ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Engineer Romance ศิลปกรรมขอเกียร์ เอนจิเนียร์ขอใจ END

    ลำดับตอนที่ #8 : Episode - 6 - เสื้อช็อปเป็นเหตุสังเกตได้ [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.81K
      448
      8 พ.ค. 66

    วันต่อมา

    08.00 น.

    ฉันกดสัญญาณกริ่งหน้าห้องพี่รามรอบที่สามก็ยังไม่มีท่าทีว่าเจ้าของห้องจะออกมาต้อนรับ

    รอบที่สี่ และที่ห้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่มันเงียบเหมือนเจ้าของห้องไม่อยู่มากกว่า แต่ใช่ว่าฉันจะยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะมืออีกข้างก็กดโทรหาพี่รามไม่หยุด รอสายจนเข้าสู่ระบบฝากข้อความเป็นสิบรอบแล้วก็ไร้วี่แววจากปลายทาง

    โทรรอบสุดท้าย ถ้าไม่รับจะกลับแล้วคอยดู

    ตู้ดดด

    [อืมมมมมมม] น้ำเสียงงัวเงียทำให้ฉันรู้ว่าเขายังไม่ตื่นนี่เอง

    “พี่ราม เปิดประตูให้หน่อย”

    [อืมมมมมมมม]

    “พี่ราม ตื่นยังเนี่ย เอยถือของหนักเปิดประตูให้เอยหน่อย”

    [หนึ่งเก้าเก้าสอง] น้ำเสียงของคนปลายสายพูดมาแบบนั้น ฉันเลยคิดว่าน่าจะเป็นรหัสห้อง จึงยกมือไปกดที่ระบบล็อกประตูอัตโนมัติแล้วมันก็ใช่จริงด้วย

    ประตูเปิดออก ฉันเลยเอาของที่หอบหิ้วมาพะรุงพะรังไปวางบนโต๊ะอาหาร

    “เด็ก ๆ เดี๋ยวมาย้ายบ้านกันนะเจ้าตัวเล็ก”

    เมื่อทักทายแคคตัสที่พี่รามวางไว้ที่โต๊ะ จากนั้นก็ขึ้นไปตามพี่รามที่ห้องนอนอย่างถือวิสาสะ เขาไม่ได้ล็อกประตูทำให้ฉันเข้าไปกระชากผ้าม่านออก จากห้องที่มืดสนิทกลายเป็นสว่างจนคนนอนอยู่ดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าแล้วนอนต่อ

    “โหยกลิ่นเหล้า” นึกถึงพี่ชายตัวเองเลยเมื่อได้กลิ่นแบบนี้ แล้วก็นอนไม่ยอมลุกแบบนี้เหมือนกันเป๊ะ คุณแม่ชอบใช้ให้ฉันไปปลุกพี่อินประจำเวลามันดื่มหนักแล้วไม่ตื่นมาทานข้าวเช้า “พี่ราม ตื่นนนนนนน”

    “...”

    “พี่รามมมมมม” ฉันยื้อผ้าห่มให้เปิดออกจนเห็นหน้าเขาแล้วตะโกนใส่หูเหมือนอย่างที่ชอบแกล้งพี่อิน “โอ๊ยยยยยยย พะพี่ราม เอยเอง”

    “อะไรวะเนี่ย” คนโดนกระทำทนไม่ได้ เลยใช้มือบีบปากกันจนบู้บี้ไปหมด ส่วนฉันก็บีบปากเขากลับจนเขายอมปล่อยมือออกดี ๆ

    “มาทำไม”

    “ก็มาปลูกเจ้าตัวเล็กไง”

    “ตัวเล็ก อ้อ...เธอก็ไปจัดการสิ ฉันจะนอน” คนงัวเงียที่เพิ่งลุกขึ้นนั่งหันไปมองนาฬิกาแล้วก็เตรียมจะเหวี่ยงใส่กัน

    “ไม่ได้ค่ะ คนเลี้ยงก็ต้องมาช่วยด้วย รีบไปอาบน้ำเลย เอยซื้อข้าวมาให้แล้ว” ฉันรั้งร่างสูงที่เตรียมจะนอนต่อให้ลุกขึ้นอีกครั้ง จนพี่รามโมโหแล้วยอมขยับตัวออกจากเตียงนอนแต่ส่งสายตาอาฆาตใส่กัน

    “น่ารำคาญ”

    เขาว่าแล้วเดินหยิบผ้าเช็ดตัวไปในห้องน้ำ ส่วนฉันก็รีบสอดส่องสายตาไปทั่วห้องนอน คงไม่คิดหรอกใช่ไหมว่าฉันจะพลาดโอกาสทองไปง่าย ๆ

    และแล้วฉันก็เจอเลสข้อมือเกียร์วิศวกรรมศาสตร์ในตำนาน มันอยู่ที่ชั้นวางของที่บิวต์อินกับผนังอย่างที่เขาเคยบอกวันนั้น มันถูกแขวนอยู่ที่คอหุ่นเลโก้ตัวลูฟี่ ตัวการ์ตูนญี่ปุ่นถ้าไม่สังเกตดี ๆ คิดว่ามันเป็นสร้อยคอของตัวละครซะแล้ว

    ขโมยแล้วกลับห้องดีไหมเนี่ย

    “ไม่ได้เอิงเอย สัญญาไว้แล้วก็ต้องทำตามที่พูด อีกแค่สองอาทิตย์กว่าเอง” ฉันบอกกับตัวเองตั้งใจจะออกจากห้องแต่พี่รามดันเดินออกมาจากห้องน้ำก่อน

    ซึ่งมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ผ้าขาวมาก แล้วก็แน่นด้วย เอ๊ยไม่ได้ดิ นี่ไม่ใช่พี่อินนะเว้ยยัยเอยแกจะจ้องแบบนี้ไม่ได้

    “จ้องอะไร”

    “หุ่น”

    “ฮะ”

    “เอยหมายถึง...แบร์บริกข้างหลังพี่ไง” ฉันแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ “เอยซื้อข้าวต้มหมูไม่ผักกับกาแฟร้านโปรดมาให้ รีบตามลงมานะคะ”

