คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 3rd Cat (แมวตัวที่ 3)
3rd Cat ; แมวตัวที่ 3
โรงแรมเล็กๆ แถบชานเมืองพอจะเป็นที่พักชั่วคราวให้กับเด็กทั้งสองได้ ฮีชอลเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขานั่งลงหน้ากระจกเพื่อเช็ดผมที่เปียก เงาของทงเฮสะท้อนจากกระจกบานนั้น ร่างเล็กนอนเหยียดอยู่บนเตียง มีคอมพิวเตอร์แลปท็อปคู่ใจวางอยู่ด้านหน้า เสียงนิ้วรัวแป้นพิมพ์ทำให้ห้องนี้ไม่เงียบเสียทีเดียว
“ทำอะไรอยู่เหรอทงเฮ”
ลีทงเฮเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย แล้วหลบลงทำสิ่งนั้นต่อ “หาฐานข้อมูลงานวิจัยของพ่อ”
“พี่ไม่เข้าใจหรอก แต่ก็ไม่เป็นไร ดีแล้วที่นายสนใจมัน”
ฮีชอลหัวเราะเบาๆ และเบนสายตากลับไปยังใบหน้าของตนที่สะท้อนบนกระจก รอยยิ้มจางหายไปทันทีที่สบตาตัวเอง
เขานึกถึงสิ่งที่อาเคยพูด...เขาสวยราวกับผู้หญิง ใบหน้าของเขาอ่อนหวานและน่าเอ็นดู เพราะแบบนี้ทุกคนถึงมองว่าเขาอ่อนแอ ไม่หรอก...เขาพิสูจน์แล้วว่านั่นไม่จริง วินาทีที่รู้ว่าต้องถูกเอาเปรียบ เขาตัดสินใจเลือกความตาย ฮีชอลจำได้ว่าเขาไม่ลังเลเลย
คนไม่กลัวตายทำอะไรได้มากกว่านั้น น่าแปลกเหลือเกินที่ความรู้สึกกระหายจะแก้แค้นทำให้แววตาที่ว่างเปล่าของเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เขา...ทงเฮก็ด้วย
“จากนี้นายอยากทำอะไรเหรอทงเฮ” ฮีชอลเอ่ยปากถาม ทงเฮไม่ได้ตอบทันที เขาพิมพ์อะไรอยู่นานกว่าจะละสายตาจากหน้าจอได้ ร่างเล็กนิ่งคิด จากนั้นเมื่อได้คำตอบก็หัวเราะ
“พี่ฮีชอลรู้มั้ย ตอนรู้ว่าพ่อตาย...ผมรู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งคว้าง ทุกอย่างในชีวิตมันว่างเปล่าไปหมด ผมไม่มีแรงจะหายใจด้วยซ้ำ แต่เมื่อคืนนี้พอผมได้รู้ว่าสิ่งที่พ่อกำลังทำมีค่ามากมายขนาดไหน...ผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวพ่อ พ่อทำอะไรตั้งหลายอย่างเพื่อผม งานวิจัยนี้ก็เหมือนกัน พ่อไม่เคยปิดบังเลย พ่ออยากให้ผมมีส่วนร่วมกับงานของพ่อเสมอ นั่นทำให้ผมรู้อะไรๆ มากพอจะสานต่อความตั้งใจของพ่อได้ ผมอยากทำ...ผมอยากเห็นงานวิจัยของพ่อประสบความสำเร็จ มันอาจจะต้องใช้เวลานาน 10-20 ปี แต่นั่นเป็นเป้าหมายเดียวของผมในตอนนี้ และผมมีเวลาทั้งชีวิตเพื่อจะทำ”
“ทั้งชีวิต...ฟังดูนานจังนะ” ฮีชอลยิ้มเศร้าๆ แต่ครู่หนึ่งก็ปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้สดใสขึ้น “ยังไงเราก็ต้องไปจากที่นี่ ไปอยู่ที่ๆ ไกลกว่านี้ ปลอดภัยกว่านี้ ที่ไหนดีล่ะ...นายอยากเรียนต่อมั้ยทงเฮ”
“ผมไม่ชอบโรงเรียน ที่ผ่านมาผมเรียนรู้จากพ่อมามากพอแล้ว แต่ถ้ามีห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์อยู่แถวนั้นก็คงจะดี” ทงเฮยิ้มให้ฮีชอล และก้มลงใช้คอมพิวเตอร์ต่อ
