คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1st Cat (แมวตัวที่ 1)
1st Cat ; แมวตัวที่ 1
คิมฮีชอลอายุ 17 ปีกำลังยืนอยู่หน้าหลุมศพของพ่อกับแม่ สายฝนกระหน่ำลงมาเพิ่มความสลดหดหู่ให้กับพิธีฝังศพที่จัดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อวานนี้เองที่เด็กหนุ่มได้รับข่าวร้าย หลังจากเครื่องบินโดยสารของพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุ เครื่องยนต์ลุกไหม้ทั้งลำ และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดรอดชีวิต
สายฝนเย็นเยียบโชกร่างที่ยืนนิ่ง ไม่มีหยาดน้ำใดไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย สายตาของคิมฮีชอลว่างเปล่า เหมือนอย่างที่หัวใจรู้สึก การตายของพ่อกับแม่อาจไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต หากเทียบกับสิ่งที่ต้องเผชิญจากนี้ไป
ร่มคันใหญ่เลื่อนเข้ามาปกป้องคิมฮีชอลจากสายฝน แต่เขากลับไม่รู้สึกอบอุ่นหรือปลอดภัยแม้แต่น้อย สายตาเย็นชาปรายมองไปด้านข้าง เหลือบขึ้นมองหน้าคนตัวสูงที่ยืนค้ำศีรษะ หากร่มคันนี้คือสัญญาณอันตราย ผู้ชายข้างๆ ก็อาจหมายถึงการคุกคาม รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูนั้นพร้อมจะประหัตประหารเขาได้ทุกเมื่อ
“อาเสียใจนะฮีชอล จากนี้ไปอาสัญญาว่าจะดีกับเธอให้มากๆ อาจะเป็นคนดูแลเธอเอง” ชายวัยกลางคนวางมือลงบนไหล่ของเขา พลางย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อจะสบตากันโดยตรง “เสร็จพิธีแล้ว เรากลับบ้านกันดีกว่า อาจะบอกคนรับใช้ให้เตรียมเครื่องดื่มร้อนๆ ไว้ให้เธอนะ”
คิมฮีชอลไม่ตอบว่าอะไร เขาเบือนหน้ากลับไปมองหลุมศพพ่อกับแม่ รู้สึกได้ถึงความเหงาและโดดเดี่ยวที่เกาะกุมหัวใจของเขา ฮีชอลไม่เคยอ่อนแอ แต่ในเวลานี้เขาไม่ได้เข้มแข็ง เขารู้ดีว่าตัวเองแทบมีชีวิตอยู่ต่อไม่ไหว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่เด็กวัยเดียวกันจะทำเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้
“ฮีชอล กลับไปกับอาเดี๋ยวนี้” เสียงนั้นแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย และเมื่อเด็กหนุ่มไม่มีทีท่าจะขยับตัว มือหนึ่งก็ฉวยต้นแขนแล้วออกแรงกระชาก “กลับบ้าน! นี่คือคำสั่ง! อย่าให้อาต้องพูดอีกรอบ”
ฮีชอลมองหน้าชายร่างสูงอย่างเฉยเมย และเมื่อฝ่ายนั้นรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เขาก็เริ่มตั้งสติแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนลงทันที “อาไม่ได้อยากดุเธอเลยนะ เป็นเด็กดีกับอาหน่อยสิ”
“ผมจะกลับ...” เด็กหนุ่มพูดออกมาเรียบๆ และเดินหนีจากร่มของอา กลับไปที่รถด้วยตัวเอง ผู้เป็นอายืนมองอย่างอดกลั้น เขาแสร้งทำเป็นใจเย็นและรีบเดินตาม
