ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : สู่ปัจจุบันกับร้านกาแฟ
สู่ปัจจุบันกับร้านกาแฟ
คยูฮยอนวางมือจากการเครื่องต้มกาแฟแล้วหยิบกรอบรูปเล็กๆ ขึ้นมาดู ตอนนั้นเขายังเด็กมาก อายุประมาณ 13 ปีเห็นจะได้ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมานานร่วม 8 ปีแล้ว พวกเขาสามพี่น้องผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะจนแทบจำไม่ได้ แต่ก็มีคุณค่าเสียจนไม่อยากจะลืม
เขายกมือแตะข้างแก้ม จุดที่จำได้ว่าเคยถูกฮีชอลตบ ร่างบางลอบยิ้มเพราะนึกถึงสัญญาที่พี่เคยให้ไว้ ฮีชอลทำได้จริงอย่างที่พูด เพราะจากวันนั้น...ฮีชอลก็ไม่ยอมให้ใครทำร้ายคยูฮยอนอีก ราวกับเป็นคำมั่นว่าตราบใดที่ฮีชอลยังอยู่ตรงนี้ คยูฮยอนจะรู้สึกปลอดภัยเสมอ เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่ยอมเรียกฮีชอลว่า ‘พี่’ ฝ่ายนั้นก็ดีใจจนแทบร้องไห้
นอกจากพ่อแม่แล้ว คยูฮยอนยอมรับว่าคนที่รักเขายังมีอยู่อีก 2 คน และทั้งสองทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นมาได้ เป็นทั้งชีวิตและกำลังใจ ทำให้กล้าเผชิญกับโลกที่แสนโหดร้าย เขาสัญญากับตัวเองแต่นั้นว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อพี่ฮีชอลกับพี่ทงเฮ และทำในสิ่งที่พี่ๆ บอกเพื่อตอบแทนความรัก ความอบอุ่นที่ทุ่มเทให้เขาเสมอมา
“พี่จะออกไปข้างนอกนะคยู ถ้าทงเฮตื่นแล้วก็ฝากบอกด้วยว่าอย่าลืมซ่อมเครื่องกรองน้ำ” ฮีชอลเดินออกมาจากห้อง คยูฮยอนจึงรีบเก็บกรอบรูปนั้นใส่ลิ้นชัก
“ครับ ว่าแต่พี่ฮีชอลจะไปไหนเหรอ” คยูฮยอนเอ่ยปากถาม เพราะวันนี้ไม่มีรายการของต้องซื้อ
“ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์...”
คยูฮยอนใจหาย แต่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่นานนักฮีชอลคงเจอของที่ต้องการขโมย และเขาก็ต้องกลายเป็นแมวขโมย ทำหน้าที่โจรกรรมวัตถุโบราณเหมือนอย่างเคย แม้จะไม่ชอบนัก แต่คยูฮยอนก็จำต้องทำ
ฮีชอลออกไปจากร้านแล้ว คยูฮยอนหยิบแก้วกาแฟมาเช็ดแก้อาการฟุ้งซ่าน เขาพยายามจะไม่นึกถึงเหตุการณ์โจรกรรมครั้งที่ผ่านๆ มา เขาไม่สบายใจนักโดยเพราะงานโจรกรรมที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ และต้องต่อกรกับตำรวจท้องที่บางคน
