ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Cats' Eyes, หรือแมวไม่มีหัวใจ (KangKyu, Kihae, ?Chul)

    ลำดับตอนที่ #3 : 2nd Cat (แมวตัวที่ 2)

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ค. 54


     2nd Cat ; แมวตัวที่ 2

     “จากเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารของเศรษฐีและเศรษฐินีชื่อดังเกิดเครื่องยนต์ขัดข้องและตกบริเวณเขตชายแดนวานนี้ มีรายงานเข้ามาว่าพบร่างผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 6 รายรวมนักบิน ขณะนี้มีญาติมารับศพกลับไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพียงแค่ 2 รายซึ่งทราบชื่อแล้ว ส่วนศพผู้เสียชีวิตที่เหลือคาดว่าเป็นกลุ่มเพื่อนผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ชื่อดังที่เดินทางไปด้วยกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการชันสูตรและแจ้งทางญาติให้มารับต่อไป”

     ลีทงเฮอายุ 15 ปี กดปิดโทรทัศน์จากรีโมท ร่างเล็กนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา คราบน้ำตาจางๆ ยังเปรอะแก้ม ขอบตาบวมคล้ำเพราะไม่ค่อยได้พักผ่อน จึงพลันทำให้ดวงตาคู่สวยที่เคยสดใสเป็นประกายนั้นดูหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด 

     ตั้งแต่พ่อของเขาออกจากบ้านไปเมื่อวานก็ไม่ได้กลับมาอีก ทงเฮเฝ้ารอและภาวนาให้พ่อของเขาปลอดภัย แต่แล้วก็ได้รับข่าวร้ายว่าเครื่องบินที่พ่อโดยสารเกิดไฟไหม้และตกลงกลางป่า ไม่มีใครรอดจากเหตุการณ์นี้แม้แต่คนเดียว จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ได้รับการติดต่อเรื่องรับศพ พ่อบ้านของที่นี่บอกเขาแค่ว่าต้องใช้เวลา แต่เขารู้ดีว่าศพทั้งหมดไหม้เป็นตอตะโกจนไม่สามารถจำแนกและระบุตัวบุคคลได้โดยง่าย

     ทงเฮร้องไห้มาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เขาดีขึ้นนิดหน่อยเพราะไม่มีแรงจะร้องอีก ถาดอาหารอยู่ตรงหน้า แต่เขาไม่คิดจะแตะต้อง ทุกครั้งที่เขาคิดถึงพ่อ...น้ำตาก็พาลไหลออกมาไม่หยุด 

     “คุณหนูครับ ทำไมไม่ทานอะไรสักหน่อยล่ะ” พ่อบ้านชราเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น หยุดยืนอยู่ข้างโซฟาที่ทงเฮนั่ง ท่าทางไม่สบายใจเลยที่เด็กน้อยไม่ยอมกินข้าวกินน้ำตั้งแต่เมื่อวาน “คุณหนูทำแบบนี้คุณท่านคงไม่สบายใจนะครับ” 

     “พ่อตายไปแล้ว พ่อจะไม่สบายใจได้ยังไง” พูดแล้วก็เริ่มร้องไห้อีกรอบ พ่อบ้านจึงเดินเข้ามานั่งข้างๆ และกอดทงเฮไว้ ร่างเล็กสะอื้นจนสั่น ดูน่าสงสารและน่าเวทนา

     “คุณหนูต้องเข้มแข็งนะครับ คุณท่านจะได้อยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุข ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณหนู” ร่างเล็กส่ายหน้าและร้องไห้ไม่หยุด ชายชราจึงลูบศีรษะเบาๆ “คุณหนูจำได้มั้ยครับว่าก่อนออกจากบ้านคุณท่านบอกคุณหนูว่ายังไง” 

     “พ่อบอกว่า...พ่อรักทงเฮ พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทงเฮมีความสุข” พูดไปก็สะอื้นเบาๆ 

     “แล้วยังไงอีกครับ”

     “พ่อ...พ่อบอกว่าให้ทงเฮดูแลตัวเองดีๆ เชื่อฟังคุณลุง แล้วพ่อจะรีบกลับมา” ทงเฮผละออกและเงยหน้ามองอีกฝ่าย “คุณลุงครับ พ่อผิดสัญญากับทงเฮ ทำไมพ่อไม่กลับมา!” 

     “คุณท่านไม่เคยไปไหนนี่ครับ คุณท่านยังอยู่กับคุณหนู...คอยปกป้องคุณหนู” 

     ทงเฮได้ฟังก็หันไปมองรูปถ่ายบนผนัง “แม่ก็ยังอยู่กับทงเฮด้วยใช่มั้ย เหมือนที่พ่อบอก”

     ชายชรามองไปยังตามสายตาของร่างเล็ก เขายิ้มเศร้าๆ และพิจารณาภาพใบหน้าของหญิงสาวที่ดูอ่อนโยนและบริสุทธิ์ รูปถ่ายครอบครัวรูปนี้เป็นรูปสุดท้ายก่อนที่คุณนายของบ้านจะถึงแก่กรรมเพราะอาการป่วย ตอนนี้คุณหนูทงเฮอายุยังน้อย ดีที่มีคุณท่านพูดปลอบและอยู่เคียงข้างเสมอ เด็กน้อยจึงมีกำลังใจและเติบโตมาถึงป่านนี้