ฮีชอลได้แต่ยิ้มน้อยๆ พอทงเฮละสายตาจากเขาแล้ว รอยยิ้มนั้นก็จางไป เขาเลือกจะเก็บสิ่งที่อยากพูดไว้เป็นเพียงความคิด ทงเฮช่างบริสุทธิ์และไร้เดียงสา เด็กน้อยต้องมือเปื้อนเลือดมาแล้วครั้งหนึ่งเพราะเขา นั่นก็มากพอแล้วสำหรับความทรงจำอันเลวร้าย รายนั้นคงต้องการชีวิตใหม่ที่เรียบง่ายและทุ่มเทเวลาให้กับการค้นคว้างานวิจัยของพ่อ
แต่สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เช่นนั้น และเขาคงไม่อาจบอกทงเฮได้ว่าสิ่งที่เขาอยากทำจากนี้คือการแก้แค้น
“ขอค้นเสื้อผ้าในกระเป๋านะ”
ฮีชอลเปลี่ยนเรื่องพูดและเริ่มเปิดกระเป๋าเมื่อทงเฮพยักหน้า เขาควรหาเสื้อผ้าสบายๆ ใส่สักชุด ชุดที่จะเหมาะกับการออกเดินทาง มือที่ควานลงไปเจอกับวัตถุแข็งๆ ที่สอดปนอยู่ระหว่างเสื้อผ้า ฮีชอลหยิบมันมาดู เขาแปลกใจที่เห็นว่าเป็นกรอบรูป บรรจุรูปถ่ายที่ครั้งหนึ่งเคยได้ถ่ายร่วมกับเพื่อนๆ ของพ่อที่หน้าพิพิธภัณฑ์
“ทงเฮ...” ฮีชอลเอ่ยเรียกโดยไม่ละสายตาจากรูป ทงเฮเงยหน้าขึ้นแล้วรอให้เขาพูด “สองคนนี้เป็นใครเหรอ ผู้ชายคนที่ยืนอยู่กับพวกพ่อ แล้วก็ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ กัน”
ทงเฮร้องอ๋อ แล้วลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง “เพื่อนอีกคนของพ่อเราที่ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์มาด้วยกันไง ผมก็ไม่ค่อยรู้จักเค้าหรอก แต่พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าเค้าเป็นนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่เก่งมากๆ ผู้หญิงที่อยู่ด้วยกันก็คงเป็นภรรยาของเค้า แปลกนะที่พวกเราไม่ค่อยเจอเพื่อนพ่อคนนี้ที่พิพิธภัณฑ์เลย แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น พ่อบอกว่านักโบราณคดีไม่ค่อยอยู่กับที่นานๆ หรอก ต้องเดินทางไปโน่นไปนี่เพื่อหาวัตถุโบราณ”
“นั่นสินะ พี่รู้เรื่องพวกเค้าน้อยมาก แต่น่าจะใช่คนที่พ่อเคยเล่าให้พี่ฟัง...” ฮีชอลมองคนในภาพชัดๆ อีกครั้ง เขาจำได้ว่าพ่อของเขาเคยพูดเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ “พ่อกับแม่พี่เคยพาพี่ไปเลือกซื้อของขวัญเพื่อให้กับเด็กผู้ชายที่เป็นลูกของเพื่อน ต้องใช่แน่ๆ เลยทงเฮ ต้อเงป็นสองคนนี้แน่ พวกเค้ามีลูกชายที่อายุน้อยกว่าพวกเรา”
“ผมก็เคยได้ยินพ่อบอกว่าพวกเค้ามีลูก” ทงเฮพยักหน้า จากนั้นก็เงียบเหมือนไม่เข้าใจ “แล้วทำไมเหรอครับ”
ฮีชอลผุดลุก เดินเข้าไปนั่งกับทงเฮที่เตียง เขามีท่าทางร้อนรนใจ
“พวกเค้าใช่มั้ยทงเฮ สามีภรรยาคู่นี้ที่ขึ้นเครื่องไปกับพวกพ่อ...” ได้ฟังดังนั้นทงเฮก็เบิกตากว้าง เขาลืมนึกไปเสียสนิทตอนที่ฟังรายงานข่าว นอกจากนักบินแล้ว อีก 2 ศพที่ยังรอการชันสูตรก็คงไม่ใช่ใครที่ไหน หมดสิ้นกัน...ทุกคนตายหมด ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ คนที่พยายามจะเรียกร้องความยุติธรรมคืนจากพวกคนใจร้าย แต่แล้วก็ถูกฆ่าปิดปากและปกปิดคดี มันน่าแค้นใจพวกที่ทำกับพ่อแม่พวกเขาแบบนี้นัก!