เสียงกระดิ่งลมที่ประตูดังกรุ๊งกริ๊ง คยูฮยอนรู้ว่ามีลูกค้ามา เขายืดตัวขึ้นและยิ้มรอท่า
“เช้านี้รับอะไรดีครับ” เมื่อพูดออกไปแล้วจึงค่อยมองหน้าลูกค้าที่เดินเข้ามา
“เหมือนเดิมแล้วกันนะ” คยูฮยอนตกใจที่เห็นคังอินส่งยิ้มให้ เขาช็อคจนพูดอะไรไม่ออก อีกฝ่ายจึงมองอย่างงุนงง “อ้าว...เป็นอะไรไป”
“เปล่าครับ” ร่างบางรีบก้มหน้าเช็ดเคาน์เตอร์ จากนั้นก็หยิบนู้นหยิบนี่เก็บจนมั่วไปหมด คังอินเห็นท่าทางนั้นจึงยิ้มและนั่งลงหน้าเคาน์เตอร์ ชะโงกมองสิ่งที่คยูฮยอนกำลังทำอย่างเงียบๆ
“เพิ่งเปิดร้าน คงกำลังยุ่ง พี่ไม่น่ามาตอนนี้เลยนะ”
“เปล่านะครับ! ไม่ยุ่งเลยซักนิด พี่คังอินจะรับอะไรดีครับ สั่งได้เลยนะ”
ได้ยินดังนั้นคังอินก็หัวเราะ “สั่งไปแล้ว นายไม่ได้ฟังเหรอ พี่เอาเอสเปรสโซ่ร้อนเหมือนเดิมไง”
“จริงเหรอ! ขอโทษนะครับ ผมคงไม่ทันฟัง” ร่างบางรีบผละไปชงกาแฟ คังอินไม่ได้ติดใจเอาความอะไรหรอก เขาเห็นว่าคยูฮยอนเป็นแบบนี้ก็น่ารักดี เขานั่งมองฝ่ายนั้นชงกาแฟไปเรื่อยๆ ราวกับเป็นอาหารตา
“เริ่มปรับตัวกับบ้านใหม่ได้รึยัง” คังอินถามขึ้น คยูฮยอนที่ไม่ทันมีสมาธิฟังจึงทำหน้างง “ก็นายกับพวกพี่ๆ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เมื่อสองเดือนก่อนนี่เองใช่มั้ย เป็นยังไงบ้าง ชอบที่นี่มั้ย”
ร่างบางลอบถอนหายใจแล้วจึงตอบ “ครับ ชอบมากเลย คนที่นี่ใจดี...ชอบให้ทิปเวลามาที่ร้าน”
คังอินหัวเราะในลำคอ เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทำแบบนั้น หวังว่าคยูฮยอนคงจะนับรวมว่าเขาใจดีอย่างที่พูด
“พวกที่สถานีตำรวจดีใจมากเลยนะตอนที่ได้ข่าวว่ามีร้านกาแฟเปิดใหม่แถวนี้ เมื่อก่อนจะซื้อกาแฟทีก็ต้องเดินไกล ไม่งั้นก็ต้องกินกาแฟสำเร็จที่โรงพัก รสชาติห่วยยิ่งกว่าน้ำก๊อก ดีที่ร้านนายมาเปิดใกล้ๆ ช่วยชีวิตตำรวจได้หลายคนเลย”
คยูฮยอนหลบตาลงแล้วหัวเราะคิกคัก เขารู้สึกขัดเขินที่อีกฝ่ายมีอารมณ์ขัน ทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้เสียทุกครั้ง
“กาแฟครับ” เมื่อชงเสร็จ ร่างบางก็ยกมันขึ้นวางบนเคาน์เตอร์ คังอินยกขึ้นจิบ และมีสีหน้าพอใจ
“เช้านี้ดีจริงๆ เลยนะ ได้ดื่มกาแฟอร่อยๆ ได้นั่งมองคนน่ารัก...”