     แต่โชคชะตาก็ช่างโหดร้ายกับชีวิตของคุณหนูทงเฮเหลือเกิน ใครกันนะที่เล่นตลก...กำหนดให้เด็กดีคนหนึ่งต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ หากร้องเรียนได้ ชายชราคงขอเป็นพยานให้กับคุณหนูของเขาว่านี่ไม่ยุติธรรมเลย

     “คุณท่านต้องได้เจอคุณนายแล้วแน่ๆ ครับ ท่านคงจะมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง” พ่อบ้านเปรย

     “จริงเหรอ พ่อจะได้เจอแม่บนสวรรค์เหรอ ดีจัง...ทงเฮอยากให้พ่อกับแม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป” ร่างเล็กเริ่มมีรอยยิ้มและเข้มแข็งขึ้นมาได้บ้าง ชายชราจึงพยักหน้า

     “ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วครับคุณหนู ท่านทั้งสองคอยมองดูและปกป้องคุณหนูอยู่บนสวรรค์ เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ท่านไม่สบายใจเลยนะครับ คุณหนูต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพวกท่าน...”

     “ครับ ลุง” ลีทงเฮรับคำอย่างว่าง่าย สายตายังคงมองไปที่รูปถ่าย เขาคงคิดถึงพ่อกับแม่ เขาคงหวาดกลัวที่ต้องอยู่ตามลำพัง ไม่หรอก...เขายังมีคุณลุงพ่อบ้านอีกคน พ่อไปอยู่กับแม่แล้ว ไม่เป็นไร...เขาต้องอยู่คนเดียวให้ได้  

     “ดื่มนมอุ่นๆ แล้วเข้านอนดีมั้ยครับ”

     “อืม...”


    เสียงกริ่งประตูบ้านดังขัดจังหวะ ทั้งสองสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงนี้ยามวิกาล 

    ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วแถมฝนก็ตกหนัก...คนที่มาจะมีธุระด่วนแบบไหนกัน ทงเฮแวบความคิดขึ้นมาว่าอาจจะเป็นตำรวจที่มาแจ้งเรื่องพ่อของเขา


     “ลุง! เค้าอาจจะมาบอกเรื่องพ่อ....” 

    ร่างเล็กรบเร้าให้ชายชราไปเปิดประตู เมื่อฝ่ายนั้นลุกขึ้น เขาก็ตามไปด้วย เมื่อไปถึงประตูบ้าน ชายชราก็เปิดออกอย่างระมัดระวัง แสงจากฟ้าแลบทำให้ทงเฮสะดุ้งเล็กน้อย ลมหอบเอาเม็ดฝนสาดเข้ามาทางประตู ชายชราเอามือป้องดวงตาและมองออกไป แวบแรกนั้นเขาไม่มีใครอยู่หน้าประตู แต่เมื่อมองลงไปบนพื้น ก็พบร่างหนึ่งหมดสติ นอนคว่ำหน้าอยู่ 

     “ตายล่ะ! ใครกันเนี่ย” ชายชราร้องออกมาแล้วถอยหนี ทงเฮเกาะชายเสื้อฝ่ายนั้นไว้แน่น ก่อนจะชะโงกหน้ามามองร่างที่ชุ่มไปด้วยฝน และนอนหายใจอยู่อย่างรวยริน

     “เค้ายังไม่ตายนะลุง เราจะทำยังไงดี” ร่างเล็กกระตุกชายเสื้อพ่อบ้านและหลบไปด้านหลัง

     “เดี๋ยวลุงดูก่อน” ว่าแล้วชายชราก็นั่งลงใช้มือดันร่างที่นอนอยู่ให้หงายขึ้น แม้ผมที่เปียกจะปรกหน้าจนแทบจำไม่ได้ แต่ชายชราก็เห็นว่าใบหน้านี้คลับคลายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหน เขานึกอยู่ครู่หนึ่งและร้องลั่น “คุณหนูฮีชอล!”

     “พี่ฮีชอลเหรอลุง!”

     ทงเฮออกมาดูและเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าร่างนั้นคือฮีชอลอย่างแน่นอน เขาจำพี่ฮีชอลได้ เพราะครอบครัวของเขากับพี่ฮีชอลสนิทสนมกัน และทั้งสองก็เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก

     “แย่ล่ะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย พาเข้าไปในบ้านก่อนเถอะครับคุณหนู” ทงเฮพยักหน้ารับคำอีกฝ่าย เขากับชายชราช่วยกันพาฮีชอลเข้าไปในบ้าน รายนั้นยังคงไม่ได้สติขณะที่พ่อบ้านเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้

     เสียงฝนตกและฟ้าร้องดังอยู่ตลอดทั้งคืน ทงเฮนั่งมองฮีชอลที่หลับอยู่บนเตียงของเขา ไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทงเฮสังหรณ์ใจว่าการที่ฮีชอลออกมาจากบ้านกลางดึกและสลบไปแบบนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ 