    หลังจากที่พี่รามแต่งตัวในชุดอยู่บ้านสบาย ๆ แล้วไม่ได้เซตผมเหมือนตอนไปมหาวิทยาลัย ฉันก็ค้นพบว่าเขาดูน่ารักกว่าทุกวัน การยกกาแฟดื่มพร้อมกับสีหน้าง่วง ๆ แบบนั้นจะมีสักกี่คนที่ทำแล้วเหมือนถ่ายโฆษณากาแฟอยู่นะ ดีไปทุกองศา

    เฮ้ย วันนี้สมองฉันต้องประสาทกินไปแล้วเอาแต่นึกพิศวาสพี่รามอยู่ได้

    “ว่าแต่นี่เธอเข้ามาในคอนโดได้ไง” ปกติถ้าไม่มีบัตรคีย์การ์ดจากเจ้าของห้องมันจะเข้ามาในนี้ไม่ได้นะ

    “พอดีตอนที่เอยมาถึงมีคนเดินเข้าคอนโดพอดี เอยก็เลยรีบวิ่งเข้ามาด้วย”

    “จ้องอะไร เห็นจ้องอยู่ตั้งนานแล้ว”

    “พี่รู้ตัวปะ เวลาไม่เซตผมเนี่ยดูดีกว่านะ ดูไม่ขี้เก๊กดี”

    “นี่ชมหรือด่าเนี่ย”

    “ชมสิ”

    “นี่เธอไม่เขินบ้างหรือไง พูดมาแต่ละอย่าง ไม่มีผู้หญิงคนไหนเขาทำกัน”

    “อืม คงเป็นเพราะเอยมีพี่ชายรุ่นเดียวกับพี่รามมั้ง เวลาอยู่ด้วยก็เลยรู้สึกเหมือนอยู่กับพี่ชาย แล้วปกติอยู่กับพี่ชายมันก็ไม่ได้เล่นกับเอยแบบหวาน ๆ ไง ก็เลยมีความแมนมากกว่าความเป็นสาว”

    “ถึงว่าสิ พฤติกรรมแต่ละอย่าง”

    “ทำไม เอยทำไม”

    “ไม่มีความเป็นกุลสตรี”

    “โห แรงอีกแล้ว ว่าแต่เมื่อคืนกลับมากี่โมงคะ ดื่มเยอะเลยสิท่า”

    “ไม่ใช่เรื่องของเธอ”

    “ไม่ใช่เรื่องของเธอ ก็ถามไปงั้นแหละเห็นมันเงียบ ๆ” ฉันเบะปากแล้วรำพึงรำพัน จนคนที่นั่งทานข้าวอยู่ตรงข้ามค้อนใส่

    พอจบจากคลาสทานมื้อเช้า ฉันก็เริ่มต้นคลาสปลูกต้นไม้ทันที

    “เด็ก ๆ เดี๋ยวพี่เอยพาย้ายบ้านให้นะเจ้าตัวเล็ก” ฉันดูกระตือรือร้นและสนุกอยู่คนเดียวในห้องรับแขก ส่วนอีกคนนั่งดูเอกสารกับแมคบุ๊กอยู่บนโซฟาใกล้ ๆ แต่ไม่สนใจกันสักนิด “สนใจเอยบ้างไหมเนี่ย”

    “อืม” คนที่ทำงานอยู่ครางตอบ ก่อนหันมามองหน้ากันด้วยสายตาแปลก ๆ “สนใจอะไรนะ”

    “หมายถึงที่เอยกำลังจะสอนดูแลแคคตัสเนี่ย สนใจไหม”

    “ว่ามาเร็ว ๆ เลย จะรีบกลับไปทำงานต่อ” คนที่นั่งอยู่บนโซฟาปิดแมคบุ๊กแล้วมานั่งข้างกันจนได้

    “ก่อนอื่นเราก็ต้องย้ายกระถางให้น้องก่อน อันนี้เป็นหินภูเขาไฟ อันนี้ดินสำเร็จรูปที่ใช้ปลูก แล้วก็ดินญี่ปุ่นนะคะ วิธีก็ไม่ยากทำตามเอยเลย” ฉันจับน้องแคคตัสตัวเล็กให้เขาหนึ่งอันฝึกทำไปพร้อม ๆ กัน

    “ไม่อยากมือเลอะ”

    “เดี๋ยวค่อยล้างก็ได้ เวลาทำเสร็จพี่จะรู้สึกผูกพัน ไม่ใช่แค่รดน้ำเป็นอย่างเดียว”

    “ยุ่งยาก”

    “ไม่เลย ดูแล้วทำตามนะ” ฉันค่อย ๆ สอนวิธีเขาเอาน้องออกจากกระถาง สอนวิธีการจัดกระถางอันใหม่ ขั้นตอนการใส่หินและดินจนครบห้าต้น

    “ก็ไม่เห็นจะยาก” คนที่โวยวายตอนแรกดูภูมิใจในฝีมือตัวเอง

    “ขั้นตอนต่อไปเป็นวิธีการรดน้ำ เจ้าตัวเล็กไม่ต้องการน้ำทุกวันรดอาทิตย์ละสองถึงสามวันพอ หรือดูที่ดินถ้าดินแห้งก็รดได้เลย ลองใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มดูที่ดินเป็นวิธีเช็กง่ายสุด ส่วนวิธีการรดน้ำคือใช้ที่ฉีด ฉีดรดไปให้ดินชุ่มจนน้ำระบายออกด้านล่างแบบนี้”

    ฉันอธิบายพร้อมทำให้เขาดู คนที่บอกว่าไม่สนใจตอนแรกฟังอย่างตั้งใจและลองทำตาม

    “จากนั้นก็ไปวางที่แดดส่องถึงไม่ต้องแดดจัดมากนะคะ หลายคนเข้าใจผิดเอาน้องไปไว้กับแดดจัด ๆ น้องต้นเล็กอยู่ เอาไว้ตรงชั้นแต่งของใกล้ระเบียงแบบนี้ก็ได้ค่ะ”

