ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Engineer Romance ศิลปกรรมขอเกียร์ เอนจิเนียร์ขอใจ END

    ลำดับตอนที่ #4 : Episode - 2 - สะดุดรักลานเกียร์ระวังเป็นเมียวิศวะ [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.21K
      332
      8 พ.ค. 66

    ห้องเรียนสาขานาฏศิลป์ไทย

    Earng Aoei Say;

    “นี่แกไปขอเกียร์พี่รามโต้ง ๆ แบบนี้เลยเนี่ยนะ”

    “เออ”

    “แล้วพี่รามเขาว่ายังไง”

    “จะว่ายังไงอะ ให้แห้วมาไร่หนึ่งนี่ไง” เป็นทิชาที่ตอบแทนทำให้เพื่อนทั้งสาขาคอตกไปเลย

    “ยัยเอยเอ๊ย!!!”

    ความจริงคือหลังจากที่ฉันเอ่ยปากขอเกียร์พี่ราม ทั้งห้องก็ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบทันที พี่รามไม่ได้ตอบอะไร แล้วกลับไปนั่งซ่อมเจ้าหุ่นยนต์ต่อ ส่วนพี่คนอื่นก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กจนฉันถูกพี่พริบพราวดึงออกมาจากตรงนั้นทันที

    “คิดได้ไงวะบุกไปขอเกียร์ดื้อ ๆ แบบนี้พี่เขาก็ยิ่งระวังตัวดิวะ จากนี้ไปแกเข้าหาพี่เขายากแน่”

    “ฉันบอกเขาแล้วว่าขอยืมชั่วโมงเดียวแต่เขาไม่ให้ ก็คิดว่าพี่เขาจะใจดีไง เห็นว่าพี่พราวสนิทด้วยนึกว่าจะง่ายอะ”

    “แล้วพี่เขาเป็นยังไงบ้างอะแก หล่อมากปะ”

    “หล่อมากกกกก โคตรหล่อ ขาว สูง คิ้วเข้ม อยู่ในชุดช็อป ซ่อมโปรเจกต์อยู่ มือเปื้อนน้ำมันแต่เห็นเส้นเลือดเป็นเส้น ๆ ชัดเจน โคตรดี แล้วเบ้าหน้าฟ้าประทานสุด” ฉันพรรณนาสิ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำตั้งแต่เมื่อวานให้เพื่อน ๆ ฟัง

    “กรี๊ดดดดด อิจฉา”

    “เกินเบอร์ไปมาก อธิบายซะเห็นภาพ”

    “แต่พี่แม่ง ไม่ยอมให้เกียร์มานี่แหละ”

    “นี่แกไม่รู้หรือไงว่าเกียร์มันเป็นหัวใจของวิศวะนะเว้ย” ขนมขิงเพื่อนในสาขาฉันเล่าต่อ “ปกติเขาจะให้คนพิเศษกันเท่านั้น คนที่เขามั่นใจว่าจะรักไปจนตาย” ว่าแล้วเธอก็ยกกำไลข้อมือที่มีเกียร์ขึ้นโชว์

    “ขิงเก่งตามชื่อว่ะ” คิมมี่เหลือกตาใส่

    “ไม่ได้ขิง แต่พูดเรื่องจริง ฉันกับแฟนคบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นพี่เขาถึงมั่นใจ เพราะเกียร์วิศวะกว่าที่วิศวะแต่ละรุ่นจะได้มามันไม่ง่ายเลยนะเว้ย วิศวะมหา’ ลัยอื่นฉันไม่รู้นะแต่มหา’ ลัยเรานอกจากต้องรับน้องให้ครบแล้วยังต้องเก็บตราประทับจากรุ่นพี่ให้ครบสิบคน แต่ละคำสั่งคือหิน ๆ ทั้งนั้น แล้วไหนจะต้องพิสูจน์รุ่นของวิศวะอีก ไม่ใช่ว่าได้กันครบทุกคนนะจ๊ะ”

    “ใช่จ้ะ แล้วยิ่งเป็นเกียร์ของสโมสรนักศึกษาได้มายากกว่าเป็นสิบเท่า”

    “พี่พริบพราว สวัสดีค่ะ” พวกเราหันไปทางรุ่นพี่คนสวยที่ถือกระเป๋านักเรียนมาให้ฉัน ก็ที่โดนล็อกไว้เมื่อวานนั่นแหละ เมื่อเย็นหลังจากที่บุกไปหาพระรามเอ๊ยพี่รามมาก็ได้ชุดของพี่พริบพราวนี่แหละที่ให้ฉันใส่กลับคอนโด ส่วนชุดนางสีดา พี่พริบพราวก็อาสาไปคืนอาจารย์ให้แทน

    “เกียร์ของวิศวะกับของสโมสรนักศึกษาไม่เหมือนกันเหรอคะ”

    “ไม่เหมือนจ้ะ อย่างที่เรารู้กันว่าวิศวะเขาจะรับช่วงต่อของสโมสรนักศึกษาใช่ไหมล่ะ ทำให้ต้องเข้ากิจกรรมสุดโหดในแต่ละรุ่น ซึ่งเป็นความลับของวิศวะ ในการทดสอบแต่ละปีจะไม่เหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าทดสอบยังไง แต่ถ้าหากผ่านเข้ามาเป็นสโมสรจากรุ่นพี่ปีสี่ได้ก็จะได้เข็มกลัดเกียร์ที่ติดหน้าอกที่พี่ ๆ ราชันเอนจิเนียร์ติดกัน”

    “เท่ากับว่าพวกพี่เขาก็จะมีเกียร์สองอัน”

    “ใช่จ้ะ”

