คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ก้าวแรก
ณ ทางเดินที่ไร้ผู้คน เงียบสงัดและหนาวเย็น ยังมีกลุ่มนักเรียนอีกสี่คนที่ยังคงยื่นอยู่ภายใต้ผนังสีสีดำสนิทไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆ มีเพียงแผ่นเงินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ตรึงไว้เหนือบริเวณที่น่าจะเป็นประตูเท่านั้นที่โดดเด่นออกมาจากผนัง บางแผ่นถูกสลักไว้ด้วยชื่อและตัวย่อของอะไรบางอย่างที่เซ็นและเฟียร์ไม่เข้าใจ และบางแผ่นก็ยังคงว่างเปล่า สิ่งเดียวที่เด่นชัดคงจะเป็นแสงไฟสีขาวที่ส่องลงมาจากเพดาน แต่ถึงกระนั้นบนเพดานก็ไร้ซึ่งหลอดไฟหรืออะไรนอกดเสียจากพื้นผิวที่ยังคงเป็นสีดำ นั่นคืออีกด้านหนึ่งของผนัง ซึ่งพวกเขาเพิ่งจะผ่านเข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว
“เฟียร์เลือกเอาแล้วกันนะว่าอยากอยู่ห้องไหน เอาห้องที่แผ่นเงินยังว่างนะ อ้อ...ต้องเป็นห้องที่อยู่ทางด้านขวาด้วยล่ะ” เรบอกเฟียร์อย่างใจดี บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่เช่นเคย เฟียร์ยิ้มตอบแล้วเดินดูห้องอยู่สองรอบ ก่อนที่จะเลือกห้องที่มีด้านขวาเป็นห้องของอีวา อาร์เดียร์ และด้านซ้ายเป็นห้องของเพอร์คอเน๊ส โซดิแอค
“เอาสร้อยที่ได้มาไปทาบกับผนังใต้ป้ายที่เฟียร์เลือกนะ แล้วห้องนั้นจะเป็นของเฟียร์ไปตลอดชีวิตการเป็นนักเรียนการ์ดอล์ฟ” เรบอกเฟียร์ด้วยรอยยิ้มอีกเช่นเคย ทันทีที่สร้อยประกบลงบนผนัง ความรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าไหลผ่านก็เกิดขึ้นกับเฟียร์ ก่อนที่แผ่นเงินที่เคยว่างเปล่าจะปรากฏเป็นตัวอีกษรที่เรียงตัวกันเป็นคำว่า “อัลเฟียร์ เด๊ธเรเวียร์เทน ว.” แล้วผนังสีดำก็หายไป เกิดเป็นบานประตูที่เปิดออกอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นเซ็นก็พยายามจะเอาห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของเฟียร์ แต่เมื่อเอาสร้อยไปทาบกับผนัง เซ็นก็กระเด็นอย่างหมดท่าไปชนเข้ากับผนังด้านขวา เนื่องจากห้องนั้นมีคนอยู่แล้ว และนั่นก็คือ ห้องของเรนั่นเอง เซ็นจึงตัดสินใจอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่าจะอยู่ห้องทางขวาถัดจากห้องของเรไปอีกหนึ่งห้อง เพราะห้องที่เว้นไว้นั้นเป็นห้องของซิต และห้องทางด้านซ้ายก็ดูเหมือนจะเต็มหมดแล้ว
---------------------------------------------------------------
เมื่อเดินเข้าไปในห้องจะพบว่าการตกแต่งภายในห้องนั้นจะเป็นไปอย่างที่เจ้าของห้องต้องการทุกประการ เนื่องจากระบบคอมพวเตอร์ของที่นี่นั้นจะจัดการอ่านลักษณะนิสัยของเจ้าของห้องจากการทาบสร้อยลงบนผนัง ซึ่งก็เป็นเหตุที่ทำให้เฟียร์รู้สึกเหมือนถูกกระแสไฟวิ่งผ่าน และด้วยระบบนี้นี่เองก็จะช่วยป้องกันคนนอกเข้ามาในห้องอีกด้วย เช่นเดียวกันกับที่เซ็นกระเด็นออกมาตอนเอาสร้อยไปทาบห้องที่มีเจ้าของอยู่แล้ว
