ตอนที่ 10 : BOY IN A JAR :: when you're gone
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
BOY IN A JAR
MARK x BAMBAM
#FICJARMB
CHAPTER
- 10 -
(When you’re gone )
“บอกมาตามตรง...ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้วะ” น้ำเสียงเคร่งขรึมที่นานๆทีจะได้ยินจากอิมแจบอมนั้นทำให้คนที่ยืนเอนหลังพิงประตูรั้วใหญ่อยู่ในคราแรกถึงกับก้มหน้านิ่งไม่คิดจะตอบจนหมัดเบาๆถูกส่งมากระแทกที่ไหล่ให้พอรู้ตัวสองสามที จนสุดท้ายมาร์คก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองคนที่คิดว่าถ้าหากไม่ได้คำตอบก็คงจะไม่ปล่อยให้กลับไปง่ายๆ
“กู...”
“กูพยายามแล้ว” แต่พอได้ยินคำตอบจากปากเพื่อนแล้วจากท่าทางที่พร้อมโกรธเต็มที่ของอิมแจบอมในตอนแรกนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มอ่อนลงทีละน้อยเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ติดจะนิ่งเฉยอยู่ตลอดเวลานั้นมันดูผิดแผกไปจนเห็นได้ชัด สันกรามที่นูนออกมาจากการขบกันของฟันทำให้รู้ว่ามาร์คเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้
“...”
“กูขอโทษว่ะมาร์ค”
และสุดท้ายเมื่อทบทวนให้ดี ก็คือตัวเองเขาเองใช่หรือเปล่าที่เป็นคนพาเรื่องยุ่งยากทั้งหมดเข้ามาในชีวิตของเพื่อนโดยที่ไม่คิดไตร่ตรองดูให้แน่ใจก่อน ว่าถ้าหากเพื่อนได้เผลอผูกความรู้สึกลงไปในเจ้าสิ่งๆนั้นแล้วมันก็ยากเกินกว่าจะมาแก้ไขได้ทันในตอนหลัง
“แบมแบมไม่อยากกลับไป...” ถึงแม้มาร์คจะก้มหน้านิ่งแค่ไหน แต่ภายในใจของเขามันยังคงไม่นิ่งตามไปด้วย ในหัวคิดแต่ประโยคเข้าข้างตัวเองก่อนจะพูดมันออกมาเสียงราบเรียบและทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาจากเพื่อนสนิท
“เขาไม่อยากกลับไป หรือว่ามึงน่ะ...ไม่อยากให้เขาไปกันแน่”
“เอาให้แน่ใจนะมาร์ค”
เหมือนกับโดนบีบเข้าไปกลางใจ คำพูดของอิมแจบอมทำให้มาร์คต้องปิดเปือกตาลงอย่างเชื่องช้า...ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถามตัวเองกับคำถามนี้ และไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยให้คำตอบกับมันเสียเมื่อไหร่ เพียงแต่ว่า...คำตอบที่ได้มานั้นน่ะ ทำให้มาร์คไม่อยากจะยอมรับมันเอาเสียเลย
“มันต้องมีทางอื่น”
“ให้มันเร็วแล้วกัน มึงก็รู้ว่าเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่” แจบอมเม้มปากแน่นเมื่อพูดจบ เขารู้ดีว่ามันอาจจะทำร้ายจิตใจคนฟังแต่ทั้งหมดที่พูดออกไปนั้นมันไม่มีสักประโยคเลยที่เกินไปจากความเป็นจริง และเขาก็เชื่อว่าอีกฝ่ายเองรู้ดีอยู่เต็มอกกับสิ่งที่เขาพูดไป
“กูรู้...” คราวนี้มาร์คเลือกที่จะเงยหน้าขึ้นมาใช้ฝ่ามือของตัวเองเสยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าไปทางด้านหลังอย่างลวกๆ เขาพรูลมหายใจออกมาคล้ายกับว่ามันจะช่วยให้หายจากอาการหนักอึ้งและมึนหัว แต่ไม่เลย...มันไม่มีอะไรดีขึ้นมากไปกว่านี้
“ฝากแบมแบมเอาไว้ก่อนแล้วกัน เขาคงยังไม่อยากกลับกับกู”
สุดท้ายแล้วอิมแจบอมก็ทำได้แค่พยักหน้าก่อนตั้งท่าจะพูดขอโทษเพื่อนขึ้นมาอีกซึ่งมาร์คเองที่เห็นและรับรู้ว่าแจบอมกำลังจะทำอะไรก็ยกมือห้ามพลางส่ายหน้าช้าๆเหมือนไม่ต้องการที่จะรับฟังอีกแล้ว
“...” เพราะมันเป็นความผิดของอิมแจบอมคนเดียวเสียเมื่อไหร่
“เออ จินยองก็ดูให้อยู่แล้วไม่ต้องห่วง”
ในที่สุดคืนนี้มาร์คก็ต้องกลับห้องเพียงลำพังโดยไม่มีคนตัวเล็กซุกตัวอยู่ในกระเป๋าเป้ใบใหญ่กลับไปด้วยเหมือนอย่างทุกครั้ง เพราะว่าแบมแบมได้เอ่ยปากขอให้เขาพาเจ้าตัวมาที่นี่โดยไม่สนว่ามันจะเป็นเวลาดึกแค่ไหน เพียงเพราะไม่อยากอยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว...