ค่ำแล้วแต่ฝนก็ยังตกไม่หยุด ฮีชอลนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนของตัวเอง เขาละสายตาจากสิ่งที่ทำอยู่และมองออกไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกมืดจนน่ากลัว มีเพียงแสงสว่างวาบจากฟ้าแลบเป็นระยะ จากนั้นก็มีเสียงฟ้าผ่าดังโครมคราม ฮีชอลเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ ก่อนจะก้มลงมองสิ่งที่ทำอยู่ และทำต่อไป
“คุณหนูคะ” เสียงสาวใช้ดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กับที่ประตูเปิดออก ฮีชอลหันไปมองและเอื้อมมือไปรับหนังสือพิมพ์ 3-4 ฉบับที่เธอเอามาให้ สาวใช้มองกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เกลื่อนอยู่บนโต๊ะ เศษเหลือทิ้งเหล่านั้นมีรอยแหว่งจากการถูกตัดข่าวออกไป “คุณหนูตัดข่าวเก็บไว้เหรอคะ”
“ใช่...” ฮีชอลตอบ เขาคลี่หนังสือพิมพ์ที่เพิ่งได้มาและไล่หาข่าวที่ต้องการ
“ข่าวอะไรคะ”
“ข่าวไฟไหม้พิพิธภัณฑ์”
สาวใช้สะดุ้งเฮือกแล้วยกมือปิดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลออุทาน อีกฝ่ายดูจะไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของเธอด้วยซ้ำ คิมฮีชอลเจอข่าวที่เขาหาแล้ว จึงเริ่มลงมือตัด พาดหัวข่าวขนาดใหญ่มีใจความว่า ‘เพลิงไหม้พิพิธภัณฑ์ชานเมือง ของโบราณล้ำค่าถูกเผาวอด’ และใต้พาดหัวนั้นเป็นรูปจากสถานการณ์จริง
“คุณหนูคะ...” สาวใช้จ้องมองใบหน้าเรียบเฉยของเด็กหนุ่มอย่างสะเทือนใจ เธอรู้สึกสงสารคุณหนูของเธอเหลือเกิน “อย่าเก็บมันไว้เลยนะคะ ขอร้องล่ะค่ะ”
“ถ้าพรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ฉบับไหนมีข่าวการตายของพ่อแม่ผมอีกก็ช่วยซื้อมาให้ด้วยนะ”
“คุณหนู! ดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ” สาวใช้ร้องและส่ายหน้าดิก เธอพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่ม “พอเถอะนะคะ อย่าทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดอีกเลย ลืมมันไปเถอะค่ะ ได้โปรดกลับมาทำตัวร่าเริงอีกครั้งอีกนะคะ”
ฮีชอลนิ่งเฉย เขาเก็บข่าวที่ตัดออกมาแล้วใส่ลงในกล่องไม้ ปิดฝา...และเริ่มรื้อหนังสือพิมพ์ฉบับต่อไปมาหาข่าว แน่นอนว่าเขาเจ็บปวดกับสิ่งที่กำลังทำ ภาพข่าวและเนื้อความที่อ่านซ้ำๆ นั้นทิ่มแทงหัวใจเขา เขาเจ็บจนหายเจ็บ เหลือแต่ความรู้สึกชาๆ และสุดท้ายก็ว่างเปล่า เขาบังคับตัวเองที่ให้รับรู้และครุ่นคิดถึงเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมด
ไม่นานนี้เองที่เขาเริ่มเชื่อมโยงเหตุการณ์ทั้งหมดได้ เขาเลือกที่จะวิ่งเข้าหาความจริงอันเจ็บปวด ดีกว่าจะวิ่งหนีมัน และทำให้การตายของพ่อกับแม่ต้องสูญเปล่า
“ออกไปได้แล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ย
“แต่คุณหนูคะ...ดิฉันรู้ค่ะว่าคุณหนูเข้มแข็งและยอมรับมันได้ แต่ทำแบบนี้มันโหดร้ายกับตัวเองเกินไปแล้วนะคะ”
“ยอมรับได้งั้นเหรอ” ฮีชอลแค่นยิ้มโดยไม่หันมาสบตาอีกฝ่าย “ไม่เลย...ผมรับไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นผมเลยต้องทำ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหน้าไหนจะทำได้ นอกจากผม”
