คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เปลี่ยนเป็นเมว
เปลี่ยนเป็นแมว
“คยูฮยอน...” เสียงทุ้มเรียกชื่อเขา ใบหน้าของชายรูปร่างท้วมท่าทางใจดีก้มลงมาอยู่ระดับสายตา “ลุงจะมารับหนูไปอยู่ด้วยกันนะ ไหน...ขอลุงดูหน้าชัดๆ อีกที”
เด็กน้อยเบี่ยงหน้าหลบมือที่จะเอื้อมมาแตะ รายนั้นจึงหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย พี่เลี้ยงเข้ามาดึงแขนเขาและแอบหยิกไหล่เขาลับหลังชายผู้นั้น
“ทำตัวดีๆ นะ ถ้าแกอยากจะไปจากที่นี่ ถ้าเค้าไม่เอาแกล่ะก็...ฉันจะจัดการแกให้เจ็บตัวเลยคอยดู!”
คยูฮยอนน้ำตาคลอ เขามองหน้าลุงคนนั้น แม้จะดูใจดีแต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจ เขาเกลียดสายตายามถูกจ้องกลับ จึงหลบลงอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายหัวเราะและพูดกับเขา
“ขี้อายแบบนี้ช่างน่ารักจริงๆ ไปอยู่กับลุงเถอะ ลุงจะดูแลอย่างดี”
หลังจากทำสัญญารับอุปการะเรียบร้อยแล้ว คยูฮยอนก็ถูกพาตัวไปที่รถ ชายคนนั้นให้เขานั่งที่เบาะหน้า ส่วนตัวเองก็เดินอ้อมไปขึ้นด้านคนขับ คยูฮยอนหันไปมองสถานรับเลี้ยงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนรถจะแล่นออกไป
“คุณลุงชื่ออะไร” เด็กน้อยถาม
“จริงๆ หนูไม่จำเป็นต้องรู้หรอกนะ เราอยู่ด้วยกันอีกไม่นานนักหรอก” ฝ่ายนั้นพูดอะไรกำกวมจนคยูฮยอนไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ นั่งเงียบไปตลอดทางน่าจะดีที่สุด
หลังจากขับมาไกลจากสถานรับเลี้ยง ชายคนนั้นก็จอดรถเพื่อลงไปโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะข้างทาง คยูฮยอนนั่งมอง จากนั้นก็หันมาสำรวจภายในรถฆ่าเวลา พักหนึ่งรายนั้นก็เดินกลับเข้ามานั่งในรถ
“เรารออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวพวกเค้าจะมารับนาย...”
“พ่อแม่อุปภัมถ์ของผมเหรอครับ”
ชายคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยักไหล่ “ใช่...แต่จะว่าไปก็น่าเสียดาย ฉันเป็นคนเจอหนูก่อนแท้ๆ เลยนะ ไม่น่าต้องยกให้พวกนั้นเลย ฉันอุตส่าห์ถูกใจหนู”
“เหรอครับ” คยูฮยอนไม่เข้าใจนัก แต่แล้วครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็โน้มตัวเข้ามา
“ก็น่าเสียดายที่จะส่งตัวหนูให้พวกมันโดยที่ยังไม่ได้ชื่นชม...”