    “อืม”

    “ห้องดูมีชีวิตชีวาขึ้นเลยเห็นไหม ถ้าว่าง ๆ เปิดเพลงหรือเล่นกีตาร์ให้ฟังก็ดีนะคะ เอยเคยอ่านเจอว่าต้นไม้นี่ก็ชอบเสียงดนตรีเหมือนคนเลย”

    “ใครจะทำแบบนั้น ไม่ได้ว่างนะ” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ไปจัดองศาให้เด็ก ๆ รับแดดเหมาะกว่าเดิม

    “ถ้ามีอีกสักห้าต้น เอยว่ากำลังสวยนะ”

    “เอาไว้...ไปซื้อกันอีก” คนขรึมพูดเสียงเข้มแต่ฉันรู้ว่าเขาตกหลุมรักเด็ก ๆ เข้าแล้ว

    “ได้สิคะ...แล้ววันนี้มีอะไรให้เอยช่วยไหม ถ้าไม่มีเอยจะได้ไม่อยู่รบกวนพี่ราม”

    “เพิ่งรู้ตัว?”

    “แหม พี่ต้องตอบว่าไม่ได้รบกวนสิ สรุปวันนี้พี่ทำอะไรต่อ”

    “ก็นั่งเขียนโปรเจกต์ไปพรีเซนต์อาจารย์วันอังคารนี้ แล้วเธอไปไหนต่อ”

    “ก็น่าจะกลับห้องค่ะ”

    “ถ้าไม่รีบไปไหนก็...นั่งเล่นอยู่นี่แหละเผื่อมีอะไรให้ช่วยจะบอก เดี๋ยวเย็น ๆ ไปส่ง”

    “ก็ได้ค่ะ”

    ฉันนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่โซฟาเปิดมือถือเล่นเกม ฟังเพลง แล้วแอบมองพี่รามที่มีสีหน้าจริงจังทำพรีเซนต์เสนอโปรเจกต์อยู่พักใหญ่ เวลาผู้ชายจริงจัง ผู้ชายคิดงานทำไมมันเซ็กซี่ขนาดนี้นะ หรือว่าเขาหล่ออยู่แล้วเป็นทุนเดิมขนาดบิดขี้เกียจยังดูดี

    “ไอ้ศิ ตื่นยัง” ฉันไปหาขนมในครัวจัดเรียงใส่จานมาให้พี่รามกับตัวเองทานเล่น “แปลกยังไง กูก็ตื่นเวลานี้ปะ จะเที่ยงแล้วนะ ตื่นได้แล้ว”

    “ตรงส่วนที่มึงรับไป มึงทำเสร็จอย่าลืมส่งมาให้กูดูด้วยนะ เพราะบางหัวข้อกูต้องอ้างอิงจากส่วนที่มึงทำ”

    “เออ แค่นี้แหละ”

    ล่าสุดแอบเอาเอกสารพี่รามมาดูเผื่อจะช่วยอะไรเขาได้ แต่เปล่าเลย แถมง่วงขึ้นมาซะงั้น

    รู้ตัวอีกทีฉันก็ลุกมานั่งแบบงัวเงียที่ตอนนี้มีผ้าห่มคลุมตัวไว้ หลับไปได้ไงเนี่ย มองดูบรรยากาศด้านนอกฟ้าเริ่มมืดแล้วด้วย รู้สึกว่าตัวเองนอนไปนานพอสมควร ส่วนคนที่จริงจังยังทำหน้าเครียดอยู่ที่หน้าจอแมคบุ๊กตามเดิม

    “ยังไม่เสร็จอีกเหรอคะ”

    “ตื่นแล้วเหรอ” เขาถามทั้งที่ไม่หันมามอง ฉันเลยลุกไปล้างหน้าล้างตาและออกมานั่งมองเขาทำงานอีกพักหนึ่ง

    “เอยว่าเอยกลับเองดีกว่า”

    “เดี๋ยวไปส่ง ขอสิบนาที”

    “ไม่เป็นไรพี่ทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวเอยว่าจะแวะซื้อของเรื่อยเปื่อยก่อนเข้าคอนโดด้วย ตอนมาเอยยังมาเองได้เลย สบายมาก”

    “งั้นเดี๋ยวไปส่งข้างล่าง”

    “ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เองเอยกลับก่อนนะคะ”

    “แต่...”

    “ไม่มีแต่ค่ะ เอยกลับได้เดี๋ยวเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันมารับสะดวกจะตาย”

    ฉันตั้งใจจะเรียกรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันเลยเปิดประตูออกมาแบบไม่ได้สนใจเจ้าของห้อง จนเกือบชนกับผู้หญิงวัยกลางคน ที่หน้าตาดูทั้งดุและใจดีในเวลาเดียวกัน

    “ขอโทษค่ะ คุณป้า”

    “ไม่เป็นไรจ้ะ สงสัยฉันจะจำผิดห้อง” คุณป้าหันกลับไปดูเลขที่หน้าห้อง แล้วก็หันกลับมามองฉันด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ฉันคุ้นเหมือนเคยเจอคุณป้าที่ไหนสักที่

    “นี่ เธอลืมโทรศัพท์อีกแล้ว...แม่ มาได้ไงครับ”

    “แม่” ฉันร้องทวนสิ่งที่พี่รามบอกและรีบยกมือไหว้คุณป้าที่คลี่ยิ้มอย่างใจดี “สวัสดีค่ะ”

    “หวัดดีจ้ะ”

    “แม่มาทำอะไรครับ แล้วกลับจากเชียงใหม่วันไหนเนี่ย”

    “แลนดิ้งปุ๊บก็ตรงมาหาแกปั๊บ แม่เอาไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มที่แกชอบมาฝาก แล้วว่าจะมาขอค้างด้วยสักคืน”

    “งั้นเอยขอตัวก่อนนะคะ”

    “เดี๋ยวสิจ๊ะ อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนสิ”

    “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ”