คยูฮยอนเก็บรอยยิ้มเอาไว้ เขาแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้น “แล้วเช้าวันอื่นๆ มัวแต่ไปมองคนน่ารักที่ไหนล่ะครับถึงไม่มาที่ร้านเลย”
“ไม่ตื่นน่ะ...เข้าเวรดึกๆ ทุกวันเลย เนี่ย...คิดอยู่ว่าอยากได้บาริสต้าประจำตัวไปไว้ที่โรงพักจัง”
ร่างบางตัดสินใจว่าจะเลิกต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย เพราะพูดอะไรไปก็โดนหยอดคำหวาน ใจอ่อนจนสู้ไม่ได้เสียที คิดแล้วก็หันหน้าเข้าเครื่องทำวาฟเฟิล แกล้งยุ่งอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจร่างสูงอีก
“หอมจัง...” คังอินพูดขึ้น และยิ้มบางๆ “ไม่รู้กลิ่นขนมหรือกลิ่นน้ำหอมใครแถวนี้ น่ากินชะมัด”
“พี่คังอิน!” คยูฮยอนอดไม่ได้ที่จะหันมาแหวใส่ แต่พอสบตากัน ร่างบางก็เขินจนต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน คนอะไรพูดจาเอาแต่ได้ คยูฮยอนเกลียดการโดนลวนลามด้วยคำพูดเป็นที่สุด นี่ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบ...คงไล่ออกจากร้านไปแล้ว
“พี่ไม่ได้แซวนะ อาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอมของฮีชอลก็ได้”
“พี่ฮีชอลไม่อยู่ครับ พี่ทงเฮก็ยังไม่ตื่น...” คยูฮยอนหันกลับไปแงะวาฟเฟิลออกจากเตา คังอินชะโงกหน้ามองอย่างสนใจ คยูฮยอนรู้ว่าถูกจ้องจึงเริ่มประหม่าและวางตัวไม่ถูก ครู่หนึ่งเขาก็ตื่นเต้นจนโดนเตาวาฟเฟิลลวกมือ
“เป็นอะไรรึเปล่า” ร่างสูงลุกขึ้นและเดินอ้อมมาดูอาการ
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร แค่ร้อนๆ แล้วก็...” ไม่ทันได้เล่าอาการจนจบ อีกฝ่ายก็คว้ามือเขาไปพิจารณาดู คยูฮยอนยืนตัวแข็งมองการกระทำของคังอิน ตอนนี้ใบหน้าของเขาร้อนยิ่งกว่าเตาวาฟเฟิลเสียอีก
“ระวังหน่อยสิ” คังอินพูดพลางปล่อยมือนั้นลง คยูฮยอนหลบสายตาเขา และเดินหนีไปที่มุมล้างแก้ว
คังอินใช้เวลานี้มองสำรวจเคาน์เตอร์และอุปกรณ์ชงกาแฟที่เรียงรายอยู่ ทุกอย่างจัดอย่างสวยงามและพรั่งพร้อมจนเขานึกสงสัย
“ทำไมนายกับพี่ๆ ถึงเปิดร้านกาแฟล่ะ เมื่อก่อนทำอะไรเหรอ”
“ทำไมน่ะเหรอครับ” คยูฮยอนหันมาด้วยท่าทางตกใจ แต่แล้วก็พยายามพูดเสียงเรียบ “คือ...เราสามคนเคยทำงานในร้านกาแฟตอนอยู่ที่เมืองอื่นน่ะครับ ลุงเจ้าของร้านรักเราเหมือนลูก พอท่านจะเลิกกิจการ...พี่ฮีชอลก็เลยขอซื้อทุกอย่างต่อ แล้วก็ยึดเป็นอาชีพหลัก เปิดร้านกาแฟในทุกเมืองที่เราย้ายมาอยู่”
“พูดเหมือนย้ายที่อยู่บ่อย” คังอินเปรย
