกับการพรูลมหายใจออกมา
“ทำไมล่ะ งานม๊าเยอะหรอ”
“อืม...แล้วก็ดูเหมือนว่าม๊าอยากให้สนใจงานที่บริษัทใหญ่อย่างจริงๆจังๆแล้วด้วย เซ็งเลยว่ะ” แจ็คสันบ่นปากยื่นปากยาวก่อนจะขยับตัวจัดท่าจัดทางแล้วทิ้งน้ำหนักของศีรษะลงบนตักนิ่มของยองแจที่นั่งขมวดคิ้วจนแทบพันกัน
“งี้ก็จะยุ่งกว่าเดิมอะดิ” ยองแจถามพลางทำหน้าครุ่นคิด
“อืม...”
“แย่เลย”
“เป็นห่วงแจ็คแจ็คใช่มะ” แจ็คสันแกล้งเอานิ้วตัวเองจิ้มเข้าหาพุงนิ่มๆของคนที่นั่งเป็นหมอนให้หนุนอย่างหยอกล้อจนกระทั่งฝ่ามือหนักๆฟาดลงมาบนไหล่เสียจนต้องนิ่วหน้า...แรงเยอะชิบ
“เปล่า! แค่จะบอกว่าถ้าไม่ว่างอยู่เป็นเพื่อนอีกคราวนี้ก็ซื้อโน้ตบุ๊คส่วนตัวให้ยองแจซะที เผื่ออยากจะไปนั่งทำเท่ห์ที่ร้านกาแฟหรูๆเหมือนคนอื่นในเฟสบุ๊คบ้าง”
“โอ้โห...ซึ่งใจจนน้ำตาจะไหลเลย เช็ดให้หน่อยดิ้”
“ตลก” ยองแจก้มลงมองใบหน้าคมที่หลับตาพริ้มอยู่บนตักของเขาอีกครั้งก่อนจะหลุดยิ้มบางๆออกมา ยอมรับก็ได้ว่าอันที่จริงแล้วเขาก็ทำปากร้ายไปอย่างนั้น มันเหมือนกับว่าเป็นสไตล์ของเขามากกว่าที่จะชอบวีนชอบบ่นแถมยังถนัดเถียงไปข้างๆคูๆจนแจ็คสันต้องยอมแทบทุกครั้ง ทว่าลึกๆแล้วเขาก็ยังเป็นห่วงคนๆนี้ คนที่ทำอะไรต่อมิอะไรให้เขามากมายหลายอย่างอยู่ดี
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ที่มีให้กันอยู่ทุกวันจะไม่มีชื่อเรียกมากำหนดบทบาททางสังคม แต่ถ้าหากว่าเราสองคนจะไม่ห่างกันไปไหนยองแจก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะนะ...
บรรยากาศเงียบสนิทแถมยังเต็มไปด้วยกระแสของความอึดอัดอบอวลไปทั่วรถยนต์ที่แล่นอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าที่เคยเสียจนคนนั่งข้างอย่างแบมแบมนั้นต้องกระชับสายเบลล์ของตัวเองแนบแน่น ใบหน้าหวานฉายแววตระหนกแต่ก็ยังอตส่าห์ฝืนตัวเองไม่ให้เผลอร้องไห้ออกมาได้
“มาร์ค...”
“เงียบเถอะ เข้าใจแล้ว” มาร์คตอบแค่นั้นก่อนจะยิ่งเหยียบให้รถทะยานพุ่งไปข้างหน้าเร็วยิ่งกว่าเดิม คนตัวเล็กใจคอไม่ดีอยู่แล้วยิ่งมาบวกกับความอึดอัดที่เกิดขึ้นอีก มันหนักและเหนื่อนจนแบมแบมต้องก้มหน้าห่อไหล่อย่างคนหมดคำพูด
“...” มาร์คเข้าใจแล้วก็จริง แต่มาร์คกำลังเข้าใจผิดนะ
อาจจะเป็นเพราะความเร็วของรถหรือเพราะความโล่งของถนนก็แล้วแต่ที่ทำให้รถของเขาเข้าถึงตัวเมืองในระยะเวลาที่ไม่นานนัก ถนนหนทางที่คุ้นตาปรากฏให้เห็นแทนป่าไม้อย่างตอนแรก แบมแบมเบนสายตาออกไปมองแสงไฟจากร้านค้าและสถานบริการต่างๆในยามค่ำคืน ในหัวเล็กๆกำลังตีกันวุ่น พยายามหาคำพูดดีๆมาทำให้มาร์คเย็นลงแต่ดูเหมือนว่ายิ่งพูดไปมันก็ยิ่งแย่
และสาเหตุที่มาร์คฉุนขาดแบบนี้ก็มาจากเขาเอง เขาขัดใจมาร์คแบบที่รู้ดีว่าไม่ควรที่จะทำ...เขาสองคนไม่ใช่คู่รักที่เพิ่งคบกันได้สองวันหรือสองเดือน แต่มันนานนับหลายปีแล้ว ทว่าในจังหวะที่มาร์คอยากจะสัมผัสเขาให้มากกว่าเดิมอย่างที่เคยทำแบมแบมกลับปฏิเสธแบบโจ่งแจ้ง
แต่แค่นั้นมาร์คก็ยังไม่โกรธแบมแบมหรอก...ถ้าหากว่าแบมแบมไม่ผลักมาร์คออกเสียจนตัวเองจมน้ำแบบนี้
“..” ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้มาร์คสัมผัส เขาคิดถึงสัมผัสของมาร์คอยู่ทุกวัน...แต่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันกับแบมแบมได้บ้างล่ะว่าถ้าหากเขาปล่อยให้มาร์คทำไปแล้วจะมีอันตรายอะไรที่เขาจะเผลอทำให้มาร์คต้องเจ็บตัวอีกหรือเปล่า