    “ไม่ต้องเกรงใจ มา ๆ ช่วยป้าถือหน่อยนะ” แล้วฉันก็ต้องทำตามที่ท่านบอก โดยที่พี่รามเขาก็พยักหน้าให้ตามคุณแม่เข้ามาด้านใน

    “มีแต่อาหารเหนือ ทานได้ใช่ไหมลูก” คุณป้าพูดขณะที่เรานั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร

    “ยัยนี่เป็นคนเชียงใหม่”

    “จริงเหรอลูก”

    “ของโปรดเอยทั้งนั้นเลยค่ะ”

    “ชอบเหมือนตารามเลย งั้นทานเยอะ ๆ เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”

    “คุณพ่อไม่อยู่เหรอครับ ถึงมาค้างกับผมได้”

    “ไปประชุมธุรกิจใหม่ที่ฮ่องกงสองวันแล้ว”

    ขณะที่ทานอาหารไปคุณป้าก็ซักประวัติของฉันในเรื่องต่าง ๆ ทั้งที่พี่รามบอกให้หยุดถามแต่คุณป้าก็ถามต่อ

    อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้วฉันเลยตอบทุกอย่างที่ท่านถามมา แล้วที่น่าตกใจคือโรงแรมที่ฉันเพิ่งไปรำเปิดงานก่อนย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ งานสุดท้ายที่เป็นงานด่วน มันเป็นโรงแรมของคุณน้าพี่รามนี่เองซึ่งคุณป้ามีหุ้นส่วนอยู่ด้วยเลยบินไปกลับเชียงใหม่บ่อย ๆ ในช่วงนี้

    “ป้าก็คิดว่าหนูหน้าคุ้น ๆ เคยเจอที่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจากเชียงใหม่จะมาเจอกันที่นี่ วันนั้นหนูรำสวยมากเลยนะ”

    “นั่นน่ะสิคะ เอยก็รู้สึกคุ้นหน้าคุณป้าตอนแรก” ตอนจบงานคุณน้ากับคุณป้าเข้ามาชมคุณแม่ถึงในห้องแต่งตัวที่พวกเราอยู่ด้วยนี่เอง

    “พรหมลิขิตจริง ๆ ใช่ไหมเจ้าราม”

    “ไส้อั่วอร่อยดี แม่ซื้อร้านไหนมา” คนตรงข้ามทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วตั้งหน้าตั้งตาทานอย่างเดียว

    “หนูเอยเป็นแฟนตารามเหรอลูก” ฉันรู้แล้วว่าพี่รามตอบไม่ตรงคำถามได้ใครมา

    “มะไม่ใช่ค่ะ เอยเป็นรุ่นน้องที่มหา’ ลัยค่ะ”

    “หนูเอยเรียนวิศวะเหรอจ๊ะ ป้าคิดว่าด้านนาฏศิลป์ซะอีก”

    “คือเอยเรียนนาฏศิลป์ไทยค่ะ”

    “แล้วทำไม...”

    “คือเอยโดนลงโทษอยู่ค่ะ เพราะก่อนหน้านี้มีเรื่องเข้าใจผิดกับพี่รามนิดหน่อย”

    “ยัยนี่จะขโมยเกียร์ผมไปโชว์เพื่อน” ฉันที่กำลังคิดหาคำพูดให้ตัวเองดูดี ก็ไปต่อไม่ถูก “มองหน้าแบบนั้นทำไม หรือจะเถียงว่าไม่จริง”

    “จริงค่ะ ก็เลยต้องมาเป็นเลขาให้พี่รามเดือนหนึ่ง”

    “ทาสรับใช้”

    “พี่ราม” ฉันปูมาดี ๆ เสียหายหมด อย่างน้อยคุณป้าก็รู้จักคุณแม่ของฉันนะถ้าท่านไปเล่าให้คุณแม่ฟังนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน

    “อย่างรามเนี่ยนะยอมให้คนไม่สนิทมาอยู่ใกล้ตัว”

    “ก็ยัยนี่เสนอเอง เพราะไม่อยากถูกลงโทษปรับตกรับน้องที่มาขโมยเกียร์ผม”

    “เด็กสมัยนี้เล่นอะไรกัน แม่ตามไม่ทันจริง ๆ”

    “คือคุณป้าคะ เอยมีเรื่องจะรบกวนถ้าเจอคุณแม่อย่าเล่าให้ท่านฟังนะคะ ไม่งั้นเอยตายแน่เลยค่ะ” ฉันพูดกับคุณป้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ จนท่านหัวเราะชอบใจ

    “หนูเอิงเอยนี่น่ารักจัง รู้แล้วว่าทำไมตารามถึงชอบ”

    “ชอบอะไรแม่ ไม่ใช่สักหน่อย”

    “แกไม่ชอบเหรอ แต่แม่ชอบนะ” คุณป้าหันไปดุพี่รามแต่หันมายิ้มให้ฉัน “หนูเอยไม่ต้องห่วงนะ ป้าไม่พูดหรอกจ้ะ”

    “ขอบคุณค่ะ”

    “ว่าแต่ผีตัวไหนเข้าสิงแก ถึงได้ลุกมาปลูกต้นไม้ ตอนแม่ชวนปลูกที่บ้านแกก็ไม่ยอมปลูก ไม่มาห้องแกสองอาทิตย์พลาดอะไรไปหรือเปล่าเนี่ย”

    “ผีตัวนี้แหละ”

    “เอยว่าปลูกต้นไม้แล้วคนเราจะอารมณ์ดีและใจเย็นมากขึ้น ก็เลย...” ฉันแอบมองพี่รามเพราะกลัวโดนดุ ทำให้คุณป้าหัวเราะชอบใจก่อนพูดแทน

    “อยากให้ยักษ์อารมณ์ดีเหรอลูก”

    “ใช่ค่ะ”

    “นี่ผมเป็นลูกแม่นะ”

    “ก็ใช่ไง ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”