    “แค่เกียร์วิศวะธรรมดาก็หินขนาดนั้นแล้ว นี่เกียร์แบบสโมสรนักศึกษาไปอี๊ก พวกเราเตรียมตัวไปซ่อมรับน้องปีหน้าได้เลยจ้า” พิมมี่ยิ้มแห้ง

    “แม่จะเป็นลม”

    “นี่พวกแกไม่ให้กำลังใจเลยหรือไง เหลือเวลาอีกตั้งเดือนกว่า ให้กำลังใจหน่อยสิ”

    “แกยังคิดว่าพี่รามเขาจะให้เกียร์แกอยู่อีกเหรอ ถ้าขโมยอะว่าไปอย่าง”

    “ขโมยเหรอ น่าสนใจว่ะ”

    “เดี๋ยวนะ พี่ว่านอกจากจะไม่ได้เกียร์แล้ว ยังโดนจับด้วยนะแบบนั้น”

    “พี่พริบพราว พวกเราได้ยินว่าพี่สนิทกับพี่ภณมาก ช่วยพูดกับพี่ภณหน่อยได้ไหมคะ พวกเราไม่อยากซ่อมรับน้องปีหน้า มันน่าอายรุ่นน้องนะคะแบบนั้น”

    จริงด้วย เมื่อวานพี่พริบพราวนี่แหละเป็นคนชี้เป้าว่าพวกพี่ราชันเอนจิเนียร์อยู่ที่ไหน ถ้าให้พี่พริบพราวช่วยอีกแรงก็น่าจะง่ายขึ้นนะ

    “เขาลือกันว่าพี่เป็นคนสนิทพี่ภณเลยนี่คะ”

    “คือคุณแม่พี่เคยรับใช้คุณย่าของภณน่ะ พอคุณแม่พี่เสียคุณย่าเลยเลี้ยงดูพี่มาเพื่อให้พี่ดูแลภณอีกที สถานะพี่ไม่ได้อยู่ในฐานะจะต่อรองหมอนั่นได้หรอก อีกอย่างรามไม่เหมือนคนอื่นด้วย”

    “ไม่เหมือนยังไงเหรอคะ”

    “วิศวะเขาเล่าต่อ ๆ กันมาว่ารามแอนตี้เรื่องให้เกียร์กับแฟนมาก เพราะมีคนเคยมาขอให้หย่อนกฎที่รับเกียร์ของวิศวะ แต่รามบอกว่าการให้เกียร์กับคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่ให้เกียรติคณะ ไม่ให้เกียรติรุ่นพี่และตัวเองที่เป็นนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์”

    “ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยสบายใจหน่อย”

    “สบายใจอะไรของแกเอิงเอย ดูหน้าเพื่อนแต่ละคนด้วยจ้า”

    “สบายใจว่าได้ซ่อมรับน้องปีหน้าแน่ ๆ” คิดว่าฉันไม่เครียดเหรอ เครียดตั้งแต่เมื่อวานแล้วโว้ย

    “พี่ถึงได้ห้ามเราไง”

    “ใครจะไปรู้ล่ะคะ ว่ามันมีสตอรี่ขนาดนี้”

    “แบบนี้ก็หมายความว่าพี่ไลลาตั้งใจแกล้งเราชัด ๆ” พิมมี่เพิ่งเข้าใจ

    “ก็ใช่ไงเด็ก ๆ เพิ่งเข้าใจเหรอ”

    “เป็นที่มาของคำว่าหนีเสือปะจระเข้” รถเมล์กล่าว นาน ๆ มันจะพูดทีก็ให้กำลังใจกันดีมาก

    “เอาเป็นว่ามีอะไรที่พี่ช่วยได้ก็บอกนะ ไว้เจอกันตอนเย็น”

    “บายค่า”

    “ยัยเอยเพราะแกเลย วุ่นวายทั้งสาขา”

    “เพราะฉันอะไร เพราะพี่ไลลาปะ”

    “เออ ๆ พูดขึ้นมาแล้วเพิ่งนึกออก เมื่อคืนแม่ไปสืบจากรุ่นพี่ที่รู้จักกับพี่ไลลามาได้”

    “แม่ไปสืบอะไรมา”

    “เขาบอกว่าตอนปีสองถึงปีสามพี่รามกับพี่ไลลาเขาเคยกิ๊กกันมาก่อน แต่ว่าฝ่ายชายไม่ยอมชัดเจน ไม่ยอมเปิดตัว นางขอเกียร์ก็ไม่ยอมให้ ทางฝ่ายหญิงก็เลยไปคุยกับคนอื่นประชดนึกว่าชายจะตามมาง้อ สรุปชายเซย์กู๊ดบายจ้า”

    “เฮ้ยจริงดิ ชัวร์ปะเนี่ยนังคิม” ทิชาตาโต

    “สายข่าวฉันชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์”

    “เป็นอะไรกับเกียร์มากปะวะ หมกมุ่นเกิน”

    “นี่ถ้าหากยัยเอยเอาเกียร์มาได้คงสนุกดีเนอะ” ทิชาเริ่มยุยง “จะว่าไปเพื่อนฉันก็สวยไม่เป็นสองรองใครนะเนี่ย”

    “อะไรของแกเนี่ย”

    “ใช้ความสวย ความน่ารัก ความสดใสไปคว้าใจพี่รามมาสิ” คิมมี่สบตากับทิชาก่อนจะแท็กทีมประสานมือกันในเรื่องที่ทั้งสองคิดตรงกัน

    “แกหมายถึงให้ฉันไปหลอกจีบพี่รามเพื่อเอาเกียร์มาเหรอ อ่านนิยายเรื่องไหนมาอีก?”

