คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ความผูกพันธ์
ณ ห้องประชุมที่เคยว่างเปล่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคฤหาสน์การ์ดอล์ฟ บัดนี้แสงเทียนจากโคมระย้าได้ส่องสว่างลงมาจากเพดานสูงกลางห้อง เผยให้เห็นผู้คนจำนวนยี่สิบชีวิตยืนจับกลุ่มกันอย่างที่เรียกได้ว่า...ไร้ซึ่งระเบียบสิ้นดี บุคคลเหล่านั้นดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบหกปีไปได้อย่างแน่นอน เว้นแต่พวกเขาจะไม่ใช่คน
เสียงจ๊อกแจรกจอแจที่ดังระงมไปทั่วทุกตารางนิ้วของห้องโถงร้วนมีหัวข้อพูดคุยเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับโรงเรียนแห่งนี้ บ้างก็ถกกันถึงเหตุผลที่ว่าทำไมตนถึงเข้ามายืนอยู่ ณ ตรงนี้ได้ บ้างก็พินิจพิจารณาถึงความอลังการและข้อบกพร่องของสถานที่ที่ตนกำลังเหยียบอยู่ และอื่นๆอีกมากมายสุดจะพรรณนาไหว
แต่แล้วเสียงดังอื้ออึงที่ออกจะฟังไม่ได้ศัพท์จนไม่สามารถจับไปกระเดียดได้นั้น ก็ต้องหยุดลงทันทีที่สตรีผู้ทรงวัยวุฒิคนหนึ่งก้าวขึ้นมายืนสง่าผ่าเผยบนแท่นกระจายเสียง ด้วยรูปร่างที่ผอมบางคลับคล้ายคลับคลาตระเกรียบ บวกกับบุคลิกที่เนี๊ยบทุกตารางมิลลิเมตรของเธอนั้น...ไม่ยากเลยที่จะสยบทุกความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะกับบุคคลที่สามารถคิดประมวลผลได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่ากลไกลทางสมอง ดังเช่นเด็กๆที่ยืนแข็งทื่อไม่ไหวติ่งอยู่ ณ ที่นี้
"ขอต้อนรับประชากรโลกทั้งหลาย..." สุภาพสตีผู้ทรงวัยวุฒิกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดุดันและแหลมสูง ในขณะเดียวกันสายตาก็สาดส่องพร้อมที่จะจิกกินเด็กนักเรียนคนใดก็ตามที่บังอาจหาญกล้าคลายเสียงออกมาจากลำคอ ช่วงเวลาสั้นๆที่ดูเหมือนจะยาวนานจนไม่สามารถนับวันนับคืนได้สำหรับเด็กๆนั้น เกือบจะพรากชีวิตที่เหลือของพวกเขาไป แทบจะทุกคนหน้าซีดเผือดด้วยอาการหายใจติดขัด ซึ่งสาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใดนอกเสียจากแวดตาดั่งเหยี่ยวที่ยังคงเสาะแสวงหาผู้เคราะห์ร้ายต่อไป
"อ้อมกอดแห่งการ์ดอล์ฟจะโอบอุ้มเธอไปส่งยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจ เวลาสามปีอาจดูเหมือนเส้นทางขรุขระซึ้งพร้อมด้วยสิ่งยั่วยุมากมาย..." เสียงแหลมสูงดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความนิ่งและสงบ สายตายังคงไม่วางวาย การสำรวจตรวจสอบนักเรียนเข้าใหม่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใช้ความระเอียดรอบครอบมากอยู่สำหรับเธอ การหยุดอีกครั้งเพื่อคัดกรองให้แน่ใจจึงดูจะเป็นทางเลือกที่ดี และเมื่อไม่พบว่ามีความผิดพลาดใดๆ เสียงสะเทือนแก้วหูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"แต่หากอยู่ในกฎเกณฑ์ที่เราจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการกับทางขรุขระของพวกเธอแล้ว ทุกชีวิตที่นี่ก็มั่นใจได้ว่า...