คยูฮยอนตกใจรีบขยับตัวหนี แต่ก็ติดประตูรถ ชายคนนั้นดึงเขาไว้และระดมจูบที่ข้างแก้ม เด็กน้อยร้องอย่างรังเกียจ พยายามผลักร่างนั้นออกแต่สู้แรงไม่ได้ มือหนาสอดเข้ามาใต้เสื้อและลูบคลำไปทั่ว คยูฮยอนเริ่มร้องไห้เพราะตกใจกลัว เขาดิ้นสะเปะสะปะ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อย คยูฮยอนหันไปมองประตูรถ ใช้สติที่เหลือปลดล็อคกลอนประตูและเปิดประตูออกไปอย่างแรงเพราะถูกดันพิงประตูรถอยู่ เมื่อร่างของเขาร่วงลงไป ชายคนนั้นจึงไม่ทันตั้งตัว
คยูฮยอนกลิ้งลงไปที่เนินหญ้าด้านล่าง แม้จะเจ็บแต่ความคิดเดียวคือเอาตัวรอด เด็กน้อยฝืนลุกและวิ่งหนี ชายคนนั้นวิ่งมาทันและกระชากตัวเขา คยูร้องไห้ พยายามดิ้นให้หลุด อีกฝ่ายจึงโมโห เงื้อฝ่ามือขึ้น
เสียงแตรรถถูกบีบเป็นจังหวะติดต่อกัน ชายที่จับตัวเขาชะงัก และหันไปมอง ตอนนี้มีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่ในรถ ตรงที่นั่งคนขับ หลังจากบีบแตรแล้วก็สตาร์ทเครื่องรถ
“เฮ้ย! ไอ้เด็กนี่! แกเป็นใครวะ ลงมาเดี๋ยวนี้เลย” ชายคนนั้นเผลอปล่อยตัวคยูฮยอนแล้ววิ่งไปที่รถ เมื่อไปถึงก็ดึงประตูฝั่งด้านข้างคนขับ แต่ติดล็อค จึงได้แต่ตะโกนโวยวาย
คยูฮยอนไม่ได้หนี เขามองเข้าไปในรถและเห็นว่าเด็กคนนั้นคือทงเฮ คนที่มาหาเขาเมื่อวาน เด็กน้อยประหลาดใจและมองหารุ่นพี่ที่เคยมาด้วยกัน คนที่ชื่อ ‘ฮีชอล’ แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว
“ถ้าไม่ลงมาล่ะก็...ฉันยิงแกทิ้งแน่” ชายคนนั้นอารมณ์เสียจนต้องชักปืนพกออกมาและเล็งขู่ ทงเฮไม่มอง เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอีกคนที่เขาไว้วางใจ
ชายถือปืนหันหลังมามองเมื่อรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนสะกิดหลัง และกว่าจะได้ทันตั้งตัว ปลายเท้าเล็กๆ ที่เตะตวัดปืนในมือจนกระเด็น ตามด้วยหมัดที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้า
“แก!” ฝ่ายนั้นยกมือปิดเบ้าตาที่ถูกชก และเมื่อลืมตาขึ้นอีก ปืนที่เคยเป็นของตัวเองก็จ่ออยู่ที่หน้าผากเสียแล้ว
คยูฮยอนยืนตัวสั่น เขาไม่รู้ว่าฮีชอลโผล่มาจากไหน ทุกอย่างช่างรวดเร็วและน่ากลัว ชายคนนั้นยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้ฮีชอลทิ้งปืน “นี่...ลุงไม่รู้จักพวกเธอหรอกนะ อย่าทำร้ายลุงเลย ส่งปืนมาให้ลุงเถอะ”
“เราเป็นพี่ชายของคยูฮยอน คนที่ลุงกำลังหลอกไปขายซ่องไง”
ได้ยินฮีชอลพูดดังนั้น คยูฮยอนก็เบิกตากว้าง เขาหันไปมองชายคนนั้นเพื่อรอการปฏิเสธ...แต่แล้วก็เปล่า
“บอกมาว่าแกทำอย่างนั้นทำไม” ฮีชอลกระตุกปืนขู่ อีกฝ่ายจึงร้องลั่น
“ฉะ...ฉันรู้จักกับป้าของเด็กคนนี้ แล้วเค้าก็เอารูปให้ฉันดู บอกว่าส่งตัวเด็กไปไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันเห็นว่าหน้าตาน่ารักคงขายได้ราคาดีก็เลยไปรับตัวมา...”