    “อิ่มแล้วครับ ไปทำงานต่อดีกว่า” พี่รามลุกหนีไปอยู่หน้าแมคบุ๊กตามเดิม

    แล้วฉันก็เป็นคนช่วยคุณป้าเก็บล้างจาน จากนั้นคุณป้าก็นั่งคว้านเงาะกับมะปรางที่ซื้อมาใส่กล่องอย่างเป็นระเบียบ แอบเห็นมีกล่องเก็บผลไม้ที่ถูกจัดอยู่ในตู้เย็นของพี่ราม ก็คิดอยู่ว่าใครทำไว้ให้ คุณป้านี่เอง

    “ตารามชอบทานผลไม้ แต่ต้องปอกเปลือกคว้านเม็ดออกให้แบบพร้อมทาน ป้าเลยต้องเตรียมไว้ให้เผื่ออยากทาน”

    “ความจริงเอยอยากเข้าครัวทำอาหารมากเลยนะคะ แต่คุณแม่กลัวเกิดอุบัติเหตุแล้วจะส่งผลเวลารำก็เลยถูกสั่งห้ามทำอะไรเสี่ยง ๆ ทุกอย่างเลยค่ะ”

    “คุณแม่หนูเอยทำถูกแล้วจ้ะ มือสวย ๆ ถ้าเป็นอะไรไปแย่เลย”

    “แต่เอยช่วยเรียงให้ได้นะคะ เดี๋ยวเอยช่วยคุณป้าเรียงสวย ๆ เลย”

    “ได้จ้ะ”

    พอทำเสร็จ คุณป้าก็ให้ฉันยกจานผลไม้มาให้พี่รามที่ทำงานอยู่ห้องรับแขกทาน

    “ผลไม้ค่ะ คุณป้าคว้านเม็ดให้แล้ว ที่เหลือแช่อยู่ในตู้เย็นนะคะ”

    “อืม”

    พี่รามยังคงนั่งจริงจังอยู่ตรงนั้นและไม่ยอมตักทานสักชิ้น ฉันเลยจิ้มส่งไปที่ปากพี่รามซึ่งเขาก็ยอมทานเพราะกลัวน้ำที่ผลไม้จะหยดลงเอกสาร

    “หวานไหม”

    “หืม”

    “ผลไม้ไง หวานไหม”

    “ก็ดี”

    คนเลิ่กลั่กไม่มองตากัน แล้วแย่งส้อมไปทานเอง

    “ชิมบ้างสิ”

    “ก็ไปทำมาใหม่สิ”

    “ตารามแม่ทำมาให้แบ่งน้องทานด้วย” เขาถอนหายใจเพราะเถียงไม่ออกแล้วส่งจานผลไม้มาให้ฉันอย่างขัดใจ

    “รอแม่ไม่อยู่ ฉันเอาคืนแน่”

    “คุณป้าคะ” ฉันแกล้งเรียกเหมือนมีเรื่องจะฟ้องคุณป้า จนคนที่ขู่กันเมื่อกี้มองกันตาขวาง “มีอะไรให้เอยช่วยอีกไหมคะ”

    “ไม่มีจ้ะ งั้นป้าขอไปอาบน้ำแล้วก็เอนหลังก่อนนะ เหนื่อยมาทั้งวัน”

    “ฝันดีนะคะคุณป้า”

    “เออหนูเอย ป้าขอไลน์ไว้หน่อยได้ไหม ถ้ารบกวนก็ไม่เป็นไรนะลูก”

    “อ๋อ ไม่รบกวนเลยค่ะ เดี๋ยวเอยบันทึกไอดีให้ค่ะ”

    “แม่!”

    “ก็ถ้าพี่เขาแกล้งเมื่อไร ไลน์มาฟ้องป้าได้เลยนะลูก ป้าจะได้โทรมาด่ามันเอง” ฉันบันทึกเสร็จก็หัวเราะชอบใจที่คุณป้าดึงฉันไปเป็นพวก

    “เอาที่สบายใจ คิดว่าผมไม่ใช่ลูกก็ได้”

    “ป้าไปพักก่อนนะลูก แล้วแกก็ไปส่งน้องด้วยไม่ใช่ให้น้องกลับเองดึก ๆ ดื่น ๆ”

    “ผมไม่ใช่เด็กนะครับ”

    “บางทีแกก็ทำตัวยิ่งกว่าเด็ก ถึงได้ต้องสั่งทุกอย่างไง” คุณป้าบ่นจนภาพคนขรึมในหัวตอนแรกของฉันหายวับไปหมด

    “ไปพักเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

    ฉันกลับมานั่งที่โซฟาข้างยักษ์เอ๊ย ข้างพี่รามอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจมืดอีกต่อไป

    “แม่พี่รามน่ารักดีนะคะ”

    “ระวังตัวไว้เถอะ เอาคืนแน่”

    “แต่เอยมีไลน์คุณแม่พี่รามแล้วนะ”

    “ลองดูสิ ถ้าเธอฟ้องแม่ ก็ไม่ได้เกียร์แค่นั้นเอง” คนเอาแต่ใจบอกสีหน้าไม่สะทกสะท้าน

    “ใจยักษ์”

    “อะไรนะ”

    “บอกว่าพี่รามใจใหญ่มาก ไม่ทำแบบนั้นหรอกใช่ไหมคะ”

    “ได้ยิน” ฉันหลุดขำที่โกหกเขาไม่ได้ “จะกลับหรือยังเดี๋ยวไปส่ง”

    “ก็ดีค่ะ เดี๋ยวคุณแม่โทรมาโดนบ่นอีก”

     

    โรงอาหารคณะศิลปกรรมศาสตร์

    “ยัยเอย แกเจอคุณแม่พี่รามด้วยเหรอวะ โอ๊ยอยากเป็นแกว่ะ ฉันจะได้ปรนนิบัติคุณแม่สามีในอนาคตอย่างดี”

    “เบาสิคิมมี่ จะตะโกนให้ได้ยินทั้งคณะเลยหรือไง”

    “นี่คิมมี่แกกล้ามโนว่าเป็นเมียพี่รามได้ไง เพราะคุณแม่พี่รามขอไลน์ว่าที่ลูกสะใภ้ไปแล้ว แถมยังพรหมลิขิตไปรำให้งานเปิดโรงแรมคุณน้าของเขาอีก นี่มันเป็นฝันที่เกินฝันจริง ๆ”