จะหลุดรอดออกไปได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน" เธอกล่าวเสียงเรียบและเดินลงมาจากแท่นกระจายเสียงด้วยท่าทางเหมือนนางแบบ และในขณะเดียวกันนั้นเองเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็ดังขึ้นจากนักเรียนปีหนึ่งทุกคน และในอีกสองวินาทีถัดมาก็เกิดเสียงปรบมือดังกระหึ่งทั่วหอประชุม เนื่องจากทุกคนพร้อมใจกันนึกขึ้นได้ว่านี่คือมารยาทที่ควรกระทำเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีผู้ทรงคุณวุฒิเช่นนี้
"อ้อ...ถ้าใคร...บางคนในที่นี้รู้สึกได้ถึงความเกรงกลัวต่อความตายแล้วล่ะก็...การกลับไปสู่บ้านอันแสนสุขซะในตอนนี้...ก็เห็นจะยังไม่สายจนเกินไป" เสียงปรบมือที่เคยดังสนั่นหยุดลงอย่างไม่ได้นัดหมาย เมื่อสตรีผู้ทรงวัยวุฒิเอ่ยคำพูดที่ฟังแล้วออกจะเหมือนคำขู่เสียมากกว่า เธออยู่ห่างจากแท่นกระจายเสียงไกลพอสมควร แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงอันเย็นเยือกก็ยังคงดังสนั่นให้ทุกคนได้ขนลุกซู่กันอย่างทั่วถึงไม่ต่างอะไรไปจากตอนที่เธออยู่บนแท่นกระจายเสียงเลยแม้แต่น้อย และหากสังเกตดีๆริมฝีปากของเธอมันกระตุกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูยังไงก็น่าสยดสยองจนผู้พบเห็นต้องเบือนหน้าหนีด้วยความกลัว
---------------------------------------------------
ณ โถงทางเดิน ฝูงชนประมาณยี่สิบคนวิ่งกันให้ควัก แม้ว่าโถงทางเดินจะกว้างพอสำหรับแถวหน้ากระดานห้าคน...อันที่จริงมันออกจะเหลือที่อีกด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ดูแคบลงทันที เมื่อมีคนวิ่งสวนกันไปมาทั่วทั้งบริเวณ แสงจากคบเพลิงส่องสว่างจากกำแพงหินที่มีอุณหภูมิไม่ต่างไปจากกำแพงน้ำแข็งทำให้ทั่วทั้งบริเวณเกิดเป็นสีส้มหม่น เสียงพูดคุยกันของเด็กนักเรียนปีหนึ่งยังคงดังต่อไป และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
"ว่าแต่...เราจะไปไหนต่อล่ะ" เสียงที่ฟังดูสับสนดังขึ้นจากหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหล่าเอาการคนหนึ่ง เขามีผมสีทองออกจะเหลืองๆที่จัดทรงไว้อย่างที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าเท่ นัยน์ตาสีน้ำเข็งส่อแววงุนงงอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ มือขวากำหนังสือเล่มหนาที่ถูกจับม้วยเป็นทรงกระบอกแน่นอย่างใช้ความคิด เขาเพิ่งจะได้มันมาหลังจากที่ยืนฟังการกล่าวคำต้อนรับที่ออกจะเอนเอียงไปทางขู่จนเมื่อยโดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาอยู่ในมือได้อย่างไร