“ไม่ได้มีใครบอกให้แกทำใช่มั้ย” ฮีชอลขัด
“เธอหมายถึงอะไร ไม่...ไม่มีหรอก ฉันแค่อยากได้เงินเลยเป็นนายหน้าหาเด็กๆ ไปส่งพวกมันเท่านั้นเอง” ฝ่ายนั้นกลัวจนตัวสั่น ฮีชอลเห็นว่าไม่มีเบื้องหลังอย่างที่คาด จึงพยักหน้ากับทงเฮว่าพวกเขาต้องรีบ
“ฉันควรจะฆ่าแกทิ้งซะ แต่เห็นแก่น้องฉันจะปล่อยแกไป” ฮีชอลบอกเสียงแข็ง เขาจำใจต้องทำตามที่ทงเฮขอไว้ ทงเฮเกลียดปืน เกลียดเสียงปืนและเกลียดการเห็นใครตายต่อหน้า ฮีชอลจึงต้องปล่อยคนเลวๆ แบบนี้ไป
“เดินไปทางโน้น! เร็วเข้า” ฮีชอลใช้ปืนต้อนอีกฝ่ายไปที่เนินหญ้าด้านล่าง “หันหลังไปแล้วเอามือวางไว้บนหัว”
ชายคนนั้นทำตามอย่างว่าง่ายเพราะท่าทีของฮีชอลช่างน่ากลัว คยูฮยอนเองก็ไม่กล้าสบตาฮีชอลเช่นกัน เขาหวาดกลัวสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะไม่ยอมเผชิญกับเหตุการณ์ใดที่เลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว เขาจะไม่ไปไหน...จะขอตายอยู่ที่นี่
“มานี่...” ฮีชอลเอื้อมมือมาให้เขาจับ แต่เด็กน้อยไม่ยอมส่งมือให้ ฮีชอลหงุดหงิดเพราะมือข้างหนึ่งก็ต้องถือปืนขู่ชายคนนั้น เขาไม่มีสมาธิพอจะต่อกรกับคยูฮยอนในเวลานี้ “เราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนพวกที่ซ่องจะมาถึงนะ”
คยูฮยอนยังคงนิ่ง ฮีชอลจึงเหลือทนออกแรงกระชากแขน เด็กน้อยสะบัดออกและทรุดตัวลงนั่ง น้ำตาไหลอาบแก้ม ยิ่งได้ยินชะตากรรมของตัวเอง เขาก็ยิ่งต้องการปฏิเสธการมีชีวิตอยู่
“คยู! อยากตายมากรึไง!” ฮีชอลตะโกนใส่ แต่เด็กน้อยกลับพยักหน้า “โอเค ฉันรู้ว่านายอยากตาย แต่มันไม่ได้ตายง่ายขนาดนั้นหรอกนะ นายจะถูกทรมาน ถูกทำร้าย นายอยากตายในซ่องเหรอ อยากถูกบังคับให้ขายตัวจนตายใช่มั้ย”
คยูฮยอนร้องไห้โฮแล้วเอามือปิดหู เขาไม่อยากรับฟังอะไรที่โหดร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว เขาสับสน คิดอะไรไม่ออก เขาอยากอยู่เฉยๆ เขาจะไม่ไปไหน ยิงเขาสิ...เขาต้องการให้ฮีชอลยิงเขาตอนนี้เลย
“คยูฮยอน ถ้านายไม่ไป พวกเราจะตายกันหมด เราไม่ไปไหนแน่ถ้านายไม่ไปด้วย”
“เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ! พวกคุณจะไปไหนก็ไปสิ...เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย” คยูฮยอนตะโกนทั้งน้ำตาพลางสะบัดตัวออกจากมือของอีกฝ่ายที่พยายามดึงเขาให้ลุกขึ้น
ฮีชอลเจ็บปวดที่ได้ยินเช่นนั้น เขาเข้าใจดีที่คยูฮยอนจะไม่ยอมรับ รายนั้นคงยังเด็ก “เป็นสิ...พวกเราเป็นพี่น้องกัน พ่อแม่เราสนิทกันมาก พวกท่านคงดีใจที่เราจะรักกันเหมือนพี่น้อง”
“ไม่! ผมไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น ผมไม่มีใครอีกแล้ว...ผมอยากตาย! ผม...”