ไม่มี...ไม่มีหลักประกันอะไรให้แบมแบมวางใจได้เลยสักนิด
“ลงไปก่อนเลย” มาร์คว่าเสียงเรียบเมื่อรถจอดเทียบกับหน้ารั้วบ้านในที่สุด ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่ต่างจากจิตใจและความสัมพันธ์ของคนทั้งสองที่ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นในตอนแรก แต่สุดท้ายมันกลับยิ่งแย่และดิ่งลงกว่าเดิมด้วยความเข้าใจที่ไม่ได้รับการปรับเข้าหากัน
“ท...ทำไม” แบมแบมเริ่มคุมเสียงของตัวเองไม่อยู่ ใบหน้าหวานหันมองคนรักที่ยังคงนิ่งไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาอย่างวิตกกังวล มาร์คหมายความว่าจะให้แบมแบมลงไปเปิดประตูรั้วให้เหมือนทุกครั้ง...ไม่ได้หมายความว่าให้แบมแบมเข้าบ้านไปก่อนแล้วมาร์คจะไปที่อื่นต่อหรอกใช่ไหม
“ฉันมีธุระที่อื่นต่อ”
“...” ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางความคิด ประโยคที่แบมแบมกลัวถูกพูดออกมาจากร่างสูงของคนรักที่ยังคงดูนิ่งเฉยจนแบมแบมเผลอสะอื้นออกมาให้กับความย่ำแย่อของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
จนสุดท้ายแล้วแบมแบมก็ต้องยอมทำตามที่มาร์คบอก กุญแจบ้านถูกส่งให้พร้อมกับกระเป๋าเป้ที่บรรจุสัมภาระสำหรับเดินทาง คนตัวเล็กลงจากรถเป็ฯที่เรียบร้อยแต่ยังไม่ยอมเปิดประตูบ้านเข้าไปอย่างที่มาร์คต้องการ ดวงตากลมจ้องผ่านกระจกเข้าไปคล้ายกับว่าต้องการจะอ้อนวอน
แบมแบมไม่อยากให้มาร์คไปไหนในเวลาแบบนี้เลย
“...” แต่ดูเหมือนว่าคำอ้อนวอนร้องขอนั้นจะถูกส่งไปไม่ถึงผู้รับเมื่อรถยนต์สีเรียบกำลังทะยานตัวห่างออกจากระยะสายตาของคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายแล้วสิ่งเดียวที่เหลือให้มองก็มีเพียงถนนโล่งๆและความว่างเปล่าเท่านั้น
นี่เหรอสิ่งที่แบมแบมต้องการ...
“ฮ...ฮึก” และเมื่ออดทนต่อไปอีกไม่ไหวคนตัวเล็กก็ย่อตัวนั่งลงใช้ฝ่ามือเล็กปิดปากกลั้นก้อนสะอื้นของตัวเองอย่างสุดความสามารถ แต่ดูเหมือนว่าคลื่นน้ำตาแห่งความเสียใจในการกระทำของตัวเองนั้นมันมากเกินกว่าที่แบมแบมจะห้ามมันเอาไว้ด้วยฝ่ามือเล็กๆนั่นเสียแล้ว
“...”
“ม...มาร์ค” ไม่มีทางที่มาร์คจะได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากแบมแบมหรอก เจ้าตัวเองก็รู้ดี...มือเล็กเช็ดน้ำตาลวกๆก่อนจะพาตัวเองเดินเข้ามาในตัวบ้านคล้ายกับคนที่ไร้เรี่ยวแรง ไฟทุกดวงถูกเปิดแต่ทุกอย่างมันกลับเงียบสงัดยิ่งกว่าที่เคย
ร่างเล็กๆทิ้งตัวลงบนโซฟาฟุบหน้าร้องไห้จนตัวโยน ในหัวเอาแต่ถามตัวเองซ้ำๆราวกับคนบ้าว่าทำไมแบมแบมจะต้องเสียใจร้องไห้ฟูมฟายถึงขนาดนี้กันก็ในเมื่อ...นี่มันคือสิ่งที่เขาต้องการจากมาร์คมากที่สุดไม่ใช่หรือไง
ทำไมกัน...
ก็ในเมื่อมันเป็นแบมแบมเองไม่ใช่หรือไงที่พยายามเรียกร้อง ‘ระยะห่าง’ จากมาร์คต้วนน่ะ
เอ่อ....
55555555555555555555555555
#FICJARMB
TWITTER : @since9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

T__________________T
จำความรู้สึกตอนที่มาร์คพยายามห่างกับแบมไม่ได้หรอแบม
บอกมาร์คไปสิ
หน่วงมากกกกก
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ
แบมดื้อเกินไปแล้วววววววว
มาที ก็แจกดราม่าให้เลย อิอิ แถมมีพาสแจ้คแจมาด้วย ชอบนะ
สรุปแบมเป็นอะไรแน่คะเนี้ย อยากรู้มากมากกกก
ฮื้ออออออออออออ อยากอ่านต่อแล้วววว
รอนะคะ เป็นกำัใจให้ไรท์น้่่่าาาาาา