“ก็คงจะอย่างนั้นแหละครับ ค่อนข้างบ่อยทีเดียว” พูดจบก็เดินกลับไปเตรียมวาฟเฟิลใส่จาน หยิบน้ำผึ้งมาราดพร้อมด้วยวิปปิ้งครีมและเกล็ดอัลมอนด์ เขายกมันมาให้ร่างสูงดู “ถ้ายังไม่ได้ทานอะไรเป็นมื้อเช้าล่ะก็...ผมเสนอวาฟเฟิลจานนี้ให้ฟรีๆ พี่คังอินจะได้มีแรงไปจับขโมยไงครับ”
คังอินยิ้มและรับไป “ขอบใจมากนะ แต่ขโมยที่พี่หมายตามันไม่เคยทำงานตอนกลางวันเลยน่ะสิ”
“เหรอครับ” คยูฮยอนหน้าเจื่อน เขามองร่างสูงที่เอาจานวาฟเฟิลเดินอ้อมกลับไปนั่งกินที่เคาน์เตอร์ด้านนอก เขานึกอยากลองถาม เผื่อจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร “พี่คังอินทำคดีโจรกรรมวัตถุโบราณอยู่ใช่มั้ยครับ คือ...ผมได้ยินที่สารวัตรพูดวันนั้น เรื่องของที่หายไปจากพิพิธภัณฑ์”
“ใช่ มันน่าแปลกที่จู่ๆ เมื่อเดือนก่อนก็เกิดการโจรกรรมในเมืองนี้ สมบัติล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์หายไป 3 ชิ้นจาก 2 แห่ง แล้วก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ทั้งที่พวกมันก็ออกหมายเตือนก่อนจะขโมยทุกครั้ง”
“จริงเหรอครับ ทำไมพวกขโมยต้องทำแบบนั้นด้วย” คยูฮยอนโพล่งถามอย่างแสร้งว่าแปลกใจ
คังอินพยักหน้าคล้อยตาม “นั่นสิ พี่ก็คิดอยู่เหมือนกัน คงอยากท้าทายตำรวจ ไม่ก็พิสูจน์ความสามารถของตัวเองล่ะมั้ง แต่พวกมันก็เก่งจริง...ฉกของได้เร็วจนตามไม่ทันเลยล่ะ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลยนอกจากรูปรอยเท้าเล็กๆ บนบัตร เห็นทีไรก็เจ็บใจว่าพวกมันทำงานสำเร็จโดยที่ตำรวจยังไม่ทันตั้งตัวเลย”
“รอยเท้า?” คยูฮยอนทวนคำ
“อืม รอยเท้าแมว เพราะพวกมันใช้ชื่อในการโจรกรรมว่า Cats’ แล้วพวกมันก็...” พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคยูฮยอนมองเขาอย่างสนใจกับเรื่องที่เล่า แววตาใสซื่อนั้นเป็นประกายวิบวับจนน่าแปลก “คยูชอบเรื่องนี้เหรอ”
“เอ่อ...ครับ น่าสนใจดี เรื่องแมว...”
“แมวก็น่ารักดีตราบใดที่มันไม่ขโมยของ” คังอินแค่นหัวเราะ เขาก้มลงกินวาฟเฟิลโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของคยูฮยอน “วาฟเฟิลอร่อยจังนะ ของอร่อยแบบนี้ไม่จ่ายเงินคงไม่ได้”
คยูฮยอนยิ้มบางๆ เขาสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของฝ่ายนั้นมีวิปปิ้งครีมเลอะติด ดวงตากลมโตจับจ้องอย่างพอใจ คังอินไม่รู้ตัวสักนิด เขายังคงสนใจวาฟเฟิลในจาน ไม่ทันสังเกตว่าแมวบางตัวที่ยืนอยู่ตรงนั้นกำลังตวัดลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง
.
.
.