ในห้องนั้นจะแบ่งออกเป็นห้องหลักๆสามห้อง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเหมือนกันทุกห้องคือ ห้องนอน หองนั่งเล่น และห้องน้ำ ส่วนห้องไหนจะมีห้องอื่นๆเพิ่มขึ้นมาก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของห้องนั้นๆ เช่นในห้องของเซ็นก็จะมีห้องแต่งตัวเพิ่มขึ้นมา เพราะเซ็นเป็นคนที่มีของเยอะและชอบดูแลตัวเอง ซึ่งห้องนี้มักจะมีอยู่ในห้องของผู้หญิงทุกห้อง
หากเปิดประตูเข้าไปยังห้องนอน ตารางสอนและหนังสือเรียนวางอยู่บนเตียงนอนที่ดูนุ่มสบาย และถ้าเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็จบพบว่าเสื้อผ้าทุกชุดถูกจัดเรียงเข้าตู้เรียบร้อย และยังมีชุดนักเรียนอยู่ในตู้อีกด้วย ส่วนในห้องน้ำก็จะมีสบู่ที่ใช้อยู่เป็นประจำ ซึ่งจะไม่มีวันหมด ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆนั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของห้องอีกเหมือนกัน
และที่ขาดไม่ได้คือ คู่มือนักเรียน คู่มือนักเรียนจะประกอบไปด้วยกฎของโรงเรียน แผนที่ของโรงเรียน และวิธีใช้งานเครื่องมือต่างๆภายในโรงเรียน ซึ่งหนังสือเล่มนี้มันก็เป็นเล่มเดียวกันกับเจ้าเล่มที่ถูกจับม้วนเป็นทรงกระบอกอย่างทารุนด้วยฝีมือเซ็นนั่นเอง และในหนังสือเล่มนี้ก็มีวิธีใช้หลอดแก้วและสร้อยเงินที่เซ็นกับเฟียร์ไม่คิดที่จะเปิดอ่านเลยแม้แต่น้อย
---------------------------------------------------------------
ตอนนี้ทั้งสี่คนอยู่ในชุดนักเรียนของสถาบันเรียบร้อยแล้ว เร ซิตและเซ็นอยู่ในชุดกางเกงขายาวสีดำธรรมดา มีท่อนบนจะเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวที่สวมทับด้วยสเวตเตอร์สีดำ มีตราสถาบันซึ่งเป็นรูปโล่นิลวางทับอยู่บนดาบสองเล่มที่ไขว้กันเป็นกากบาท ตรงกลางของโล่ก็จะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ปักเป็นตัวจีกับตัวดีด้วยด้ายสีทองอร่าม..อยู่ที่หน้าอกด้านซ้าย ส่วนเฟียร์ก็อยู่ในชุดแบบเดียวกันเพียงแต่เปลี่ยนจากกางเกงมาเป็นกระโปรงจีบรอบสีดำ
ในตอนแรกเฟียร์ไม่เข้าใจว่าทั้งๆที่วันนี้เป็นวันเสาร์แต่ทำไม่ยังต้องใส่ชุดนักเรียนอีก เรจึงอธิบายว่าวันจันทร์ถึงวันศุกร์ทุกคนจะต้องใส่ชุดนักเรียน เพราะเป็นวันที่ต้องเข้าเรียนและทานอาหารร่วมกันที่ห้องประชุมทั้งสามมื้อ ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์จะใส่ชุดอะไรก็ตามสบาย เพราะไม่ใช่วันเรียนและสองวันนี้นักเรียนก็ไม่ต้องมากินอาหารพร้อมกันกับอาจารย์และเพื่อนๆที่ห้องประชุม ซึ่งเรคิดว่าเป็นเหตุผลที่ต้องมีการ์ดอล์ฟสเตชั่น...ที่เซ็นและเฟียร์คิดว่าเป็นร้านอาหารชื่อประหลาดที่สุดเท่าที่คยได้ยินมา ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมวันนี้ต้องใส่ชุดนักเรียนนั้นก็เป็นเพราะ...วันนี้จะมีการประถมนิเทศนั่นเอง
