ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Cats' Eyes, หรือแมวไม่มีหัวใจ (KangKyu, Kihae, ?Chul)

    ลำดับตอนที่ #8 : เผชิญหน้ากับแมว

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 54


     เผชิญหน้ากับแมว


     
     “ผู้กองครับ ผมหวังพึ่งผู้กองเลยนะครับเนี่ย ได้ข่าวว่าผู้กองเก่งเรื่องคดีโจรกรรม...”

    “มันเป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว วางใจเถอะครับ” คังอินตอบ

    “สร้อยคอลูกปัดนั่นเป็นของมีค่าที่ผมภูมิใจมาก ผู้กองต้องปกป้องมันไว้ให้ได้นะครับ พวกแมวขโมยชั่วนั่น...ผมอยากจะฆ่ามันให้ตายซะจริง ตอนได้รับคำเตือนผมแทบจะฉีกทิ้งเพราะความโมโหถ้าไม่ติดว่านั่นเป็นหลักฐาน...” 

    ร่างสูงเหลือบมองเศรษฐีเจ้าของพิพิธภัณฑ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ถอนหายใจและเดินเข้าไปในห้องแสดงผลงานโดยไม่สนใจจะคุยอะไรด้วยอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งกระจายกำลังอยู่ด้านนอกอาคาร อีกส่วนหนึ่งคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวภายในอาคาร ไม่น่าเชื่อว่าต้องใช้กำลังคนมากมายขนาดนี้เพื่อจะจับแมวไม่กี่ตัว 



    “ผู้กองครับ...” ตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งเดินเข้ามา “เราจัดกำลังเฝ้าห้องจัดแสดงหมายเลข 5 เรียบร้อยแล้ว แต่มันคงเข้าไปไม่ถึงห้องนั้นหรอกครับ แค่ด้านนอกก็มีกำลังของเราอยู่เกือบครึ่งโรงพัก” 

    “อย่าดูถูกพวกแคทส์อย่างนั้นสิ คิบอม” คังอินแค่นหัวเราะแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ โถงจัดแสดง “นายเพิ่งย้ายมาทำงาน คงยังไม่รู้ฤทธิ์พวกมันสินะ บางทีแคทส์อาจจะเข้ามาในพิพิธภัณฑ์แล้วก็เป็นได้” 

    “แล้วผมควรจะทำยังไงล่ะครับ ผมรอรับคำสั่งจากผู้กองอยู่” ตำรวจใหม่มีท่าทีตระหนก คังอินจึงยิ้มให้

    “ใจเย็นๆ อย่าให้แคทส์รู้ว่านายกลัว ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ปิดทางเข้าออกทุกทาง ไปสำรวจกำลังที่ประจำห้องจัดแสดงทุกห้อง ดูให้ดีๆ ว่าตำรวจทั้งหมดเป็นคนของเรา ไม่แน่ว่าพวกแคทส์อาจจะแฝงตัวเข้ามา” 

    “ได้ครับ แล้วเจอกันที่ห้องจัดแสดงหมายเลข 5 ครับผู้กอง” 

    คิบอมพยักหน้ารับคำสั่งแล้ววิ่งออกไป







    ทงเฮนั่งหาว เขาจ้องจอคอมพิวเตอร์มาร่วมชั่วโมงระหว่างที่ฮีชอลกับแคทส์กำลังเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ ที่เหลือก็แค่รอเวลาเข้าถึงห้องจัดแสดงและฉกของที่หมายตาไว้ ทงเฮลองคำนวณเวลาหลบหนีอีกรอบ เขายิ้มอย่างพอใจเมื่อได้เวลาที่แม่นยำ เขาจัดเส้นทางหลบหนีไว้เรียบร้อยแล้ว นี่เป็นเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

    “ลองดูกล้องวงจรปิดเลยดีกว่า” ทงเฮนึกสนุกอยากดูความเป็นไปในพิพิธภัณฑ์ จริงๆ แล้วนี่เป็นขั้นตอนสุดโปรดของเขา เพราะจะได้เห็นความวุ่นวายโกลาหลของพวกตำรวจ กำลังมากมายที่วางไว้ตามจุดต่างๆ เอาเข้าจริงก็ช่วยอะไรไม่ได้ แคทส์เข้าไปขโมยของออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ผ่านหน้าตำรวจพวกนี้ด้วยซ้ำ