    “เฮ้ย ก็ไม่แน่นะเว้ย ตอนนี้คิดอะไรออกก็ต้องทำแล้วปะ ไม่มีทางเลือก”

    “ก็แกเพิ่งเล่าอยู่ว่าพี่ไลลาจีบกับพี่รามเป็นปีเขายังไม่ให้เกียร์เลย แล้วกับฉันแค่เดือนเศษอย่าว่าแต่ได้เกียร์เลย ให้เข้าใกล้เขาเผลอ ๆ พี่เขายังไม่ให้เข้าใกล้เลยมั้ง”

    “หรือแกจะรอให้พี่รามเขาเดินมาหาแกแล้วบอกว่าน้องเอยครับ พี่เอาเกียร์มาให้น้องเอยครับแบบนี้หรือไง” ยัยทิชาประชด

    “เราต้องเชื่อในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่เชื่อ”

    “อันนั้นมันหนังเรื่องสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดปะแม่”

    “หรือใครคิดแผนอื่นที่ดีกว่านี้ได้ เสนอมาสิ”

    “ถ้ารู้ว่าที่มหา’ ลัยนี้มันรับน้องโหดขนาดนี้ฉันไปเรียนเอกชนดีกว่า ไม่โดนสาขาอื่นบูลลี่ขนาดนี้ด้วย”

    หนึ่งในเพื่อนของเราเสนอแล้วฉันก็เห็นด้วยกับมัน แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนคุณแม่ฉันไม่มีทางปล่อยมาเรียนที่กรุงเทพฯ แน่

    “เออจริง”

    “สรุปเอาแผนแม่ไหมลูกสาว”

    “ก็อาจจะ ขอคิดดูก่อน ฉันไม่เคยจีบใครมาก่อนนี่หว่า”

    “ถ้าทำได้แม่จะรำถวายหัวให้เลยนะลูกสาว ท่องไว้เพื่อสาขา เพื่อสาขา เพื่อสาขา”

    “ฉันคิดออกแล้ว”

    “อะไรขนมขิง” พวกเราที่นั่งกันอยู่สิบกว่าคนหันขวับไปที่เธอ

    “ไปบนกัน”

    “บน?”

    “เขาว่ากันว่าศาลหน้ามหา’ ลัยศักดิ์สิทธิ์มากนะเว้ย”

    “เพ้อเจ้อ” ฉันว่าแบบปลง ๆ นึกว่าคิดอะไรดี ๆ ออก

    ฉันไม่เชื่อเรื่องการบนบานศาลกล่าว แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าปีสองพันยี่สิบแล้วเพื่อนในสาขานาฏศิลป์ไทยของเราจะเป็นสายมูเตลูกันทั้งสาขาขนาดนี้ ฉันถึงได้โดนลากมาศาลหน้ามหาวิทยาลัยหลังจากจบคลาสเช้าจนได้

    “ข้าพเจ้าขออธิษฐานจิตต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ถ้าหากว่าเอิงเอยสามารถได้เกียร์จากพี่ราม รามิลได้ก่อนจบรับน้องไปให้พี่ไลลาได้สำเร็จ พวกเราทุกคนจะรำแก้บนให้ชุดใหญ่ที่ลานหน้าคณะเลยเจ้าค่ะ”

    “ทำไมต้องรำด้วยวะ?”

    “มันเป็นการบนบานไง แกก็ต้องมีสินบนให้ท่านด้วย พูดตามก่อนเถอะน่า”

    แล้วฉันก็ต้องว่าตามขนมขิงจนจบเพื่อความสบายใจของเพื่อนทุกคนที่กดดันอยู่

    “พวกแกนี่มัน ทำได้ทุกทางจริง ๆ”

    “เออ เพื่อความสบายใจและเป็นขวัญกำลังใจ”

    “แล้วนี่ไปกินข้าวที่ไหนกันดีวะ บ่ายไม่มีเรียนต้องรอรับน้องตอนเย็นอีก ขี้เกียจมาก”

    “ไปดูหนังรอดีไหม” ขนมขิงเสนอ

    “เออดี ๆ พวกแกไปไหม”

    “ไม่อะ พวกแกไปเถอะ” ฉันต้องใช้ความคิดต่อ ไม่มีทางมารอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอย่างเดียวหรอก ไม่ทันใจ

     

    โรงอาหารคณะศิลปกรรมศาสตร์

    “มีใครบังคับให้มันกินข้าวหรือเปล่าวะ ทำหน้ายังกับโดนบังคับ”

    “เป็นใครก็กลืนไม่เข้าปะ แบกความรับผิดชอบของคนทั้งสาขาไว้ขนาดนี้”

    “อะ น้ำแดงชูกำลัง มันช่วยให้สดชื่นได้นะ”

    “ขอบใจนะรถเมล์” ฉันดูดน้ำแดงจนหมดแก้วแล้วตัดสินใจกับตัวเอง “ฉันตัดสินใจแล้ว”

    “แกจะไปจีบพี่ราม?”