     ถึงพวกเขาจะสนิทกัน แต่หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้พิพิธภัณฑ์ครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยได้เจอฮีชอลอีก พ่อของเขาวิ่งวุ่นและไปพบพ่อของฮีชอลบ่อยๆ แต่เขาไม่เคยได้ไปด้วย พ่อสั่งห้ามเขาออกจากบ้าน เหมือนกลัวว่าจะเกิดอันตรายบางอย่าง ทงเฮสงสัยตั้งแต่ตอนนั้น แต่ไม่เคยถาม 

     ร่างเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปหยิบรูปถ่ายบนหัวเตียงมาดู เป็นรูปที่ครอบครัวของเขากับครอบครัวของพี่ฮีชอลถ่ายร่วมกันหน้าพิพิธภัณฑ์ มีชายหญิงอีก 2 คนที่เป็นเพื่อนพ่ออยู่ในรูปด้วย เท่าที่ทงเฮรู้...พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของพ่อและเพื่อนๆ ที่ทำงานหนักเพื่อก่อตั้งมันมาด้วยกัน พ่อของเขา พ่อของพี่ฮีชอล และเพื่อนอีก 1 คนที่อยู่ในรูปด้วยแต่เขาไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเท่าไรนัก ทั้งสามคนเรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกัน จากคณะต่างกัน และเป็นทีมบริหารพิพิธภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในขณะนั้นก็ว่าได้

     พ่อของเขาเป็นศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดูแลเรื่องการคำนวณอายุวัตถุโบราณ การดูแลรักษาด้วยสารเคมี ผลิตเคมีภัณฑ์เพื่อใช้ในการวิจัยทางวรรณคดี รวมถึงดูแลเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อรักษาความปลอดภัย การติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ และกลไลต่างๆ พ่อของพี่ฮีชอลเป็นวิศวกรที่มีชื่อเสียง ดูแลการออกแบบ การก่อสร้างตัวอาคาร ห้องจัดแสดงที่แตกต่างกันในแต่ละส่วน ทั้งเขาวงกต ทางลาด หรือห้องกระจก ส่วนเพื่อนอีกคนได้ยินว่าเป็นนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณอย่างยากจะหาใครเปรียบ

     ทั้งสามมีความสนใจและเป้าหมายร่วมกัน พวกเขาขออนุญาตตั้งพิพิธภัณฑ์อย่างถูกกฏหมายภายใต้การดูแลของรัฐ มุ่งจะรักษาวัตถุโบราณที่มีค่าเป็นสมบัติของแผ่นดิน เพื่อให้เป็นความรู้กับเด็กๆ รุ่นหลัง เพราะฉะนั้นพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยความน่าสนใจที่จะดึงดูดเด็กๆ ให้มาชม โดยเสียค่าบัตรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางครั้งพ่อของทงเฮก็ยังเคยเปิดให้เด็กด้อยโอกาสได้เข้าชมฟรี ที่นี่จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ที่เปิดกว้างให้กับทุกคน

     แต่เมื่ออาทิตย์ก่อน พิพิธภัณฑ์ของพ่อถูกไฟไหม้ และจากสีหน้าของพ่อ ทงเฮรู้สึกได้ว่ามันดูเหมือนจะไม่ใช่แค่อุบัติเหตุธรรมดาๆ นั่นคงเป็นสาเหตุที่พ่อของเขาไปต่างประเทศกับเพื่อนๆ เมื่อวานนี้ และเสียชีวิต



     “ทงเฮ...” 


    เจ้าของชื่อหันขวับเพราะได้ยินเสียงเรียก ร่างเล็กถลาไปที่เตียงและห้ามไม่ให้คนที่กำลังอ่อนแรงลุกขึ้นนั่ง

     “พี่ฮีชอลนอนพักก่อนเถอะ” 

     “พี่ไม่เป็นไร” ฝ่ายนั้นดันตัวขึ้นมาจนได้ ตอนนี้ทั้งสองคนเพิ่งได้มองหน้ากันชัดๆ ทงเฮสังเกตเห็นรอยช้ำที่แก้มด้านซ้ายของฮีชอล แต่ยังไม่ทันจะทัก ฮีชอลก็ยกมือขึ้นแตะใบหน้าเขาอย่างพิจารณา “ดูสิ...ไม่เจอกันแค่แป๊บเดียว นายผอมซูบซีดลงไปตั้งเยอะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อนใช่มั้ย นายดูเหนื่อยๆ นะ” 

     ทงเฮน้ำตาคลอและส่ายหน้า “ผมไม่เป็นไรหรอก แล้วนั่นหน้าพี่ไปโดนอะไรมา” 

     ฮีชอลไม่ตอบคำถาม เขาลังเลอยู่ว่าควรจะเล่าเรื่องเลวร้ายนั้นให้น้องฟังดีหรือไม่ เขากลัว...กลัวว่าทงเฮจะยิ่งรู้สึกแย่ และเขาเองก็คงไม่สบายใจที่เป็นต้นเหตุ 

     “มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมพี่ถึงออกมาจากบ้านกลางดึกที่ฝนตกหนักแล้วก็สลบไปแบบนี้” ทงเฮดึงแขนคนตรงหน้า และเริ่มคาดคั้น ฮีชอลฝืนยิ้มและลูบศีรษะน้อง ทั้งสองสบตากัน ก่อนจะโผรับกันและกันเข้าสู่อ้อมแขน

