ตอนที่ 13 : BOY IN A JAR :: In fact, I love you
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
BOY IN A JAR
MARK x BAMBAM
#FICJARMB
CHAPTER
- 12 -
( In fact, I love you )
ก้อนกลมในชุดนอนแขนยาวขายาวสีเหลืองสดกำลังนั่งท้าวคางทำท่าเหมือนคนคิดไม่ตกอยู่บนเบาะนุ่มของตัวเองที่จินยองเป็นคนเอามาประเคนให้เหมือนกับเสื้อผ้าและอาหารจุกจิกมากมายในช่วงสัปดาห์ที่ตัวเขามาอยู่ที่นี่
นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนที่ทำเอาแบมแบมถึงกับหน้าชาไปต่อไม่ถูก...หลังจากที่ได้ฟังความจริง
“...” พอนึกวนกลับไปถึงเหตุผลที่คนร่างบางบอกว่าการที่มาร์คกลายมาเป็นคนใจร้ายน่ะมันมีเหตุผลนะไม่ใช่เพราะว่ามาร์คเบื่อแบมแบมอย่างที่เผลอคิดไปในบางที...ก็ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่หรอก
เพราะมันจะดูเป็นการเข้าข้างตัวเองไปนิดนึง
ชักจะไม่แน่ใจแล้วสิ...
.
.
{ ย้อนกลับไปในบทสนทนาเมื่อคืน }
“หันมานี่ตัวเล็ก...”
“แล้วเนียร์จะเล่าความจริงทุกอย่างให้ฟัง”
น้ำเสียงนิ่งๆของจินยองทำให้แบมแบมที่เริ่มทำตัวไร้เหตุผลต้องกลืนความต้องการของตัวเองลงคอแล้วใช้ดวงตาคู่กลมใสแจ๋วจ้องไปยังใบหน้าอีกฝ่ายที่ปกติแล้วมักจะมีแต่รอยยิ้มส่งมาให้ทว่าตอนนี้กลับดูจริงจังเสียจนคนตัวเล็กไม่กล้าที่จะขัดขืนดื้อดึง
“ค...ความจริงอะไร”
“ตัวเล็กน่ะ...รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้างหรือเปล่า” จินยองไม่ตอบแต่กลับถามต่อ อิมแจบอมที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มที่จะเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีก็ลอบกลืนน้ำลายดังอึกพลางเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนรักอยู่เป็นระยะ เป็นอันรู้กันว่าถ้าเกิดจินยองคิดจะทำอะไรแล้วอย่าไปห้ามซะให้ยากเลย ทางเลือกที่ดีที่สุดก็มีแค่คอยฟังและคอยดูว่าเรื่องราวมันจะหันไปทางไหนก็เท่านั้น
“ยังไงล่ะ” แบมแบมขมวดคิ้มมุ่นไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อสาร ริมฝีปากอิ่มถูกฟันซี่เล็กด้านบนขบเบาๆด้วยความที่เจ้าตัวกำลังคิดไม่ตก
“เอางี้ดีกว่า...เนียร์ขอถาม”
เอาอีกแล้ว...พอเนียร์พูดแบบนี้ทีไรทำไมแบมแบมถึงรู้สึกว่ามันจะต้องกำลังมีอะไรที่น่าอึดอัดใจเกิดขึ้นกับตัวเขาทุกทีเลยนะ
“แบมแบมเคยคิดอยากตัวโตกว่านี้ไหม โตแบบเนียร์แบบแจบอม แบบมนุษย์ทั่วไป” คำถามที่เดาทางไม่ออกถูกส่งมาให้คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆอีกรอบ แน่นอนว่ามันไม่ใช่คำถามที่ยาก ก็แค่ตอบไปตามที่ใจคิด แต่แบมแบมไม่รู้นี่นาว่าถ้าตอบออกไปแล้วมันจะส่งผลอะไรหรือทำให้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
“...”
“ก็...ก็อยาก”
แต่สุดท้ายคนตัวเล็กก็เลือกที่จะตอบออกไปตามที่คิด บอกกับตัวเองในใจว่าถ้าหากถูกถามเจาะลึกลงไปกว่านี้ อาทิเช่นคำถามที่ว่า ‘ทำไมถึงอยากโตล่ะ’ หรืออะไรเทือกนี้ แบมแบมจะต้องเก็บเอาไว้กับตัวเองนะว่าเหตุผลที่ทำให้รู้สึกอยากมีร่างกายเหมือนกับมนุษย์นั้นมาจากอะไร
มันน่าขายหน้าชะมัด...
“จะบอกให้ก็ได้ว่าเนียร์น่ะค้นพบข้อมูลมาว่าเผ่าพันธุ์ของแบมแบมมีอัตราการเจริญเติบโตแบบมนุษย์ทั่วไปแทบจะเป็นศูนย์...”
อ่า...บอกตรงๆเลยว่าคำพูดของเนียร์น่ะเข้าใจยากเป็นบ้าเลย เขาต้องตั้งใจฟังแถมเอามาทบทวนซ้ำๆตั้งสามรอบในใจกว่าจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก
และเขาก็ตีความหมายออกมาได้ความเหมือนกับเนียร์กำลังจะบอกว่า...ให้แบมแบมลืมเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกายที่มากกว่านี้ไปซะเถอะ เพราะโอกาสมันน้อยมากไงล่ะ
ก็คิดไว้แล้วล่ะว่าต้องเป็นแบบนี้น่ะ...
“เฮ้...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ไม่รู้เหมือนกันว่าคนตัวเล็กเผลอทำสีหน้าแบบไหนออกไปคนใจร้ายอย่างอิมแจบอมที่เอาแต่นั่งเงียบมานานถึงได้ยื่นนิ้วมาตรงหน้าเขาแล้วพูดจาเสียงดังขึ้นมาจนแบมแบมที่เผลอก้มหน้าลงไปถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งหลังตรงอีกหน
“เพราะอะไรรู้ไหม”
จินยองไม่สนใจ เอื้อมมือไปจับแบมแบมให้กลับมาตั้งใจฟัง เสียงหวานค่อยๆพูดทีละประโยคอย่างช้าๆพยายามให้ความผิดพลาดในการสื่อสารมีน้อยที่สุด เขารู้ว่าแบมแบมอาจจะฟังพวกประโยคที่เป็นทางการไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ดังนั้นต่อจากนี้ไปคนตัวเล็กจะต้องฟังทุกประโยคอย่างมีสติ
“เพราะเผ่าพันธุ์ของตัวเล็กน่ะประหลาดมากๆ”
“เนียร์!” คนตั้งใจฟังถึงกับขมวดคิ้วฉับ ปากเล็กร้องท้วงออกมาเสียงดังเมื่อได้ยินประโยคเชิงดูถูกในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ถึงแบมแบมจะตัวเล็กกว่าและเข้าใจอะไรน้อยกว่าแต่เนียร์ก็ไม่มีสิทธิมาพูดแบบนี้ซะหน่อยนี่!