    “ฉันจะไปขโมยเกียร์พี่เขา”

    “แกจะบ้าเหรอ คุ้มโดนจับไหมเนี่ย”

    “คุ้มดิ ก็รีบขโมยเอาไปให้พี่ไลลาดูแล้วก็เอาไปคืน ฉันว่าพี่รามมีเกียร์ถึงสองอัน อันหนึ่งพี่เขากลัดติดอกอีกอันเขาคงไม่ไว้กับตัวหรอก เพราะเมื่อวานฉันไม่เห็นเขาห้อยที่มือหรือที่คอ”

    “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าพี่เขาเก็บเกียร์ไว้ที่ไหน”

    “ก็ต้องสืบ แต่ฉันทำคนเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งพวกแกด้วย”

    “ยังไงวะ”

    แล้วฉันก็พาเพื่อนอีกสี่คนมาแอบส่องอยู่ข้างตึกวิศวกรรม

    ที่ฉันกำลังเล็งอยู่คือห้องสโมสรนักศึกษาที่เลยไปทางลานเกียร์วิศวกรรมศาสตร์ที่มีคนนั่งอยู่จำนวนมาก และส่วนมากก็เป็นกลุ่มผู้ชายด้วย บ้างก็นั่งจับกลุ่มเล่นเกม บ้างก็เล่นกีตาร์ร้องเพลง บ้างก็ทำรายงาน บ้างก็เตะฟุตบอล มันเป็นลานขนาดใหญ่ข้างตึกวิศวกรรมศาสตร์ที่เป็นจุดฮิตอันดับหนึ่งของเด็กคณะนี้เลย

    “แก๊...ลานเกียร์ในตำนาน” ยัยพิมมี่กับคิมมี่กรี๊ดกร๊าดกันสุด ๆ “ลานเกียร์ทำไมตี๋จังวะ ยิ้มทีใจละลาย”

    “จริงแม่ ช็อปแน่น ๆ ละลานตาไปหมด”

    “เขาว่ากันว่าใครที่สะดุดลานนี้จะได้แฟนวิศวะนะเว้ย ฉันเลยเลือกเรียนที่นี่ตั้งแต่ได้ยินตำนานนี้เลย อยากได้วิศวะเป็นแฟนเว้ย” ยัยคิมมี่พูดพร้อมบิดไปบิดมา

    “พื้นเรียบขนาดนี้อะนะ” คือมองไปไม่เห็นมันจะมีส่วนไหนที่น่าสะดุดเลยไง “เพ้อเจ้อว่ะ”

    “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ปะ” คิมมี่ค้อนขวับ แถมยังก้มลงคลายเชือกรองเท้าผ้าใบให้มันยุ่ง ๆ “เผื่อแม่จะได้ผัววิศวะกับเขาบ้าง”

    “เลิกเล่นกันได้แล้ว ฉันจริงจังนะเว้ย”

    “รับบทเป็นหัวขโมยเนี่ยนะ ถ้าแม่แกรู้นะเอย”

    “เรียกว่าขอยืมแบบไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวก็เอามาคืนแล้ว”

    “บ้านรถเมล์เรียกว่าขโมยนะเอิงเอย”

    “โอเค ๆ ช่างเรื่องนั้นก่อน เรื่องที่เราจะต้องทำต่อไปก็คือฉันว่าเขาอาจจะเก็บเกียร์ไว้ที่ห้องสโมสรนักศึกษา พี่พราวบอกฉันเองว่ามันเป็นห้องที่พี่รามอยู่บ่อยที่สุด”

    “โห พวกเราจะเดินผ่านเด็กวิศวะทั้งลานนี้ไปเนี่ยนะ โดนมองแน่ ๆ แผนแตกชัวร์” ทิชาว่า

    “ฉันจะเข้าไปกับคิมมี่สองคน ส่วนทิชาแกไปอยู่มุมตึกวิศวะฝั่งซ้าย พิมมี่ไปอยู่ฝั่งขวา คอยดูสถานการณ์ให้พวกฉัน ส่วนรถเมล์ไปนั่งอยู่ที่ลานเกียร์ที่ใกล้ห้องสโมสรนักศึกษาที่สุด ถ้าหากใครเห็นท่าไม่ดีให้รีบโทรแจ้งฉันสองคนด่วน”

    “พวกแกเอาจริงเหรอวะ ตื่นเต้นอะ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันกลัวโดนจับได้”

    “รถเมล์ต้องเป็นคนกลัวที่สุดไม่ใช่เหรอคิมมี่ ทำไมต้องให้รถเมล์ไปนั่งในลานนั้นด้วยอ่า” เด็กแว่นทำตาโต

    “เพราะลุคแกดูเป็นเด็กเรียน ไม่มีใครสงสัยหรอก ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันดิวะ ฉันทำเพื่อสาขาเราเลยนะเว้ย เสี่ยงที่สุดแล้วเนี่ย”

    “เอาวะ ทำก็ทำ ดีนะที่ปีหนึ่งยังไม่ได้ช็อปยังพอเนียน ๆ ไปได้”

    “คิมมี่ แกต้องแสดงเป็นคิมคนแมนเข้าใจไหม ห้ามหลุดสาวเด็ดขาด”

    “โอ๊ยยุ่งยากไปอีก แม่ไม่ชอบแบบนี้เลย มันไม่ใช่ทาง”

    “หรือแกอยากโดนตีนวิศวะ”

    “โอเคครับเพื่อน เราไปกันเลยไหมครับเพื่อนสุดสวย”

    “ปลอมมาก” ทิชาส่ายหัวก่อนจะไปประจำตำแหน่งตามแผน

    “ในความไม่อยากไปของแม่ มีความระริกระรี้ซ่อนอยู่ ฉันเห็น” พิมมี่แขวะก่อนจะไปตามแผนของฉันอีกคน

    “สู้ ๆ นะคิมมี่ เอิงเอย” รถเมล์เองก็เช่นกัน

    ส่วนตอนนี้ฉันกับคิมมี่ก็ทำเป็นเนียนแกล้งเดินเปิดเอกสารเรียนทำเป็นคุยกันเรื่องงานไม่สบตาใครในลานสักคน ซึ่งความจริงก็ดูว่ามันได้ผลไม่มีใครสนใจเราสองคน มีหันมามองบ้างแต่ก็หันกลับไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อ