“โหดร้ายที่สุด...” ทงเฮพึมพำน้ำตาคลอ
“ร้ายกว่านั้นทงเฮ...พี่กังวลเหลือเกินว่าตอนนี้ลูกชายของพวกเค้าจะอยู่ที่ไหน และยังปลอดภัยอยู่รึเปล่า” ฮีชอลบอกน้อง ทั้งสองมองหน้ากัน ทงเฮสูดหายใจและรีบก้มลงเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอีกครั้ง คนด้านข้างจึงชะโงกหน้ามอง “นายจะทำอะไรเหรอทงเฮ ฐานข้อมูลประชากร...”
“เราต้องรู้ก่อนว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ผมไม่อยากให้เค้าเจอชะตากรรมร้ายๆ แบบเดียวกับเราเลย” ทงเฮรัวนิ้วลงบนแป้นและไม่นานนักก็เจอข้อมูลของสามีภรรยาที่เป็นเพื่อนพ่อ จนท้ายที่สุดก็เจอข้อมูลของลูกชายพวกเขา ทั้งสองไล่สายตาอ่านข้อมูล ก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะความสลดใจ
“ลูกชายคนเดียวของครอบครัวจะไปอยู่ไหนได้ถ้าพ่อแม่ตาย...”
“เค้าอาจจะมีญาติคอยดูแลอยู่” ทงเฮคิดในแง่ดี และภาวนาให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ
“พี่อยากไปหาเค้า หาให้เจอ เราไปที่บ้านเค้าดีมั้ยทงเฮ ไปดูว่าเค้ายังสบายดีรึเปล่า และหวังว่าเค้าจะมีชีวิตที่ดีกว่าพวกเรา พี่อยากให้เป็นอย่างนั้น และต้องการแน่ใจด้วย” ฮีชอลจับไหล่ทงเฮและออกบีบแรงเล็กน้อย
“ครับ ผมเองก็คิดอย่างนั้น” ทงเฮพยักหน้า
เสียงเด็กๆ ร้องไห้งอแงดังลั่นสถานรับเลี้ยง มุมหนึ่งเด็กชายสองคนตีกันวุ่น พี่เลี้ยงต้องวิ่งมาแยกออกและไม่นานทั้งสองก็ถูกลากตัวไปทำโทษกักบริเวณ เด็กอีกหลายคนแย่งของเล่นกัน คนที่อ่อนแอกว่าก็ถูกรังแกจนร้องไห้จ้า พี่เลี้ยงหลายคนอารมณ์เสียเพราะอากาศร้อนอบอ้าว พวกเขาตัดปัญหาด้วยการเดินออกไปจากห้องและปิดประตู
โจคยูฮยอนอายุ 13 ปีนั่งกอดเข่าอยู่มุมห้อง เขาพยายามทำตัวเล็กลีบให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของเด็กคนอื่นๆ เด็กน้อยมองไปรอบห้องด้วยความหวาดระแวง มือทั้งสองกอดตัวเองเอาไว้และลูบเบาๆ ตรงรอยฟกช้ำที่ต้นแขน
พวกเด็กที่โตกว่าหันมาเห็นเขาแล้ว คยูฮยอนรีบก้มหน้าลงไม่สบตาด้วย แต่นั่นไม่ใช่ทางหนี เด็กกลุ่มนั้นมองหน้ากันอย่างนึกสนุกแล้วพากันเดินเข้ามา พวกมันยืนค้ำหัวและล้อมเขาไว้ทุกทาง
เหมือนเช่นเคยที่คยูฮยอนนั่งนิ่ง ปล่อยให้เด็กๆ เหล่านั้นรุมเตะและทำร้ายร่างกายจนพอใจ ไม่นานพวกมันก็คงจะเบื่อและเลิกแกล้งเขาไปเอง ถ้าขืนลุกขึ้นสู้ก็คงเจ็บตัวหนักกว่านี้
คยูฮยอนไม่เคยทำร้ายใคร เขาอ่อนโยนและไม่สู้คนมาตั้งแต่เด็กๆ นั่นคงเพราะเขาไม่เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เขาเป็นลูกรักของพ่อกับแม่ตอนอยู่บ้าน เป็นคุณหนูของคุณครูที่โรงเรียน และเป็นเพื่อนที่ใจดีของเพื่อนๆ เขาเคยมีชีวิตที่ดีและสุขสบาย แต่ทุกอย่างแหลกสลายไปตั้งแต่พ่อแม่เขาเสียชีวิต
พี่สาวของพ่อซึ่งเป็นญาติของเขาที่เหลืออยู่ออกตัวเป็นผู้จัดการมรดก สัญญาว่าจะรับเลี้ยงดูเขา แต่แล้วก็ส่งเขามาอยู่ที่นี่ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเล็กๆ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก คยูฮยอนถูกตัดขาดจากภายนอก เขามีชีวิตอยู่ราวกับนักโทษ พวกพี่เลี้ยงไม่มีใครสนใจว่าเขาจะถูกทำร้ายหรือรังแกหนักแค่ไหน ไม่ใช่ธุระของพวกเขา...และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาใส่ใจขนาดนั้น
“ออกไปทำงานได้แล้ว พวกแกต้องถูพื้นข้างนอกไม่ใช่เหรอ” หญิงพี่เลี้ยงคนหนึ่งเดินเข้ามา พวกเด็กที่รังแกเขาจึงหัวเราะและพากันวิ่งหนีออกไปจากห้อง เธอโวยวายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรงเข้ากระชากตัวคยูฮยอนให้ลุกขึ้น “แกด้วยสิ! ออกไปทำงานได้แล้ว โอย! ไม่ต้องมาร้องไห้เรียกความสงสาร! ยังไงแกก็ต้องทำงาน!”
“ผมเจ็บ...”
“อย่ามาอ้างหน่อยเลย! ถึงจะไม่สบายใกล้ตายแกก็ต้องไปถูพื้น ฉันล่ะเกลียดจริงๆ พวกเด็กพ่อแม่ตายแบบแกเนี่ย ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน เอาแต่นั่งซึม ไม่ทำการทำงาน แกรู้มั้ยฉันต้องเหนื่อยขนาดไหน ลุกขึ้น! อย่าให้ฉันต้องตีแกซ้ำนะ!”