คยูฮยอนวางมือจากการเครื่องต้มกาแฟแล้วหยิบกรอบรูปเล็กๆ ขึ้นมาดู ตอนนั้นเขายังเด็กมาก อายุประมาณ 13 ปีเห็นจะได้ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมานานร่วม 8 ปีแล้ว พวกเขาสามพี่น้องผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะจนแทบจำไม่ได้ แต่ก็มีคุณค่าเสียจนไม่อยากจะลืม
เขายกมือแตะข้างแก้ม จุดที่จำได้ว่าเคยถูกฮีชอลตบ ร่างบางลอบยิ้มเพราะนึกถึงสัญญาที่พี่เคยให้ไว้ ฮีชอลทำได้จริงอย่างที่พูด เพราะจากวันนั้น...ฮีชอลก็ไม่ยอมให้ใครทำร้ายคยูฮยอนอีก ราวกับเป็นคำมั่นว่าตราบใดที่ฮีชอลยังอยู่ตรงนี้ คยูฮยอนจะรู้สึกปลอดภัยเสมอ เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่ยอมเรียกฮีชอลว่า ‘พี่’ ฝ่ายนั้นก็ดีใจจนแทบร้องไห้
นอกจากพ่อแม่แล้ว คยูฮยอนยอมรับว่าคนที่รักเขายังมีอยู่อีก 2 คน และทั้งสองทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นมาได้ เป็นทั้งชีวิตและกำลังใจ ทำให้กล้าเผชิญกับโลกที่แสนโหดร้าย เขาสัญญากับตัวเองแต่นั้นว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อพี่ฮีชอลกับพี่ทงเฮ และทำในสิ่งที่พี่ๆ บอกเพื่อตอบแทนความรัก ความอบอุ่นที่ทุ่มเทให้เขาเสมอมา
“พี่จะออกไปข้างนอกนะคยู ถ้าทงเฮตื่นแล้วก็ฝากบอกด้วยว่าอย่าลืมซ่อมเครื่องกรองน้ำ” ฮีชอลเดินออกมาจากห้อง คยูฮยอนจึงรีบเก็บกรอบรูปนั้นใส่ลิ้นชัก
“ครับ ว่าแต่พี่ฮีชอลจะไปไหนเหรอ” คยูฮยอนเอ่ยปากถาม เพราะวันนี้ไม่มีรายการของต้องซื้อ
“ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์...”
คยูฮยอนใจหาย แต่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่นานนักฮีชอลคงเจอของที่ต้องการขโมย และเขาก็ต้องกลายเป็นแมวขโมย ทำหน้าที่โจรกรรมวัตถุโบราณเหมือนอย่างเคย แม้จะไม่ชอบนัก แต่คยูฮยอนก็จำต้องทำ
ฮีชอลออกไปจากร้านแล้ว คยูฮยอนหยิบแก้วกาแฟมาเช็ดแก้อาการฟุ้งซ่าน เขาพยายามจะไม่นึกถึงเหตุการณ์โจรกรรมครั้งที่ผ่านๆ มา เขาไม่สบายใจนักโดยเพราะงานโจรกรรมที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ และต้องต่อกรกับตำรวจท้องที่บางคน
เสียงกระดิ่งลมที่ประตูดังกรุ๊งกริ๊ง คยูฮยอนรู้ว่ามีลูกค้ามา เขายืดตัวขึ้นและยิ้มรอท่า
“เช้านี้รับอะไรดีครับ” เมื่อพูดออกไปแล้วจึงค่อยมองหน้าลูกค้าที่เดินเข้ามา
“เหมือนเดิมแล้วกันนะ” คยูฮยอนตกใจที่เห็นคังอินส่งยิ้มให้ เขาช็อคจนพูดอะไรไม่ออก อีกฝ่ายจึงมองอย่างงุนงง “อ้าว...เป็นอะไรไป”
“เปล่าครับ” ร่างบางรีบก้มหน้าเช็ดเคาน์เตอร์ จากนั้นก็หยิบนู้นหยิบนี่เก็บจนมั่วไปหมด คังอินเห็นท่าทางนั้นจึงยิ้มและนั่งลงหน้าเคาน์เตอร์ ชะโงกมองสิ่งที่คยูฮยอนกำลังทำอย่างเงียบๆ