“ขอโทษ ฟังก่อนสิ”
“...” ยอมฟังต่อถึงแม้ว่าท่าทางฮึดฮัดจะยังไม่หายไป คนตัวเล็กลุกขึ้นยืนกอดอกจ้องหน้าปาร์คจินยองอย่างเอาเรื่องจนแจบอมที่มองอยู่จากด้านหลังของคนรักยังแอบคิดไม่ได้ว่าท่าทางแบบนั้นมันดูน่ารักมากกว่าน่ากลัวเป็นไหนๆ สมควรแล้วล่ะที่ไอ้มาร์คเพื่อนรักจะหลงเสียจนหัวทิ่มขนาดนั้น
“ตัวเล็กเคยเจอเพื่อนในป่าที่อาศัยอยู่บ้างไหม หมายถึงภูติตัวเล็กๆแบบนี้น่ะ” ปลายนิ้วชี้ของจินยองจิ้มจึกเข้าที่อกน้อยๆของแบมแบมเสียจนเจ้าตัวต้องถอยหลังหนีสองสามก้าวเพราะความตกใจ
“ม...ไม่เคย”
นึกดูแล้วก็จริงที่ว่าแบมแบมไม่เคยเจอภูติแบบเดียวกันกับเขาเลยทั้งที่อยู่ในป่าใหญ่มาตั้งหลายปี ส่วนใหญ่แล้วเพื่อนของเขาก็จะเป็นต้นไม้ใบหญ้าหรืออะไรประมาณนี้เสียมากกว่า ก็เหงาอยู่เหมือนกันนะ ดังนั้นตอนที่แจ็คสันมาบอกเขาว่ามีภูติอีกตัวอยู่นั้นจึงทำให้ตื่นเต้นมากๆจนกล้าที่จะออกจากห้องไปทั้งที่มาร์คเองก็ย้ำนักย้ำหนาในตอนนั้น
“นั่นล่ะ...เพราะบางที ในป่านั้นน่ะอาจจะมีภูติทั้งหมดอยู่เพียงตนเดียวก็ได้นะ”
“...” ประโยคที่จินยองพูดออกมาทำเอาแบมแบมตาโตชะงักค้างไปชั่วครู่ เขาไม่เคยคิดแบบนั้นมาก่อนเลย
“เผ่าพันธุ์ภูติมนุษย์น่ะถือกำเนิดมานานมากหลายชั่วอายุคนแล้ว...จนมาช่วงหลังความเจริญได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและกินพื้นที่ของพวกภูติเหล่านั้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งแทบไม่มีเหลือ” น้ำเสียงนุ่มคล้ายกับว่ากำลังเล่านิทานทำให้แบมแบมตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ กลับกันที่เรื่องนี้มันไม่ใช่นิทานแต่เป็นเรื่องจริงในตำนานที่ถูกเล่าขานต่อมาก็เท่านั้น
“ภูติมนุษย์รุ่นหลังจึงกระจัดกระจายไม่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อนเหมือนแต่ก่อน และนั่นมันก็ง่ายต่อการที่ภูติเหล่านั้นจะถูกฆ่า...หลือลักพาตัว” แววตาใสไหววูบในคำท้าย เขาเองก็เป็นหนึ่งในภูติที่ถูกลักพาตัวสินะ...
“และเพราะด้วยความเป็นของหายากและแปลกประหลาด เมื่อไม่มีใครหาเจอนานเข้าพวกนี้ก็เลยถูกทำให้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าในนิทาน ไม่มีใครคิดจะค้นหาอีกต่อไป...”
“...เว้นก็แต่คนจำพวกแจบอมล่ะนะ” คนเล่าปรายตาไปมองคนรักที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังนิดหน่อย ส่วนคนโดนมองเองก็ได้แต่ยิ้มแหย
“...”
“ที่เล่ามาทั้งหมดเนียร์ก็แค่อยากจะบอกว่า การแยกกันอยู่บวกกับสัญชาติญาณการเอาชีวิตรอดที่มีไม่สูงเลยของภูติอย่างตัวเล็กน่ะ มันก็เลยทำให้อัตราการเจริญเติบโตของร่างกายที่ในความจริงแล้วมีเปอร์เซ็นต์ที่เป็นไปได้ต้องกลายเป็นศูนย์อย่างน่าเสียดาย”
“หมายความว่ายังไงกัน...” เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่ทั้งหมด คนตัวเล็กยกฝ่ามือคู่น้อยขึ้นมากุมผมของตัวเองเอาไว้แล้วออกแรงทึ้งเบาๆจนอิมแจบอมต้องยื่นมือมาอีกหนเพื่อดึงอีกคนให้เลิกทำท่าทางขัดหูขัดตาแบบนั้นแล้วนั่งลงดีๆ
“หมายความว่า...ภูติในวัยเจริญพันธุ์ คือช่วงอายุสิบสองถึงสิบห้าปีน่ะ ถ้าหากว่ายังไม่มีคู่เพื่อที่จะทำการสร้างเบบี๋ภูติน้อยล่ะก็ โอกาสในการเจริญเติบโตก็จะเท่ากับศูนย์โดยทันที”
ใช่...ตามข้อมูลที่จินยองได้ค้นพบมันก็น่าตกใจอยู่ไม่น้อย กับวิธีที่ทำให้ร่างกายของภูติเหล่านี้เติบโตขึ้นมันดูเหมือนกับง่ายมากเพียงแค่ผสมพันธุ์ให้ทันในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ร่างของภูติที่แข็งแรงไม่มีความบกพร่องก็จะสามารถเจริญเติบโตราวกับมีปาฏิหาริย์ เพียงแต่ว่า...ในความเป็นจริงนั้นทุกอย่างมันไม่ง่ายเอาเสียเลย
ภูติมนุษย์เหลือน้อยเต็มที
“โดยปกติแล้วภูติในวัยนี้จะเริ่มมีกลิ่นกายคล้ายกลิ่นดอกไม้ป่าเพื่อเรียกคู่ แต่เจ้าตัวจะไม่ได้กลิ่นของตัวเองหรอกนะ ตอนอยู่ในป่าตัวเล็กเคยได้กลิ่นคล้ายดอกไม้ที่ไม่คุ้นมาจากที่ไหนใกล้ตัวบ้างไหม...” จินยองลองถามและคำตอบก็ตรงกับที่คิดคือการที่ใบหน้าเล็กนั้นส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“แล้วไม่รู้ว่ามาร์คบอกตัวเล็กหรือยังนะว่าตัวเล็กน่ะ...อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ช่วงสุดท้ายแบบพอดิบพอดี คืออายุสิบห้า” ประโยคสุดท้ายจบลงพร้อมกับใบหน้าของคนตัวเล็กที่เริ่มถอดสี ยอมรับว่าดีใจตอนที่จินยองบอกว่ายังมีโอกาสแต่จู่ๆก็เหมือนกับว่าทุกอย่างพังครืนลงเพียงเพราะเงื่อนไขบ้าๆแบบนั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันทีละน้อยอย่างสะกดกลั้น
คงต้องยอมรับความจริงแล้วล่ะแบมแบม...