และเมื่อซิตเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนใหญ่สีเงินบนข้อมือของตัวเองก็พบว่า ตัวเลขดิจิตอลบอกเวลา “3:30 pm” นั่นแสดงว่าพวกเขายังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะได้เวลาอาหารเย็น ดังนั้นซิตจึงชวนเรไป “การ์ดอล์ฟชอปสเตชั่น” ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของผนังชั้นสอง พวกเขาเดินผ่านกำแผงสีดำไร้การตกแต่งในชั้นสองด้วยการทาบสร้อยลงบนผนังอีกครั้ง แต่แทนที่พวกเขาจะได้พบกับความว่างเปล่าเช่นสิ่งที่เจอในชั้นสาม แต่พวกเขากับพบว่า
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือ สถานที่ที่ไม่ต่างอะไรไปจากห้างสรรพสินค้า เพียงแต่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีที่ทำให้ดูหรูหรา เช่นผนังจะเป็นสีแดงเลือดหมูมีขอบเป็นไม้แกระสลัก เป็นต้น และนั่นก็ทำให้เฟียร์และเซ็นรู้ซึ้งถึงความจริงที่ว่า...การ์ดอล์ฟสเตชั่น คือ ห้าง ไม่ใช้ร้านอาหารที่มีชื่อประหลาดอย่างที่คิด
เด็กนักเรียนหญิงมากมายกำลังเดินเลือกซื้อของแบบไม่ต้องจ่ายเงินกันอย่างเมามัน แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องซื้อแบบสะบั้นหั่นแหลก เมื่อพบว่าเสื้อผ้าเครื่องใช้แบรนด์เนมชื่อดังต่างๆจากทั่วทุกมุมโลกมาให้เลือกจับจองเป็นเจ้าของถึงตรงหน้าแบบไม่ต้องเสียงเงินเลยสักแดงเดียว ส่วนนักเรียนชายก็ไม่ต่างอะไรไปจากนักเรียนหญิง พวกเขามักจะมองหาเกมออกใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นแผ่นแท้ เพราะที่การ์ดอล์ฟการนำของลอกเรียนแบบเข้ามาในสถาบันถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎ ซึ่งมันก็เป็นกฎอีกข้อหนึ่งที่ประหลาดจากอีกหลายๆข้อ
ซิตเดินไปยังร้านกาแฟร้านหนึ่งที่ดูจะแปลกไปจากร้านอื่นๆ เพราะร้านนี้ถูกตกแต่งด้วยสีสันสดใส ซิตไม่เข้าไปข้างใน แต่กลับยื่นรอใครบางคนอยู่หน้าร้าน และด้วยท่าทางที่คนทั่วไปเรียกว่ายืนเก๊กนั้น หัวข้อสนทนาใหม่ก็เกิดขึ้น และตามมาด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ดังมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า หัวข้อสนทนาก็จะเป็นพวก “ซิตมาที่แบบนี้ด้วยหรอ” “ซิตรอใครอยู่อ่ะ” “ว๊าย...ซิตมากับเรด้วย” บลาๆๆๆ...
“อุ๊ย...นั่นใครน่ะหล่อจัง ผมสีทองอีกต่างหาก” แต่หัวข้อนี้นี่สิ...ท่าทางใบหน้าขาวๆใสๆบวกกับนัยน์ตาสีฟ้าดูเย็นสบาย และเรือนผมสีเหลืองทองของเซ็น...ดูเหมือนว่ามันจะมัดใจสาวๆเข้าให้ซะแล้ว
“นี่ยัยวา เจ๊ล่ะสงใส๊สงใส...หลอนเป็นแฟนกับซิตของเจ๊รึไงยะ เห็นซิตจ๋ามารอหล่อนบ๊อยบ่อย...ดูซิวันนี้ก็มาอีกและ เจ๊ล่ะอิจฉา” เจ๊กระเทยเจ้าของร้านกาแฟสีสดใสพูดขึ้นด้วนน้ำเสียงสูงปี๊ด สาวน้อยร่างเล็กผู้มีผมสีชาและนัยน์ตาสีม่วงหรือที่เจ๊กระเทยเรียกว่าวานั้นกำลังทำหน้าคุ่นคิด เธอมองออกไปนอกร้านแล้วก็พบว่าซิตยืนอยู่หน้าร้านอย่างที่เจ๊แกบอกจริงๆ
“ไม่รู้สิเจ๊แต่วาว่าวาไปก่อนดีกว่า...เดี๋ยวซิตมันรอนานแล้วอารมณ์บูด...บายเจ๊” สาวน้อยผมสีชากล่าวตอบด้วยท่าทีรีบเร่ง แล้วเธอก็เดิน...อันที่จริงต้องเรียกว่าวิ่งถึงจะถูก...ออกไปจากร้านโดยเร็ว และนั่นก็ทำให้สายตาของสาวๆที่มีอยู่เกือบจะเต็มร้านเล็งเป้าหมายมาที่เธอ