เพี้ยะ!
คยูฮยอนหน้าหันตามแรง เขายกมือกุมข้างแก้มข้างที่โดนตบ น้ำตาไหลออกมาอีกระลอก เขากลัวฮีชอลจนไม่กล้าหันไปมอง แต่แล้วครู่หนึ่งก็ถูกดึงให้เผชิญหน้า
สายตาของฮีชอลเจ็บปวดกว่าเขาหลายเท่านัก แม้ไม่ได้สบตาเขาอย่างมั่นคงเพราะต้องระแวดระวังจากอีกด้าน กระนั้นสายตาของผู้เป็นพี่ก็ทำให้คยูฮยอนรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป เด็กน้อยเบ้ปากร้องไห้ให้กับความเอาแต่ใจของตัวเอง
“คยูฮยอน ฟังพี่นะ จากนี้ไปมีแค่พี่คนเดียวที่จะทำร้ายนายได้...จำเอาไว้”
คยูฮยอนหมดแรง เขายอมให้ฮีชอลลากตัวขึ้นรถ ฮีชอลเปิดประตูด้านหลังและโยนเขาไว้ที่เบาะนั้น ส่วนตัวเองก็ขึ้นนั่งที่เบาะหน้าคู่กับทงเฮ ครู่หนึ่งทงเฮก็ออกรถ ทิ้งชายคนนั้นไว้เบื้องหลัง
ฮีชอลผ่อนลมหายใจดังๆ ขณะเอนตัวพิงเบาะ เขาหันมามองทงเฮที่ขับรถอย่างมุ่งมั่น โชคดีที่ขายาวพอจะเหยียบคันเร่งถึง แต่ก็ต้องยืดตัวเพื่อจะมองถนน ดูลำบากไปสักนิด
“แปลกใจจังตอนที่นายบอกว่าขับรถเป็น พ่อนายสอนให้งั้นเหรอ”
“อืม...พ่อเชี่ยวชาญเรื่องเครื่องกลกับไฟฟ้าด้วย” ทงเฮตอบและครู่หนึ่งก็เบือนหน้ามาเห็นปืนในมือฮีชอล เขาตกใจและรถที่ขับก็เหวี่ยงเซก่อนจะตั้งสติควบคุมให้กลับเข้าเส้นทางได้
“ฉันควรจะเก็บมันสินะ...” ฮีชอลรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเปิดลิ้นชักรถและเก็บปืนไว้ในนั้น ทงเฮถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองกระจกหลัง สังเกตดูเด็กน้อยที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเบาะ
“เราคงต้องรีบไปจากที่นี่อีกแล้ว หวังว่าไอ้แก่นั่นจะไม่ปริปากบอกตำรวจเรื่องเราขโมยรถนะ” ทงเฮพูด
“มันไม่กล้าหรอก เรารู้ความลับเรื่องที่มันเป็นนายหน้าให้ซ่องแล้วนี่” ฮีชอลยักไหล่ แต่ทงเฮมีท่าทีกังวล เขามองอะไรรอบคอบและคิดว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ เป็นแน่
“แต่พี่ฮีชอลคิดดูนะ ถ้ามันไปบอกตำรวจว่าพวกเราขโมยปืนกับรถของมัน คิดเหรอว่าพอจับพวกเราได้แล้วตำรวจจะฟังคำแก้ตัวของเรา เด็กสามคนกับผู้ใหญ่ท่าทางน่าเชื่อถือ...พี่ว่าตำรวจจะเชื่อใคร”
ฮีชอลแค่นหัวเราะแล้วเบือนหน้าออกไปนอกรถ “เพราะแบบนี้ไงพี่ถึงเกลียดตำรวจ พี่ไม่คิดจะเผชิญหน้ากับตำรวจแถวนี้อีกครั้งหรอกนะ พวกมันคงมีชื่อเราอยู่ในบัญชีอาชญากรเรียบร้อยแล้วล่ะ เราถึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนกันอยู่นี่ไง”
“ผมไม่ชอบคำนั้นเลย” ทงเฮบ่นอย่างหวาดๆ เมื่อได้ยินฮีชอลพูด
“อาชญากรน่ะเหรอ ยอมรับเถอะทงเฮ นั่นคือสิ่งที่พวกเราเป็นอยู่ เช่นอะไรบ้างล่ะ...ใช้กรรไกรแทงอาตัวเอง ทำร้ายเจ้าของแล้วขโมยปืน ขโมยรถ รมยาสลบตำรวจ...ฆ่าคนตาย”
ทงเฮสะดุ้งเมื่อฮีชอลพูดเรื่องนั้น เขาต้องพยายามบังคับมือที่จับพวงมาลัยรถไม่ให้สั่น
“พอเถอะพี่...”