    “พูดอะไรของแกทิชา ฉันไม่ได้ชอบพี่รามหรืออยากได้เขาเป็นแฟนสักหน่อย”

    “ปลอมมาก” ทุกคนพูดพร้อมกันยกเว้นรถเมล์ที่นั่งทานข้าวแล้วมองยัยพวกนี้เหมือนตามเรื่องไม่ทัน

    “ที่ต้องไปสนิทกับพี่เขาพวกแกก็รู้ว่าเพราะอะไร ถ้าได้เกียร์ไปให้พี่ไลลาฉันก็เลิกไปยุ่งกับเขาแล้ว”

    “แกทำใจไม่ตกหลุมรักพี่รามไหวได้ไงวะ ถ้าเป็นฉันต้องเจอพี่เขาทุกวัน ใกล้ชิดทุกวันฉันคงหาทางขึ้นจากหลุมรักไม่ไหวแน่” พิมมี่ทำเสียงมโนไปไกล

    “จริงลูกสาว เป็นแม่เนี่ยจังหวะนี้พลีกายได้เสียเป็นผัวเมียแล้วค่ะ”

    “พูดจาน่าเกลียดนังคิม”

    “โอ๊ยน่ากงน่าเกลียดอะไรทิชา แกดูเบ้าหน้าฟ้าประทานขนาดนั้น แค่สามชั่วโมงฉันก็ระทวยแล้วจ้า”

    “ยังอีกพวกแกเนี่ย มโนไปไกลแล้ว ฉันจะไปซื้อน้ำพวกแกเอาอะไรไหม”

    “ไปด้วย ฉันจะไปหาขนมกิน”

    ทิชาอัปเดตเรื่องตัวเองกับพี่อินอวดกันชุดใหญ่ แค่รู้ว่าทั้งคู่พัฒนาไปในทางที่ดีฉันก็โอเค แต่ถ้าหากพี่ชายฉันทำเพื่อนสนิทคนนี้เสียใจเมื่อไรฉันไม่เอามันไว้แน่

    “น้ำแดงแก้วหนึ่งค่ะ”

    หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จ และกำลังจะกลับที่โต๊ะพร้อมทิชา ดันโดนคนที่อยู่ด้านหลังตั้งใจเดินมาชนมือข้างที่ถือน้ำจนน้ำแดงหกใส่เสื้อตัวเองเป็นดวงใหญ่

    “เฮ้ย!”

    “อุ๊ย เดินยังไงของเธอเนี่ย ไม่ระวังเลย”

    “พี่ไลลา” เราจ้องหน้ากันไม่มีใครถอย

    “ชนคนอื่นไม่คิดจะขอโทษหรือไงคะน้องเอย”

    “แต่พี่ไลลาเดินมาชนเอยเองนะคะ”

    “น้องทิชาเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เพื่อนพี่ยืนรอซื้อน้ำอยู่ดี ๆ น้องเอยหันมาชนเองนะคะ” พี่ของขวัญเพื่อนสนิทพี่ไลลาตอบกลับ

    “ได้ข่าวว่าเธอไปไนต์มาร์เก็ตกับรามมาเหรอ”

    “ค่ะ”

    “แล้วก็ไปคอนโดรามด้วย”

    “ใช่ค่ะ”

    “ฉันขอเตือนไว้เลยนะ ต่อให้เธอใช้ร่างกายเข้าแลก เธอก็ไม่มีทางได้เกียร์จากรามหรอก”

    “คนที่คิดเรื่องแบบนั้น มันมีด้วยเหรอคะ ปัญญาอ่อนจัง” ฉันแสร้งยิ้ม “ขอบคุณที่มาเตือนนะคะ แต่เอยไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นหรอกค่ะ พี่สบายใจได้”

    “เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองอาทิตย์ สู้ ๆ นะ” พี่ไลลายกมือมาบีบต้นแขนกันแรงพอสมควร “ไปเถอะขวัญ ฉันไม่อยากกินน้ำแล้ว”

    “เอ่อ...พี่คงไม่ได้ลองทำแบบนั้นแล้วมันไม่เวิร์กเลยมาเตือนเอยหรอกใช่ไหมคะ”

    “นังเอย!” จากที่พี่ไลลากำลังจะไปก็กลับมาฟาดฟันกันด้วยสายตาอีกรอบ แต่เธอไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่าการเรียกจิกหัวกันหรอก คนอยู่เยอะเกินกว่าเธอจะทำลายภาพลักษณ์ที่สร้างไว้ว่าเป็นรุ่นพี่ผู้แสนดีและอ่อนโยน

    “เตรียมคำขอโทษเอยต่อหน้าคนอื่นไว้ดี ๆ นะคะ สำหรับเรื่องรับน้องกับเรื่องวันนี้ เพราะเอยเอาเกียร์จากพี่รามมาให้พี่ได้แน่นอน”

    “แกคิดว่าแกเป็นใคร”

    “เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ค่ะ เอยไม่มีวันแพ้พี่แน่ ยิ่งพี่คิดว่าเอยทำไม่ได้ เอยจะทำทุกทางเพื่อเอาเกียร์พี่รามมาให้ได้”

    “คนอย่างแกไม่มีวันทำสำเร็จหรอก นังนอกคอก”

    “ไม่เอาค่ะ ไม่เรียกจิกหัวนะคะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นพี่โวยวายแบบนี้จะเสียภาพพจน์ ส่วนอันนี้เอยให้ค่ะ เผื่อจะดับร้อนได้” ฉันยกแก้วน้ำแดงที่เหลือใส่มือพี่ไลลา แล้วเดินผ่านสองคนที่สบถด่าออกมาโดยไม่หันกลับไปมองอีก

    “ฟาดมากแม่ พี่ไลลาแม่งเจ๋งว่ะทำให้ปีศาจร้ายในตัวแกออกมาได้ทุกรอบ”

    “จงเกลียดจงชังฉันนักเดี๋ยวก็จีบพี่รามจริง ๆ ซะเลย”

    “อยากจะแหมมมมม ไปถึงดาวอังคาร หาข้ออ้างเก่ง”

    “ไม่ได้หาข้ออ้างเว้ยแค่หมั่นไส้ มาท้าเองตอนนี้กลับมากลัว แล้วดูดิเนี่ยเปรอะเสื้อนักศึกษาหมด” ฉันบ่นอย่างหัวเสีย แต่พอถึงทางเลี้ยวไปโต๊ะอาหารก็เจอพี่ภณมาพร้อมพี่รามที่จ้องเสื้อฉันด้วยความสงสัย

    “น้องทิชา น้องเอยเห็นพราวไหม...แล้วนั่นเสื้อแฟชั่นใหม่เหรอ”

    “ก็ยัยเอยมีเรื่อง...”