และพอนึกถึงตอนที่เขาเดินเข้าไปเพื่อยื่นกระเป๋าที่มีคนตัวเล็กอยู่ในนั้นให้กับจินยองน่ะ มาร์ครู้สึกว่าใจตัวเองมันวูบโหวง ดูตัวเองกลายเป็นไอ้ห่วยขี้แพ้ เพียงแค่แบมแบมบอกว่าอยากมาเขาก็ไม่รั้งเอาไว้สักคำ...เพราะว่าอะไรล่ะ ก็เพราะว่ามาร์คน่ะกลัวว่าแบมแบมจะเกลียดเขามากไปกว่าเดิมน่ะสิ
“กลับดีๆนะมึง”
อิมแจบอมพูดกับเพื่อนเมื่อแท็กซี่เข้ามาจอดตรงหน้าบ้านเขาพร้อมกับเจ้าของร่างสูงโปร่งที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู มาร์คพยักหน้าน้อยๆก่อนที่จะเข้าไปนั่งด้านในฝั่งข้างคนขับ ทั้งที่ถ้าหากเป็นปกติช่วงที่มีคนตัวเล็กอยู่ด้วยนั้นมาร์คจะเลือกนั่งด้านหลังเสียมากกว่า
.
.
.
“...กูแม่งไม่น่าหาเรื่องให้มึงเลยมาร์ค”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่กับการนั่งรถ มารู้ตัวอีกทีตอนนี้มาร์คก็กำลังเดินกลับเข้ามาในอพาร์ทเมนต์แถมยังมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดวงตาคมจ้องมองลูกบิดสีทองตรงหน้าอยู่นานด้วยความสบสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันจนเขาเองไม่ทันตั้งตัว
มันก็สมควรแล้ว...
“...”
พอก้าวเท้าเข้ามาด้านในก็อดไม่ได้ที่จะหยุดยืนเพื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ กระป๋องเบียร์หลายกระป๋องยังกองอยู่บนโต๊ะกาแฟรับแขกเพราะมันยังไม่ได้ถูกเก็บกวาดไปทิ้ง ส่วนตัวคิมจีอาน่ะไม่อยู่แล้วเพราะมาร์คบอกก่อนที่จะออกมาว่าเขาต้องไปทำธุระด่วนจึงอยู่ดื่มกับเธอต่อไม่ได้
ชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องครัวก่อนจะเดินย้อนกลับออกมาพร้อมถุงดำใบใหญ่ในมือ ตรงมายังโต๊ะกาแฟที่รู้สึกว่ามันรก...รบกวนสายตาเสียเหลือเกิน ฝ่ามือใหญ่จัดการกวาดกระป๋องเบียร์ทั้งที่หมดแล้วและยังเหลืออยู่ให้ลงมาในถุงขยะทั้งหมด จับมันมัดปากแล้วเดินกลับไปทิ้งด้านในครัว
ซ่า...
เขาเปิดก๊อกน้ำในซิงค์เพื่อล้างมือหลังจากจัดการขยะเสร็จ เสียงน้ำกระทบกับฝ่ามือและร่วงหล่นลงไปกระทบกับพื้นซิงค์เนื้อสแตนเลสสีเงินกำลังกลายเป็นเสียงเดียวที่ดังลั่นอยู่ในความเงียบ
ทำไมทุกอย่างมันเงียบงันเหมือนกับเวลาหยุดเดินแบบนี้กัน...
ไฟทุกดวงเปิดสว่างแม้เวลาจะปาเข้าไปค่อนคืน ฝ่ามือใหญ่ถูกันไปมาอยู่อย่างนั้นเสียจนเนิ่นนานเกินความจำเป็น เสียงน้ำไหลกระทบอ่างยังคงดังอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่พอเขาจัดการปิดก๊อกให้เรียบร้อยแล้วยกมือขึ้นมามองดูก็พบว่านิ้วมือของตัวเองมันทั้งซีดทั้งย่นไปหมด...
ช่วงขายาวก้าวออกจากบริเวณนั้นตรงไปยังห้องน้ำแทน บางทีถ้าหากได้อาบน้ำเย็นๆในตอนนี้สมองของเขามันอาจจะปลอดโปร่งขึ้นมากว่าเดิมบ้าง เพราะในตอนนี้มาร์คต้วนกำลังสทองตื้อแบบสุดๆ เขาคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่างเดียว
ใกล้จะบ้าแล้วมั้ง...