“น...เนียร์” นิ่งไปนานก่อนจะเปล่งเสียงสั่นๆออกมาให้คนฟังใจหายวูบ ไม่ใช่ว่าจินยองไม่ลำบากใจ แต่มันคือความจริงที่มาร์คไม่กล้าบอกแบมแบมด้วยตัวเอง ดังนั้นก่อนที่แบมแบมจะกลับไปอย่างที่ตัวเองพูดออกมาอย่างน้อยคนตัวเล็กก็สมควรที่จะได้รู้ความจริงเสียก่อน
เพราะถ้ามัวแต่เก็บเงียบเอาไว้มันก็ดูไม่ยุติธรรมทั้งกับมาร์คและแบมแบม
“ตัวเล็ก...ฟังนะ ที่มาร์คทำไปทั้งหมดตัวเล็กอาจจะไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะมาร์ครู้ความจริงตรงนี้เมื่อไม่นานมานี้เหมือนกันเลยทำให้ต้องรีบหาทางออกที่ดีที่สุดที่ไม่ใช่การส่งตัวเล็กกลับป่าเพื่อไปหาคู่ซึ่งไม่รู้ว่ามีอยู่หรือเปล่า”
“...”
“ตัวเล็กเคยถามมาร์คใช่ไหมว่าถ้าตัวเองโตจะเป็นยังไง...นั่นน่ะ เหตุผลสำคัญที่ทำให้มาร์คแทบคลั่งตอนรู้ว่าตัวเล็กสามารถโตได้แต่หนทางที่จะทำให้เป็นแบบนั้นมันริบหรี่สุดๆ...”
“พอจะเข้าใจบ้างหรือยังว่าทำไมมาร์คถึงพยายามพาแบมแบมไปทิ้งไว้กับภูติอีกตัวทั้งที่ตัวมาร์คเองก็ไม่ค่อยชอบเจ้าของห้องน่ะ” จินยองพูดจบก็เงียบปล่อยให้อีกคนทบทวนคำพูดทั้งหมดของตัวเองอย่างใจเย็น
เหมือนกับว่าคนตัวเล็กที่นั่งฟังอยู่จะเข้าใจอะไรขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาคู่สวยเริ่มเหม่อและคิดย้อนกลับไปในการกระทำที่เขาเองไม่เข้าใจในตอนก่อนหน้านั้น ตอนที่มาร์คพยายามผลักไสแบมแบมเสียตัวเขาน้อยใจจนต้องแอบไปร้องไห้งอแงกับยองแจอยู่เป็นประจำนั่นน่ะ
ยองแจ...
นี่มาร์คคิดจะให้เขากับยองแจสร้างเบบี๋ภูติน้อยด้วยกัน...น่ะเหรอ?
บ้าไปแล้ว!
“...” พอเริ่มเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายาทำก่อนหน้านี้ดวงตากลมโตก็เบิกโพลงขึ้นมาเสียจนคนมองอย่างจินยองและแจบอมตกใจทำท่าจะถลาเข้าไปเสียแทบจะพร้อมกัน
“เป็นอะไรไอ้ตัวเล็ก!” เป็นอิมแจบอมเหมือนจะตกใจมากกว่า ถึงกับยกมือขึ้นมาลูบอกตัวเองป้อยๆเมื่อเห็นว่าแบมแบมไม่ได้ช็อคไปอย่างที่คิด
“ป..เปล่า” ปากเล็กปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่สีหน้าของอิมแจบอมก็ยังดูไม่ไว้วางใจเสียทีเดียว
“นึกว่าช็อคตาย ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยได้มั้ยเนี่ย!” เพราะความตกใจอิมแจบอมเลยแหกปากลั่นกว่าเดิม แต่แบมแบมก็ไม่หือไม่อืออะไรอาจจะเป็นเพราะว่าค่อนข้างชินกับท่าทางแบบนี้ของคนตาตี่เสียแล้ว
“ตัวเล็กก็ลองคิดดูนะ ทบทวนดีๆว่ายังอยากกลับไปอย่างที่ขออยู่หรือเปล่า”
จินยองค่อยๆวางฝ่ามือลงบนกลุ่มผมนุ่ม ลูบเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายลง แบมแบมก็คงจะผิดหวังอยู่ที่รู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสเติบโตอย่างที่ใจหวังได้ แต่จินยองก็เชื่อว่าถ้าหากแบมแบมไตร่ตรองดูดีๆแล้ว คำตอบที่ได้ก็อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
“ไม่ต้องคิดถึงเนียร์ ไม่ต้องคิดถึงแจบอม...คิดถึงแค่ตัวเองกับอีกคนที่อยู่ในใจก็พอ”
.
.
{ กลับมา ณ ปัจจุบัน }
-“เห้อ...” บทสนทนาในห้วงความคิดของคนตัวเล็กสิ้นสุดลงพร้อมกับลมหายใจอุ่นที่พรูออกมาจากจมูกรั้นน่าหยิก เมื่อสิ่งที่จินยองบอกให้แบมแบมทำอย่างการทบทวนว่าอยากกลับไปจริงๆอย่างที่ปากพล่อยพูดออกไปเมื่อวานหรือเปล่านั่นมันทำการรบกวนจิตใจของคนตัวเล็กเป็นอย่างมาก
เพราะพอยิ่งคิด...คำตอบมันก็ยิ่งชัดเจนและดูเหมือนว่าจะชัดเจนจนไม่สามารถแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นได้อีกต่อไป
“แบมแบมแย่แล้ว...”
“...” เสียงถอนหายใจหนักจากชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยแจ็คเกตยีนส์บวกกับกางเกงเข้ารูปสีดำและทรงผมที่ถูกเซ็ตแบบลวกๆนั้นยิ่งขับใบหน้าที่ดูเรียบเฉยคล้ายกับไร้ซึ่งความรู้สึกนั่นดูหม่นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
แต่หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่าปลายนิ้วเกือบทั้งสิบของมาร์คต้วนยังคงเปื้อนไปด้วยคราบสีที่ล้างออกไม่ทันหมดจด บ่งบอกว่าเขารีบมากแค่ไหนหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากอิมแจบอมในช่วงเย็นของวันว่าให้รีบเข้ามาที่บ้านของมันด่วนเพราะมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับแบมแบม
ภาพวาดถูกทิ้งให้ค้างอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไยดีเมื่อปลายสายถูกตัดไป เสื้อยืดตัวเดิมถูกเพิ่มเติมแจ็คเกตเข้าไปให้ดูพร้อมเดินทางก่อนจะรีบโบกแท็กซี่จนกระทั่งในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าบ้านของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างอิมแจบอมได้ในเวลาไม่ถึงสามสิบนาที
ก็ไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตสักเท่าไหร่หรอก...