     “นายคงคิดถึงพ่อมากสินะ...” ฮีชอลรู้สึกว่าร่างที่ตัวเองกอดอยู่นั้นสั่นเพราะแรงสะอื้น พอเขาพูดออกไป ทงเฮก็หลุดเสียงสะอื้นออกมาเป็นระยะ “พี่ก็คิดถึงพ่อกับแม่เหมือนกัน พี่ภาวนาให้ท่านมีความสุข อย่าให้เป็นเหมือนเราสองคนในตอนนี้ ถ้าเราหลับไปและตื่นมาพบว่าทุกอย่างเป็นแค่ฝันร้ายมันก็คงจะดีนะ” 

     “พี่ฮีชอลครับ” ร่างเล็กเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวๆ เปรอะไปด้วยน้ำตา “ผมดีใจที่พี่มาหา...”

     “พี่ไม่มีใครแล้วทงเฮ พี่นึกอะไรไม่ออก ตั้งแต่พี่วิ่งหนีออกจากบ้านหลังนั้น พี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องไป รู้แค่ว่าจะไปให้พ้นๆ จากที่นั่น แล้วพี่ก็นึกถึงนาย...”

      “พี่ฮีชอลหนีออกจากบ้าน?” ทงเฮถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง 

     คิมฮีชอลสูดหายใจแล้วมีสีหน้าจริงจังขึ้น เขาไม่ควรลืมว่าตัวเองมาที่นี่เพื่ออะไร เขาตั้งใจเอาไว้อยู่แล้ว แม้จะลังเลเพราะเอ็นดูที่ทงเฮยังเด็ก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องบอกความจริง

     “ทงเฮฟังพี่นะ ตั้งใจฟังสิ่งที่พี่กำลังจะพูด มันอาจทำให้นายเจ็บปวด แต่นายต้องเผชิญกับมันให้ได้” ฮีชอลกุมมือทั้งสองของร่างเล็กเอาไว้และเริ่มพูดอีกครั้ง “พี่เพิ่งรู้ความจริงว่าเรื่องไฟไหม้พิพิธภัณฑ์ของพ่อแม่เราเป็นการลอบวางเพลิง อาของพี่สมรู้ร่วมคิดกับผู้มีอิทธิพล เผาพิพิธภัณฑ์เพื่อจะขโมยวัตถุโบราณไปขายในตลาดมืด พ่อแม่พวกเรารู้เรื่องนี้เข้า เลยเดินทางไปต่างประเทศเพื่อจะทำเรื่องฟ้องร้อง พวกเค้าเลยถูกฆ่า...” 

     น้ำตาของทงเฮไหลออกมาอีกหลายระลอก เขาไม่ได้ฟูมฟายอย่างเจ็บปวด แต่แค่เจ็บใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดเดาไว้ เขาพยักหน้ารับความจริงนั้นทั้งที่สะอื้นไม่หยุด 

     “พี่อยู่บ้านหลังนั้นไม่ได้แล้วทงเฮ อาจะฆ่าพี่ ยิ่งตอนนี้พี่รู้ความจริงจากปากของไอ้ฆาตกรนั่นแล้ว มันก็ยิ่งปล่อยพี่ไว้ไม่ได้ มันเป็นตำรวจที่มีอิทธิพลแถวนี้...มันคงหาตัวพี่เจอได้ไม่ยากหรอก เพราะฉะนั้นพี่ต้องรีบไปจากที่นี่”

     “อย่าไปนะครับ พี่ฮีชอลอยู่กับผมเถอะ ผมจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายพี่” แม้จะเป้นน้องและรู้ตัวว่าอ่อนแอกว่า แต่ทงเฮก็กล้าหาญออกตัวปกป้องคนที่เขาผูกพัน ฮีชอลยิ้มและรวบร่างนั้นเข้ามากอด

     “ขอบใจนะ แต่พี่ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก พี่จะทำให้นายเดือดร้อน” 

     ทงเฮส่ายหน้า เขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เขายินดีจะเจออันตรายถ้าฮีชอลอยู่กับเขาด้วย ชีวิตของเขาไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เขาสูญเสียคนที่รักไปหมด เขาไม่มีความฝัน ไม่มีจุดหมายใดที่อยากไปให้ถึง ชีวิตของทงเฮว่างเปล่านับแต่นี้




     “คุณหนูครับ” 


    พ่อบ้านเข้ามาทางประตู และยิ้มออกเมื่อเห็นว่าฮีชอลฟื้นแล้ว “เมื่อครู่อาของคุณหนูฮีชอลโทรมา”

     “อะไรนะ!” ทั้งสองร้องลั่นพร้อมกัน มีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ฮีชอลนิ่งไปครู่หนึ่งและเอ่ยปากถาม

     “เค้าถามหาผมใช่มั้ย แล้วลุงบอกเค้าว่ายังไง” 