    ทงเฮรัวแป้นพิมพ์เพื่อลอบดูสัญญาณจากกล้องวงจรปิดจากที่ต่างๆ เขาหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสภาพของตำรวจแต่ละนายที่ยืนหาวบ้าง ยืนสั่นบ้าง ท่าทางไม่เอาไหนกันสักคน ครู่หนึ่งนาฬิกาข้อมือก็ดังเตือนว่าใกล้เวลาแล้ว ทงเฮจึงเรียกสัญญาณกล้องวงจรปิดของห้องหมายเลข 5 เพื่อเตรียมไว้สำหรับการโจรกรรม

    “ไหน...ดูซิ” 

    ทงเฮกดปุ่มบนแป้น และภาพจากกล้องวงจรปิดตัวหลักก็ฉายวาบขึ้นจอคอมฯ แทนที่จะเห็นภาพรวมภายในห้อง ทงเฮก็ต้องสะดุ้งจนหงายหลังเพราะใบหน้าของใครบางคนฉายขึ้นมาเต็มจอ

    หลังจากหายตกใจแล้ว ทงเฮก็ผุดลุกขึ้นนั่ง เขามองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยนั้นอย่างไม่วางใจนัก เพราะสายตาที่มองผ่านกล้องวงจรปิดคล้ายจะมองเห็นว่าเขาอยู่อีกด้านหนึ่งและกำลังแอบดูอยู่ แต่ไม่ช้ารายนั้นก็หันหน้าไปทางอื่น ทงเฮถอนหายใจเสียงดัง 

    “ให้ตายสิ! ทำเอาตกใจหมด มันเป็นใครวะ...หน้าตากวนตีน”

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอทงเฮ” เสียงฮีชอลดังออกมาจากหูฟัง ทงเฮหัวเราะแล้วตอบกลับไป 

    “ไม่มีอะไรหรอกพี่ แค่มีใครไม่รู้มายืนอยู่หน้ากล้องวงจรปิด แล้วเผอิญมันเป็นกล้องมุมต่ำไง เห็นหน้าบานเต็มจอเลยตกใจ” ทงเฮบอกปัด แล้วดูกล้องต่อ ผู้ชายคนนั้นหันมามองกล้องอีกรอบ ทงเฮจึงแลบลิ้นใส่

    “คุมสติหน่อยทงเฮ กล้องตัวที่ว่าอยู่ห้องไหน” ฮีชอลถาม

    “หมายเลข 5 เออ...จริงด้วย นั่นไง เห็นผู้กองคังอินแล้ว กำลังคุยกับผู้ชายคนเมื่อกี๊” ทงเฮสลับดูกล้องอีกตัว และเห็นว่าผู้กองคังอินเดินเข้ามา ทั้งสองยืนคุยกันแต่ไม่ได้ยินว่าเป็นเรื่องอะไร

    “ใกล้จะได้เวลาแล้ว เตรียมตัดไฟได้เลย” ฮีชอลพูดอีกครั้งก่อนจะเงียบไป ทงฮพยักหน้ารับรู้ เขาเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ระหว่างนี้ก็เลยสลับกล้องวงจรปิดกลับไปมองหน้าหมอนั่นชัดๆ อีกรอบ

    “คนอะไร...หน้าตากวนตีนดีจัง” ทงเฮหัวเราะ



    คิบอมจ้องดูกล้องวงจรปิด เขานึกสงสัยจึงหันไปถามผู้กองคังอิน “ทำไมกล้องตัวนี้อยู่ต่ำนักล่ะครับ ปกติมันต้องอยู่สูงๆ เหมือนอีก 3-4 ตัวตรงนู้น ผู้กองไม่คิดว่ามันแปลกเหรอครับ” 

    “ตรงนี้คงเป็นมุมอับที่กล้องพวกนั้นมองไม่เห็น...แปลกตรงไหนกัน” 

    “อ้าว เหรอครับ ผมไม่รู้” คิบอมยกมือลูบท้ายทอย เขายิ้มแหยะๆ และมองคังอินที่เดินไปอีกด้าน ก็เขาเพิ่งสอบผ่านมาเป็นตำรวจได้ไม่นาน ทฤษฎีแน่นปึกแต่ด้านประสบการณ์ไม่ได้เรื่อง เคยทำแต่คดีเล็กน้อย ประเภทผัวเมียทะเลาะกัน จับไพ่ ไม่ก็หมาแมวหาย ไม่เคยต้องมาทำคดีโจรกรรมที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เด็กไม่ประสีประสาอย่างเขามาช่วยงานผู้กองคังอินก็มีแต่จะทำให้เสียงานเปล่าๆ ทางกรมตำรวจคงคิดผิดแล้วที่ส่งเขามาประจำที่นี่ ถึงจะเป็นการลงโทษที่เขาทำงานพลาดเมื่อคราวก่อน แต่ก็ไม่น่าลงโทษผู้กองคังอินที่ต้องลำบากดูแลเขาด้วยสิน่า 