สาวใช้ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “คุณหนูหมายความว่ายังไงคะ ดิฉันไม่เข้าใจค่ะ”
“การทวงทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของพ่อกับแม่กลับคืนมา...มันเป็นหน้าที่ของลูกกตัญญูไม่ใช่เหรอครับ” สาวใช้ยืนมองเขาอย่างตกตะลึง ฮีชอลเพียงแค่หันไปมองแวบเดียว และเบือนหน้าไปนอกหน้าต่าง “ทุกสิ่งทุกอย่าง...รวมถึงความยุติธรรมด้วย”
สาวใช้ออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ แต่ฮีชอลก็ไม่ได้สนใจ เขาก้มลงเปิดกล่องไม้ หยิบข่าวทั้งหมดออกมาและวางมันต่อกัน ไล่อ่านอีกรอบพลางสลับมันไปมาราวกับกำลังเล่นต่อจิ๊กซอว์
จนดึกดื่นแล้วฮีชอลก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ใครบางคนเข้ามาในห้องของเขา และยืนมองสิ่งที่เขากำลังทำ เสียงเปิดประตูนั้นแผ่วเบาแต่เสียงปิดประตูที่จงใจนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้ตัวและหันไปมอง อาของเขายิ้มให้ และเดินเข้ามาหา
“ยังไม่นอนอีกเหรอคนดีของอา” มือทั้งสองวางลงบนไหล่ พลางชะโงกหน้ามองสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ “นั่งอ่านอะไรอยู่ ท่าทางเคร่งเครียดเชียว ไหนขออาดูหน่อยซิ”
ฮีชอลเก็บข่าวที่ตัดไว้ใส่กล่องไม้และปิดฝาอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายจึงไม่พอใจ พูดโพล่งออกมา
“เธอคิดว่าอาไม่รู้เหรอว่าเธอกำลังทำอะไร น่าขำชะมัด...เธอกำลังทำร้ายตัวเอง อารู้ว่าเธอเสียใจกับการตายของพ่อแม่ อาเองก็เสียใจนะ แต่มันเป็นอุบัติเหตุที่เราไม่สามารถ...”
“พ่อแม่ผมถูกฆ่า!”
ชายร่างสูงผงะ และถอยออกไปเล็กน้อย “ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น”
“ทั้งเรื่องไฟไหม้พิพิธภัณฑ์แล้วก็เรื่องเครื่องบินตก อารู้ใช่มั้ยว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่อาบิดเบือนมัน อาจะทำอะไรก็ได้นี่...เพราะอาเป็นตำรวจ อาทำให้ทุกคนเชื่อได้อยู่แล้วว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุที่เราไม่สามารถควบคุมได้”
“ฮีชอล! พูดเพ้อเจ้ออะไรน่ะ!” ฝ่ายนั้นตวาด เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นเผชิญหน้า
“ผมไม่โง่อย่างที่อาคิดหรอก ผมไม่ใช่เด็กอายุ 17 ที่ไร้หัวคิด ผมไม่ยินดีกับมรดกที่ได้มาหลังจากพ่อแม่ตาย ผมไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น นอกจากอยากได้พ่อแม่ผมคืน หัวใจของผมมันแหลกไปตั้งแต่วันนั้นแล้วครับอา ผมรู้ว่ายังไงพ่อกับแม่ก็ไม่ฟื้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมพอจะทำได้ คือเรียกหาความยุติธรรมคืนจากคนชั่วที่ฆ่าพ่อแม่ผม”
“เธออาจจะเสียใจมากจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว อายืนยันนะว่าจากรูปคดีทั้งหมด ตำรวจสรุปสำนวนว่าเหตุการณ์ไฟไหม้พิพิธภัณฑ์ของพ่อแม่เธอเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ส่วนอุบัติเหตุเครื่องบินตกนั่นก็เพราะเครื่องยนต์ขัดข้อง” อาพยายามอธิบายให้เขาฟังอย่างมีหลักการ แต่เขาจับพิรุธได้ทั้งทีว่าน้ำเสียงของฝ่ายนั้นสั่น
“มันเป็นการลอบวางเพลิงและฆาตกรรม” ฮีชอลสรุป
“กล้าดียังไง! เด็กอย่างเธอก็พูดพล่อยๆ ได้สิ! หลักฐานล่ะ...ถ้าเก่งนักก็หาหลักฐานมาเลย ส่งมันให้ตำรวจสิ แล้วกระบวนการยุติธรรมจะเป็นฝ่ายตัดสินเอง” อีกฝ่ายท้าทายอย่างมั่นใจ ถูกแล้วที่คิดว่าเด็กอย่างเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ ฮีชอลนิ่ง แต่ความโกรธแค้นทั้งหมดกำลังเผาไหม้อยู่ภายในตัวเขา พร้อมจะลุกลามออกมาทุกเมื่อ
“ตำรวจเหรอ กระบวนการยุติธรรมเหรอ” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะและสบตาคนตรงหน้าด้วยความโกรธเกลียด “รู้มั้ยครับ...ผมเชื่อมั่นในสองสิ่งนี้มาตลอด กระทั่งถึงวันที่ผมรู้ว่าเป็นอา”
“อะไร...” ชายคนนั้นถามออกมาอย่างระแวง ฮีชอลจึงยกยิ้ม
“อาเป็นคนฆ่าพ่อแม่ผม”
ฝ่ายนั้นเบิกตากว้างและนิ่งงันด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็เริ่มหัวเราะกลบเกลื่อนอากัปกิริยาในทีแรก “เธอ...เธอเข้าใจผิดแล้ว อาจะทำอย่างนั้นทำไม”
ฮีชอลเหลือบตามองกล่องไม้บนโต๊ะ แล้วหันกลับไปจ้องร่างสูง เขาพูดออกมาทั้งหมดอย่างไม่เกรงกลัว
“อาเกลียดพ่อผม พ่อดีกว่าอาทุกอย่าง พ่อเป็นวิศวกร...อาชีพที่อาใฝ่ฝันแต่เป็นไม่ได้ อาสอบตก ปู่พยายามกู้หน้าครอบครัวด้วยการให้อาเป็นตำรวจ ปู่ใช้เงินติดสินบนผู้ใหญ่ในกรมตำรวจ เพื่อให้อาได้เป็น อาไม่อยากเป็นหรอก อาเลยอิจฉาพ่อผมมาตลอด พ่อได้แต่งงาน มีครอบครัวที่ดี และพอพ่อเปิดพิพิธภัณฑ์ โด่งดังไปทั่วประเทศ อาก็ทนไม่ไหว...อาวางเพลิงพิพิธภัณฑ์ของพ่อ และพอพ่อกับแม่รู้...ขึ้นเครื่องไปต่างประเทศเพื่อทำเรื่องฟ้องร้อง อาก็ฆ่าพวกเค้า”
คนที่ยืนฟังเงียบไป สีหน้านั้นเคร่งขรึมจนอ่านไม่ออก และครู่หนึ่งก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“ฮีชอล...เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร นักสืบเหรอ จะบอกให้นะ ที่เธอพูดมามันก็แค่เรื่องแต่ง พิสูจน์สิว่ามันจริง เธอพิสูจน์ไม่ได้หรอก เพราะเธอเองก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำ ใช่มั้ยล่ะ” ฝ่ายนั้นพูดอย่างใจดี และเอื้อมมือจับไหล่เขา ฮีชอลสะบัดออก
“ผมมั่นใจ ผมได้ยินพ่อกับแม่คุยกันก่อนจะขึ้นเครื่องไปและไม่มีวันได้กลับ อาขอสิทธิ์ในการดูแลผม เพราะเป็นผู้ปกครองคนเดียวที่เหลืออยู่ แต่อารู้ไว้เถอะ...ผมเกลียดอา และผมก็จะทำทุกอย่างเพื่อค้นหาความจริง ซักวันอาจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำ คนชั่วๆ อย่างอา สมควรตาย”