     ขายชรายกมือลูบท้ายทอยแล้วส่ายหน้าอย่างสงสัยพอกัน “ไม่นะครับ ไม่ได้ถามถึงคุณหนูฮีชอลเลย ท่านโทรเข้ามาแล้วถามกระผมประโยคแรกว่าบ้านดร.ลีใช่มั้ย กระผมก็ตอบว่าใช่ แล้วท่านก็แนะนำตัวว่าเป็นตำรวจเจ้าของคดี คุณหนูลีทงเฮอยู่ที่นี่รึเปล่า ท่านมีธุระด่วนมาก จะขอคุยเรื่องคุณท่าน และกำลังจะแวะเข้ามา กระผมคัดค้านไปแล้วว่านี่ก็ดึกมาก ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมา แต่ท่านก็ไม่ฟัง รีบวางหูไปเลยครับ” 

     เด็กทั้งสองหันมามองหน้ากัน ฮีชอลคุมสติไว้ได้ก่อน จึงพูดกับชายชราด้วยน้ำเสียงปกติ “ครับ ถ้างั้นลุงก็ออกไปรอเปิดประตูให้เค้าก็แล้วกัน เราสองคนจะรออยู่ในนี้นะครับ” 

     “ได้ครับ คุณหนู” พ่อบ้านเดินออกไปและงับประตูปิด พลันนั้นฮีชอลก็คว้าตัวทงเฮและฉุดให้ลุกขึ้น 

     “เอากระเป๋ามาแล้วไปเก็บของ...เร็ว!”

     “พี่ฮีชอล! เก็บของ...เก็บทำไมครับ” ทงเฮยังคงตั้งสติไม่ได้ ฮีชอลจึงย้ำเสียงหนักแน่น

     “เราสองคนต้องไปจากที่นี่!” 

     ทงเฮเบิกตาขึ้นอย่างตกตะลึงเพราะตั้งตัวไม่ทัน เขายืนตัวแข็งและไม่ยอมขยับไปไหน ฮีชอลจึงคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเขาและเขย่าให้รู้สึกตัว “อาไม่รู้หรอกว่าพี่จะมาที่นี่ เพราะฉะนั้นการที่อาจะมาเจอนายมันผิดปกติ พี่ไม่รู้หรอกว่ามันมีแผนการอะไรอีก พี่สังหรณ์ใจว่ามันคงต้องการอะไรบางอย่างจากนาย” 

     “แต่ผม...” ทงเฮไม่อยากไปจากที่นี่ มันคือบ้านของเขา เป็นบ้านที่อยู่กับพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก ไหนจะพ่อบ้านชราที่เขารักและผูกพันราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่ ไหนจะห้องนอนอันแสนอบอุ่น เครื่องอำนวยความสะดวก ห้องวิจัยของพ่อ งานวิจัยที่พ่อคิดค้นเอาไว้ การทดลองทางวิทยาศาตสร์ที่ยังคั่งค้างอยู่ในห้องแลป

     ทงเฮรู้สึกถึงความกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ใช่แล้ว...งานวิจัยของพ่อ มันเป็นสิ่งล้ำค่าทางความคิดที่มีคนจ้องจะขโมยไปเสียหลายครั้ง เขาสงสัยว่าอาของพี่ฮีชอลจะมีธุระอะไรเรื่องพ่อของเขา นอกจากเรื่องนี้

     “ผมจะไป” ร่างเล็กตัดสินใจได้ทันที เขาวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเป้ใบใหญ่ออกมา 2 ใบ ยื่นให้ฮีชอลไว้ใบหนึ่ง ส่วนเขาก็เริ่มเก็บของใส่เป้อีกใบที่ถืออยู่ ทั้งคอมพิวเตอร์แลปท็อป เงินจำนวนหนึ่งและของมีค่า รวมถึงกรอบรูปที่มีรูปของพ่อ  

     “มีสมุดบัญชีธนาคารมั้ย เอาไปด้วย เราจำเป็นต้องใช้เงิน ของมีค่าของพ่อกับแม่ เอาไปให้หมดเลยนะ อย่าทิ้งไว้ เสื้อผ้าเอาเท่าที่จำเป็น เราไปหาเอาข้างหน้าได้” ฮีชอลออกคำสั่งและช่วยเก็บของอย่างรีบร้อน 

     “ผมอยากเอางานวิจัยของพ่อไปด้วย เราไปที่ห้องแลปกันเถอะ” ฮีชอลได้ฟังก็พยักหน้าและวิ่งออกไปจากห้องนอนด้วยกัน ตรงไปยังห้องแลปที่เป็นห้องทำงานลับของพ่อทงเฮ 

     ร่างเล็กกดรหัสเพื่อเปิดประตู จากนั้นก็เดินเข้าไปเปิดดูเอกสารต่างๆ ก่อนจะเก็บสมุดและแฟ้มที่ต้องการใส่กระเป๋าเป้ เมื่อเสร็จแล้วก็รวบขวดและหลอดทดลองบนชั้น ห่อด้วยผ้า ใส่ลงไปด้วย

     “เอาของพวกนั้นไปทำไมน่ะ”

     “เป็นสารเคมีหายากที่พ่อใช้ในการทดลอง ผมไม่อยากให้ใครได้มันไป และซักวันมันก็อาจจะมีประโยชน์กับพวกเราก็ได้นะ พ่อกำลังทดลองยาปฏิชีวนะตัวใหม่...เสียดายที่มันยังไม่สมบูรณ์” ทงเฮพูดพลางเร่งมือเก็บสารเคมีเหล่านั้นลงเป้ ฮีชอลมองตลับยาที่ทงเฮที่เพิ่งเก็บลงไปเป็นอย่างสุดท้าย แล้วนึกสงสัย