คำพูดของเธอทำให้เด็กน้อยเริ่มเบะปากร้องไห้ เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่มีคนพูดถึงพ่อกับแม่ เพราะในวันนี้เขาไม่เคยได้รับความรักจากใครอีกนอกจากพวกท่าน ผู้คนที่นี่ช่างโหดร้ายและมักมองว่าเขาไร้ค่า เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อย่างนี้ เขาอยากกลับไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่ อยากเห็นรอยยิ้มและแววตาแสนที่อบอุ่น
เด็กน้อยหน้าตามอมแมมและบอบช้ำบิดผ้าชุบน้ำอย่างอ่อนแรง เขาเหนื่อยเกินกว่าจะถูพื้นต่อไปได้ ครู่หนึ่งหญิงพี่เลี้ยงก็เดินมา เธอยิ้มกว้างและพูดดีกับเขาจนผิดปกติ
“คยูฮยอน...ไปกับพี่หน่อยสิ เธอต้องอาบน้ำแล้วก็แต่งตัวดีๆ บ้างนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีคนมาหาเธอ เค้าใจดีเชียวล่ะ บอกว่าอยากได้เธอไปเป็นลูกบุญธรรม เธอต้องทำตัวน่ารักตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ มาสิ...ไปอาบน้ำเถอะ”
เด็กน้อยแปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้น เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่จะมาหาเขาเป็นใคร เขาไม่รู้จักญาติคนไหนเลยนอกจากป้าที่เพิ่งส่งเขามาอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ดีใจที่จะได้ออกไปจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี่เสียที
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวและทำแผลแล้ว โจคยูฮยอนก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นคุณหนูได้อีกครั้ง ตอนนี้เขาถูกแยกมาอยู่ห้องเดี่ยว ไม่ต้องนอนรวมกับเด็กคนอื่นๆ และถูกแกล้งจนนอนไม่หลับทั้งคืน และคงไม่ต้องทนหนาวเพราะถูกแย่งผ้าห่มอีกแล้ว เขายิ้มออกเป็นครั้งแรกและเดินไปส่องกระจก ใบหน้าที่สะท้อนอยู่กลับมาสวยสะอาด มีรอยช้ำบ้างจากการถูกทำร้าย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คยูฮยอนดูน่ารักน้อยลง
เขาอยากไปจากที่นี่ และหนทางเดียวคือการทำให้คนที่จะมาหาพรุ่งนี้เห็นค่าในตัวเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าออกไปแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร เขาแค่ต้องการหนีจากความเลวร้ายของสถานที่นี้ ผู้คนที่นี่ แต่เมื่อนึกไปว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อจากนั้น เด็กน้อยก็หน้าสลดลง เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองอยากทำอะไรหรือต้องการอะไร หากลองนึกดูเขาคงจะตอบเพียงว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่อพ่อกับแม่ สิ่งที่เขาต้องการเพียงอย่างเดียวในชีวิตคือได้อยู่กับพวกท่านตลอดไป