    “เราเฝ้าอยู่แบบนี้มันคงไม่หายไปต่อหน้าหรอกจริงมั้ยครับผู้กอง” 

    คิบอมพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ ทั้งสองมองหน้ากันขณะยืนเฝ้าแท่นวางสร้อยคอลูกปัดโบราณ ผู้กองคังอินถอนหายใจ ไม่อยากพูดกับคิบอมอีก

    “บอกแล้วไงว่าการดูถูกคนร้ายไม่ใช่สิ่งที่ตำรวจควรทำ” 

    “ผมก็แค่พูดตามที่เห็น...” 

     “อย่าประมาท” คังอินย้ำอีกครั้ง เขาสังหรณ์ใจแปลกๆ ในคืนนี้ ทุกอย่างเงียบเกินไป แม้จะดึกสงัดแต่เงียบแบบนี้ช่างน่ากลัว เขานึกภาพว่าแคทส์กำลังคืบคลานเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับเงามืด นั่นเป็นสิ่งที่แคทส์ถนัด

    คังอินครุ่นคิดขณะที่มองขึ้นไปบนเพดานของพิพิธภัณฑ์ 

    เพดานส่วนหนึ่งเป็นกระจกใส ทำให้สามารถมองเห็นท้องฟ้าด้านนอกได้อย่างชัดเจน ดวงจันทร์กลมโตที่ถูกขยายด้วยกลวิธีทางวิทยาศาสตร์ของกระจกแบบพิเศษทำให้ดวงจันทร์ในคืนนี้น่าสนใจกว่าคืนไหนๆ 



    พลันนั้นเขาก็เห็นเงาหนึ่งโฉบผ่านดวงจันทร์ไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา 


    คังอินผงะเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะทันได้ตะโกนออกคำสั่งให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อม ไฟในอาคารก็ดับพรึ่บ เมื่อนั้นความโกลาหลก็เกิดขึ้น แม้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายที่ถูกฝึกมาอย่างดี คังอินหยิบปืนออกมา

    “ผู้กองครับ! มันมืดมากเลย ผมลืมเอาไฟฉายมา” คิบอมตะโกนมาจากที่ไหนสักแห่งในห้อง จากที่เคยอยู่ใกล้ๆ กัน คังอินเดาว่ารายนั้นคงตกใจที่ไฟดับและวิ่งไปที่อื่นโดยไม่รู้ตัว 

    จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนดังโหวกเหวกที่ด้านนอก ตำรวจหลายนายวิ่งชนกันไปทั่ว บ้างก็เริ่มฉายไฟ คังอินไม่รอช้า เขาฉวยไฟฉายขนาดพกพาออกมาจากกระเป๋ากางเกง ลำแสงเล็กๆ สีฟ้าสว่างที่ออกมาจากกระบอกไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณ แต่เพราะห้องกว้างเกินไป ลำแสงนั้นจึงไม่ช่วยอะไรมากนัก 


    กลายเป็นว่า...แสงสีฟ้าสวยนั้นดึงดูดให้แมวตัวหนึ่งนึกอยากจะเล่นขึ้นมา


    คังอินชะงักกึกเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง และเมื่อหันไป...ความรู้สึกนั้นก็หายไปด้วย แต่ครู่หนึ่งก็กลับมาอีก จนกระทั่งเขาแน่ใจว่าใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่จริงๆ 

    “ใครน่ะ” ร่างสูงถามออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับรู้ว่าใครคนนั้นอยู่ใกล้ตัวเขามากจนน่ากลัว 

    ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงครางเบาๆ ซึ่งเป็นวิสัยของแมวทั่วไป คังอินนิ่ง เขาพยายามหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างแม้แต่ลมหายใจของตัวเอง และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เบามาก...มันเบาจนแทบไม่ได้ยิน แบบที่เรียกว่ารู้สึกได้คงจะถูกต้องกว่า ฝีเท้าที่เบาบางและนุ่มนวลนั้นประดุจการเคลื่อนไหวของแมว