เขาเดินเข้าไปด้านในห้องน้ำโดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีใครเล่นซนจนข้าวของด้านนอกเสียหายอีกหรือไม่ ไม่ต้องกังวลเพราะว่าคนๆนั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่อยากอยู่กับเขาอีกต่อไป
หยาดน้ำเย็นๆจากฝักบัวสูงที่ไหลรดลงมาจนเส้นผมสีบลอนด์เทาเปียกลู่ไปกับหนังศีรษะทำให้เจ้าของร่างต้องปิดตาลงเพื่อพยายามผ่อนคลาย เขานึกย้อนกลับไปทีละนิด ย้อนกลับไปทีละเรื่องราว จนกระทั่งเหตุการณ์ในวันที่เขาต้องบากหน้าไปหาแจ็คสันที่ห้องมันกลับหมุนเวียนฉายชัดขึ้นมา…
.
.
.
{ ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าความห่างเหินจะเกิดขึ้น }
ออด...
ช่วงเวลาตีสี่ครึ่งซึ่งแน่นอนว่ามันยังคงเป็นเวลานอนหลับพักผ่อนของใครหลายๆคนซึ่งอาจจะรวมไปถึงเจ้าของห้องตรงหน้าเขาอย่างแจ็คสันหวัง แต่ทว่าไม่ใช่กับมาร์คต้วนที่ตื่นเต็มตา...หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเขาแทบจะไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ
เพราะหลังจากคืนนั้นที่มือถือดังขณะกำลังอาบน้ำให้แบมแบมจนเขาต้องออกไปรับและคุยด้านนอกทั้งที่คิดว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรแต่นั่นมันก็เหมือนกับว่าเขาประมาทโชคชะตามากไปหน่อย เมื่อประโยคที่อิมแจบอมพูดออกมาในการสนทนากันครั้งนั้นมันช่างให้ความรู้สึกรุนแรงเสียจนมาร์คแทบจะทำอะไรไม่ถูก
รออยู่สักพักเพราะกดย้ำกริ่งหน้าห้องไปอีกสองสามครั้งเจ้าของห้องก็ยอมเปิดประตูโผล่หน้าออกมาทั้งที่ยังสลึมสะลือ แน่นอนว่ามาร์คกำลังรบกวนเวลานอนอันแสนสุขของเขาแบบจังๆ
“หืม...มาร์ค ต้วน ?”
“ฉันอยากคุยด้วย”
“ตอนนี้? เอาจริงดิ!” แจ็คสันเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ถามเสียงสูง ไม่เข้าใจในความคิดของคนที่กำลังยืนกอดอกตีหน้านิ่งอยู่ตรงหน้าเลยสักนิดเดียว
“ นี่มาร์คเอางี้นะ ถ้านาฬิกาห้องนายตายล่ะก็ฉันจะบอกเวลาตอนนี้ให้ก็ได้...ตีสี่ครึ่ง! ไม่ใช่เวลาคุย แต่เป็นเวลานอน โอเค้” มาร์คกรอกตานิดหน่อยกับความกวนประสาทของแจ็คสัน ถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆคิดหรือไงว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้น่ะ...
“รู้แล้ว แต่จะคุยตอนนี้”
“เอาแต่ใจชะมัด”
และสุดท้ายแจ็คสันก็ต้องยอมยกมือขึ้นมาขยี้หน้าตาตัวเองแรงๆแล้วเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาด้านในตามที่ต้องการ เขาปล่อยให้มาร์คเดินไปทิ้งตัวนั่งอยู่บนชุดรับแขกสีขาวตามสบายในขณะที่ตัวเองเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อชงชาอุ่นๆมาจิบแก้อาการง่วงงุน
รออยู่ไม่นานแจ็คสันก็เดินออกมาพร้อมกับกลิ่นชาหอมกรุ่นตลบอบอวลไปทั่วห้องซึ่งมันไม่ได้ทำให้ความตรึงเครียดบนใบหน้าของมาร์คลดลงกว่าเดิมสักเท่าไหร่ สายตาไม่พอใจถูกส่งมาให้แจ็คสันที่มัวแต่ทำท่าทางเอ้อระเหยกว่าจะทิ้งตัวลงนั่งดีๆได้
“อ่า ชานี่ดีจริงๆ...”
“แจ็คสัน วันนั้นนายจะบอกอะไรฉันเกี่ยวกับแบมแบม...บอกมาตอนนี้ ให้หมด” มาร์คเลือกที่จะไม่สนใจท่าทีไร้สาระแบบนั้นแล้วยิงคำถามเข้าประเด็นแบบไม่อ้อมค้อม คนที่กำลังจิบชาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกระแอมไอในคอเบาๆเพื่อเป็นการเกริ่น
“นายหมายถึงวันที่ฉันไปอ้อนวอนนายถึงหน้าห้องแต่นายไล่ฉันกลับมาแบบไม่สนใจนั่นน่ะเหรอ...อืม ขอนึกก่อนนะ” เห็นไหมล่ะ...แค่นี้ก็เป็นเหตุผลที่ชัดเจนแล้วว่าทำไมมาร์คถึงได้เหม็นขี้หน้าคนอย่างแจ็คสันขนาดนี้
“...”