    จนใกล้ถึงห้องสโมสรนักศึกษา ฉันก็ต้องดึงยัยคิมมี่มาทำเป็นดูบอร์ดของคณะเมื่อเห็นว่าพี่รามกำลังจะออกจากห้องสโมสรมาคนเดียว แต่มีอาจารย์ที่เดินสวนมาทักเขาไว้ก่อน

    “ราม”

    “ครับ อาจารย์”

    “หุ่นยนต์อัจฉริยะที่เอากลับไปเช็กเป็นไงบ้าง”

    “เมื่อวานผมดูอาการแล้วไฟฟ้ามันช็อตทำให้อะไหล่บางตัวพังไปด้วยครับ แต่อะไหล่สำรองในแผนกมันไม่มีเลยต้องรอสั่งมาใหม่ครับ”

    “โอเค แล้วนี่จะไปไหน”

    “ผมว่าจะไปซื้อกาแฟที่คาเฟ่มหา’ ลัยครับ”

    “ดีเลยงั้นไปพร้อมกัน อาจารย์ว่าจะคุยเรื่องรับน้องปีนี้ด้วย”

    โชคช่วยชะมัด ฉันเห็นพี่รามเดินหายไปข้างตึกก็รีบบอกแผนการต่อไปกับคิมมี่ทันที

    “ฉันจะเข้าไปในห้องสโมสรคนเดียว แกดูต้นทางเอาไว้ถ้าเกิดพี่รามมาตรงนั้น แกรีบโทรหาฉันทันทีเข้าใจไหมคิมมี่”

    “ขะเข้าใจ”

    ฉันหันซ้ายหันขวาก่อนจะวิ่งเร็ว ๆ ก้มตัวผลักประตูเข้าไปในห้องสโมสรนักศึกษา ในนี้มีของเยอะมาก ทั้งของกิจกรรมนักศึกษา ทั้งของที่ใช้รับน้อง ป้ายต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย และโต๊ะทำงานห้าตัวที่มีชื่อตั้งบอกเจ้าของ

    แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมาสำรวจของพวกนี้ไง เลยรีบตรงไปที่โต๊ะทำงานของพี่รามที่มีแมคบุ๊กเปิดอยู่บนโต๊ะ แล้วฉันก็เริ่มเปิดดูตามลิ้นชักในช่องต่าง ๆ ภายในโต๊ะทั้งหมด

    “เก็บไว้ไหนเนี่ย”

    ฉันเปิดหาตามกล่องเล็กกล่องน้อย เปิดดูทุกกล่องทุกชั้นในโต๊ะก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเป็นที่เก็บเกียร์สักชิ้น ถ้าโต๊ะทำงานไม่เจอก็ไม่น่าจะเก็บที่นี่แล้วแหละ

    “ถ้าไม่ใช่ที่นี่หรือว่าจะอยู่ในล็อกเกอร์เก็บของ” ฉันมองไปยังล็อกเกอร์อีกฝั่งแต่ขณะเดียวกันทิชาดันโทรมาก่อน

    Rrrrrr [Ticha]

    [เอยแกรีบออกมาเลย พี่รามกำลังจะเข้าห้องแล้ว]

    “ฮะ?”

    [ออกมาด่วน]

    ฉันชะโงกหน้าดูที่หน้าห้องเห็นพี่รามเดินลิ่ว ๆ มาใกล้ขนาดนี้แล้ว ออกไปไม่ทันแน่ อยากจะด่านังคิมมากเพราะมองจากตรงนี้มันหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ที่รู้คือต้องหาที่หลบภัยก่อน ตรงไหนดี ตรงไหนดีวะ แต่มันไม่ทันได้คิดเมื่อเสียงประตูเปิดออกฉันก็พุ่งไปซ่อนใต้โต๊ะทำงานของเขา

    แล้วคือมาหลบใต้โต๊ะทำงานเนี่ยนะ เดี๋ยวเขาก็ต้องมานั่งทำงานตรงนี้ โอ๊ยลูกช้างขอบุญบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายขอให้พี่รามไม่มาตรงนี้เถิด สาธุ ให้ไปนั่งอยู่ที่โซฟาหรือออกไปข้างนอกอีกรอบยิ่งดีเลยเพี้ยง แต่ห้ามมาตรงนี้

    “ก็บอกแล้วไงครับ ว่าหมาตัดหน้ารถ”

    ไม่รู้ว่าบุญบาปที่ทำไว้ยังพอมีขนาดไหน แต่พี่รามนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่โซฟากลางห้องตามที่ฉันภาวนา

    “ผมไม่ได้เป็นอะไร ปกติดี ว่าแต่ใครโทรไปฟ้องแม่ครับเนี่ย”

    “อ้อ แล้วค่าซ่อมที่อู่แจ้งเท่าไรครับ”

    “งั้นก็จ่ายให้ด้วยนะครับคุณนาย เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ผมเข้าบ้านไปหานะครับ”

    “ก็คิดถึงแม่สิครับ ใครจะคิดถึงรถมากกว่าแม่ได้”

    เมื่อวานที่เจอกันพี่เขามาดนิ่งมากเลยนะฉันเลยจินตนาการไม่ออกว่าเวลาเขาพูดยาว ๆ หรือโหมดอ้อนจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว

    พรึบ! หางตาของฉันหันไปเห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่คลานออกมาจากพื้นฝั่งล็อกเกอร์สูง

    เชี่ย! แมงมุมตัวใหญ่ คือโคตรใหญ่จนฉันยกมืออุดปากไม่ให้ส่งเสียงออกไป

    คือฉันโคตรกลัวแมงมุมเลย จะตัวเล็กสุดแค่ไหนฉันก็โคตรกลัว แล้วนี่ตัวบิ๊กขนาดนี้ฉันจ้องมันตาไม่กะพริบ มันขยับมาใกล้แล้วก็นิ่งอยู่แบบนั้นเหมือนจ้องตาฉันกลับเป็นการดูเชิงของแต่ละฝ่าย เวรกรรมอะไรของเอิงเอยวะเนี่ย