     “นั่นน่ะเหรอ มันคือยาแบบไหนกัน”

     ทงเฮไม่ตอบ เขาเก็บของจนเสร็จและสะพายเป้ไว้ที่หลัง ทั้งสองพยักหน้าให้กันและออกมาจากห้องแลป กำลังจะไปที่ประตูหน้า แต่เพราะนึกได้ว่าฝนตกหนัก ทงเฮจึงกลับเข้าไปในห้องนอน ฮีชอลวิ่งตามเข้าไป

     “เสื้อกันฝน...” ทงเฮโยนชุดพลาสติกสีดำให้ฮีชอล 

     ประตูห้องถูกเปิดออก ร่างหนึ่งเดินเขามาพร้อมตำรวจในเครื่องแบบอีก 2 นาย ฮีชอลใจหายวาบเมื่อสบตาเข้ากับคนที่เขาเพิ่งวิ่งหนีมาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน สายตาที่มันมองเขาเต็มไปด้วยความแค้นและแปลกใจระคนกัน

     “ไม่นึกเลยนะว่าคนดีของอาจะอยู่ที่นี่ อาดีใจที่เจอเธออีกนะฮีชอล แบบนี้คงเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ชายร่างสูงมองทั้งสองที่แบกเป้กันคนละใบและถือเสื้อกันฝน ท่าทางเตรียมพร้อม “แล้วนี่จะไปไหนกันเหรอเด็กๆ” 

     “แกมาที่นี่ทำไม” 

     “พูดไม่เพราะเลยฮีชอล แต่เอาเถอะ...จริงๆ อาก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับเธอ อามาหาลูกชายคนเดียวของดร.ลีต่างหากล่ะ นั่นเธอสินะ...ลีทงเฮ น่ารักน่าชังจริงๆ เลย เราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว จำอาได้มั้ย” 

     ทงเฮหวาดกลัวท่าทางของผู้ชายคนนี้จับใจ เขาส่ายหน้าและขยับเข้าไปยืนใกล้ๆ ฮีชอล 

     “อย่ายุ่งกับทงเฮ” ฮีชอลพูดเสียงแข็ง

     “เธอจะทำอะไรได้ล่ะ อาไม่อยากเสียเวลากับเธอให้มากนักหรอก อามาที่นี่เพราะได้รับคำสั่ง...ให้พาลูกชายของดร.ลีพร้อมด้วยงานวิจัยไปพบเจ้านายของอา ทงเฮ...ท่านอยากรู้ว่าพ่อเธอกำลังทำอะไร” ชายผู้นั้นหันไปพยักหน้าให้กับตำรวจอีก 2 คนที่ยืนอยู่ซ้ายขวา ทั้งหมดตรงเข้ามาจับตัวทงเฮ ร่างเล็กร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น ฮีชอลไม่รอช้า ตรงเข้าช่วยเพื่อให้พวกนั้นปล่อยตัวทงเฮ แต่ก็โดนผลักกระเด็น ฮีชอลลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและขัดขวางไม่ให้ตำรวจนายหนึ่งลากตัวทงเฮออกไป อีกนายจึงจับตัวเขาไว้ ฮีชอลงับเต็มแรงเข้าที่มือหนา 

     “ปล่อยทงเฮเดี๋ยวนี้! ปล่อยนะโว้ย” ฮีชอลกระโดดเข้าทุบคนที่จับทงเฮไว้ 

     “คุณหนูครับ!” พ่อบ้านชราวิ่งมาที่หน้าประตู เขามองสิ่งที่ตำรวจทั้งสองนายกำลังทำอย่างตกตะลึง ฮีชอลเผลอหันไปมองตามเสียง จึงโดนตำรวจอีกนายกระชากออกจนล้มไปกองอยู่กับพื้น พ่อบ้านตกใจและตรงเข้าขอร้องอาของฮีชอล “ท่านครับ ได้โปรดปล่อยคุณหนูเถอะครับท่าน ท่านจะจับตัวคุณหนูไปไหนน่ะ คุณหนูทำอะไรผิดเหรอครับ” 

     “น่ารำคาญจริง” ร่างสูงชักปืนพกออกมาอย่างรวดเร็วและลั่นไก



     เปรี้ยง! 


    กระสุนปืนแสกเข้ากลางหน้าผากชายชรา เลือดสีสดกระจายเปรอะ ทงเฮหวีดร้องขณะที่ฮีชอลเบิกตามองเหตุการณ์ ร่างของพ่อบ้านล้มลงและแน่นิ่ง ทงเฮกรีดร้องไม่หยุด เขาร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อมองร่างที่นอนอยู่บนพื้น 

     “เห็นตัวอย่างแล้วใช่มั้ยเด็กๆ เพราะฉะนั้นอย่าได้ขัดใจอาเลยนะ ทงเฮยอมไปกับอาดีๆ เถอะ ไม่งั้นอาคงโมโห แล้วเผลอลงไม้ลงมือ เอาล่ะ! พาตัวออกไป ให้มันเปิดห้องแลป แล้วเอางานวิจัยของพ่อมันออกมา” ร่างสูงสั่งลูกน้องทั้งสองนาย พวกนั้นพยักหน้ารับคำสั่งและลากตัวทงเฮออกไปจากห้อง เด็กน้อยแทบล้มทั้งยืนอย่างหมดแรง สายตาหม่นๆ ที่คลอไปด้วยน้ำตาทอดลงมองร่างของคนที่เขารักคนสุดท้าย 