เพี้ยะ! ฝ่ามือฟาดเข้าที่ข้างแก้มของฮีชอลจนหน้าหัน เด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งยันโต๊ะเอาไว้จนไม่เสียหลักล้ม
“ปากดีนักนะ เธอเองก็รู้ไว้เถอะว่าชีวิตเธอขึ้นอยู่กับอา ถ้าอาฆ่าพ่อแม่เธอได้ ทำไมอาจะมีสิทธิ์ครอบครองตัวเธอไม่ได้ล่ะ...เด็กดีของอา” ร่างนั้นเข้ามาประชิด แขนแกร่งรั้งตัวเด็กหนุ่มเข้ามาและลงมือปลุกปล้ำ
“ปล่อยนะ ไอ้ฆาตกร!” เสียงตวาดของฮีชอลยิ่งทำให้อีกฝ่ายโมโห ใช้แรงกดเขาลงกับโต๊ะ
“เธอเก่งนะที่รู้มากขนาดนั้น แต่ก็ยังรู้ไม่หมด เธอไม่รู้เหรอว่าอาชอบเธอมานานแล้ว ดูสิ...หน้าเธอสวยอย่างกับผู้หญิง ทั้งรูปร่างทั้งผิวพรรณ อามองเธอทีไรก็แทบอดใจไม่ได้ แต่พ่อแม่เธอไม่เคยเปิดโอกาสให้อาได้ใกล้ชิดเธอเลย จนวันนี้...อาดีใจจริงๆ ที่สุดท้ายอาก็ได้เป็นเจ้าของเธอ”
“ฝันไปเถอะ!” ฮีชอลดิ้นพล่าน เขารังเกียจริมฝีปากที่เพิ่งพูดพ่นและเริ่มระรานต้นคอของเขา “ไอ้โรคจิต! ไอ้ฆาตกร! อย่ามาแตะต้อง...” เสียงของเขาขาดหายไปเพราะถูกปิดด้วยริมฝีปาก
สัมผัสนั้นทำให้ฮีชอลขยะแขยง เขาใช้แรงที่พอจะเหลืออยู่ดิ้นรนแต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหว เด็กหนุ่มจึงกัดริมฝีปากร่างสูงเต็มแรง จึงผละออกได้ อาของเขาร้องลั่นและยกมือเช็ดเลือดที่เปรอะริมฝีปาก และเมื่อเป็นอิสระ เด็กหนุ่มจึงรีบตะโกนร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง หากแต่ก็ไม่มีคนรับใช้คนใดกล้าเปิดประตูเข้ามาแม้แต่คนเดียว
ร่างสูงตบหน้าเขาอีกฉาด ฮีชอลหน้าหันและฟุบลงไปกับโต๊ะ และก่อนที่จะได้ทันตั้งตัวฝ่ายนั้นก็ดึงตัวเขาให้เผชิญหน้า “ร้องสิ ร้องดังๆ ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอก ร้องอีก...ฮีชอล อาอยากเห็นเธอร้องไห้ซักครั้ง จะน่ารักแค่ไหนนะ”
“ปล่อย!” เด็กหนุ่มกรีดร้องและสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหยาบกร้านคว้าลำคอเขาก่อนจะออกแรงบีบ ร่างสูงมองเขาราวกับกำลังเล่นสนุก วินาทีที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฮีชอลก็พลันหวาดกลัวสายตานั้น...สายตาของฆาตกร
“อย่าทำให้อาโมโหสิ! อาไม่อยากทำแบบนี้เลยนะ” อีกฝ่ายตีหน้าเศร้าและออกแรงบีบที่มือ ฮีชอลสำลัก ขาดิ้นปัดไปมา การขาดอากาศหายใจอย่างช้าๆ กำลังทรมานเขา ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกค้างขณะพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด “มีอีกเรื่องที่เธอไม่รู้ อาจะบอกให้ก่อนส่งเธอไปหาพ่อกับแม่ อาฝากไปบอกพวกมันด้วยว่าวัตถุโบราณทั้งหลายที่พวกมันหวงนักหนาตอนนี้อยู่ในมือคนที่เห็นค่าของมันจริงๆ แล้ว ไม่ต้องกังวลไปหรอก มันไม่ได้ถูกเผาไปแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วเรื่องวางเพลิงอาก็ไม่ได้เป็นคนต้นคิดหรอกนะ เจ้านายของอาต่างหากล่ะ...”
ฮีชอลน้ำตาคลอเพราะความเจ็บใจ เขาได้รู้ความจริงก็ตอนที่กำลังจะตาย มันช่างไร้ประโยชน์ที่สุด!