“อ่อ โอเค...ฉันก็แค่อยากจะไปบอกว่าแบมแบมน่ะเขาห่วงความรู้สึกนายใช่เล่นเลยนะ...ไม่เห็นเหมือนไอ้ตัวแสบของฉันสักนิด” ประโยคหลังดูเหมือนว่าแจ็คสันจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า
“ยังไง”
“ไม่รู้สิ...ก็แบมแบมเอาแต่พูดอยู่นั่นแหละตอนที่ฉันพามาเล่นกับยองแจแรกๆ บอกว่าถ้าเขาตัวโตแบบเราก็คงดี นายก็คงไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนเขาให้เหนื่อย ประมาณนี้...”
“แค่นี้เหรอ” มาร์คเลิกคิ้วถาม หลังจากได้ยินประโยคนั้นจากปากแจ็คสันก็พลันคิดไปถึงคืนก่อนๆที่แบมแบมมักจะถามเขาเกี่ยวกับอะไรเทือกๆนี้เช่นกัน
หรือแบมแบมจะกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้...
“ไม่ใช่แค่นั้นสิ...เพราะว่าฉันนึกสงสารก็เลยลองโทรไปถามอากงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ามีวิธีไหนบ้างไหม” สาบานเลยว่ามาร์คไม่เคยตั้งใจฟังประโยคไหนที่หลุดมาจากปากของแจ็คสันหวังมากเท่าประโยคที่กำลังจะต่อจากนี้...
“...”
“แต่ว่าอากงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
แล้วมันก็ทำให้มาร์ครู้อีกครั้งว่าการไว้ใจแจ็คสันหรือให้ความหวังในสิ่งที่คนๆนี้กำลังจะพูดน่ะ เป็นอะไรที่ผิดมหันต์อย่างยิ่งเลยทีเดียว
“ฉันขอตัว” มาร์คพรูลมหายใจออกมาให้กับความน่ารำคาญของตัวเองที่หลงผิดคิดไปว่าคนอย่างแจ็คสันจะทำอะไรที่มีประโยชน์ได้ เสียเวลาจริงๆ
“เฮ้ใจเย็นสิพวก…” แจ็คสันเองก็เหมือนจะตกใจที่เห็นท่าทางฉุนหน่อยๆของมาร์คจนต้องรีบเอี้ยวตัวไปดึงแขนอีกฝ่ายเอาไว้อย่างทันท่วงที
โอเค...แจ็คสันจะไม่ท่ามากแล้ว
“ฉันไม่รู้วิธีก็จริง...แต่ว่าฉันก็ได้ความรู้ใหม่มาและคิดว่านายสมควรจะต้องรู้มันเหมือนกัน” มาร์คจ้องมายังอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะตัดสินใจนั่งลงอีกครั้ง
“ว่ามา”
“ก็ในตำราของอากงฉัน มันมีหน้านึงที่กล่าวไว้ว่า...เมื่อมีกลิ่นหอมโชยออกมาจากเหล่าภูติมนุษย์ นั่นหมายความว่า...ช่วงชีวิตของภูติเหล่านั้นกำลังจะเปลี่ยนไป”
มาร์คเองนั่งรับฟังนิ่งๆ พยายามมองหาแววตาติดเล่นของแจ็คสันแต่ก็พบว่ามันหายไปจนหมด เหลือแต่เพียงแววตาที่มาร์คเองอ่านไม่ออกเท่านั้นที่กำลังมองกลับมา
“ซึ่งฉันเอามาตีความเองว่ามันน่าจะหมายความว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีกลิ่นหอมออกมาจากภูติ นั่นก็คือช่วงเวลาที่ภูติเหล่านี้จะเติบโตได้”
“แต่ฉันไม่รู้ว่ะว่าต้องทำยังไง ถึงได้พยายามแบกหน้าตัวเองไปอ้อนวอนนายทั้งที่ไม่อยากทำสักนิดนั่นไง” เหมือนจะมีสาระแต่สุดท้ายแจ็คสันก็ยังไม่วายแอบจิกกัดอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้เล็กๆอยู่ดี
“แล้วภูติของนายมีกลิ่นที่ว่าหรือยัง” แต่มาร์คเองก็ไม่สนใจ เลือกที่จะถามกลับไปเสียงนิ่ง
“มี...ฉันถึงได้อยากเข้าใจให้มากกว่านี้นี่ไง แต่อากงฉันก็แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“...”
“แจ็คสัน...ฉันรู้วิธีที่จะทำให้พวกนี้โต”
“...อิมแจบอมบอกฉันมาเมื่อวาน”
และนั่นก็คือสิ่งที่รบกวนจิตใจมาร์คมาตลอดเวลาหลังจากเมื่อวานนั่นเอง...เพราะว่าสิ่งที่อิมแจบอมบอกเขามาผ่านสายโทรศัพท์นั่นน่ะ เป็นอะไรที่ทำให้สมองของมาร์คเกิดอาการตื้อและช็อกไปได้ง่ายๆเพียงชั่ววินาทีที่ได้ยิน
“เห้ย! จริงดิ” แจ็คสันตบเข่าตัวเองดังฉาดก่อนจะเผลอตะโกนออกมาเสียงดัง
“พวกนี้โตได้จริงๆเหรอ!”