ชีวิตเขาจบสิ้นแล้วนับแต่รู้ข่าวการตายของพ่อแม่ เขาร้องไห้อย่างสิ้นหวังและภาวนาให้ทั้งสองมารับเขาไปอยู่ด้วย เขาฝันซ้ำๆ ถึงพ่อกับแม่ แต่แล้วภาพฝันก็บิดเบี้ยวและแหลกสลาย เด็กน้อยสะดุ้งตื่นเพราะความตกใจเสียหลายครั้ง และต้องนอนร้องไห้เพราะไม่มีใครคอยปลอบยามตื่นจากฝันร้ายอีกแล้ว
“คยูฮยอน...มีคนมาหาเธอน่ะ”
พี่เลี้ยงอีกคนเปิดประตูเข้ามา คยูฮยอนสงสัยเพราะจำได้ว่าผู้อุปการะเขาจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ เด็กน้อยยืนนิ่งและมองผู้ที่พี่เลี้ยงพาเข้ามา “ตามสบายนะ พอคุยเสร็จแล้วก็เดินออกไปเองล่ะ”
เด็กสองคนที่ดูจะอายุมากกว่าคยูฮยอนเดินเข้ามาในห้อง พี่เลี้ยงขอตัวออกไป และปิดประตูคล้อยหลัง คยูฮยอนจ้องพวกเขาอย่างงุนงง และถอยหนีตามสัญชาตญาณ
“ไง...” คนตัวสูงกว่าเอ่ยทัก
“พวกคุณเป็นใคร ต้องการอะไรน่ะ” คยูฮยอนดูหวาดระแวงจนสองคนนั้นต้องมองหน้ากัน อีกคนหันมาหาเขาและยิ้มให้อย่างร่าเริง ก่อนจะแนะนำตัว
“ฉันชื่อทงเฮ ส่วนนี่พี่ฮีชอล เราเป็นพี่น้องกัน ก็...ไม่ใช่พี่น้องจริงๆ หรอก แต่ก็นั่นแหละ เรามาหานาย”
“นายชื่อโจคยูฮยอนสินะ” ฮีชอลเดินเข้าไป และสบตาเด็กน้อย จากนั้นจึงไล่สายตาไปตามผิวขาวที่มีรอยช้ำอยู่ทั่วตัว ฮีชอลสงสารคยูฮยอน และเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายนั้นทันที “ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ทำร้ายนายหรอก นายคงลำบากมากสินะตอนอยู่ที่นี่ เมื่อวานนี้พวกเราเองก็ไม่ต่างจากนายหรอก เราเข้าใจ”
“พวกคุณต้องการอะไร” คยูฮยอนถามซ้ำเพราะไม่มั่นใจในท่าทีของทั้งสอง แต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากเห็นความเป็นมิตรในแววตาของเด็กหนุ่ม “เรารู้จักกันเหรอ ทำไมพวกคุณรู้ชื่อผม”
ทงเฮนั่งลงบนเตียงและเบ้หน้าเพราะมันแข็งจนไม่คิดว่าจะนอนได้ จากนั้นเขาก็เริ่มพูดกับคยูฮยอนอย่างจริงจัง “เรารู้จักพ่อแม่ของนาย พ่อของนายเป็นเพื่อนพ่อแม่พวกเรา ทั้งหมดก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ด้วยกัน...”