    น้ำตาจะไหลแล้ว นี่ใกล้สุดเท่าที่เคยเจอมา กลัวมาก กลัวแบบสุด ๆ

    “แค่นี้ก่อนนะครับแม่ หวัดดีครับ”

    ทันทีที่เสียงฝีเท้าพี่รามขยับ เจ้าแมงมุมก็ขยับตาม มันวิ่งเหมือนจะตรงมาจนฉันสติแตก

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    “แมงมุม พี่ราม แมงมุมตัวโคตรใหญ่ เอามันออกไปที”

    ฉันวิ่งออกไปอีกฝั่งกระโดดหลบเกาะหลังคนร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ แบบกลัวสุดขีด

    “จับมันสิ จับสิพี่ราม เอามันออกไป”

    ตุบ

    คนร่างสูงใช้เท้ากระทืบลงไปที่แมงมุมนั่นทำให้ฉันกลับมาหายใจได้ปกติอีกครั้ง และสามารถกลับมายืนบนพื้นได้ทั้งตัวเหมือนเคย

    ตายได้ก็ดี ฉันพิงโต๊ะทำงานยกมือกุมหัวใจที่เต้นแรงสุด ๆ

    “เฮ้อ ขอบคุณนะคะ นึกว่าจะช็อกตายซะแล้ว”

    คนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ไม่ตอบอะไร ทำให้นึกขึ้นได้ว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาพูดเรื่องขอบคุณหรือเรื่องช็อกเพราะแมงมุม เมื่อหันไปสบตาเจ้าของห้องเขาใช้มือล้วงเสื้อช็อปในท่าประจำของเด็กวิศวะปรายตามองกันแบบเอาเรื่องเล็กน้อย

    “เธอมาทำอะไรที่นี่”

    “คือว่า...เอยมารอพี่รามค่ะ”

    “รอฉัน...ที่ใต้โต๊ะทำงาน?”

    “ใช่ค่ะ คือเอยจะเซอร์ไพรส์พี่รามก็เลยมาแอบ แต่เห็นพี่ติดสายอยู่ก็เลยรอให้พี่วางสายไปก่อน”

    เป็นคำแถที่โคตรห่วยเลยยัยเอย

    “เหรอ” แน่นอนว่าสายตาของพี่รามไม่เชื่อกันสักนิด “แต่จากสภาพโต๊ะเหมือนเธอมาขโมยของมากกว่ามั้ง”

    พี่รามเปิดดูของในโต๊ะทำงานที่ฉันทำการรื้อไว้เมื่อกี้คร่าว ๆ

    “เปล่านะคะ เอยไม่รู้เรื่อง”

    “แน่ใจเหรอ”

    “แน่ค่ะ”

    “ถ้าเธอมั่นใจก็ดี งั้นฉันจะไปเช็กกล้องวงจรปิดกับทางมหา’ ลัยเอง ถ้ามีคนมายุ่งกับของฉัน ฉันจะแจ้งความทันที” พี่รามหันไปทางมุมหลังห้องที่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ทำท่าจะออกจากห้องไปจริง ๆ จนฉันรั้งแขนเขาไว้ “ว่าไง”

    “คือว่า...เอยเป็นคนทำเอง” ผู้ร้ายที่จำนนต่อหลักฐานอย่างฉันก็ต้องรีบชิงสารภาพก่อนจะถูกยัดเข้าคุกเข้าตะราง พี่รามกอดอกมองฉันแทนด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย

    “ทำไปทำไม ต้องการอะไร”

    “...” ใครจะกล้าพูดว่าไหม

    “นี่อย่าบอกนะ...ว่าเธอมาขโมยเกียร์ของฉันอีกอัน”

    “…” ฉันพยักหน้ารับผิด ตอนนี้โกหกไปมันก็มีแต่เสียกับเสีย

    “เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาโรคจิตคลั่งเกียร์ขนาดนี้เลยเหรอ”

    “ไม่ใช่แบบนั้น”

    “แล้วแบบไหน”

    “คือเอยมีเหตุผลส่วนตัวจริง ๆ ที่ต้องมาเอาเกียร์พี่รามไปให้ได้”

    “บ้านฉันเรียกว่าโรคจิต”

    “อืม ยิ่งพูดก็ยิ่งดูแย่”

    ตอนแรกก็แอบคิดนะว่าพี่ไลลาโรคจิตถึงได้ท้ามาเอาเกียร์กับรุ่นพี่ต่างคณะที่ไม่รู้จักแบบนี้ แต่ฉันก็อาจจะโรคจิตกว่าที่ไปรับคำท้าได้ไงก็ไม่รู้

    “ยอมรับว่าโรคจิต?”