"เฮอะ...ถามชั้นแล้วชั้นจะไปรู้มะ...ชั้นไม่ใช่เทวดานะ" สาวน้อยผมดำสนิทยาวสลวยซึ่งมีส่วนปลายโค้งเล็กน้อยที่มาด้วยกันเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ บัดนี้นัยน์ตาสีแดงเพลิงส่องประกายรำคาญ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความน่ารักของเธอลดลงเลยแม้แค่นิดเดียว คิ้วสีดำเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด จนแก้มขาวอมชมพูเนียนใสป่องออก แต่ดูเหมือนเธอจะยังคิดอะไรไม่ออกอยู่ดี
และด้วยเหตุที่ว่าไม่รู้จะไปไหน ทั้งคู่เลยเดินกันไปเลื่อยเปื่อยจนมารู้สึกตัวอีกทีก็ยืนอยู่กลางสนามหญ้าสีเขียวขจีกว้างสุดลูกหูลูกตา ซึ่งมันก็โล่งซะจนน่ากลัวตงิดๆ และแล้วลางสังหรณ์อันน่ากลัวที่ว่านั้นก็เป็นจริง
/เปรี้ยง..แฉ่~/
สายฟ้าผ่าลงมาลงจากไหนก็ไม่รู้ ทำเอาพื้นหญ้าบริเวณที่ทั้งสองคนเคยยื่นอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมาเป็นหลุมไหม้เกรียม ซึ่งนั่นก็ทำให้หนุ่มน้อยผมทองถึงกับอึ้งแข็งทื่อไปเลยทีเดียว อันที่จริงเขาก็ควรจะไหม้เกรียมไปพร้อมๆกับพื้นตรงนั้นแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาดันถูกสาวน้อยนัยน์ตาสีเพลิงลากออกมาซะก่อนนี่สิ...น่าเสียดาย
"อ๋า!!!...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ไม่ทราบว่าบาดเจ็บตรงไหนรึป่าว" ชายหนุ่มผมขาวที่มัดรวบเอาไว้เป็นหางม้าวิ่งเข้ามาถามทั้งสองคนด้วยอาการณ์ตกใจแบบสุดๆ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลมีแววตาแห่งความรู้สึกผิด ตามหลังมาห่างๆเป็นชายหนุ่มผมดำสนิทที่ซอยเป็นทรงระต้นคอ ผู้มีสีหน้าเย็นชาด้วยนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น และด้วยส่วนสูงที่เรียกได้ว่าเกินทั่วไปบวกกับรูปร่างที่ทำให้ดูไม่เก้งก้าง นั่นทำให้เขาดูน่ากลัวแต่กลับดูเท่ในเวลาเดียวกัน
และที่ดูเหมือนจะตามติดหนุ่มผมขาวคนนั้น...นั่นคงไม่ใช่มนุษย์เป็นแน่ หญิงสาวผู้มีทรวดทรงรูปร่างที่ชวนมองเป็นไหนๆ แล้วยังจะผิวสีขาวอมชมพูเนียนใสนั่นอีกล่ะ ชุดที่เธอสวมใส่อยู่นั้นเป็นชุดกระโปงยาวปิดเขาสีขาวดูน่ารัก ท่อนขาเรียวยาวสีขาวอมชมพูนั้นถูกสวมทับด้วยบู๊ทสั้นสีน้ำตาลที่คิดว่าคงจะทำมาจากหนัง ปากบางเฉียบสีชมพูละเรื่อช่วยทำให้ใบหน้าที่ขาวเนียนดูโดดเด่น โดยเฉพาะเมื่อคู่กับผมยาวสลวยสีบอล์นทอง และที่ยิ่งไปกว่านั้น...ปีกนกสีขาวคู่หนึ่งกำลังโบกสะบัดอยู่กลางอากาศอย่างเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