“แต่ว่านายจะต้องตั้งใจฟัง และคิดทบทวนให้ดี”
เขาถือว่าเขาเตือนแล้ว...มาร์คลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเคลื่อนย้ายตัวเองจากโซฟาเบาะตรงข้ามให้เข้าไปอยู่ใกล้กันกับอีกคน จากนั้นมาร์คก็ค่อยๆโน้มใบหน้าของตัวเองลงจนกระทั่งริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้กับใบหูของแจ็คสันในระยะที่คิดว่าจะไม่มีใครสามารถได้ยินนอกจากเขาสองคน
ความลับของภูติตัวน้อยในตำนานที่เล่าขานกันมารุ่นสู่รุ่นกำลังถูกเล่าขานผ่านเสียงทุ้มแผ่วเบาและใบหน้าเรียบนิ่ง ต่างกันกับผู้ฟังลิบลับที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่ากำลัง...ตระหนกตกใจ ในสิ่งที่ได้ยินมากน้อยแค่ไหน
“...”
“นี่...ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม”
ประโยคแรกผุดออกมาหลังจากได้ยินถ้อยคำที่มาร์คบรรยายให้เขาฟังแบบแจ่มแจ้งในทุกประโยคนั้นเพื่อย้ำความแน่ใจว่าทั้งหมดที่ได้ยินมานั้นไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าแกล้งอำให้เขาตกใจเล่น
“ก็แล้วแต่นายจะคิด”
“แน่นอนว่าฉันไม่เลือกวิธีแรกแน่ๆ...” เมื่อรู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เสียงแหบห้าวของแจ็คสันก็พึมพำออกมาเบาๆก่อนที่สายตาของเขาจะเปลี่ยนทิศทางการจับจ้องจากคราแรกที่เป็นมาร์คนั้นหันไปทางประตูห้องนอนที่เปิดแง้มอยู่หน่อยๆ
ไอ้แสบยองแจ…
“แต่ก็ใช่ว่าฉันจะอยากเลือกวิธีที่สอง” เหม่อไปได้ชั่วครู่เสียงของมาร์คก็ดึงให้สติของแจ็คสันกลับมาจดจ่ออยู่ที่คู่สนทนาดังเดิม ใบหน้าขี้เล่นเริ่มฉายแววเครียดปนเปไปกับความหนักใจและกังวล แต่แน่นอนว่าในเมื่อทางเลือกมันถูกบีบจนเหลือเพียงทางเดียวเช่นนี้แล้ว...เขาทั้งคู่ก็ต้องยอมรับมันอย่างจำใจ
และข้อตกลงลับๆระหว่างมาร์คต้วนกับแจ็คสันหวัง ก็ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
.
.
.
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนั้นแจ็คสันจะเริ่มหันมาสนใจทางเลือกที่หนึ่งซึ่งดูเป็นไปได้มากกว่าเสียแล้วก็ตาม..
50%
เช้าวันที่สามหลังจากที่มาร์คต้องกลับมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาบนเตียงพร้อมกับกองผ้านวมที่พันตัวเขาจนมิด เหลือโผล่มาแค่ส่วนใบหน้าที่กำลังเบิกตาโพลงจ้องเพดานฝ้าสีขาวด้านบนราวกับว่ามันมีอะไรน่าสนใจซ่อนอยู่ด้านใน
“...”
เสียงนกตัวเล็กตัวน้อยจากด้านนอกขานรับกันในตอนเช้าดังลอดเข้ามาในห้องยิ่งทำให้มาร์ครู้สึกตัวว่าห้องนอนมันเงียบเกินไปเสียจนเขารับรู้ได้ถึงเสียงเล็กๆน้อยๆจากด้านนอกได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
นั่นสิ...ตั้งแต่เมื่อไหร่
นอนนิ่งๆได้ไม่นานสุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจดึงตัวเองออกมาจากก้อนผ้าห่มเมื่อรู้สึกถึงแสงแดดที่ลอดเข้ามาจนให้ความรู้สึกร้อนแทนอบอุ่น มือหนายกขึ้นขยี้หัวตัวเองที่ฟูฟ่องจากการนอนให้มันกระจัดกระจายมากกว่าเดิม เขาเดินเอื่อยๆไปรอบห้องโดยไม่ต้องรีบร้อนว่าจะมีใครตื่นมาแล้วร้องหาของกินให้เขาต้องไปลงมือทำมาให้แทบทุกเช้า
มันเหมือนจะดี...แต่ก็ไม่
ยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปทีละวันๆโดยไม่ทำอะไรแบบนี้มาร์คก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่เสียเวลาเอาเสียมากๆ แต่ตอนนี้เขาเองก็คิดอะไรไม่ออกไปมากกว่าการที่จะปล่อยให้แต่ละฝ่ายลองมีช่องว่างต่อกันดูบ้าง แม้ว่ามันจะดูเป็นการกระทำที่เปลืองเวลาอย่างที่อิมแจบอมเคยย้ำเตือนมานั้น...แต่เขาก็อยากจะลอง
หรือบางทีมาร์คก็แค่อยากจะแกล้งทำตัวเป็นพวกไม่รับรู้ เขารู้ดีว่าถ้าหากแจบอมมันทนไม่ไหวมันก็คงจัดการเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอให้เขาเข้าไปวุ่นวาย...