     ฮีชอลนั่งนิ่งอยู่ที่พื้น เขาช็อคจนขยับตัวไม่ได้ แต่ครู่หนึ่งก็บังคับตัวเองให้ตั้งสติและค่อยๆ ดันตัวลุกยืน อาของเขาก้าวเข้ามาพร้อมกระบอกปืนที่เล็งมายังเขา ฮีชอลรู้สึกกลัว แต่ก็เชิดหน้าขึ้น เขาไม่มีวันจะให้ผู้ชายคนนี้ได้สะใจในความขี้ขลาดของเขา และเหยียบย่ำศักดิ์ศรีที่เขารักษามาตลอดชีวิต

     “อาเสียดายจริงๆ ฮีชอล ถ้าเธอเชื่อฟังและยอมเป็นของอาตั้งแต่แรก อาคงไม่คิดจะฆ่าเธอ ใบหน้าของเธอมันสวยและสะอาดเกินกว่าจะทำให้มีรอยกระสุน คงไม่น่าดูนักถ้าหน้าสวยๆ ของเธอจะเลอะเทอะไปด้วยเลือด แต่ที่เธอทำไว้กับอามันไม่น่าให้อภัย โชคดีที่แผลไม่ลึกมากนะฮีชอล ไม่อย่างนั้นอาคงต้องฆ่าเธอให้เจ็บปวดยิ่งกว่า...”

       ร่างนั้นก้าวเข้ามาและจับใบหน้าของฮีชอล ออกแรงบีบข้างแก้มด้วยความคับแค้น ฮีชอลไม่หลบสายตาน่ากลัวนั้น เขาจ้องกลับ ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาเองก็อาฆาต

     “อาจะค่อยๆ ฆ่าเธอ ให้เธอได้รู้ถึงความเจ็บปวด โทษฐานที่ดื้อกับอา” 

     เสื้อผ้าของฮีชอลถูกกระชากออก เด็กหนุ่มเหลือบตาลงมองชุดนอนของทงเฮที่ให้เขายืมใส่ ตอนนี้มันขาดรุ่งริ่งเพราะคนตรงหน้า เขากำหมัดแน่น และกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อไม่ให้น้ำตาไหล 

     มือหนาลูบลงที่หน้าอกเปลือยของเขา ไล่ลงไปส่วนล่าง ฮีชอลหลับตาลง เขาพิจารณาแล้วว่าตัวเองมีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือยอมให้ฝ่ายนั้นย่ำยีจนสาใจแล้วฆ่าทิ้ง หรือไม่ก็ขัดขืนทันทีแล้วตายด้วยกระสุนปืน

     แน่นอนว่าคิมฮีชอลย่อมเลือกทางแรก 

     เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาเลือกจะจบชีวิตตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรี ดีกว่าจะยอมตกเป็นของฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเขาอย่างเลือดเย็น ฮีชอลเงื้อหมัดและชกเข้าที่เบ้าตาอีกฝ่าย เมื่อร่างนั้นผงะ เขาก็ถือโอกาสแย่งปืน 

     โชคร้ายที่เขาทำพลาด ร่างสูงรู้ตัวและตบหน้าเขาด้วยปืนกระบอกนั้น ฮีชอลร้องออกด้วยความเจ็บปวดและล้มคว่ำลงไปกับพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาก็เห็นเพื่อกระบอกปืนที่เล็งมา




     ปัง! 


    เลือดกระเซ็นเปรอะหน้าเด็กหนุ่ม แต่นั่นไม่ใช่เลือดของเขา ฮีชอลใจเต้นรัวเมื่อเห็นร่างของอาค้างนิ่ง เลือดไหลออกมาจากบริเวณศีรษะ ดวงตาทั้งสองเบิกค้างจนปูดโปน และเมื่อร่างนั้นล้มลง เขาก็เห็นลีทงเฮยืนอยู่ด้านหลัง ในมือยังคงถือปืนยกค้างไว้ มีเขม่าควันจากปากกระบอกกรุ่นอยู่ 

     “ทงเฮ...” ฮีชอลพึมพำออกมาเมื่อร่างนั้นสะท้าน ทงเฮลดปืนลงด้วยความตระหนกสุดชีวิต จากนั้นก็ทรุดลงไปนั่งอยู่ที่พื้น มองสิ่งที่ตัวเองทำลงไป มือสั่นจนทำปืนตก ทงเฮมองมือทั้งสองข้างของตัวเองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำ 


    และร่างเล็กก็กรีดร้องสุดเสียง 


    “ไม่!!!!!!!! ไม่จริง!” 


     “ทงเฮ!” ฮีชอลถลาเข้าไปกอดร่างนั้นเอาไว้ ขณะที่ทงเฮร้องไห้และดิ้นไม่หยุด “ไม่เป็นไรนะทงเฮ ไม่เป็นไร นายทำถูกแล้ว นายช่วยชีวิตพี่ ทงเฮ...มองพี่ มองพี่สิ มันไม่เป็นไรเลย ใจเย็นๆ ใจเย็น...” 