“เราสองคนคงถูกตำรวจตามล่าตัวพร้อมประวัติอาชญากร เหลือแค่นายสินะ...ที่ยังไม่มีความผิดอะไร” คยูฮยอนที่นั่งไม่พูดไม่จารีบก้มหน้างุดเมื่อฮีชอลเอี้ยวตัวมามองเขา เมื่อเห็นท่าทางนั้นฮีชอลก็ระเบิดหัวเราะอย่างอารมณ์เสีย “แค่สองคนก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ฉันคงโง่มากที่เสี่ยงชีวิตเก็บเด็กไร้เดียงสามาด้วยอีกคน...ดีไม่ดีจะโดนข้อหาลักพาตัวด้วย”
“แต่คยูฮยอนเป็นน้องเรานะ” ทงเฮพูดแทรก
“ใช่...แต่มันยอมรับพวกเราเป็นพี่รึเปล่าล่ะ พี่ไม่ถนัดบังคับใจใครหรอกนะทงเฮ เราเสี่ยงชีวิตมาช่วย แทนที่จะได้รับคำขอบคุณกลับถูกตำหนิ คนเค้าอยากตาย...จะช่วยไว้ทำไม จริงมั้ย” ประโทนคำถามถูกส่งไปที่คนด้านหลัง คยูฮยอนซุกหน้าลงกับเข่าทั้งสองที่คู้ขึ้น ร่างสั่นเบาๆ เพราะกำลังร้องไห้
“พอแล้วพี่ฮีชอล คยูฮยอนยังเด็ก...คงอีกนานกว่าจะทำใจรับเรื่องเลวร้ายนั่นได้”
คยูฮยอนรู้สึกดีกับทงเฮมากกว่าเพราะคอยปกป้องเขา และเข้าใจความรู้สึกของเขา ผิดกับฮีชอลที่ใจร้าย พยายามบังคับให้เขาเข้มแข็ง คยูฮยอนยอมรับว่าฮีชอลทั้งเก่งและแกร่งจนเขากลัว คงเพราะรายนั้นช่างตรงข้ามกับเขาเสียทุกอย่าง
“สรุปว่าเราจะกลับไปเอาของที่โรงแรมและรีบขับรถ ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันใช่มั้ยครับ” ทงเฮถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ฮีชอลยกมือกุมขมับแล้วพยักหน้า ดูเหมือนจะมีเรื่องกังวลใจอยู่
“ไม่ใช่แค่เราสองคนแล้วสินะ ทงเฮ”
ทงเฮนิ่งเงียบ จากนั้นก็เหลือบมองกระจกหลัง คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตาเขาพอดี และจึงหลบลงอย่างรวดเร็ว “เราควรจะถามคยูฮยอนมั้ยว่าเค้ามีเรื่องอะไรที่อยากทำ”
“ไม่รู้สิ...เห็นบ่นว่าอยากตายอยู่เมื่อกี๊ จะให้ทำยังไงล่ะ” ฮีชอลถอนหายใจเฮือก
ทั้งหมดเงียบไปอีก กระทั่งทงเฮหันมาถามฮีชอลบ้าง “แล้วพี่อยากทำอะไร พี่ถามผม...แต่ผมยังไม่เคยรู้เลยว่าเป้าหมายในชีวิตของพี่คืออะไร ดูเหมือนพี่จะอยากตามใจผม แต่ใจพี่ล่ะครับ...พี่คิดอะไรอยู่กันแน่”
ฮีชอลหลบตาลง เขารู้ว่าการพูดอย่างที่ใจคิดอาจส่งผลร้าย แต่นี่ก็เป็นหนทางเดียวที่จะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ เขาไม่อาจปิดบัง และลอบทำสิ่งนั้นอยู่คนเดียวได้ตลอดไปหรอก ถ้าเขาคิด...เขาก็ควรจะพูด
“พี่อยากแก้แค้น...”