บางทีคนอย่างเขาก็แค่อยากหลีกหนีความจริง
อาหารเช้าง่ายๆแต่หน้าตาดูดีถูกวางบนโต๊ะตัวเดิมพร้อมด้วยเจ้าของห้องที่ตักเข้าปากไปได้คำเดียวเท่านั้น ความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆก็เริ่มเล่นงานเสียจนต้องวางช้อนส้อมในมือลงแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟาแทน
“มาร์คต้วน มึงอย่างี่เง่า”
เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่...มาร์คกำลังคิดถึง คิดถึงความวุ่นวายในยามเช้าจากใครอีกคน จนแทบลืมความรู้สึกตอนอยู่คนเดียวเงียบๆแบบก่อนหน้าไปหมดสิ้น
เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวจริงๆ...
ผ่านช่วงเช้ามาได้อย่างไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้มาร์คก็มานั่งกอดเข่าเอนหลังพิงกำแพงอยู่ตรงมุมวาดรูปมุมเดิม ที่ต่างออกไปก็อาจจะเป็นความรู้สึกตื้อตันในหัวจนเขาไม่สามารถหยิบจับพู่กันมาจุ่มลงบนจานสีเพื่อรังสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างเคย
ดวงตาคมนิ่งงันจ้องมองไปยังกระดานวาดภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก...ไม่สามารถเดาได้จากสายตาคู่นั้นว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“สวัสดีครับ” แต่เพียงครู่เดียวมาร์คก็เลือกที่จะหยิบเอามือถือของตัวเองมาเลื่อนหาเบอร์ใครบางคนที่คิดว่าถ้าหากเขาได้ลองติดต่อไป บางทีความรู้สึกเหล่านี้มันอาจจะเลือนรางลงไปสักนิด
[ ว่าไงคะมาร์ค ] น้ำเสียงจากปลายสายดูเหมือนว่าจะปิดความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่จนมันสั่นนิดๆ
“ผมรบกวนคุณจีอาหรือเปล่าครับ นี่ใช่เวลาว่างของคุณหรือเปล่า” เขาไม่รู้หรอกว่าชีวิตของลูกสาวคนใหญ่นายโตจะต้องทำอะไรบ้าง บางทีตารางชีวิตของเธออาจจะกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเจรจาธุรกิจที่มาร์คไม่ชอบเอาเสียเลยก็เป็นได้
[ อ่า ว่างสิคะ...มาร์คมีอะไรหรือเปล่า ]
“ครับ ผมอยากจะรบกวนคุณจีอานิดหน่อย”
มาร์คหลับตาก่อนจะพรูลมหายใจออกมาช้าๆแล้วตัดสินใจพูดประโยคที่คิดเอาไว้ว่าถ้าหากทำแบบนี้แล้วมันอาจจะทำให้อาการพะว้าพะวงนึกถึงแต่แบมแบมนั้นจางลงไปได้ อีกฝ่ายเงียบไปนิดหน่อยหลังจากที่ได้ยินประโยคไม่คาดฝันจากมาร์คและแน่นอนว่าเธอก็ไม่คิดจะปฏิเสธ
ตึกสูงเสียดฟ้า รวมกับชุดเสื้อผ้าราคาแพงของผู้คนรอบข้างทำให้มาร์คเริ่มหงุดหงิดในความรู้สึกของตัวเองที่มันไปด้วยกันไม่ได้กับสถานที่ นึกทบทวนตัวเองอยู่หลายครั้งว่ามันจำเป็นที่ต้องทำขนาดนี้เลยหรือเพียงแค่ต้องการจะนึกถึงใครบางคนให้น้อยลง
เงินเก็บที่ไม่ค่อยถูกนำมาใช้ในบัญชีถูกถอนออกมาเป็นจำนวนไม่น้อยเพื่อคิมจีอา หญิงสาวผู้สวยสง่ามีชาติตระกูลที่มาร์คทำใจกล้าโทรไปนัดเธอให้ออกมาเจอกันที่ทาวเวอร์แห่งนี้เพื่อทานมื้อค่ำด้วยกันเมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา และตอนนี้เขาก็กำลังนั่งรอเธอที่เหมือนว่าจะสายไปห้านาที
ครืด...
เหม่อออกไปด้านนอกกระจกใสที่ฉายให้เห็นวิวยามเย็นของเมืองใหญ่ได้ไม่นานเสียงขยับลากเก้าอี้จากฝั่งตรงข้ามก็เรียกให้ใบหน้าหล่อคมเบนกลับไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นคิมจีอาในชุดเดรสเปิดหลังสีดำที่ขับให้เธอดูดีขึ้นกว่ายามปกติหลายเท่าตัว
คิมจีอาน่ะ...ก็สวยดี
“ขอโทษที่สายนะคะมาร์ค มานานหรือยังเอ่ย”
คลัชสีเดียวกันกับชุดเดรสของเธอถูกวางลงบนโต๊ะอาหารขณะที่เธอส่งยิ้มกว้างมาให้เขา มาร์คมองรอยยิ้มนั้นคล้ายกับว่ากำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง... ซึ่งอันที่จริงไม่จำเป็นต้องพิจารณาหรอก เพราะมาร์คเองก็รู้ดีตั้งแต่แรกแล้วว่า
คิมจีอาน่ะสวยดี...แต่ว่าเธอ ไม่ใช่แบมแบม
.