    “แต่ว่าพี่รามให้เอยยืมเกียร์แป๊บเดียวไม่ได้เหรอคะ วันนี้ตอนเย็นรับน้องเสร็จเอยจะรีบเอามาคืนเลย แล้วเอยจะไม่โผล่หน้ามากวนใจพี่รามอีก เอยสัญญา”

    “สถานการณ์ตอนนี้ของเธอดูต่อรองได้เหรอ”

    “...” ฉันลืมไปว่าพึ่งก่อเรื่องไว้เลยส่ายหัวและก้มลงแบบคนสำนึกผิดอีกรอบ

    “เธออยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ใช่ไหม”

    “ค่ะ”

    “ฉันจะรายงานไปที่ประธานคณะที่รับน้องแล้วหักคะแนนของเธอห้าสิบคะแนน”

    “ไม่ได้นะคะ” ห้าสิบคะแนนก็เท่ากับว่าฉันทำผิดอะไรไม่ได้อีกเลย ไม่งั้นฉันไม่ผ่านรับน้องแน่ ๆ เพราะคะแนนต้องเกินห้าสิบคะแนนถึงจะผ่าน

    “งั้นที่เธอทำไปทั้งหมด เธอทำไปทำไม”

    “คือว่าเอย เอย...ชอบพี่รามค่ะ”

    “โกหก เมื่อวานเธอเพิ่งเจอฉัน”

    “พี่ไม่รู้จักรักแรกพบเหรอ มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน วงแทททูคัลเลอร์ออกจะดัง” ฉันแกล้งพูดเนื้อเพลง

    “ตลกมากไหม จะได้พาไปร้องเพลงต่อที่สถานีตำรวจ ยัยหัวขโมย?”

    “โอ๊ยทำไมพี่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ บ้างเนี่ย แล้วเอยก็ไม่ใช่หัวขโมยด้วย” ฉันเถียงข้าง ๆ คู ๆ

    “ก็ทำไมเธอไม่พูดตรงไปตรงมา เธอจะเอาเกียร์ฉันไปทำของใส่ใช่ไหม”

    “ใครจะไปทำแบบนั้นกันเล่า”

    “แล้วเอาไปทำไม”

    “ก็เอาไป...โชว์เพื่อนไง” คนตรงหน้าถอนหายใจแรงแบบคนเริ่มหงุดหงิด เมื่อรู้ว่าฉันไม่ยอมตอบความจริง

    “เธอนี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ ฉันเป็นรุ่นพี่นะเคารพบ้างไหมเนี่ย”

    “ตอบอันแรกก่อนนะคะเอยเป็นคนไม่ค่อยสนิทกับใครง่าย ๆ แต่ถ้าสนิทด้วยจะเห็นว่าเอยมีเสน่ห์ที่น้อยคนจะรู้ แต่ถ้าพี่รามอยากสนิทด้วย ก็แลกกับเกียร์ของพี่สิ ส่วนคำถามที่สองเคารพพี่รามไหม เอยเคารพค่ะ”

    “แล้วเธออยากสนิทกับตำรวจไหมล่ะ ฉันจะพาไป” เขาหยิบมือถือมากดหนึ่งเก้าหนึ่งต่อหน้าต่อตา ฉันเลยรีบคว้าแขนเขาเอาไว้แล้วยื่นมือไปตัดสายทิ้งแทนเจ้าของมือถือ

    “เอยล้อเล่น ไม่ขำเหรอ”

    “ฉันดูเหมือนเพื่อนเล่นเธอเหรอ”

    “ไม่เหมือนค่ะ เพราะว่าพี่หล่อมาก หล่อเกินจะเป็นเพื่อนเล่น”

    “สำนึกบ้างไหมเนี่ยว่าทำผิด มัวแต่บ้าผู้ชายไม่เลิก”

    “หุ้ยยยย แรง” ปากคอเราะร้ายมากแม่ “งั้นเอาแบบนี้ดีไหมคะ”

    “อะไรอีก”

    “โทษฐานที่เอยแอบมารื้อของ...”

    “ขโมยของ” เขารีบท้วง

    “ค่ะ ขโมยของพี่ราม เอยให้พี่รามใช้งานเอยได้ทุกอย่างเลยค่ะ เอยจะยอมเป็นจินนี่ในตะเกียงแก้วให้พี่รามเดือนหนึ่งแลกกับที่พี่ห้ามหักคะแนนเอยแล้วไม่แจ้งความได้ไหมคะ”

    “ใช้เธอได้ทุกอย่าง”

    “ทู๊กกกกอย่างเลยค่ะ ตกลงไหมคะ”

    พี่รามทำเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วหันมามองหน้าฉันแบบยิ้มมุมปาก ยิ้มร้ายกาจ นี่ฉันคิดผิดไหมเนี่ยที่โพล่งออกไปแบบนี้

    “ตกลง”

    “งั้น...เอยไปได้ยัง”

    “ยัง”

    “ก็พี่รามตกลงแล้วนี่”

    “ก็ใช่ไง ฉันเลยจะใช้เธอตอนนี้เลย”

    “จะใช้เลยเหรอคะ” ฉันคิดผิดแน่ ๆ ที่เสนอเรื่องเอาตัวรอดไปแบบนั้น รังสีอำมหิตกำลังแผ่ซ่านไปรอบตัวประธานนักศึกษาผู้บ้าอำนาจ

    “ทำไม ไหนบอกว่ายอมทำทุกอย่างไม่ใช่เหรอ ถ้าเบี้ยวเตรียมตัวไปสถานีตำรวจได้เลย”

    “เชิญบัญชามาได้เลยค่ะท่านประธาน”

    “ไปที่ห้องรักษาความปลอดภัยของมหา’ ลัยแล้วแจ้งซ่อมกล้องวงจรปิดให้หน่อย”

    “ซ่อม...กล้องวงจรปิดที่ไหนคะ”

    “ห้องนี้ มันเสียมาเป็นปีแล้วไม่มีเวลาไปแจ้ง”

    “ตัวนี้?” ฉันชี้ไปยังกล้องวงจรปิดที่เขาใช้ขู่กันเมื่อกี้ และหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อเขาพยักหน้ารับ “มันพังแต่แรก”

    ไอ้ คน หล่อ ลวง

    “อืม ไปได้แล้ว” เขาออกปากไล่และกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะทันที

    ฉันชำเลืองมองเขานิดหน่อยแอบด่าในใจไปสามประโยคก่อนจะหันกลับมาก้าวขาออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด

    ปัง!