"เอ่อ...พวกเราไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่..." สาวน้อยผมดำสลวยกล่าวขึ้นอย่างทุลักทุเล ทั้งๆที่สายตายังคงจ้องไปยังหญิงสาวเจ้าของปีกนกตรงหน้าอย่างที่ออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่นั่นก็ยังดีกว่าใครบางคนที่มองเธอด้วยสายตาลวนลามอย่างเห็นได้ชัด
"อ้อ...โทษทีที่เสียมารยาท ผมชื่อเรบานอล เอลฟ์ เรียกว่าเรเฉยๆก็ได้ ส่วนเจ้านั่นมันชื่อสกีเตอร์ ไฟลท์น่ะ พวกเราสองคนอยู่ปีสอง และที่เธอดูเหมือนจะสนใจเป็นพิเศษ...เทพอสูรเลอาร์ช ฮะฮะ...ดูน่ากลัวสินะ ผมเรียกเธอว่าเลอาร์ชเฉยๆน่ะ" ชายหนุ่มผมขาวแนะนำตัวอย่างสุภาพและดูเป็นมิตร ตอนที่เขาแนะนำแม่สาวคนนั้น เขาหันไปยิ้มหวานให้กับเธอ แถมเธอยังยิ้มตอบอีกต่างหาก...แบบนี้มันตงิดๆแฮะ
ส่วนสกีเตอร์ที่เขาพูดถึงก็คือหนุ่มผมดำตัวสูงผู้มีแววตาน่ากลัวคนนั้นนั่นเอง ซึ่งตอนนี้เขาก็ยังคงทำหน้าตานิ่งเฉยไร้อารมณ์อย่างเคย ผิดกับเรที่มีรอยยิ้มที่สุดแสนจะอบอุนอยู่บนหน้าตลอดเวลา ไม่เข้าใจว่าไปคบกับคนไร้อารมณ์แบบนั้นเข้าไปได้ยังไงกัน โลกนี้มันช่างน่าพิศวงยิ่งนัก ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตาลาปัดกันไปเสียหมด
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ หนูชื่ออัลเฟียร์ เด๊ธ เรเวียร์เทนค่ะ เรียกเฟียร์เฉยๆก็ได้นะค่ะ ส่วนนี่...เค้าชื่อเซ็นเธีย เฟอร์ เลอร์เครค่ะ" สาวน้อยผมดำแนะนำตัวเองบ้างด้วยน้ำเสียงที่ดูสนุกสนานและเป็นมิตรเช่นกัน ตามมาด้วยการแนะนำเพื่อนผมทองที่บัดนี้ก็ยังคงจ้องมองเลอาร์ชต่อไป จนในที่สุด...ซึ่งดูเหมือนเฟียร์จะหมดความอดทน เธอจึงทุบเข้าให้ที่กลางหลังของสุดหล่อเสียงดัง...อั๊ก!! ทำให้หนุ่มน้อยผมทองต้องละสายตาจากเลอาร์ชทันใด แต่แทนที่หนุ่มเจ้าจะโกรธกลับยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย ทำเอาเฟียร์ออกอาการเซ็งจิตขึ้นมาทันที
"เรียกผมว่าเซ็นจะดีกว่านะฮะ" หนุ่มน้อยผมทองผู้ต้องการให้เรียกตนว่าเซ็นนั้นเอ่ยขึ้นอย่างลิงโลด สายตากลับไปมองเลอาร์ชอีกครั้ง แต่ในคราวนี้เขากลับแอบลอบมองเฟียร์อยู่เล็กๆด้วยสายตานึกสนุกปนเจ้าเล่ห์ ซึ่งมันก็ทำให้เฟียร์มีท่าที่อยากจะฆ่าคนขึ้นมาอย่างกะทันหัน...เหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังทีนเลยทีเดียว
แล้วเรก็ถามขึ้นมาว่า 'ทำไม่พวกเขาถึงไม่ขึ้นไปจองห้องใน' ในขณะเดียวกันก็กำลังโบกมืออำลาเลอาร์ชที่ค่อยๆสลายไปพร้อมกับสายตาระห้อยที่แสดงถึงความเสียดายของเซ็น ดูท่าเซ็นจะชอบในรูปร่างของเลอาร์ชจนลืมเฟียร์ที่ตามจีบมานานแสนนานจนบัดนี้ก็ยังไม่ติดไปเสียแล้ว แต่การกระทำที่เกิดขึ้นก็ไม่ทำให้เฟียร์รู้สึกเลยแม้แต่นิด ท่าทางเซ็นจะต้องกินแห้วต่อไป