แต่เชื่อสิว่าถ้าไม่ใช่เพราะชื่อของใครบางคน บางทีมาร์คอาจจะโผล่มาในอีกสองสามวันถัดไปนู่นแหละ
“เข้ามาเลยมาร์ค” เขากดกริ่งไปเมื่อครู่และตอนนี้ปาร์คจินยองก็ทำหน้าที่เดินออกมาเปิดประตูต้อนรับเขาอีกครั้ง สังเกตดูใบหน้าของอีกฝ่ายปรากฏรอยยิ้มอ่อนๆที่ทำให้มาร์คคลายความกังวลใจไปได้นิดหน่อยว่าจะเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นกับแบมแบม
“เกิดอะไรขึ้น”
ขณะที่เดินตามหลังเจ้าของบ้านเข้าไปด้านในก็อดไม่ได้ที่จะใจร้อนรีบถามออกมา จินยองหยุดเดินก่อนจะหันตัวกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเต็มตา เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนคิดได้ว่าเขาเองก็ควรจะบอกให้มาร์ครู้ไว้ก่อนเหมือนกัน
“มาร์ค แบมแบมรู้ความจริงทั้งหมดแล้วนะ”
“...”
คนตัวโตยืนนิ่งเหมือนถูกหมัดฮุคชกกระแทกหน้าแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากของปาร์คจินยอง ไม่ได้โกรธหรืออะไร เพียงแต่ว่ามันรู้สึกแปลกๆก็เท่านั้น
“แล้วแบมแบม...”
“ไม่รู้สิ” เหมือนจินยองเองจะรู้ใจมาร์คว่าต้องการจะถามอะไร แต่เสียใจด้วยเพราะตัวจินยองเองก็ยังไม่รู้เพราะตั้งแต่เมื่อคืนที่บอกให้เจ้าตัวเล็กไปลองคิดทบทวนดูว่าอยากอยู่ที่นี่กับมาร์คเหมือนเดิม หรือจะกลับไปสู่ป่าตามธรรมชาติอย่างที่เจ้าตัวร้องขอออกมาด้วยความน้อยใจหรืออะไรก็ตาม จินยองก็ยังไม่ได้ไปเซ้าซี้เอาคำตอบจากแบมแบมเลยแม้แต่น้อย
“ที่เรียกมาร์คมาก็เพราะว่าเนียร์อยากให้มาร์คฟังคำตอบนั้นด้วยตัวเอง...”
“เลิกกลัวได้แล้ว มันดูไม่ใช่มาร์คที่เนียร์กับเดฟรู้จักเลย” จินยองพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนๆบนใบหน้า มือบางเอื้อมไปตบไหล่คนตัวสูงกว่าเล็กน้อยเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ เห็นว่ามาร์คก้มหน้าแถมยังกัดริมฝีปากตัวเองแน่นแบบนั้นจินยองก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมา
เพราะเมื่อคืนตอนที่เจ้าตัวเล็กถูกเขาไล่ต้อนถามจนคิดไม่ตก เจ้าตัวก็เผลอทำท่าทางแบบนี้ออกมา...เหมือนกันเปี๊ยบเลย
“อืม...ก็ได้”
สุดท้ายแล้วมาร์คก็รับคำพร้อมสูดลมหายใจยาวๆเข้าปอด ใช่ว่ามาร์คต้วนเป็นคนขี้ขลาดเป็นทุนเดิมเสียเมื่อไหร่ แต่เพราะว่านี่เป็นเรื่องของความรู้สึก ‘พิเศษ’ ที่มาร์คไม่ค่อยได้พบเจอหรือมอบมันให้กับใครบ่อยๆนี่ต่างหากเป็นตัวที่ทำให้ความกล้าในตัวเหือดหายไปเสียจนแทบไม่เหลือเมื่อคิดว่าจะต้องปล่อยอีกฝ่ายไป
เดินมาด้วยกันแบบไม่รีบร้อนจนในที่สุดมาร์คก็มาหยุดอยู่หน้าห้องรับแขก เขารู้สึกเย็นตามปลายนิ้ววูบวาบไปหมดเมื่อสมองพลันคิดไปว่าคนในห้วงความคิดที่เฝ้าคิดถึงมาเกือบสองอาทิตย์เต็มๆอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ผนังกั้นเท่านั้น
ยอมรับเลยว่ามาร์คต้วนคนนี้น่ะ...กำลังตื่นเต้นไม่ใช่น้อย
“เดี๋ยวมาร์คเลี้ยวเข้าไปในห้องนั่งเล่นได้เลยนะแบมแบมอยู่ในนั้นล่ะ...เนียร์จะขึ้นไปอยู่ข้างบนกับเดฟแล้วกัน” มาร์คพยักหน้ารับกลายๆ เอ่ยปากขอบคุณจินยองไปก่อนที่ตัวเขาจะหันหน้าเข้าหาบานประตูที่ปิดสนิทตรงหน้าเพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมด
“...”
“แต่ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็ตะโกนได้เลยนะ จะรีบลงมาอย่างไว” แต่ก็ใช่ว่าจินยองจะมั่นใจทั้งหมดเสียเมื่อไหร่ว่าเหตุการณ์จะราบรื่นอย่างที่คิด เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรผิดแผนเขาจะคอยฟังเสียงเรียกจากมาร์คก็แล้วกันนะ
“โอเค” เสียงทุ้มตอบรับก่อนจินยองจะเดินหายขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ตอนนี้เหลือเพียงมาร์คคนเดียวกับปราการด่านสุดท้ายอย่างประตูห้องสีไม้โอ๊คตรงหน้า มือหนาเอื้อมไปจับลูกบิดช้าๆ เปลือกตาบางปิดลงก่อนจะออกแรงผลักมันเข้าไปทีละน้อย
แกรก...
“...”