.
ไม่ใช่คนที่มาร์คยากจะทำใจยอมรับว่าเผลอตัวหลงใหลในความเป็นเจ้าตัวเล็กนั่นไปหมดใจเสียแล้ว...
“เฮ้...ใจคอจะไม่พูดกันหน่อยรึไง”
“...”
“นี่ ทำหน้าเหมือนตูดแบบนั้นน่ะคิดว่าน่ารักเหรอ”
“...”
“ยังมีวิญญาณอยู่ไหมเนี่ย...”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนตัวเล็กที่เอาแต่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่บนหมอนอิงสี่เหลี่ยมที่จินยองยกให้เป็นที่นอนชั่วคราวของเจ้าตัวไปก่อน สองสามวันมานี้อิมแจบอมเฝ้าเพียรนักหนาที่จะแกล้งแหย่ให้อีกฝ่ายโวยวายหรือเถียงเขาฉอดๆอย่างที่เคยเป็น
แต่มันกลับผิดคาด...แบมแบมนิ่งสนิท ไม่สนใจอิมแจบอมที่ทำตัวน่ารำคาญอยู่ใกล้ๆเลยสักนิด จะตอบรับนิดหน่อยก็ตอนที่เนียร์เข้ามาทักหรือชวนพูดคุยด้วยเท่านั้น
“ไอ้มาร์คนี่ก็ร้ายใช่เล่นเว้ย!...เล่นซะภูติกูหงอยไปเลยดูซิ”
แต่ด้วยความเป็นคนปากไวกว่าความคิดก็เผลอพูดประโยคที่ทำให้คนตัวเล็กแววตากระตุกวูบออกมาอีกหนเมื่อในเนื้อประโยคนั้นมันมีคำบางคำที่คนตัวเล็กอย่างแบมแบมไม่สามารถลบล้างออกไปจากห้วงความคิดได้เลยตั้งแต่จากมา
มาร์ค...
“...”
แบมแบมไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรกันแน่ เพราะตั้งแต่เกิดและโตมานั้นความรู้สึกประหลาดแบบนี้น่ะไม่เคยได้เข้ามาครอบคลุมจิตใจของแบมแบมเลยสักครั้งเดียว ก็มีบ้างเวลาที่เขาน้อยใจคุณนกฮูกในบางที แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่เหมือนกับว่า...ถูกดูดพลังไปจนหมดแบบนี้
หรือว่าคราวนี้แบมแบมกำลังจะแย่ของจริงแล้วนะ...
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกคันๆที่ปลายจมูกและร้อนแถวๆขอบตา ซึ่งมันเป็นสัญญาณว่าน้ำใสๆกำลังทำท่าจะร่วงหล่นมาจากดวงตากลมอีกครั้ง มือน้อยๆคู่นั้นขยำบนเนื้อผ้าสีเขียวมิ้นต์ที่ถึงแม้ว่าจินยองจะหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เขาใหม่แล้วแต่แบมแบมก็ไม่คิดที่จะทิ้งให้มันหายไปไหนไกลตาเลย
Rrr..~
นั่งคิดอะไรไปได้สักพักก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของอิมแจบอมอยู่ๆก็แผดดังลั่นขึ้นมา แบมแบมเหลียวไปมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายเองก็มองมาที่เขาเหมือนมีนัยยะอะไรบางอย่าง แต่เพียงครู่เดียวชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มน่ากลัวที่แบมแบมขอตั้งฉายาใหม่ให้ว่าคนกวนประสาทนั้นก็ค่อยๆลุกเดินออกไปด้านนอกแทน
“ตัวเล็ก...ยังไม่ง่วงเหรอ”
“อ่า..ยังเลย” สองสามวันมานี้คนที่บอกให้เขาเรียกตัวเองว่าเนียร์น่ะ...นิสัยดีกับเขามากๆเลย ดีจนบางทีแบมแบมเองก็เกรงใจจนไม่อยากรับความหวังดีนั้นเอาไว้เลยล่ะ
ดูแลแบมแบมดีกว่าตอนที่อยู่กับมาร์คหลายเท่าตัว...
“ยังไม่ง่วงเหรอ...เอานมอีกไหมเดี๋ยวเนียร์ไปอุ่นให้” นมอุ่น...เมนูใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกก็เมื่อวันที่มาอยู่กับเนียร์นี่แหละ มันก็ดี แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่าตัวเองน่ะ...ไม่ค่อยพอใจในความสมบูรณ์แบบนี้เอาเสียเลย
“ม...ไม่เอาแล้ว” คนตัวเล็กตอบเสียงแผ่วเสียจนจินยองต้องถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัด ไม่ใช่ว่าเขาอึดอัดที่ต้องมาดูแลแบมแบม แต่เขาอึดอัดในความสัมพันธ์ของคนตัวโตอีกคนและคนตัวเล็กตรงหน้านี่ต่างหาก ทำไมถึงเลือกที่จะหันหลังให้กันทั้งที่เวลามันก็เหลืออยู่ไม่มาก...