"ก็ไม่เห็นมีใครบอกนี่ค่ะ...เฟียร์ก็เลยไม่รู้" เฟียร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงใสพร้อมกับเอียงคอ น่ารักซะไม่มี ซึ่งก็ทำให้เซ็นละลายเป็นครั้งที่สิบของวัน เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าไม่มีหญิงอื่นที่สวยกว่าหรือพอๆกับเฟียร์อยู่ในรัสมีเซ็นก็พร้อมที่จะละลายได้เกือบจะตลอดเวลา ยกเว้นว่าเฟียร์จะอยู่ในโหมดโหดเท่านั้น เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเฟียร์จะน่ากลัวอย่างสุดซึ้ง
แต่ที่แปลกสุดๆ เห็นจะเป็นการกระทำที่แสนจะน่ารักของเฟีร์ยซึ่งทำเอาเจ้าชายน้ำเข็งของเราแอบยิ้มออกมาให้เห็นเป็นบุญตานานถึงเสียวหนึ่งของวินาที น่าแปลกจริงๆ...ทั้งๆที่ไม่ค่อยจะยิ้มแท้ๆ เว้นแต่จะเป็นรอยยิ้มขนหัวลุกแบบโรคจิตๆ ที่เขามักจะใช้เวลาบ้าเลือดเท่านั้น...เรื่องนี้มันแปลกจริงๆ
"งั้นไปกับพวกเราก็ได้ มีซิตอยู่ทั้งคน รับรองสบาย...จริงไม๊ซิต" เรพูดขึ้นอย่างใจดีพลางตบไหล่ของซิต...ที่ยังคงยืนทำหน้าไร้อารมณ์ต่อไป รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรนั้นทำให้เฟียร์ตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิดให้มากความ แล้วทั้งสี่คนก็ออกเดินทางไปยังทิศตะวันออกซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของหอพักนักเรียน
ที่การ์ดอล์ฟ นักเรียนจำเป็นที่จะต้องพักอยู่ที่หอของโรงเรียนตลอดช่วงเปิดภาคเรียน เหตุผลของโรงเรียนนั้นคือ "เพื่อฝึกระเบียบวินัยให้แก่นักเรียน และเพื่อฝึกการดำรงชีวิตโดยปราศจากผู้ปกครอง" หอนอนของที่นี่จะเป็นหอรวม ทั้งยังมีตั้งแต่ผลับบาร์ ตลอดจนสระว่ายน้ำ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากโรงแรมห้าดาว อีกทั้งยังไม่ต่างอะไรไปจากห้างสรรพสินค้าเช่นกัน และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทุกอย่างที่นี่ฟรีหมด ดังนั้นหอนอนจึงเป็นอาคารที่ใหญ่โตและหรูหรามากทีเดียว เว้นแต่ว่ามันเป็นอาคารอิตาลีโบราญที่ถูกดัดแปลงภายใน ดังนั้นข้างในกับข้างนอกจึงออกจะขัดๆกันอยู่มาก
ดูเหมือนทั้งสี่คนจะมาถึงหอนอนแล้ว สิ่งก่อสร้างสูงตะง่านที่ดูยังไงยังไงก็ไม่ต่างไปจากคฤหาสน์สไตล์อิตาลี ซึ่งนั่นสร้างก็ได้ความตะลึงให้แก่นักเรียนปีหนึ่งทั้งสองอยู่ไม่น้อย แถวนักเรียนยาวเหยียดกำลังรอรับการตรวจอาวุฒและของต้องห้าม หลังจากที่ยืนทำใจอยู่หลายนาที ซิตก็ตัดสินใจเดินไปยังโต๊ะอาจารย์ที่ตั้งด่านขวางทางเข้าหอเอาไว้ ซึ่งนั่นเรียกกันง่ายๆว่าการแทรกแถว เพราะถ้าจะต่อแถวละก็ อีกครึ่งวันก็คงยังไม่ได้เข้าไปข้างในเป็นแน่ ด้วยประสบการของซิตและเรทำให้รู้ว่า โรงเรียนนี้เข้มงวดเรื่องกฎมากเพียงใด และนั่นก็ทำให้รู้อีกด้วยว่า อาจารย์จะใช้เวลาตรวจนักเรียนประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อหนึ่งคน ซึ่งก็เป็นเพราะเจ้าด่านตรวจที่ตั้งไว้สักสิบด่านเห็นจะได้