ความรู้สึกแรกคือความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำกว่าห้องพักของมาร์คต้วนหลายเท่า แอบนึกเป็นห่วงคนตัวเล็กว่าตลอดเวลาที่ต้องอยู่ที่นี่จะหนาวเกินไปจนเจ็บป่วยขึ้นมาแล้วดื้อด้านไม่ยอมบอกจินยองกับแจบอมบ้างหรือเปล่า
ฝีเท้าเงียบเชียบเดินไปตามพื้นพรมสีครีมช้าๆพลางกวาดสายตามองหาร่างเล็กๆของคนที่น่าจะอยู่ในนี้ ในที่สุดสายตาคมก็พบเข้ากับแผ่นหลังกลมๆที่นอนขดตัวอยู่บนหมอนอิงขนสัตว์ใบใหญ่ที่วางอยู่บนโซฟาอีกที เสื้อผ้าที่สวมใส่เปลี่ยนไปไม่ใช่ชุดเดิม อาจจะเป็นจินยองที่จัดการให้
“...” ในตอนแรกเขาคิดว่าแบมแบมอาจจะหลับและคิดว่าจะนั่งรอจนกว่าเจ้าตัวจะตื่นขึ้นมา แต่พอก้าวเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของโซฟาตัวใหญ่ แบมแบมกลับเด้งตัวขึ้นมานั่งกอดเข่าแล้วฟุบหน้าลงไปเสียจนมาร์คชะงักมอง
ในใจเริ่มคิดไม่ตกว่าควรจะเข้าไปให้อีกฝ่ายเห็นตอนนี้หรือไม่ แต่สุดท้ายความรู้สึกที่บอกว่าไม่อยากให้คาราคาซังแบบนี้ต่อไปก็ชนะ มาร์คเดินอ้อมโซฟาตัวยาวไปจนกระทั่งไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของคนตัวเล็กที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่รับรู้ถึงการมาของใครบางคนเพราะเอาแต่ฟุบหน้าอยู่อย่างนั้น
มาร์คยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นได้สักพัก ไม่ต้องการที่จะเรียกอีกฝ่ายให้ผวาขึ้นมาแต่เขาเลือกที่จะยืนรอจนกว่าเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมาเอง
และการรอคอยของมาร์คก็สิ้นสุด เมื่อกลุ่มผมสีดำนั้นทำท่าขยุกขยิกเหมือนกำลังจะผงกเงยขึ้นมา...
“...”
“...”
“ม...มาร์ค!”
แน่นอนว่าท่ามกลางความเงียบ เสียงตะโกนเล็กๆก็กลายเป็นสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในนั้น...ดวงตาคู่กลมเลิ่กลั่กมองซ้ายทีขวาทีด้วยความที่ทำตัวไม่ถูก แบมแบมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้ามีตัวตนจริงๆหรือเป็นเพราะว่าสติของแบมแบมมันเกิดปัญหาเพราะคิดคำตอบที่จะให้จินยองไม่ได้เสียจนสร้างภาพหลอนขึ้นมาเองกันแน่
“อืม ฉันเอง”
“...” เหมือนกับว่าในหัวเล็กๆมันตื้อไปหมด แอบโกรธตัวเองจนอยากลงโทษด้วยการตีให้เจ็บๆไปเลยเมื่อรู้สึกตัวว่าพอตั้งสติได้นิดหน่อยก้อนเนื้อด้านในหน้าอกมันก็เริ่มที่จะเต้นรัวเร็วเสียคนตัวเล็กกลัวว่ามาร์คจะได้ยินเสียงมันภายในห้องเงียบเชียบนี้
“...” และความเงียบก็กลืนบทสนทนาทั้งหมดไป เหลือเพียงมาร์คที่ยืนมองด้วยแบมแบมด้วยสายตาที่อ่านออกอย่างง่ายดายว่าคิดคำนึงถึงคนตัวเล็กมากแค่ไหน และแน่นอนว่าแบมแบมเองสู้ไม่ได้หรอกกับสายตาแบบนั้นของอีกฝ่าย สุดท้ายดวงตากลมก็ต้องเสหลบลงมามองเบาะนุ่มๆที่ตัวเองนั่งอยู่แทน
“รู้ความจริงแล้วใช่ไหม”
เสียงทุ้มส่งมาไม่ดังมากก่อนที่หางตาของแบมแบมจะจับได้ถึงการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้า มาร์คนั่งลงกับพื้นแล้วเอาศอกยันเท้าคางไว้กับโซฟาตรงหน้าเขาอย่างพอดิบพอดี เล่นเอาแบมแบมต้องก้มหน้างุดเสียยิ่งกว่าเดิม
“หืม...”
“อือ” เมื่อถูกถามย้ำคนตัวเล็กก็เลือกที่จะครางรับในลำคอ นิ้วชี้น้อยๆลากไปมาบนเบาะขนสัตว์เนื้อนุ่มเหมือนกับพยายามไม่ใส่ใจคนตรงหน้า แต่เปล่าเลย...แบมแบมกำลังระบายความประหม่าที่ก่อตัวอย่างรวดเร็วเสียจนแทบล้นอกให้ออกไปต่างหาก
“แบมแบม...ฉันขอโทษ”
ไม่น่าเชื่อเลย...เพียงแค่ประโยคเดียวที่ออกมาจากปากของมาร์คต้วน คนที่ทำให้แบมแบมโดดเดี่ยวและเหงามาเป็นอาทิตย์ๆ คนที่ผลักไสแบมแบมโดยไม่มีเหตุผล และคนที่ทำให้แบมแบมอิจฉาผู้หญิงคนหนึ่งเสียจนแทบบ้านั้น
จะทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าความรู้สึกขุ่นมัวที่มีมาทั้งหมดมันเจือจางไปเหมือนกับฝุ่นผงที่ถูกลมหอบใหญ่พัดให้กระจัดกระจายหายไปในอากาศได้รวดเร็วแบบนี้...
“...”
“ขอโทษที่ทำอะไรโดยไม่บอกและถามความเห็นของนายก่อน” เขาได้ยินเสียงลมหายใจแรงๆของมาร์คหนึ่งครั้งก่อนที่จะเริ่มพูดประโยคนี้ออกมา มันทำให้แบมแบมรู้ว่ามาร์คเองก็คงลำบากใจอยู่เหมือนกัน
“เป็นเพราะตอนนั้นทางเลือกเดียวที่มีคือการส่งนายกลับไปที่เดิม...ที่นายจากมา” คนตัวเล็กลองเหลือบตามองอีกฝ่ายทีละน้อย จดจ้องใบหน้าคมที่ก้มลงต่ำกว่าปกติลอบมองสันจมูกโด่งและผมยุ่งๆที่เขาคิดถึง...มันนานราวกับว่าเป็นแรมปีที่ไม่ได้เจอกัน
ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งปฏิเสธความรู้สึกตัวเองไม่ได้เลย...