    แต่พอก้าวถึงประตูเจ้าของห้องก็พุ่งมารั้งแขนฉันเอาไว้ แล้วใช้มืออีกข้างของเขาดึงประตูให้ปิดลงสนิทอีกครั้ง ท่าทางตอนนี้คือฉันโดนเขายืนค้ำแผ่นหลังชิดประตูหนีไปไหนไม่ได้ สายตาที่มองกันเลื่อนผ่านเข้ามาใกล้จนฉันเกร็งหน้าไปหมดจนไม่กล้าหายใจ ถ้าในซีรีส์เกาหลีนาทีต่อมาฉันถูกจูบแน่ ๆ แต่แล้วก็มีหนังสือโผล่มากระแทกที่ปากแทน

    “เกือบลืม เอานี่ไปด้วย”

    “แต่นี่มันหนังสือเรียนวิศวะนะคะ”

    “พิมพ์ตั้งแต่บทสามจนถึงบทสุดท้ายแล้วเอามาให้ฉันพรุ่งนี้หลังรับน้อง”

    “พรุ่งนี้” เล่มหนายิ่งกว่าพจนานุกรมอีก บอกว่าอีกสามวันยังไม่รู้ว่าจะพิมพ์ทันหรือเปล่า

    “หรือจะก่อนเที่ยงดี”

    “หลังรับน้องค่ะ” ฉันตอบแล้วหยิบหนังสือเล่มใหญ่ในมือเขามาไว้กับตัว “เอยไปได้ยังคะ”

    “เชิญ” เขาปล่อยมือออก ฉันเลยกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาทันทีจนมาอยู่ที่ลานเกียร์ พอหันไปมองหาตำแหน่งเพื่อนแต่ละคนก็หายหัวไปหมดแม้แต่ยัยทิชา

    “เพื่อนแท้จริง ๆ หายหัวไปหมด อย่าให้เจอแม่จะด่าให้สำนึกไม่ทันเลย”

    มัวแต่หันซ้ายหันขวามองหาเพื่อนไปด้วยกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้วยเพื่อจะรีบไปจากคณะนี้จนใกล้สุดลานเกียร์ แต่พอหันกลับมาตรงทางเดินก็ต้องชะงักและรีบเบรกตัวล้อฟรี เพราะคนที่อยู่ข้างหน้าเป็นคนที่ฉันวิ่งหนีออกมาจากห้องเมื่อกี้นี้เอง

    “เฮ้ย!”

    ตุบ! เป็นผีหรือไงเนี่ย อยู่ ๆ ก็โผล่มาอีก ฉันชนเขาเต็มแรงก่อนล้มหงายหลังไม่เป็นท่า

    “โอ๊ยยยย” หนังสือเอย เอกสารงานเอยกระจายเหมือนเทกระจาด พอยกฝ่ามือขึ้นมาก็เห็นเลือดซิบ ๆ แต่ที่สำคัญคือเสียงหัวเราะจากในลานเกียร์ ทำให้ฉันต้องทำเป็นไม่เจ็บแล้วรีบลุกขึ้นมาเก็บของอย่างรวดเร็ว โดยที่คนเป็นสาเหตุยืนมองไม่ช่วยกันสักนิด

    “แค่เดินยังไม่มีสติ มัวแต่มองผู้ชายอยู่หรือไง เรียนรู้เรื่องได้ไงเนี่ย”

    “พี่โผล่มาจากไหนเนี่ย”

    “เอาไป...เธอทำตกไว้ใต้โต๊ะ” เขาส่งโทรศัพท์มือถือของฉันมาให้ สงสัยมันคงตกตอนฉันหนีแมงมุมแน่เลย

    “สรุป พี่มาได้ไงเนี่ย” ฉันรับมือถือคืนมาก็อดสงสัยไม่ได้จนหันกลับไปมองทางเดิน เขามาทันได้ไง

    “น้องสาว สะดุดรักที่ลานเกียร์ระวังเป็นเมียวิศวะนะคร้าบ” กลุ่มเด็กวิศวะข้าง ๆ ตะโกนแซวทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของยัยคิมมี่ขึ้นมา

    “ใครเชื่อก็บ้าแล้ว” ฉันวิ่งหนีออกมาโดยไม่หันกลับไปมองใครทั้งนั้น หวังว่าพี่รามจะไม่โผล่มาเหมือนผีอีกนะ

    แฮก ๆ เหนื่อยสุด ๆ ในที่สุดก็ถึงคณะตัวเอง เมื่อกี้วิ่งเหมือนหนีผี ขอหยุดพักหายใจหายคอหน่อย

    “เอิงเอย” ฉันผวาเมื่อได้ยินเสียงเรียกแบบประสานเสียง

    “ไอ้เพื่อนเวร ฉันจะฆ่าพวกแก”


    พี่รามหรือป่าว พี่รามขี้แกล้งหรือป่าว555

    เอาแล้วยัยน้องงงงงงงง ความซ่าเป็นเหตุสังเกตได้

    รักเอเนอจี้เพื่อนยัยน้องมาก

    คนพี่ก็ขี้แกล้ง คนน้องก็แผนสูง

    มาดูว่าใครจะแผนสูงกว่ากันนะคะ

    มาอัพให้ครบตอนเลยเพราะว่าจะไปต่างจังหวัดอีกแล้วค่าหลายวันเลย

    อย่าลืมกดให้ กลจ กันน๊าาาาาา แล้วก็คอมเมนต์ได้นะคะ

    อยากรู้ว่าชอบกันไหมงับ <3


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×