“เพิ่งเปิดร้าน คงกำลังยุ่ง พี่ไม่น่ามาตอนนี้เลยนะ”
“เปล่านะครับ! ไม่ยุ่งเลยซักนิด พี่คังอินจะรับอะไรดีครับ สั่งได้เลยนะ”
ได้ยินดังนั้นคังอินก็หัวเราะ “สั่งไปแล้ว นายไม่ได้ฟังเหรอ พี่เอาเอสเปรสโซ่ร้อนเหมือนเดิมไง”
“จริงเหรอ! ขอโทษนะครับ ผมคงไม่ทันฟัง” ร่างบางรีบผละไปชงกาแฟ คังอินไม่ได้ติดใจเอาความอะไรหรอก เขาเห็นว่าคยูฮยอนเป็นแบบนี้ก็น่ารักดี เขานั่งมองฝ่ายนั้นชงกาแฟไปเรื่อยๆ ราวกับเป็นอาหารตา
“เริ่มปรับตัวกับบ้านใหม่ได้รึยัง” คังอินถามขึ้น คยูฮยอนที่ไม่ทันมีสมาธิฟังจึงทำหน้างง “ก็นายกับพวกพี่ๆ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เมื่อสองเดือนก่อนนี่เองใช่มั้ย เป็นยังไงบ้าง ชอบที่นี่มั้ย”
ร่างบางลอบถอนหายใจแล้วจึงตอบ “ครับ ชอบมากเลย คนที่นี่ใจดี...ชอบให้ทิปเวลามาที่ร้าน”
คังอินหัวเราะในลำคอ เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทำแบบนั้น หวังว่าคยูฮยอนคงจะนับรวมว่าเขาใจดีอย่างที่พูด
“พวกที่สถานีตำรวจดีใจมากเลยนะตอนที่ได้ข่าวว่ามีร้านกาแฟเปิดใหม่แถวนี้ เมื่อก่อนจะซื้อกาแฟทีก็ต้องเดินไกล ไม่งั้นก็ต้องกินกาแฟสำเร็จที่โรงพัก รสชาติห่วยยิ่งกว่าน้ำก๊อก ดีที่ร้านนายมาเปิดใกล้ๆ ช่วยชีวิตตำรวจได้หลายคนเลย”
คยูฮยอนหลบตาลงแล้วหัวเราะคิกคัก เขารู้สึกขัดเขินที่อีกฝ่ายมีอารมณ์ขัน ทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้เสียทุกครั้ง
“กาแฟครับ” เมื่อชงเสร็จ ร่างบางก็ยกมันขึ้นวางบนเคาน์เตอร์ คังอินยกขึ้นจิบ และมีสีหน้าพอใจ
“เช้านี้ดีจริงๆ เลยนะ ได้ดื่มกาแฟอร่อยๆ ได้นั่งมองคนน่ารัก...”
คยูฮยอนเก็บรอยยิ้มเอาไว้ เขาแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้น “แล้วเช้าวันอื่นๆ มัวแต่ไปมองคนน่ารักที่ไหนล่ะครับถึงไม่มาที่ร้านเลย”
“ไม่ตื่นน่ะ...เข้าเวรดึกๆ ทุกวันเลย เนี่ย...คิดอยู่ว่าอยากได้บาริสต้าประจำตัวไปไว้ที่โรงพักจัง”
ร่างบางตัดสินใจว่าจะเลิกต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย เพราะพูดอะไรไปก็โดนหยอดคำหวาน ใจอ่อนจนสู้ไม่ได้เสียที คิดแล้วก็หันหน้าเข้าเครื่องทำวาฟเฟิล แกล้งยุ่งอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจร่างสูงอีก
“หอมจัง...” คังอินพูดขึ้น และยิ้มบางๆ “ไม่รู้กลิ่นขนมหรือกลิ่นน้ำหอมใครแถวนี้ น่ากินชะมัด”
“พี่คังอิน!” คยูฮยอนอดไม่ได้ที่จะหันมาแหวใส่ แต่พอสบตากัน ร่างบางก็เขินจนต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน คนอะไรพูดจาเอาแต่ได้ คยูฮยอนเกลียดการโดนลวนลามด้วยคำพูดเป็นที่สุด นี่ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบ...คงไล่ออกจากร้านไปแล้ว