“สมบัติพวกนั้นขายได้ราคาดีเชียวล่ะ หลังจากกระจายในตลาดมืดแล้ว มันก็คงกลับไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นที่อื่นนะ ที่ๆ เจ้าของพิพิธภัณฑ์รับซื้อไปอีกทอดโดยไม่สนใจว่าของพวกนี้มาจากไหน ไม่ว่าจากนี้หรืออีกกี่สิบปีก็จะไม่มีใครสนใจเรื่องไฟไหม้พิพิธภัณฑ์ของพ่อแม่เธอ วัตถุโบราณที่มีค่า...คือของที่ถูกโชว์อยู่ในพิพิธภัณฑ์หรือตามบ้านของพวกเศรษฐีที่ไม่ถูกไฟไหม้เท่านั้นแหละ” ร่างสูงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกดน้ำหนักลงที่ฝ่ามือ เด็กหนุ่มเริ่มหมดแรงและเกือบจะสิ้นลม แต่แวบหนึ่งที่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย ความแค้นในใจก็ร่ำร้องให้เขามีชีวิตอยู่
คิมฮีชอลไม่มีหน้าจะไปเจอพ่อกับแม่แล้วบอกท่านเรื่องนี้ได้...ไม่มีวัน!
เด็กหนุ่มละมือข้างหนึ่งจากการป้องกันตัวเองแล้วคลำไปทั่วโต๊ะ คว้ากรรไกรอันใหญ่แทงเข้าเต็มแรงที่แผ่นหลังของร่างสูง เลือดทะลักพุ่งออกจากบาดแผล ฝ่ายนั้นจึงร้องเสียงหลงและเขาก็เป็นอิสระ ฮีชอลออกแรงอีกเฮือกงอเข่าและถีบเข้าที่ท้องของคนที่คร่อมอยู่ ร่างนั้นกระเด็นออกไปและล้มลงบนพื้น มือหนึ่งเอื้อมไปดึงกรรไกรที่ปักอยู่กลางหลังออก จากนั้นก็ดิ้นเร่าเพราะความเจ็บปวด
ฮีชอลใช้โอกาสนี้วิ่งหนีออกจากห้อง คนรับใช้ที่ออกันอยู่หน้าประตูตกใจเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นภายในนั้น เด็กหนุ่มไม่สนใจใครทั้งสิ้น ไม่มีใครช่วยเขาได้หรอก นอกจากตัวเขาเอง สองขาวิ่งไปที่ประตูบ้านและเมื่อก้าวพ้นอันตรายมาได้ เขาก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตออกไปท่ามกลางความมืดและสายฝนที่กระหน่ำเท
ไม่มีความหวาดกลัว ลังเล หรือท้อแท้อยู่ในแววตาของเด็กหนุ่มที่ชื่อคิมฮีชอลอีกต่อไป เขาเลือกแล้ว...เลือกที่จะออกมาจากบ้านอันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อแม่จะเหลือไว้ให้เขาได้ตามกฎหมายระบุ เขาสละความสุขสบาย และความหูหนวกตาบอด เขาเลือกเผชิญหน้ากับความจริงที่ทารุณเพียงเพื่อจะมีชีวิตอยู่อย่างทรมานที่สุดและปรารถนาจะได้สิ่งอื่นที่ไม่มีสมบัติชิ้นใดจะมีค่าเท่า จากนี้ไป...ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้ เพราะเขาตระหนัก ณ ตอนนี้ว่าไม่มีที่ไหนในโลกจะน่ากลัวและโสโครกเท่ากับบ้านหลังนี้อีกแล้ว
---------------------------------------------------------------
ขอบคุณทุกคนที่มาเมนท์นะคะ พี่บิวด้วยนะ ดีใจจัง ^ ^ คิเฮคงอีกหลายตอนนะคะพี่บิว แต่ทงเฮมาตอนหน้านี้แล้วล่ะ,
ตอบคำถามที่ว่าฮีชอลไม่มีคู่เหรอ เอ่อ...คิดว่ามีนะคะ แต่ยังไม่เปิดเผยเร็วๆ นี้ เป็นปริศนาไปก่อน
เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ
ความคิดเห็น