“...และฉันคิดว่ามันอาจจะมีทางอื่น ฉันรู้ว่ามันออกจะประหลาดไปนิดที่เลือกยองแจให้มาเป็นคู่ของนาย”
“แต่นั่นมันเป็นเพราะว่าไม่มีทางเลือก”
“มัน...ไม่ใช่ว่าฉันไม่ฝืนใจหรอกนะ” คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นเมื่อได้ยินเรื่องราวจากมุมมองของมาร์คบ้าง อันที่จริงถ้าหากมาร์คบอกกันมาตรงๆในตอนนั้นเรื่องราวมันอาจจะไม่กลายเป็นแบบนี้ก็ได้...ทำไมมาร์คถึงคิดว่าแบมแบมต้องการที่จะเติบโตขนาดนั้นกัน
“...”
“แต่ตอนนี้ฉันพร้อมแล้ว...” มาร์คหยุดพูดเพื่อกลืนน้ำลายลงคอก่อนที่ใบหน้าคมจะกลับมาตั้งตรงจ้องประสานสายตาไปยังอีกคนที่มองมาที่เขาอยู่เหมือนกัน
“ไม่ว่าคำตอบของนายเป็นยังไง จะยอมรับทุกอย่าง”
“...” คนตัวเล็กสายตาวูบไหวทันทีที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายก่อนที่มาร์คจะนิ่งเงียบไป ทำเพียงแค่จ้องมาที่เขานิ่งๆเป็นการยืนยันในคำพูดว่ารอคำตอบจากเขาอยู่...ไม่ว่าจะเป็นยังไง
มาร์คก็จะยอมรับได้...จริงๆน่ะเหรอ ?
เหมือนกับเวลาหยุดเดิน เนิ่นนานราวกับข้ามปี เสียงลมหายใจของคนทั้งสองดังสลับกันเป็นเสียงเดียวท่ามกลางห้องที่เงียบกริบ แบมแบมมีคำตอบอยู่แล้ว...คำตอบมันชัดเจนเสียตั้งแต่จินยองตั้งคำถาม เพียงแต่เจ้าตัวเลือกที่จะไม่ยอมรับและหลีกเลี่ยงมัน พยายามหาคำตอบอื่นแต่มันก็ไม่ตรงกับใจจนน่าหงุดหงิด
“แบมแบมอยากโต”
เสียงเล็กสั่นหน่อยๆเหมือนไม่มั่นใจนัก แต่คำตอบที่ได้ฟังก็ทำให้มาร์คแค่นยิ้มออกมา...แน่นอนว่าถ้าหากคำตอบเป็นแบบนี้ทางเลือกเดียวที่มีก็คือสิ่งที่มาร์ควางมันไว้ลำดับสุดท้ายของการตัดสินใจไงล่ะ
ส่งแบมแบมกลับบ้าน
“ต..แต่ แล้วไงล่ะ”
มาร์คที่กำลังก้มหน้าต้องหยุดฟังเมื่อได้ยินคล้ายกับว่าแบมแบมกำลังจะพูดอะไรต่อ ใบหน้าคมเงยขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนกระทั่งได้เห็นว่าคนตัวเล็กตรงหน้ากำลังประสานฝ่ามือเข้าหาพลางบีบกันแน่น ดวงตาคู่สวยเสมองไปทางอื่นทั้งแก้มขึ้นสีระเรื่อ
“ก..ก็ ถ้าเกิดในป่า...ไม่มีมาร์คอยู่ด้วย”
“แบมแบมจะกลับไปทำไมกัน”
คล้ายกับว่าลูกโป่งแห้งเหี่ยวถูกเติมลมให้กลับมาเต็มอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่คาดฝันมาก่อนจากร่างเล็กตรงหน้าที่หลังจากพูดออกมาจบก็ไม่ยอมหันหน้ากลับมามองกันเลย เอาแต่มองนู่นนี่ไปเรื่อยยกเว้นอย่างเดียวคือใบหน้าหล่อคมของมาร์คที่จ่ออยู่ข้างหน้าตัวเอง
“...”
“พูดจริงเหรอ” ไม่รู้เหมือนกันว่ามาร์คดีใจมากแค่ไหน ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกโล่งใจในตอนนี้มันมีมากมายเสียเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าขอบตาของมาร์คมันเริ่มที่จะอุ่นขึ้นหน่อยๆเหมือนกับว่า...น้ำตาจะไหลออกมายังไงก็ไม่รู้สิ
“..อือ” ยิ่งเสียงเล็กที่ครางรับเบาหวิวยิ่งทำให้ใจชื้น อยากดึงร่างตรงหน้ามาฟัดให้หายคิดถึงแต่ชายหนุ่มก็ยังต้องเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ก่อน
“แต่...ถ้านายเลือกอยู่ที่นี่ จะไม่มีทางโตอย่างที่หวังไว้นะ” ถึงแม้จะดีใจ แต่เรื่องนี้ก็สำคัญ...มันเหมือนกับว่าเขาตัดโอกาสของแบมแบมไป
“ช่างเถอะ...”
“แบมแบมไม่โตก็ได้ ถ...ถ้า ถ้ามาร์คบอกมาว่า...จะชอบแบมแบมมากกว่าคนอื่น”
เขาพูดมันออกไปแล้ว แบมแบมพูดมันออกไปได้ยังไง...ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะเก็บเอาไว้ แต่พอเผลอนึกไปถึงอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาน้อยใจไม่แพ้ไปจากการที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว นั่นก็คือการที่มาร์คต้องคอยไปเอาใจผู้หญิงอีกคนที่สวยและตัวโตกว่าไงล่ะ...
แบมแบมยอมรับก็ได้ว่าชอบมาร์คน่ะ...แล้วก็อยากให้มาร์คชอบแบมแบมเหมือนกันด้วย!
คนถูกเค้นอย่างมาร์คนิ่งอึ้งไปเหมือนกับโดนหมัดที่มองไม่เห็นชกเข้ากลางหน้าเสียจนสมองเบลอชั่วขณะ ยิ่งเห็นว่าดวงตากลมคู่นั้นทำใจกล้าช้อนมองขึ้นมาเหมือนว่าต้องการคำตอบที่ถูกใจด้วยแล้วยิ่งทำให้ลิ้นของชายหนุ่มนั้นแข็งเสียจนแทบขยับไม่ออกเลยทีเดียว
“...”
ยิ่งมาร์คเงียบไปนานเท่าไหร่ คนรอคำตอบก็ยิ่งใจเสียมากเท่านั้น...เริ่มคิดโทษตัวเองไปแล้วว่าอาการแบบนี้ของมาร์คคงเป็นเพราะว่าลำบากใจในคำขอแบบนั้นแน่ๆ คิดแล้วก็อยากจะเอาหน้าซุกลงไปในหมอนด้วยความขายหน้าขึ้นมาซะเดี๋ยวนี้เลย
ทำอะไรลงไปเนี่ย! แย่ที่สุดเลยแบมแบม!