“และไม่นานมานี้ก็เกิดอุบัติเหตุ นายคงไม่ต้องให้เราอธิบายมากหรอกนะ” ฮีชอลพูดแทรก
คยูฮยอนมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา เขาสับสนและตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น “พ่อแม่เราเป็นเพื่อนกันเหรอ”
“ใช่” ทงเฮเชิดเสียงตอบ
“แล้วพ่อแม่ของพวกเราก็เดินทางไปต่างประเทศด้วยกัน...ใช่มั้ย” เด็กน้อยถามเสียงสั่น
คราวนี้ทุกคนเงียบ เป็นการดีที่คยูฮยอนพอจะรู้ความจริงบ้างจึงถามออกมาได้ ฮีชอลสบตาทงเฮ และทั้งสองก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“คยูฮยอน พวกเราเป็นเด็กกำพร้าเหมือนนาย เราจำเป็นต้องออกจากบ้านมาเพราะเรื่องการตายของพ่อแม่พวกเราซับซ้อนกว่าที่คิด นายคงยังไม่รู้ว่าที่ไฟไหม้พิพิธภัณฑ์เพราะถูกวางเพลิงและขโมยวัตถุโบราณไปขายในตลาดมืด พ่อแม่พวกเราเดินทางไปต่างประเทศเพื่อร้องเรียนเรื่องนี้ แต่พวกท่านก็ถูกฆ่าปิดปาก” ฮีชอลอธิบายอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีเวลามาก ทงเฮรีบลุกไปดึงแขนฮีชอลให้รู้ตัวว่าคยูฮยอนกำลังช็อค
“อะ...อะไรนะ” เด็กน้อยหน้าซีด และเบิกตากว้าง จากนั้นก็เริ่มส่ายหน้าไปมา “ไม่จริงหรอก พวกคุณโกหกผม”
ฮีชอลก้าวเข้าไปและคว้ามือคยูฮยอนมากุมไว้ “ฉันรู้ว่ามันโหดร้ายเกินกว่านายจะรับไหว แต่...”
“ปล่อยนะ!” ร่างนั้นสะบัดออกและวิ่งไปอีกมุมของห้อง คยูฮยอนยืนตัวสั่น สายตาที่มองผู้มาเยือนหวาดผวาและเต็มไปด้วยหยาดน้ำ ฮีชอลไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทงเฮจึงค่อยๆ เดินเข้าไป
“นายยังเด็กมาก เราไม่โทษนายหรอก แต่เราจะช่วยนายนะ เราจะพานายออกไปจากที่นี่ ไปอยู่ด้วยกัน”
คยูฮยอนปล่อยโฮและทรุดตัวลงข้างผนัง ฮีชอลเบือนหน้าหนี เขาปล่อยให้ทงเฮรับมือแทน “นายคงไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วถูกรังแกตลอดไปหรอกใช่มั้ย ไม่ต้องกลัวนะ เราจะปกป้องนาย นายจะปลอดภัยถ้าอยู่กับพวกเรา”
ทงเฮพยายามพูดเหมือนที่ฮีชอลเคยบอกเขา ทว่าเด็กน้อยเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น ทงเฮร้องออกมาอย่างจนใจ เขาเดินกลับไปหาฮีชอลและส่ายหน้าเพราะหมดทาง
“พวกเราก็เหมือนพี่น้องกันนะ คยู ไปกับเราเถอะ เราจะไม่ทิ้งนาย” ฮีชอลก้าวเข้าไปและนั่งลงตรงหน้าร่างนั้น เขาอยากกอดน้อง แต่คยูฮยอนไม่ยอม ยิ่งร้องไห้หนักและขยับหนี
“ผมไม่ไปกับพวกคุณหรอก! ผมไม่เชื่อพวกคุณ พรุ่งนี้จะมีคนมารับผมไปเลี้ยงแล้ว ผมจะออกไปจากที่นี่เอง!”