“ช้าจริง” คนตัวสูงพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่สายตาก็ไม่มีแววโกรธเคืองสาวน้อยแต่อย่างใด แถมสาวเจ้ายังไม่ออกอาการกลัวเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงดูเหมือนเธอจะไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยด้วยซ้ำ เพราะเธอนั้นกำลังยืนหอบอย่างเอาเป็นเอาตาย
“โอ๊ย...เหนื่อย...ว่าแต่นายมีไรอ่ะ วันนี้เปิดเทอมวันแรกนะ ขอบอกไว้ก่อน...ชั้นไม่อยากทำผิดกฎ” หลังจากที่ทั้งห้าคนเดินดูของกันได้สักพัก วาก็โวยวายขึ้นมาเสียงดัง เพราะเธอนั้นเพิ่งจะหายเหนื่อย ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้คนแถวนั้นมองกันด้วยสายตางงงวยก่อนที่จะนำไปเป็นหัวข้อสนทนา แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย บางทีเธออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลายๆคนกำลังมองเธออยู่
“สมองเธอมันทำจากเศษฟางรึไงนะ...นี่เธอคิดว่าชั้นเป็นแบบนั้นได้ยังไง” และแล้วมาทขรึมของซิตก็เป็นอันต้องแตกกระจาย ตอนนี้ซิตก็ดูไม่ต่างอะไรไปจากผู้ชายที่เพิ่งจะอายุสิบเจ็ดไปหมาดๆธรรมดาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เซ็นกับเฟียร์อึ้งไปตามๆกัน เพราะทั้งๆที่คิดว่านายนี่มันดูทำตัวจะเป็นผู้ใหญ่จนน่าฆ่าทิ้ง...ไหงกลายมาเป็นแบบนี้ได้
“ก็มันจริงนี่หว่า...เฮ้ย...ไม่ใช่ๆ...เค้าไม่ได้คิดแบบนั้นน้า...แล้วเรียกเค้ามาทำไรอ่ะ” วาหลุดปากบอกความคิดที่แท้จริงออกไป แต่ก็เปลี่ยนคำพูดได้ทัน ไม่งั้นมีหวังหัวได้หัวหลุดออกจากบ่าแน่ เพราะนี่ขนาดเปลี่ยนคำพูดทันยังถูกมองด้วยสายตาเชือดเฉือนซะขนาดนี้
“ก็ไม่มีไร” ซิตพูดออกมาหน้าตาเฉย และตอนนี้ก็กลับมาเป็นคุณชายเงียบอำมหิตคนเดิม
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด...เอาแฮมเบอร์เกอร์ชั้นคืนมานะ” เสียงหวีดร้องแปดหลอดของใครบางคนดังเสียดแก้วหูมาแต่ไกล แล้วเด็กผู้หญิงผมหน้าม้าสีทองนี่มันใครกัน อยู่ๆก็โผล่มาหลบอยู่หลังคนหัวสูงเหมือนหาที่กันบังซะอย่างนั้น คงจะเป็นปีหนึ่งชัวร์
“ง่า~...ช่วยเค้าด้วยน้า...เค้าไม่ได้ทำไรผิดจริงๆน้า” เด็กสาวผมทองพูดด้วยน้ำเสียงวิงวอนเต็มที่ แท้จริงแล้วเธอไปวิ่งราวแฮมเบอร์เกอร์ของยัยเสียงแหลมนั่นมา ดูจากการหลบหนีแล้ว เชื่อว่าเป็นมืออาชีพอย่างแน่นอน...เด็กคนนี้จะต้องเป็นหัวขโมยมืออาชีพอย่างแน่นอน
“กรี๊ดดดดดดด...นังเด็กบ้า เอาแฮมเบอร์เกอร์ของชั้นไปยังไม่พอ แกยังบังอาจหาญกล้ามาเกาะแขนซิตของชั้นอีกหรอ” ในที่สุดยัยผู้หญิงนิรนามที่มีเสียงสูงเกินแปดหลอดก็วิ่งตามเด็กน้อยผมทองมาจนทัน แล้วก็เริ่มปฏิบัติการวีนแหลกชนิดที่เสียงเล็บขูดกระดานยังต้องอาย ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงแบบนี้จะเข้าการ์ดอล์ฟมาได้ ท่าทางมาตรฐานโรงเรียนจะต่ำลงซะแล้ว...ไร้ซึ่งอารยะธรรมสิ้นดี
“ก็เค้าหิวง่า...ฮึกๆ” สาวน้อยผมทองทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แล้วก็ยิ่งเกาะซิตแน่นเข้าไปอีก
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด~...”