    ร่างสูงนึกหวั่นใจกับการถูกจ้องมองจากอะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็น ลมหายใจอุ่นๆ กำลังวนเวียนอยู่บริเวณแผ่นหลังของเขา และค่อยๆ ไล่ขึ้นมาที่ต้นคอ ปืนในมือเขาไม่มีประโยชน์เลย ความมืดทำให้เขาไม่กล้าหันไปยิงสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะหากพลาดโดนตำรวจนายใดที่อาจอยู่แถวนี้ เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง คังอินตัดสินใจอยู่นิ่งๆ แล้วใช้ตัวเองเป็นเหยื่อ เขาหวังว่าแมวตัวนั้นจะแตะตัวเขา และนั่นอาจจะเป็นโอกาสให้เขาจับมันได้ เขาต้องรอ...รออย่างใจเย็น 

    เสียงลมหายใจของแมวกำลังปั่นป่วนเขา คังอินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ใช่ความกลัว ทุกส่วนที่ลมหายใจนั้นสัมผัสทิ้งรอยความร้อนเอาไว้ราวกับถูกกระตุ้นด้วยอย่างอื่นที่วาบหวามยิ่งกว่า



    “แคทส์...” 

    คังอินเอ่ยเรียกเบาๆ และไม่นานก็ได้ยินครางกลับมา เป็นเสียงของแมวอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เองที่เขาเริ่มขนลุก ไม่เคยเชื่อเรื่องสัตว์ประหลาดหรือคล้อยตามไปกับภาพยนตร์ยอดมนุษย์เรื่องไหน แต่เขาแน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ใกล้เขาตอนนี้ต้องไม่ใช่มนุษย์เต็มตัวอย่างแน่นอน มันคือแมว...แมวตัวใหญ่ที่กำลังจ้องจะขย้ำเขา


    ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดที่ใบหู คังอินตกใจและเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะ เขาจึงหมุนตัวไปยังตำแหน่งที่กะเอาไว้ พร้อมกับตะครุบร่างที่คิดว่าจะอยู่ตรงนั้นแน่นอน แต่แทนที่จะจับแมวได้ ร่างสูงกลับต้องลงไปจับกบอยู่ที่พื้นแทน 


    ไฟฉายหลุดจากมือไปกลิ้งอยู่บนพื้นข้างๆ ตัว คังอินรีบเอื้อมมือไปคว้า แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อดวงตากลมโตคู่หนึ่งโผล่เข้ามาในรัศมีลำแสง ดวงตาของแมวที่สะท้อนแสงจนน่ากลัวทำให้ร่างสูงถึงกับผงะหงายหลังไป และเมื่อลุกขึ้นนั่งได้เขาก็ไม่รอช้า เล็งปืนไปยังตำแหน่งที่ร่างนั้นเคยอยู่ แต่แล้วไฟในอาคารก็สว่างขึ้นก่อน ไฟฉายของเขาเปิดกลิ้งอยู่บนพื้น เพียงพริบตาเดียวแมวที่อยู่ตรงหน้าก็หายไปเสียแล้ว คิบอมอยู่อีกฟากของห้อง กำลังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งสภาพของเขาในตอนนี้ด้วย


    “ผู้กองไปนั่งทำอะไรตรงนั้นล่ะครับ” คิบอมเดินเข้ามาหาเขาและฉุดให้ลุกขึ้น  

    ไม่มีวี่แววของแมวตัวนั้น...ไม่มีร่องรอยอะไรสักอย่าง 

    คังอินมองไปที่แท่นวางสร้อยคอลูกปัดโบราณ บัตรสีขาวขนาดเล็กพร้อมรูปประทับรอยเท้าแมววางอยู่แทนที่ เขากัดฟันอย่างนึกเจ็บใจที่สุดท้ายแล้วสร้อยคอนั่นก็หายไปต่อหน้าต่อหน้า 


    .

    .

    .




    ถ้าพิมพ์ผิดหรือพิมพ์คำไหนมั่วไปบ้างต้องขออภัยนะคะ ไม่ได้พรูฟเลย ไว้ลงซักระยะจะกลับมาพรูฟคำผิดนะ สัญญา!!! (ยิ้ม*)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×