"กรี๊ดดดดดดดดด...ซิตตตตตตต...บราๆๆๆ" กว่าจะเดินมาถึงโต๊ะอาจารย์ได้ทั้งสี่คนก็หูแทบแตก เสียงกรี๊ดดังขึ้นจากสาวๆส่วนใหญ่เมื่อซิตเดินผ่านหรืออยู่ในระยะมองเห็น ถ้าจะให้ยอมรับกันจริงๆจังๆว่าซิตหน้าตาดีมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะนายนี่น่ะยิ่งกว่าหล่อซะอีก แต่ถ้าเป็นด้านจิตใจนี่นะ...ซิตก็ถือว่าเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจแถมยังเกรงกลัวอีกต่างหาก แต่ก็อย่างว่า...มันจะมีวักกี่คนกันเชียวที่มองลึกลงไปถึงจิตใจของผู้ชายที่มีหน้าตาเป็นโล่แบบนี้กันล่ะ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ถึงความโรคจิตของซิตเลยสักคนนอกจากเร
ซิตเดินเข้าไปหาอาจารย์และคุยอะไรกันบางอย่าง จนอาจารย์ท่านยอมปล่อยให้พวกเขาเดินเข้าไปยังด่านต่อไปโดยไม่ต้องตรวจค้นตัว และกว่าจะเข้าไปถึงห้องได้นั้น ทั้งเซ็นและเฟียร์ก็ได้ประจักษ์ว่าด่านตรวจมันมีสิบด่านอย่างที่เรบอกไว้ไม่มีผิด ซึ่งซิตก็ต้องเข้าไปกระซิบกระซาบกับอาจารย์ประจำด่านทุกๆด่าน และความเหนื่อยยากของซิตก็ทำให้อีกสามคนที่ติดสอยห้อยตามหลุดออกมาจากด่านตรวจได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที และที่สำคัญยิ่งก็คือ ดูเหมือนยังไม่มีใครที่มาถึงห้องพักเร็วกว่าครึ่งชั่วโมงเลยสักคนเดียว สิ่งเดียวที่ได้จากการผ่านด่านตรวจเห็นจะเป็นสร้อยเงินที่ห้อยแผ่นเงินสลักชื่อเอาไว้ ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นสร้อยแบบเดียวกับป้ายชื่อทหารมาคนละเส้นเท่านั้น
เมื่อเดินเข้ามาในหอจะพบว่าไม่มีประตูเลยสักบาน หน้าต่างที่เห็นจากด้านนอกก็ไม่มีให้เห็นจากด้านใน แสงไฟสลัวสีขาวที่ไม่อาจทราบได้ว่าส่องมาจากอะไร ทำให้เห็นว่าตลอดทั้งแนวของผนังนั้นมีหลอดแก้วสูงสองเมตรครึ่งตั้งเรียงรายขนาบข้างสองฝังทางเดิน ซิตเดินเข้าไปอยู่ในหลอดแก้วหลอดหนึ่ง ตามมาด้วยอีกสามชีวิตที่เข้าไปอยู่ในหลอดแก้วอีกสามอันถัดไป เมื่อร่างกายทุกๆส่วนเข้าไปอยู่ในหลอดแก้วอย่างปลอดภัย ช่องทางเข้าออกของหลอดแก้วที่เมื่อสองสามวินาทีที่ผ่านมายังเห็นอยู่ตำตาก็ไม่มีอยู่ให้เห็นแม้แต่เงา พวกเขาถูกขังอยู่ในห้องปิดตายซะแล้ว
เรซึ่งเคยใช้มันมาแล้วตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามีท่าที่เฉยๆไม่ตกใจอะไร ส่วนเฟียร์ก็สะดุ้งนิดหน่อยตอนรู้ว่าตัวเองจะออกไปไม่ได้ แต่ที่แย่สุดๆเห็นจะเป็นเซ็นนี่แหละ เขากำลังทุบหลอดแก้วอย่างเอาเป็นเอาตาย ปากก็ร้องให้คนช่วยโดยที่ไม่รู้เลยว่าเสียงของเขาจะไม่มีทางรอดเข้าหูของใครได้ ซึ่งสภาพของเซ็นในตอนนี้ก็ดูจะไม่เหลือเคล้าของเพล์บอยมาทเท่ที่เคยบาดใจสาวๆหลงเหลื่ออยู่เลย