“โว๊ย...หยุด” ในที่สุดความอดทนของเซ็นก็หมด เหมือนเส้นด้ายที่โดนเทียนรนจนขาดผลึ่ง แม้ว่ายัยเสียงแปดหลอดจะหน้าตาดีแถมยังสวยเซ็กซี่ แต่เรื่องนิสัยนี่น่าถีบเป็นที่สุด และดูเหมือนว่าเซ็นจะไม่ค่อยชอบยัยนี่ซะด้วยแฮะ เรื่องนี้คงจบไม่สวยแน่
“หนอย~...นี่คิดว่าตัวเองหล่อหน่อยแล้วชั้นจะอ่อนให้หรอยะ นี่จะบอกให้อย่างแกน่ะชั้นไม่เอาหรอกย่ะ ชั้นเนี่ยนะหาได้หล่อกว่าแกเป็นร้อยเท่า...” เจ๊เสียงแหลมเริ่มร่ายยาว จนเซ็นเริ่มจะโกรธ ก็เล่นไปหาว่าเซ็นไม่หล่อซะงั้น อย่างนี้มันเสียชาติเกิด รู้สึกเรื่องความหล่อนี่เซ็นจะไม่ยอมใครซะด้วยสิ
“ไม่ตายดีแน่ยัยเจ๊นกหวีด” เซ็นกำหมัดแน่น พร้อมที่จะออกหมัด แต่แล้วเขาก็คลายหมัดและเผยยิ้มแทน นั่นเป็นเพราะในช่วงที่เขากำลังจะออกหมัดนั้น ซิตได้ส่งสายตาให้เขาประมาณว่า /ชั้นมีวิธีที่ดีกว่านั้น/ ซึ่งดูๆแล้วมันน่าจะดีจริง เนื่องจากสายตาของซิตในตอนนี้โรคจิตแบบสุดๆไปเลย
ซิตดีดนิ้วหนึ่งครั้งแล้วพายุหมุนขนาดเล็กก็มาพาตัวเจ๊เสียงแหลมจากไป ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีที่แน่ใจได้ว่าเธอผู้นั้นคงจะไม่สามารถออกมารังควานผู้คนได้อีกหลายวันเลยทีเดียว เพราะกว่าจะหลุดออกมาจากพายุหมุนได้สมองก็คงจะกระจายเต็มหัว คงต้องใช้เวลาอยู่หลายวันเพื่อรวมรวบให้มันกลับไปใช้การได้อีกครั้ง ส่วนเรื่องที่จะกลัวโดนลงโทษน่ะไม่มีทาง เพราะวาได้จัดการลบความทรงจำของทุกๆคนไปเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อไม่มีหลักฐาน...ไม่มีพยาน...ก็ไม่มีความผิด
------------------------------------------------
หลังจากทำการหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุกันเรียบร้อย เฟียร์ก็ได้เพื่อนใหม่เป็นสาวน้อยผมทองคนนั้น เธอมีนามว่าซายะ “ซายะเป็นหัวขโมยด้วยนะ” เธอบอกกับเฟียร์อย่างภาคภูมิ หลังจากที่ได้คุยกันอยู่นาน ทั้งหกคนก็เริ่มที่จะสนิทกัน และได้รู้อีกว่า เซ็นตามจีบเฟียร์มานานแล้ว (ซึ่งซิตทำหน้าแปลกๆ) เรกับซิตเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้ววาซึ่งก็มีชื่อเต็มๆว่า “อีวา อาร์เดียร์” นั้นคือคนที่อยู่ห้องติดกับเฟียร์ แถมยังเป็นผู้หญิงที่ใกล้ชิดกับซิตที่สุดในโรงเรียน เรบอกว่าซิตกับวาชอบร่วมมือกันทำเรื่องวุ่นวาย
“อ้าว...นี่มันจะหกโมงแล้ว เราไปกินข้าวกันเหอะ” วาพูดขึ้นในขณะที่เงยหน้าจากนาฬิกาข้อมือของซิต แล้วทุกคนก็รีบตรงไปยังห้องอาหารที่อยู่ในคฤหาสน์การ์ดอล์ฟทันที เพราะถ้าไปสายล่ะก็อาจโดนตัดคะแนนได้ แล้วคะแนนที่ตัดก็ไม่ใช่คะแนนส่วนตัวแต่เป็นของทั้งชั้น คือ ถ้าปีสามไปสายหนึ่งคนชั้นปีที่สามก็จะถูกตัดคะแนนทุกคน แบบนี้ถ้าไปสายล่ะก็มีหวังโดนยำเละเป็นโจ๊กแน่