แบมแบมอาจจะผิดน้อยกว่าเพราะเจ้าตัวน่ะไม่รู้อะไรเลย
คนที่รู้ดีแต่กลับไม่ยอมทำอะไรให้กระจ่างนี่สิ...น่าจับมาตีให้ตายชะมัด
“...” จินยองนั่งมองอีกฝ่ายที่ล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มผืนเล็กขนนุ่มขึ้นมาปิดจนมิดลำคอจนกระทั่งแน่ใจว่าแบมแบมหลับสนิทไปแล้ว เสียงเปิดประตูจากระเบียงด้านนอกก็เรียกให้เขาต้องหันไปมองและพบว่าเป็นคนรักของตนที่เดินถือโทรศัพท์เข้ามานั่นเอง
“ไอ้มาร์คมันโทรมาเช็คอาการยอดดวงใจของมันน่ะ” เหมือนรู้ว่าจินยองอยากจะถาม อิมแจบอมก็เลยชิงบอกออกมาด้วยรอยยิ้มแบบฝืดๆก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกัน
“แล้วมาร์คล่ะเป็นยังไงบ้าง”
จินยองรู้ดีว่าคงไม่ใช่แค่แบมแบมที่แย่ มาร์คเองก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำกับเรื่องที่ต้องแบกเอาไว้แถมยังไม่กล้าบอกให้แบมแบมเข้าใจเพราะเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง แต่เขาน่ะคิดว่ามาร์คน่าจะกลัวในคำตอบของแบมแบมมากกว่า...ไม่น่าเชื่อนะว่าจะมีวันที่จินยองได้เห็นมุมแบบนี้จากคนที่ดูไม่สนใจโลกอย่างมาร์ค
ผู้ชายคนอย่างมาร์ค เป็นคนโลกส่วนตัวสูงก็จริง...
แต่ถ้าหากได้มีใครเข้าไปในโลกของเขาแล้วล่ะก็...จินยองคิดว่าคนๆนั้นน่ะ น่าจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก
และคนโชคดีที่ว่าในตอนนี้ก็น่าจะเป็นแบมแบมนั่นล่ะ...เพียงแต่ว่า ‘ข้อจำกัดระหว่างเผ่าพันธุ์’ เท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นเส้นขีดกั้นกลางเอาไว้ให้มาร์คต้องพยายามหักความรู้สึกของตัวเองที่มันสะสมมาเรื่อยๆจนกระทั่งเต็มหลอดนั้นออกไป
แต่แน่นอนว่าคนบางส่วนมักคิดเสมอว่า ‘กฏ’ มันก็มีเอาไว้เพื่อแหก... ตัวจินยองเองคิดว่าไอ้ข้อจำกัดนี่ก็เหมือนกัน มันมีหลายทางเลือก...เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด
ก็อยู่ที่ว่า มาร์คและแบมแบมน่ะ ต้องการให้ทางออกแบบไหนกับมัน
เท่านั้นเอง...
100%
อ่านจบแล้วก็ยังงงใช่ไหม ? แสดงว่ามาถูกทางแล้วล่ะ...
* แล้วก็ขอมุมส่งเสริมการขายหน่อย *
ใครที่สนใจรวมเล่มช่วยคลิกไปอ่านตอนต่อไปด้วยนะคะ เป็นรายละเอียดการจองหนังสือเนอะ
ใครไม่สนใจก็ไม่เป็นไรค่ะ ลองกดเข้าไปดูก่อนได้นะเผื่ออยากเปลี่ยนใจ555555555555
ที่เราไม่ถามจำนวนคนสนใจเพราะว่ายังไงเราก็รวมอยู่ดีอ่ะ เรา + คนวาดฟอ. อยากได้เก็บไว้
ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจ #FICJARMB นะคะ
ซื้อไม่ซื้อไม่ว่ากันโนะ ติดตามต่อไปเรื่อยๆก็ดีใจแล้ว /ทำเสียงนางเอก
แท็กฟิค : #FICJARMB
ติดต่อไรท์เตอร์ TWITTER : @since9397
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ยอมเสียเงินกับผญ.คนนั้นด้วย เหอะ
อีกคนไม่รู้อะไรก็เสียใจปนๆน้อยใจ
ส่วนอีกคนต้องแบกรับสิ่งที่รู้
หน่วงเนอะะะ สงสารรรร
ถ้าคิดจะหันหลังแล้ว
อย่ามาสนใจมาร์ค
ต้องเสี่ยงมากแน่ๆเลย
ถึงไม่ยอมทำทั้ง2วิธีอ่ะ
หน่วงได้อีกสงสารแบมและมาร์ค
เมื่อไรมาร์คจะจัดการตัวเองได้สักที