    “เอยซุ่มซ่ามน่ะค่ะ ทำน้ำแดงหกใส่” ฉันหยิกต้นแขนยัยทิชาให้หยุดพูดแล้วรีบตอบพี่ภณก่อนที่มันจะโพล่งออกไปหมด ได้โดนพวกพี่เขาซักประวัติยาวแน่

    “เวลาจะทำอะไรเธอมีสติบ้างไหมเนี่ย”

    “เอยก็ไม่ได้ตั้งใจปะ ดุทุกเรื่องเลย”

    “ไอ้รามมึงมีช็อปอยู่ในห้องสโมฯ นี่ เอามาให้น้องเอยดิเสื้อน้องเปียกเยอะเลย”

    “อ๋อไม่เป็นไรค่ะพี่ภณ เดี๋ยวเอยไปล้างแล้วปล่อยให้มันแห้งเองก็ได้”

    “ตัวปัญหาของแท้เลย...ตามมานี่” พี่รามดุเสียงเข้มจนยัยทิชาผลักหลังฉันให้เดินตามพี่เขาไป

    “เดี๋ยวฉันเอาของแกไปให้ที่ห้องเรียนเอง ไม่ต้องห่วงนะเพื่อน”

    พอถึงห้องสโมสรนักศึกษา พี่รามคว้าขวดน้ำแล้วดึงแขนกันออกมาข้างลานเกียร์ จากนั้นก็เทน้ำลงใส่เสื้อที่เปรอะอยู่จนมันดวงใหญ่กว่าเดิมอีก

    “เดี๋ยวเอยล้างเอง” ฉันดึงขวดน้ำมาทำเอง ไม่งั้นมันคงเปียกไปทั้งตัวแน่ “จะอาบน้ำให้หรือไง รุนแรงเหลือเกิน”

    “นี่ซุ่มซ่ามเองหรือจับฉลากได้มาเนี่ย มีวันไหนที่มาเรียนปกติเหมือนคนอื่นเขาบ้าง”

    “ใครมันจะอยากซุ่มซ่ามทำน้ำหกใส่เสื้อถามหน่อย”

    พอล้างเสื้อเสร็จ พี่รามก็โยนช็อปที่ถูกคลุมเก้าอี้ทำงานอยู่ใส่หัวกันด้วยท่าทีเบื่อหน่าย

    “ขอบคุณค่ะ”

    “สร้างสถานการณ์ปะเนี่ย”

    “หมายถึง?”

    “จะได้ใส่ช็อปของฉันไง”

    “โอ๊ยใครจะไปคิด เอยจะรู้ได้ยังไงว่าจะเจอพี่รามหลังจากทำน้ำหก แล้วเมื่อกี้พี่รามมาที่คณะเอยเองนะหลงตัวเองนะเนี่ย”

    “ให้มันจริงเถอะ”

    “ว่าแต่เมื่อเช้าก่อนมาเรียนพี่รามดูเด็ก ๆ ของเอยหรือยัง”

    “เด็ก ๆ”

    “แคคตัสไง ดินแห้งหรือยัง”

    “ลืม เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยดู”

    “เดี๋ยวพรุ่งนี้เอยไลน์ไปเตือนก่อนพี่ออกจากห้องดีกว่า เพราะมันต้องรดน้ำตอนเช้า”

    “แล้วงานที่ให้พิมพ์เสร็จหรือยัง”

    “เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่อยู่ในแฟ้มเดี๋ยวตอนเย็นเอยเอามาให้” ฉันมองนาฬิกา “เอยไปเรียนก่อนนะ ต้องเปลี่ยนใส่โจงแดงก่อนเข้าคลาสด้วยเดี๋ยวสาย”

    มันเป็นคลาสรำไทยที่พวกเราต้องเปลี่ยนกระโปรงเป็นผ้าแดงที่นุ่งเป็นโจงกระเบน

    “มีสติไปเรียนด้วยล่ะ ไม่ใช่ไปซุ่มซ่ามที่ไหนอีก”

    “รู้แล้วน่า”

    “เดี๋ยว” พี่รามดึงคอเสื้อเอาไว้ “ช็อปฉันไม่ใช่ของเล่นนะ”

    “หมายถึง?”

    “ไม่ต้องใจดีให้คนอื่นยืมใส่” ฉันพยักหน้ารับเมื่อรู้ความหมาย

    แล้วสิ่งที่คิดไว้ก็ไม่ต่างจากที่จินตนาการเลยสักนิด ฉันโดนแซวตั้งแต่ก้าวขาเข้าห้องเรียน ถูกทั้งเพื่อนและอาจารย์แซวเรื่องช็อปไม่หยุด แล้วก็โดนไปรำการแสดงโชว์เพื่อนที่หน้าห้องอีกเพราะช็อปวิศวะที่ใส่ตอนต้นคลาสแท้ ๆ เลย

    พอเลิกคลาสขนมขิงก็มาสร้างความมโนแลนด์ให้เพื่อนในสาขาอยากมีแฟนเป็นวิศวะอีกจนได้ โดยพวกมันสุมหัวกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

    “พวกแกรู้ความหมายของเกียร์ไปแล้ว แล้วพวกแกรู้ความหมายของช็อปไหม”