ทงเฮไม่พูดอะไร เขาพยักหน้ารับรู้ และทุ่มเทสมาธิส่วนมากให้กับการขับรถ คยูฮยอนขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ เขาพอจะเดาออกว่าการแก้แค้นที่ฮีชอลพูดหมายถึงอะไร และเขาไม่เห็นด้วย
“ไม่ใช่แค่แก้แค้นคนที่วางแผนฆ่าพ่อแม่เรา แต่พี่อยากปกป้องศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของพวกท่าน พี่อยากทวงสิ่งที่เคยเป็นของพวกท่านกลับคืนมาทั้งหมด พี่ทนไม่ได้ที่รู้ว่าสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับพ่อแม่เราต้องตกไปอยู่ในมือโจร”
“พี่หมายถึง...วัตถุโบราณในพิพิธภัณฑ์” ทงเฮเปรย
“ใช่ พี่จำสมบัติพวกนั้นได้แทบทุกชิ้นนะทงเฮ นายก็คงเหมือนกัน พวกเรามีชีวิตอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของพ่อกับแม่ เราภูมิใจที่พวกท่านเป็นผู้ดูแลสมบัติของชาติ แต่พวกคนชั่วนั่นปล้นเอาความภูมิใจของเราไป พี่ยอมไม่ได้หรอกนะทงเฮ” ฮีชอลพูดด้วยความคับแค้นใจ ทงเฮจึงพยักหน้ารับ
“ผมก็เหมือนกัน ผมคิดว่าพ่อแม่ของเราควรได้รับความยุติธรรมบ้าง เราจะทำยังไงกันดีครับพี่ฮีชอล หาหลักฐานแล้วแจ้งตำรวจดีมั้ยครับ ให้เค้าจับตัวคนบงการมาลงโทษให้ได้”
ฮีชอลนิ่งไปและแค่นหัวเราะ “ตำรวจเหรอ...ไม่มีประโยชน์หรอกทงเฮ หลักฐานว่าหายากแล้ว ให้ตำรวจเชื่อเราน่ะยากกว่า ตอนนี้เราตกอยู่ในฐานะอะไร ลืมไปแล้วเหรอ”
ทงเฮหน้าสลด เขาพยายามนึกหาทาง แต่แล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ “แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ ผมคิดไม่ออกแล้ว วิธีไหนที่จะเอาสมบัติของพ่อแม่คืนมาจากไอ้แมวขโมยนั่นได้!”
พอทงเฮพูดออกมา ฮีชอลก็เงียบไป ครู่หนึ่งทงเฮก็เหมือนจะเข้าใจและเงียบตามไปด้วย คยูฮยอนเงยหน้าที่เปรอะน้ำตาขึ้นมองพี่ๆ แต่ละคน ถ้าทั้งสองตัดสินใจอะไรแล้ว เขาคงไม่สามารถปฏิเสธได้
ฮีชอลถอนหายใจเงียบๆ
“ใช่แล้ว...ทงเฮ มีแค่ทางเดียวเท่านั้นแหละ” เขาพูดอย่างน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง
“อยากได้ของจากแมว...ก็ต้องเป็นแมว”
.
.
.
ความคิดเห็น