“เฮ้...” แต่ยังไม่ทันที่ใบหน้าน่ารักจะกดลงกับหมอนนุ่มก็ถูกปลายนิ้วยาวเชยคางให้แหงนขึ้นมาเสียก่อน เห็นว่าในดวงตากลมเริ่มมีน้ำใสเอ่อคลออยู่เล็กน้อย แววตาที่ทำให้มาร์คหลงใหลแบบไม่รู้ตัว...อาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันกำลังแสดงออกถึงความสับอย่างปิดไม่มิด
“ขอโทษที่ทำให้รอ” แบมแบมเม้มปากอีกหนเมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของมาร์คต้วน
“...”
“ไม่ต้องห่วง ฉันชอบนายมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว...” แน่นอนว่ามาร์คให้สิ่งนั้นกับแบมแบมได้โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องเอ่ยปากขอด้วยซ้ำไป ช่วงเวลาที่ห่างกันไปมันเหมือนเป็นการเว้นช่องว่างให้มาร์คทบทวนความรู้สึกตัวเองที่มันซ้อนทับไปมาเสียจนกระจ่างแจ้ง
ไม่รู้หรอกว่าชอบตอนไหน เพราะตอนที่รู้ตัวก็ถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว...
แสบนักนะ
“จริงเหรอ!” เมื่อได้คำตอบที่ถูกใจแววตาใสก็ทอประกายเสียจนคนมองอดยิ้มไม่ได้ ท่าทางแบบนี้ของคนๆนี้ล่ะที่เขาคิดถึงเสียเหลือเกิน
“ละ แล้ว มากกว่าใครบ้าง...”
“...” เหมือนกับว่าจะยังไม่มั่นใจพอ จะว่าแบมแบมได้คืบแล้วอยากจะเอาศอกต่อก็ได้เมื่อเสียงเล็กเลียบเคียงถามอีกฝ่ายพลางหลบสายตาทำเป็นไปดึงผ้าห่มขนนุ่มที่กองอยู่ข้างตัวให้ขึ้นมาอยู่บนตักเล็กๆของเจ้าตัวแทน มาร์คส่ายหัวน้อยๆให้กับท่าทางแบบนั้น ความโล่งอกมันทำให้มาร์คต้วนแทบจะหุบยิ้มไม่อยู่
นึกขอบคุณทุกอย่างที่ดลใจให้แบมแบมไม่เลือกจากเขาไป
“มากกว่าจินยองกับแจบอม” ใบหน้าของมาร์คลองก้มลงไปใกล้อีกฝ่ายมากกว่าเดิมและเมื่อเห็นว่าแบมแบมไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไรคนตัวโตก็ค่อยๆพูดออกมาเสียงนุ่มให้อีกฝ่ายรับฟังอยู่ในก้อนผ้าห่ม
หากแต่ชื่อของสองคนแรกที่ถูกยกมานั้นทำให้คนตัวเล็กที่รับฟังเกิดแอบแย้งในใจอยู่น้อยๆว่าถ้าหากสองคนนั้นมาได้ยินในสิ่งที่มาร์คพูดเข้าคงได้ร้องไห้ด้วยความน้อยใจกันแน่ๆที่มาร์คชอบแบมแบมมากกว่า
แบมแบมขอโทษนะเนียร์ แจบอม...
“...”
“มากกว่ากระดานวาดภาพของฉัน”
“...” มาร์คพูดไปเรื่อยๆและดูเหมือนว่าแบมแบมเองก็ตั้งใจฟังจนยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับมาร์คแบบไม่หลบหลีกเหมือนอย่างเคย ดวงตากลมใสซื่อที่มาร์คเพิ่งรู้ว่ามันน่ามองขนาดนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว และมาร์คเองเกือบจะเสียมันไปด้วยความขี้ขลาดของตัวเอง
ปลายนิ้วของมาร์คแตะลงบนปลายจมูกแดงๆของคนตัวเล็กแผ่วเบา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เปลือกตาบางค่อยๆบรรจงพริ้มหลับลงรับสัมผัสนั้นด้วยความโหยหา
“มากกว่าแทมมี่กับเบ็ธตี้ด้วยก็ได้เอ้า”
“ไม่เอาสิ!” แต่แบมแบมกลับส่ายหน้าทั้งที่เปลือกตาบางยังปิดสนิท ริมฝีปากอิ่มงึมงำออกมาจับใจความได้ประมาณว่า ‘แบมแบมยอมให้มาร์คชอบสองคนนี้มากกว่าได้’
แล้วมาร์คเองจะทำยังไงได้ ก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความน่าเอ็นดูนั้นไงล่ะ... ปลายนิ้วชี้ของเขาลากผ่านปลายจมูกออกมากที่พวงแก้มข้างขวาอย่างบรรจง สังเกตเห็นริ้วชมพูจางๆเริ่มปรากฏขึ้นมายิ่งขับให้ใบหน้าของอีกฝ่ายน่ารักน่าแกล้งมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“อืม...”
“แล้วอีกคนล่ะมาร์ค...คนที่เป็นผู้หญิง” ในที่สุดคนตัวเล็กก็เปิดปากถามถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาน้อยใจออกมา ไม่กล้าบอกตรงๆแต่ตอนนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้เขาได้รู้ว่ามาร์คจะชอบใครมากกว่ากันกันแน่...
“จีอาน่ะเหรอ”
“ไม่รู้หรอกว่าชื่ออะไร” พูดจบก็ยู่ปากใส่เสียจนคนมองได้แต่หัวเราะหึในลำคอ พอจะรู้ได้บ้างว่าอีกเรื่องนึงที่ทำให้คนตัวเล็กเป็นกังวลและน้อยใจจนขอให้เขาพามาอยู่กับจินยองคืออะไร...
คิมจีอาสินะ
“ชอบมากกว่าคิมจีอาด้วย” มาร์คพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนที่สุด แอบเห็นว่าริมฝีปากอิ่มยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นเม้มเข้าหากันแน่นแทนเพื่อซ่อนความดีใจที่ดูเหมือนว่าจะช้าไปหน่อยเพราะมาร์คเห็นมันเต็มสองตาเลยทีเดียว
“...”