    “มันหมายความว่ายังไงวะ”

    “ก็ถ้าเกียร์เปรียบเสมือนหัวใจ ช็อปก็เปรียบเสมือนจิตวิญญาณ”

    “ยังไงวะ”

    “ก็เวลาแกเห็นช็อปวิศวะ พวกแกก็รู้ทันทีใช่ไหมว่านั่นคือวิศวกรรมศาสตร์ ก็เหมือนวิญญาณที่อยู่ในร่างกายไง”

    “เฮ้ยยยยยย โรแมนติกเวอร์”

    “ก็บอกแล้วไงว่าน้ำแดงมันหกใส่ แกเลิกขายฝันเพื่อนได้ไหมขนมขิง” ฉันรีบพับเสื้อช็อปพี่รามใส่กระเป๋าหลังจากที่ถอดแขวนไว้ตอนที่เปลี่ยนใส่โจงแดง เพราะตอนรำถ้าใส่ช็อปมันรำไม่ถนัด

    “อิจฉาโว้ย อยากมีผัวเรียนวิศวะ”

    “แม่ใจเย็นสิ เดี๋ยวพอร์ชได้ยินหรอก”

    “ช่างพอร์ชไปก่อน ยัยเอยฉันขอยืมใส่บ้างสิ แกจะรีบเก็บไปไหนเนี่ย” คิมมี่โวยวาย

    “ไม่ได้”

    “หวงเก่ง ไหนบอกไม่คิดอะไรไง”

    “ไม่ได้หวง แต่มันไม่ได้ มันไม่ใช่ของฉัน”

    “จ้ะ ไม่หวงก็ไม่หวง มองจากลอนดอนมาก็รู้ว่าไม่หวงเลย” ยัยคิมมี่ว่าแบบงอน ๆ

    “แบบนี้เราก็มีโอกาสที่จะได้เกียร์จากพี่รามใช่ไหมวะ” เพื่อนในสาขาเราแสดงสีหน้าดีใจหลังรู้ว่าเรื่องของฉันเริ่มมีหวัง

    “ยังไม่รู้ว่ะ ก็ต้องรอลุ้น”

    “แต่รถเมล์ว่าถ้าเราไม่รีบไปรับน้อง เราได้ลุ้นแน่ว่าจะโดนลุกนั่งกี่ครั้ง”

    “เฮ้ยจริงด้วย พวกแกนี่ไม่เตือนกันเลย”

    พวกเรารีบออกตัวไปยังลานคณะทันที โชคดีที่วันนี้รุ่นพี่ปีสามเลิกเรียนช้าเหมือนกัน และตอนนี้เพิ่งเริ่มรวมตัวกันอยู่เลยไม่ถูกทำโทษอะไร

    หลังจากตรวจเครื่องแบบกับป้ายชื่อเสร็จ พี่ไลลาตั้งป้อมถล่มฉันเต็มที่เพราะเธอจงใจเรียกชื่อฉันออกไปหน้าแถวปีหนึ่งทันที

    ไม่แปลกใจเลย เพราะตอนกลางวันฉันพูดจากวนประสาทเธอไปหลายชุด

    “วันนี้พี่ได้ยินว่าเด็กปีหนึ่งคณะของเราใส่ช็อปวิศวะมาเรียนซึ่งมันผิดระเบียบ มีคนบอกว่าเป็นน้องเอิงเอยจริงหรือเปล่าคะ”

    ใครไปฟ้องนะ ฟ้องเก่งเหลือเกิน พี่แกรู้ดีเหมือนมาเรียนอยู่ในห้องเดียวกันเลย

    “จริงค่ะ เพราะว่าเสื้อนักศึกษาเอยเปียก เลยมีรุ่นพี่เอาเสื้อมาให้ใส่คลุมก็แค่นั้น พอเสื้อแห้งเอยก็ไม่ได้ใส่แล้ว”

    “ไม่รู้เหรอคะว่ามันไม่สมควร”

    “อะไรที่ไม่สมควรคะ”

    “เถียงรุ่นพี่และทำผิดกฎของนักศึกษา ไม่ได้เรียนวิศวะแต่ใส่ช็อป พี่ขอสั่งให้ไปวิ่งรอบสนามกีฬาสามสิบรอบ”

    “เฮ้ย!” ทุกคนร้องเสียงตกใจแทนฉัน

    วันนี้ดันทะเลาะกับเธอ แถมถ้าเดาไม่ผิดเธอน่าจะหมั่นไส้ที่ฉันได้ใส่ช็อปพี่รามแหง ๆ ซวยจริง

    “เกินไป” เสียงจากฝั่งสตาฟสาขาฉันตะโกนบอก

    “ทำไม หรือมีคนอื่นจะไปวิ่งแทน”

    “มี” เสียงของใครบางคนทำให้ทั้งลานคณะศิลปกรรมฯ หันไป

    มองเพราะเขาตอบเสียงดังฟังชัดและหนักแน่น

    “คนละสิบห้ารอบ น้องเอยวิ่งไหวใช่ไหมครับ”

    sds

    ใจลึกๆ ก็อยากขอบคุณไลลาเลยนะที่ทำให้ยัยน้องได้ใส่ช็อป55555

    การได้ใส่ช็อปวิศวะมันเป็นเขินนะแกกกกก อีคนพี่ก็หวงแหละ

    เสื้อน้องเปียกขนาดนั้น ไม่มีทางปล่อยให้น้องโชว์หรอก

    นี่เอาจริงๆ ชอบการกระทำแบบอีพี่รามนะที่ปากมันไม่ตรงกะใจ แต่การกระทำมันชัดเจน

    แต่ว่า....ใครกันน๊ามาช่วยยัยน้องวิ่ง ลองเดาดูนะคะ จะใช่คนพี่หรือป่าว???

    ถ้าชอบตอนนี้อยากลืมกดหัวใจ และคอมเมนต์ให้กันน๊า

    ขอบคุณที่คนที่ติดตามนะคร๊าฟฟฟฟ <3

    sds

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×