“อ้อ...ลืมบอกไป เซ็น เฟียร์ และซายะนั่งโต๊ะตัวที่หนึ่งนับจากทางขวามือนะ เพราะพวกนายเป็นปีหนึ่ง ส่วนชั้นกับซิตแล้วก็วาจะนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวที่สอง ส่วนตัวที่สามจะเป็นของพวกปีสาม แล้วตัวที่สี่กับตัวที่ห้าก็เป็นของพวกปีสี่ปีห้า พอพวกนายขึ้นปีสองนายก็จะย้ายมานั่งโต๊ะที่สอง แล้วโต๊ะตัวที่อยู่ด้านหน้าก็จะเป็นโต๊ะอาจารย์ เข้าใจล่ะ” เรอธิบายให้เซ็น เฟียร์และซายะฟังถึงระเบียบของห้องอาหาร แล้วทั้งหกคนก็มาถึงห้องอาหารพอดี ต่างคนต่างแยกย้ายไปนั่งที่ของตน
หญิงทรงวัยวุฒิผู้มีเสียงแหลมสูงคนเดียวกับที่เซ็นและเฟียร์เห็นในตอนเช้าก็เดินไปนั่งที่โต๊ะอาจารย์ เธอยืนกวาดสายตามองหาความผิดพลาด แต่เธอก็ไม่พบอะไร นั่นคงทำให้เธออารมณ์เสียน่าดูชมเลยทีเดียว เธอหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาอ่านอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“หนึ่งพันปี...หนึ่งพันปีแล้วที่สถาบันซึ่งโด่งดังภายใต้ชื่อการ์ดอล์ฟแห่งนี้ ได้ยืนหยัดเพื่อสร้างบุคลากรผู้มากด้วยความสามารถให้แก่โลกใบนี้ ชั้น...รองศาสตราจารย์ใหญ่ ศาสตราจารย์ เมเดียร์เนส ดาร์เรล ขอตอนรับนักเรียนการ์ดอล์ฟรุ่นที่หนึ่งพันสู่สถาบันอันภาคภูมอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้” เมเดียร์เนสพูดด้วยน้ำเสียงตื้นตันและเทิดทูนในสถาบันอย่างที่คงหาใครเปรียบได้ยาก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเธอเงาวาวด้วยน้ำใส่ๆที่คออยู่ไม่ยอมไหลออกมาให้ใครเห็น
“ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้...ต่างพร้อมที่จะเผชิญความยากลำบาก และนี่ก็เป็นอีกปีที่เราได้มอบตำแห่งผู้สืบทอดให้แก่ปีหนึ่งทั้งยี่สิบชีวิตที่อยู่ตรงนี้ ชั้น...อยากให้พวกเธอจำเอาไว้ว่า สิ่งที่เธอกำลังจะรู้...กำลังจะเห็น...และกำลังจะเป็น ขอให้เก็บเป็นความลับระหว่างเรา หากใครไม่สามารถเก็บรักษาความลับนี้ไว้ได้...ความตายคงเป็นสิ่งที่จำเป็น” เมเดียร์เนสเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงจากที่เคยตื้นตันในสถาบันมาเป็นหญิงชราหน้าตาโหดเหี้ยมผู้มีน้ำเสียงชวนขนหัวลุกอย่างไม่มีใครเทียบติด
“ต่อจากนี้ไปพวกเธอ...ปีหนึ่งทั้งยี่สิบชีวิตจะไม่เป็นเพียงประชากรแห่งโลกเท่านั้น นับแต่นาทีที่พวกเธอยืนหยัดอยู่ในสถาบันแห่งนี่...แม้ว่าชั้นจะเปิดโอกาสให้พวกเธอกลับไปมีชีวิตที่สงบสุขตามที่เคยเป็นมาก็ตาม พวกเธอจะเป็นประชากรแห่งการ์ดอล์ฟด้วย...พรึ่บ!!” พูดจบดวงไฟสีน้ำเงินเย็นตาก็ลุกโชนขึ้นที่มือซ้ายของเธอ ส่งผลให้พวกปีหนึ่งหน้าเหวอกันเป็นแถว บางคนถึงกับน้ำตาคลอด้วยความช็อค