“อ่า...จะนอนแล้ว”
ดูสิคนเรา...พอได้คำตอบที่พอใจแล้วก็ไล่ส่ง แบมแบมมุดตัวเข้าใต้ผ้าห่มแถมยังดึงขึ้นมาคลุมผมตัวเองซะมิด ส่วนมาร์คน่ะเหรอ...คิดว่าคืนนี้เขาจะนอนเฝ้าคนตัวเล็กเอาไว้ตรงนี้นี่ล่ะ
“ฝันดีแบมแบม”
พรุ่งนี้จะได้พากลับบ้านพร้อมกันเสียที
แบมแบมบอกว่าจะนอนแล้วก็นอนจริงๆ อาจเพราะว่าหลายวันที่ผ่านมาคนตัวเล็กเสียพลังงานไปมากกับการขบคิดเรื่องราวต่างๆที่ดูเหมือนว่าจะแก้ไม่ออก แต่เพราะว่าในคืนนี้มาร์คได้มาทำให้ทุกอย่างมันกระจ่าง รวมไปถึงจินยองที่ช่วยทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นคนตัวเล็กก็เลยสามารถที่จะนอนหลับแบบเต็มตาได้เสียที
ส่วนมาร์คเองก็นั่งเฝ้าอีกฝ่ายอยู่ที่เดิม หลังจากที่ชัดเจนในความรู้สึกแล้วก็เหมือนกับว่าเขาไม่อยากเสียเวลาไปกับการละเลยแบมแบมอีก ชายหนุ่มเปลี่ยนจากการใช้ศอกยันโซฟามาเป็นเอาใบหน้าแนบลงไปบนเบาะโซฟาใกล้กับอีกคนที่นอนมุดอยู่ในผ้าห่มแทน กลิ่นหอมละมุนจากตัวอีกฝ่ายยังคงลอยมาเตะจมูกเป็นพักๆ
“...” จะว่ามาร์คเป็นพวกฉวยโอกาสก็ได้ เมื่อกลิ่นนั้นมันเย้ายวนเสียจนเขาต้องผงกหัวขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะหลับสนิทเอาเสียมากๆ ได้ยินเสียงฟี้ดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มยิ่งน่าทะนุถนอม รู้ตัวอีกทีปลายจมูกโด่งของมาร์คก็กดลงไปเสียจมแก้มยุ้ยๆของอีกฝ่ายเสียแล้ว
ฟอด...~
“เฮ้ย! ลักหลับเหรอวะ!” แต่ใบหน้าคมก็มีอันต้องชะงักและถอนปลายจมูกออกมามองเจ้าของเสียงที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหลังเขา อิมแอจบอมกับปาร์คจินยองนั่นเอง...
“คุยกันรู้เรื่องแล้วเหรอ...แบมแบมว่ายังไงล่ะมาร์ค” เป็นจินยองที่ดึงแจบอมให้นั่งลงบนโซฟาส่วนตัวจินยองเองลงไปนั่งที่พื้นข้างๆมาร์คเพื่อถามไถ่ความเป็นไป
“ก็โอเคแล้ว”
“แบมแบมยอมอยู่ที่นี่” มาร์คตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่แน่นอนว่าความดีใจที่ฉายชัดในแววตานั้นเขาไม่สามารถปิดบังมันจากจินยองที่กำลังส่งยิ้มกว้างมาให้ได้เลย
“ เห็นไหม...ถ้าถามแบมแบมตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องทะเลาะกันใหญ่โตแบบนี้เลย” จินยองพูดติดตลก แต่เขาเองก็รู้ดีว่าถ้าหากสถานการณ์เป็นแบบนี้แล้ว คนเราทุกคนก็ย่อมเกิดความกลัวและขลาดเขลาขึ้นในจิตใจทั้งนั้น อยากให้ของที่เรารักอยู่กับเราให้นานที่สุดน่ะ...ใครกันที่ไม่เป็น
“แล้วคืนนี้มึงนอนนี่เลยใช่ไหม” อิมแจบอมเองก็เอื้อมมือมาตบไหล่มาร์คปุๆเป็นเชิงให้กำลังใจ ดีใจอยู่ลึกๆที่ได้เห็นว่ามาร์คมีสีหน้าดีขึ้นไม่ซังกะตายเหมือนกับก่อนหน้านี้
“เออ”
“คราวนี้เฝ้าอย่าให้คลาดสายตาเลยนะมึง กูบอกแล้วว่าของดี” ยังไม่วายทิ้งนิสัยกวนประสาท มาร์คถอนหายใจก่อนจะส่งสายตาด่าแม่ไปให้อิมแจบอมที่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา อะไรก็ดีหมดเกลียดอยู่อย่างเดียวคือความกวนประสาทของมันนี่ล่ะ
“หุบปาก กูจะนอนแล้ว”
ต้องมีความกล้าแค่ไหนถึงจะออกปากไล่เจ้าของบ้านได้ตามใจชอบ อิมแจบอมกระแนะกระแหนอีกสองสามประโยคจนพอใจ สุดท้ายก็เดินหายไปข้างบนพร้อมกับหอบหมอนผ้าห่มลงมาให้เพื่อนรักอีกชุด บอกลากันนิดหน่อยพอเป็นพิธีทั้งห้องก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หมอนกับผ้าห่มถูกมาร์คจัดวางบนพื้นอย่างเหมาะเจาะ ทำท่าเหมือนจะลงไปนอนแต่แล้วก็เด้งตัวขึ้นมาอีกหน โน้มตัวเข้าไปหาอีกคนที่หลับไม่รู้เรื่องไปก่อนหน้าแล้วด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่เสียงทุ้มจะพูดอะไรบางอย่างออกมาคล้ายต้องการจะส่งเข้าไปในห้วงความฝันให้อีกฝ่ายรับรู้...
“ขอบคุณมากนะ...แบมแบม”
ในที่สุด...มันก็คลี่คลาย (ง่ายๆแบบนี้เลยหรอวะ) อืม ก็แบบนี้แหละ5555555555 บอกแล้วไงว่าไม่ถนัดดราม่า
แต่ก็รู้น่าว่ารีดเดอร์อยากให้เขาดีกัน ตอนนี้ก็ค่อนข้างยากในการเข็นออกมา /ปาดเหงื่อ/ เอามาให้แบบครบร้อยเลย
ไม่อยากสปอยตอนหน้าเลยอะ...สยิวกิ้ว
เอ่อ แล้วก็หนังสือยังเปิดจองอยู่นะคะ สองมือล้วงกระเป๋า (คนอื่น) สองเท้าก้าวเข้ามาเลยค่ะ...
ปล.ช่วงนี้แท็กฟิคค่อนข้างเงียบเหงามากเลย อย่าทิ้งกันนะ ฮ่าๆ
แท็กฟิค : #FICJARMB
ติดต่อไรท์เตอร์ TWITTER : @since9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แอบหอมน้องทำไมพี่มาร์ค555555
เข้าใจกันแล้ว ค่อยโล่ง
ชอบอ่า ง่ายๆอย่างนี้แหละ น่าร๊ากกกก
โอ้ยยยยยย คือดีงาม คือละมุนนน คือชอบบบ
ไม่ได้เนียร์คงจะเเย่เนอะ
พี่บียังคงเหมือนเดิมเมื่อพายุสงบลงความกวนของเพื่อนกลับมาทันที