“ใครกัน” ฮีชอลถามออกมาอย่างสงสัย แต่เด็กน้อยไม่ตอบ ยังคงร้องไห้ฟูมฟาย เขาจึงจำเป็นต้องถอยออกมาและถามความเห็นจากทงเฮ ทั้งสองเห็นตรงกันว่าควรกลับไปก่อนในวันนี้
“คิดดีๆ นะคยู ไม่มีใครจะหวังดีและเข้าใจนายได้เท่าพวกเราอีกแล้ว นายก็น่าจะรู้”
ฮีชอลพูดทิ้งท้ายก่อนจะกลับไป คยูฮยอนทรุดตัวลงข้างชั้นวางของ เขานั่งกอดเข่าและสะอื้นอยู่เงียบๆ ตามเคย แต่คราวนี้เจ็บปวดกว่า ทรมานกว่า คยูฮยอนนิ่งทบทวนสิ่งที่เพิ่งได้รู้ เขานึกเสียใจที่ไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อห้ามพ่อกับแม่ในวันนั้น วันที่ทั้งสองบอกเขาว่ากำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ
เด็กน้อยสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากร้องไห้แล้วแสดงให้พ่อแม่รู้ว่าเขาอยู่คนเดียวไม่ได้ พ่อบอกเขาว่าจำเป็นต้องไปเพื่อปกป้องสิ่งที่มีค่า สิ่งที่พ่อกับแม่รัก คยูฮยอนคิดทันทีว่ามันคือสมบัติและวัตถุโบราณที่สูญสลายไปกับกองเพลิงนั่น หลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้พิพิธภัณฑ์ น่าละอายที่เด็กน้อยรู้สึกว่าตัวเองดีใจ ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้เขาไม่เคยได้อยู่กับพ่อแม่และได้รับความรักอย่างเพียงพอเท่าที่เด็กคนอื่นได้รับ พวกท่านมักต้องเดินทางไปที่ไกลๆ อยู่เรื่อย และคยูฮยอนก็ยังเด็กเกินกว่าที่ท่านจะพาไปด้วยได้
ทุกครั้งที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านกับคุณป้า คยูฮยอนจะนอนร้องไห้ ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากกินข้าว ไม่อยากทำอะไรเลย เขาไม่มีสิ่งที่อยากทำเหมือนเด็กคนอื่นๆ ไม่มีความฝันที่ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เขาแค่อยากเป็นลูกของพ่อกับแม่ เป็นคนที่พ่อแม่รักมากที่สุด เขาอยากมีความสุขอยู่กับคนที่เขารักไปตลอดชีวิต นั่นคือสิ่งเดียวที่ต้องการ
เมื่อไม่มีความหวังและสิ่งที่อยากจะทำ อยู่กับใครหรือที่ไหนก็คงไม่ต่างกันนัก
จะอยู่ที่นี่ หรือจากไป จะอยู่กับพ่อแม่อุปภัมภ์ หรือพี่ๆ พวกนั้น เขาไม่รู้ว่าจะคาดหวังความรักแท้จริงจากใครได้อีก เขาไม่ต้องการใครเลย นอกจากพ่อแม่ที่เขารัก
คยูฮยอนยกมือเช็ดน้ำตาและลุกไปนอนบนเตียง เขาหลับตาลง หวังว่าเขาจะฝันถึงพ่อกับแม่ ฝันว่าได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข และคงดีถ้าพรุ่งนี้เช้าจะไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย
.
.
.
ความคิดเห็น