     “ผมฆ่าคน...พี่ฮีชอล! ผมฆ่าคน!” 

     “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดนาย เค้าฆ่าพ่อแม่เรา เค้าฆ่าลุงพ่อบ้าน เค้าจะฆ่าพี่ นายทำถูกแล้วทงเฮ!” 

     ร่างเล็กหยุดดิ้นแต่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้น ฮีชอลลูบศีรษะทงเฮและกอดน้องเอาไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาจากตาคู่สวยทันทีที่เห็นว่ามือของทงเฮสั่นไปหมด ฮีชอลรู้ดีว่าทงเฮเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องกลายเป็นฆาตกรเพื่อปกป้องเขา เขาไม่โทษทงเฮเลยที่ร้องไห้หนักขนาดนี้ แต่ไม่มีเวลานานนักสำหรับความอ่อนแอ พวกเขาต้องรีบแล้ว

     “ทงเฮ...เราต้องไปจากที่นี่ก่อนที่ตำรวจจะมา” ร่างเล็กสะอื้นแล้วพยักหน้า ฮีชอลจึงช่วยพยุงให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ถามอย่างกังวล “แล้วตำรวจสองคนนั่นล่ะ”

     “ผม...พาเค้า...เข้าไปในห้องแลปแล้วหลอกให้ดมยาสลบ แล้วผมก็...เอาปืนมา” 

     “เก่งมากเลยทงเฮ เยี่ยมมาก เอาล่ะ...สูดหายใจลึกๆ เราต้องไปกันแล้วนะ เข้มแข็งเข้าไว้ จากนี้เราจะอยู่ด้วยกัน ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเราก็จะไม่ทิ้งกัน ตกลงมั้ย” ฮีชอลยิ้มให้น้อง และรายนั้นก็หลบตาลงพยักหน้า “ดี...ไปเอากระเป๋าแล้วรีบไปกันเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว”

     ทงเฮสูดอากาศเข้าปอดและรีบวิ่งออกไปจากห้องพร้อมฮีชอล ทั้งสองสวมเสื้อกันฝนและหยิบกระเป๋าเป้มาสะพายไว้บนหลัง ทงเฮเหลือบตาขึ้นมองรูปครอบครัวของเขาเมื่อเดินผ่าน

     เขาหวังว่าพ่อกับแม่จะได้เจอกันแล้ว และอยู่กันอย่างมีความสุข เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง...บอกพ่อกับแม่ในใจว่าเขารักพวกท่านมากแค่ไหน และได้โปรดรับคุณลุงพ่อบ้านไปอยู่กับพวกท่านด้วย

     “นายยังมีพี่นะทงเฮ...เรามีกันและกัน” ฮีชอลจับมือทงเฮเอาไว้ และดึงไปที่ประตู ทงเฮเหลียวมองรูปนั้นอีกครั้ง เขารู้ดีว่ายังไม่ถึงเวลาที่เขาจะได้ไปอยู่บนสวรรค์กับทุกคน จากนี้เขายังต้องมีชีวิตอยู่

     เด็กทั้งสองเปิดประตูออกไปด้านนอก พากันเดินฝ่าสายฝนและอวลอากาศที่แสนแปรปรวนไปสู่ชีวิตใหม่ ตอนนี้เป็นช่วงดึกสงัด อีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงจะเช้า ทั้งฮีชอลและทงเฮไม่มีใครรู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น

     ทั้งสองมองหน้ากันท่ามกลางความมืด แวบหนึ่งที่ฟ้าแลบ...แสงสว่างนั้นทำให้เขาเห็นแววตาของกันและกัน ฮีชอลรู้สึกว่าทงเฮตระหนักถึงอะไรบางอย่างหลังเดินออกมาจากบ้าน แววตาของทงเฮไม่ได้สิ้นหวังเหมือนก่อนหน้านี้อีก 

     “พี่ฮีชอล...ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่างานวิจัยตัวใหม่ของพ่อจะสำคัญขนาดนี้...พวกตำรวจนั่นพูดกันว่าถ้างานวิจัยนี้สำเร็จ มันจะมีมูลค่าสูงจนประเมินไม่ได้ ผมพอจะรู้ว่าพ่อทำอะไร แต่ก็คิดว่ามันจะน่าสนใจตรงไหน” ทงเฮตะโกนพูดแข่งกับเสียงพายุด้านนอกระหว่างที่พวกเขาเดินไปตามถนน

     “แล้วนายเริ่มสนใจมันขึ้นมาบ้างรึยังล่ะ”

     ทงเฮเงียบไปครู่หนึ่งแล้วไม่ตอบคำถามนั้น ฮีชอลไม่ได้คาดคั้น เขายิ้มอย่างรู้ดีว่าน้องของเขาได้รับคำตอบในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองเดินย่ำไปตามหนทางที่เปียกแฉะและยากลำบาก ถึงอย่างนั้นก็เป็นทางที่พวกเขาได้รับอิสระ 


     การมีชีวิตอยู่อาจโหดร้าย แต่ตราบใดที่ยังมีความหวังและสิ่งที่อยากทำ ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองต้องการ

    .

    .

    .

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×