ซิตและเรเอานิ้วไปจิ้มตรงบริเวณที่เคยเป็นทางเข้าออกซึ่งบัดนี่ได้กลายมาเป็นผนังแก้วเงาวับ แล้วเซ็นกับเฟียร์ก็รีบทำตามโดยเร็ว ทันใดนั้นผนังแก้วที่เคยโปร่งใสก็มีแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นมาเป็นแผงวงจรเหมือนที่อยู่ในลิฟต์ ตามมาด้วยเสียงของผู้หญิงแต่ก็ไม่น่าจะเป็นเสียงของมนุษย์ เสียงนั้นพูดเน้นทีละคำว่า /กรุณาเลือกคำสั่ง/ ซึ่งมันก็คล้ายจะเป็นเสียงของหุ่นยนต์ ซิตและเรจิ้มที่เลขสาม เซ็นและเฟียร์ก็ทำตามอีกเช่นเคย
/ชั้นสาม ยืนยันคำสั่ง/ เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งสี่คนจิ้มไปที่ตัวอักษรสีฟ้าที่เขียนว่ายืนยัน แล้วเสียงของผู้หญิงคนเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า /เดินเครื่อง เริ่มการเคลื่อนย้ายมวลสาร/
ไม่ทันที่จะตั้งตัว หลอดแก้วก็เปิดทางออกให้แก่พวกเขาอีกครั้ง ซึ่งเซ็นเข้าใจว่าเครื่องมันพังซะแล้ว เพราะยังไม่ทันที่พวกเขาจะไปไหนมันก็จะให้พวกเขาออกไปซะอย่างนั้น ซิตและเรเดินออกมาจากหลอดแก้วโดยมีเฟียร์ตามมาติดๆ อันที่จริงแล้วเฟียร์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองกำลังจะเดินไปไหน แล้วเข้าไปในหลอดแก้วนั่นทำไมในเมื่อจะเดินอยู่ที่ชั้นเดิม แต่เธอก็ยังคิดว่าเดินตามสองคนนี้ไปน่าจะดีกว่า
"อ้าว...เฮ้ย...รอกันมั่งเดะ" เซ็นที่ดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่ากำลังจะโดนทิ้งรีบวิ่งตามทั้งสามคนไป เมื่อเดินมาจนสุดทางซิตก็หยุดเดิน ผนังด้านข้างยังคงเรียงรายไปด้วยหลอดแก้ว เซ็นสังเกตเห็นว่ายังมีผนังอีกด้านหนึ่งของอาคารที่ไม่มีหลอดแก้วอยู่ มันเป็นผนังสีดำเรียบที่ว่างเปล่า ซิตเดินเข้าไปหาผนังตามมาด้วยเร และในที่สุดทั้งสองก็หายเข้าไปในผนังโดยการนำสร้อยเงินแบบเดียวกับที่เซ็นและเฟียร์ได้มาทาบลงบนผนัง เซ็นกำลังจะเดินเข้าไปบ้างแต่กลับถูกเฟียร์ดึงไว้ก่อน
"เอาน่า...ถ้าเกิดอะไรขึ้นชั้นจะปกป้องเธอเอง แต่มันคงไม่มีอะไรหรอก สองคนนั้นยังเข้าไปเลย" เซ็นพูดด้วยเสียงนุ่มลึกและอบอุ่น เขายิ้มให้เฟียร์ได้ใจชื้นขึ้นมาบ้างก่อนที่จะจับมือเฟียร์และเดินตรงไปยังผนังพร้อมๆกัน นี่อาจเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาก็เป็นได้ ใครจะไปรู้
"ชั้นไม่ได้กลัวว่ามันจะอันตรายหรอกนะ แต่ชั้นกลัวว่าจะต้องจากเธอไปต่างหากล่ะเซ็น" เฟียร์พูดออกมาเบาๆ เบามากจนเซ็นก็ไม่อาจได้ยิน แต่สิ่งที่เซ็นรับรู้ได้ก็คือ เขาจะไม่มีวันยอมให้เฟียร์ต้องจากไปอย่างแน่นอน
------------------------- Gardolf...โรงเรียนป่วนพิทักษ์โลก -------------------------
งุงิงุงิ... - -"
อัพ 3 ตอนก่อนและกันนะฮับ
ยังไงก็ช่วยๆกันอ่าน + เม้นด้วยนะครับ
รักคนอ่านนะครับ (มุขเก่าเก็บ - -)
ความคิดเห็น