“ที่เธอเห็นนี่เป็นแค่เวทย์ครึ่งไฟครึ่งน้ำธรรมดา...พวกเธอแต่ละคนจะมีธาตุประจำตัว ซึ่งจะได้รู้กันในคาบเรียนทักษะ ที่แห่งนี้...การเรียนการสอนจะต่างไปจากที่พวกเธอเคยพบเจอมามาก คือ เราจะแบ่งสายการเรียนออกเป็นสี่สายด้วยกันตามพลังที่เรารับรู้ได้จากตัวพวกเธอแต่ละคน อย่างที่เธอเห็น...ป้ายหน้าห้องของพวกเธอ ต่อจากชื่อจะเป็นตัวอักษร ว. อ. พ. และ ศ. ซึ่ง
ว. ย่อมาจาก เวทย์ หมายถึง สายการเรียนทักษะการใช้เวทย์ ประจำสีน้ำเงิน
อ. “ อัญเชิญ “ สายการเรียนทักษะการอัญเชิญ ประจำสีเหลือง
พ. “ พลังจิต “ สายการเรียนทักษะการใช้พลังจิต ประจำสีเขียว
ศ. “ ศิลปะการต่อสู้ “ สายการเรียนทักษะการต่อสู้ ประจำสีแดง
ส่วนลายละเอียดนั้นพวกเธอจะได้รู้กันในคาบเรียนวิชาต่างๆ ขอให้พวกเธอทุกคนจำไว้ว่า...“เรา คือ ผู้ถูกเลือก”...ขอให้มีความสุขกับอาหารค่ำ” เมื่อเธอพูดจบอาหารมากมายก็ลอยเข้ามาในห้องและวางลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ ท่ามกลางร่างที่ยังคงแข็งทื่อด้วยอาการกลไกลทางสมองรวนของนักเรียนปีหนึ่งทุกคน เว้นแต่ซายะที่มีอาการตื่นตาตื่นใจจนออกนอกหน้ากับอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่เพียงไม่กี่นาทีพวกเขาพูดคุยไปกินไปกันอย่างสนุกสนานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหัวข้อสนทนาก็ดูจะเป็นเรื่องความลับที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ความลับ
---------------------------------------------------
แสงจันทร์สาดส่องลงบนผิวน้ำ สาวน้อยผมดำคนหนึ่งนังอยู่บนพรมหญ้าสีเขียวขจีผืนใหญ่ สายลมที่พัดผ่านร่างเล็กๆนั้นทำให้เธอสั่นไหวด้วยความหนาวเหน็บ อีกหนึ่งสายตาหนึ่งที่ยังคงจ้องมองเธอจากความมืด ชีวิตนั้นช่างขลาดเขลาเสียจริงๆ เพียงแค่แสดงตัวให้เธอเห็นก็ยังไม่มีความกล้าหาญพอ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป นัยน์ตาสีแดงเพลิงคู่นั่นก็คงไม่มีวันแม้แต่เหลียวมอง ชีวิตที่แอบซ้อยอยู่ในเงามืดก็คงต้องทนเป็นเพียงความมืดที่ว่างเปล่าต่อไป
-------------------- Gardolf...โรงเรียนป่วนพิทักษ์โลก --------------------
หวัดดีครับผม...(กราบงามๆ 3 ที)
วันนี้ก็มาอัพตอนที่ 4 นะครับ...(หลังจากที่ห่างหายไปนาน - -)
ช่วยกันโวต+เม้นด้วยนะครับ...(อันที่จริงเม้นอย่างเดียวก็ปลื้มแล้ว - -)
ความคิดเห็น