“พี่ไม่ได้แซวนะ อาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอมของฮีชอลก็ได้”
“พี่ฮีชอลไม่อยู่ครับ พี่ทงเฮก็ยังไม่ตื่น...” คยูฮยอนหันกลับไปแงะวาฟเฟิลออกจากเตา คังอินชะโงกหน้ามองอย่างสนใจ คยูฮยอนรู้ว่าถูกจ้องจึงเริ่มประหม่าและวางตัวไม่ถูก ครู่หนึ่งเขาก็ตื่นเต้นจนโดนเตาวาฟเฟิลลวกมือ
“เป็นอะไรรึเปล่า” ร่างสูงลุกขึ้นและเดินอ้อมมาดูอาการ
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร แค่ร้อนๆ แล้วก็...” ไม่ทันได้เล่าอาการจนจบ อีกฝ่ายก็คว้ามือเขาไปพิจารณาดู คยูฮยอนยืนตัวแข็งมองการกระทำของคังอิน ตอนนี้ใบหน้าของเขาร้อนยิ่งกว่าเตาวาฟเฟิลเสียอีก
“ระวังหน่อยสิ” คังอินพูดพลางปล่อยมือนั้นลง คยูฮยอนหลบสายตาเขา และเดินหนีไปที่มุมล้างแก้ว
คังอินใช้เวลานี้มองสำรวจเคาน์เตอร์และอุปกรณ์ชงกาแฟที่เรียงรายอยู่ ทุกอย่างจัดอย่างสวยงามและพรั่งพร้อมจนเขานึกสงสัย
“ทำไมนายกับพี่ๆ ถึงเปิดร้านกาแฟล่ะ เมื่อก่อนทำอะไรเหรอ”
“ทำไมน่ะเหรอครับ” คยูฮยอนหันมาด้วยท่าทางตกใจ แต่แล้วก็พยายามพูดเสียงเรียบ “คือ...เราสามคนเคยทำงานในร้านกาแฟตอนอยู่ที่เมืองอื่นน่ะครับ ลุงเจ้าของร้านรักเราเหมือนลูก พอท่านจะเลิกกิจการ...พี่ฮีชอลก็เลยขอซื้อทุกอย่างต่อ แล้วก็ยึดเป็นอาชีพหลัก เปิดร้านกาแฟในทุกเมืองที่เราย้ายมาอยู่”
“พูดเหมือนย้ายที่อยู่บ่อย” คังอินเปรย
“ก็คงจะอย่างนั้นแหละครับ ค่อนข้างบ่อยทีเดียว” พูดจบก็เดินกลับไปเตรียมวาฟเฟิลใส่จาน หยิบน้ำผึ้งมาราดพร้อมด้วยวิปปิ้งครีมและเกล็ดอัลมอนด์ เขายกมันมาให้ร่างสูงดู “ถ้ายังไม่ได้ทานอะไรเป็นมื้อเช้าล่ะก็...ผมเสนอวาฟเฟิลจานนี้ให้ฟรีๆ พี่คังอินจะได้มีแรงไปจับขโมยไงครับ”
คังอินยิ้มและรับไป “ขอบใจมากนะ แต่ขโมยที่พี่หมายตามันไม่เคยทำงานตอนกลางวันเลยน่ะสิ”
“เหรอครับ” คยูฮยอนหน้าเจื่อน เขามองร่างสูงที่เอาจานวาฟเฟิลเดินอ้อมกลับไปนั่งกินที่เคาน์เตอร์ด้านนอก เขานึกอยากลองถาม เผื่อจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร “พี่คังอินทำคดีโจรกรรมวัตถุโบราณอยู่ใช่มั้ยครับ คือ...ผมได้ยินที่สารวัตรพูดวันนั้น เรื่องของที่หายไปจากพิพิธภัณฑ์”
“ใช่ มันน่าแปลกที่จู่ๆ เมื่อเดือนก่อนก็เกิดการโจรกรรมในเมืองนี้ สมบัติล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์หายไป 3 ชิ้นจาก 2 แห่ง แล้วก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ทั้งที่พวกมันก็ออกหมายเตือนก่อนจะขโมยทุกครั้ง”
“จริงเหรอครับ ทำไมพวกขโมยต้องทำแบบนั้นด้วย” คยูฮยอนโพล่งถามอย่างแสร้งว่าแปลกใจ
คังอินพยักหน้าคล้อยตาม “นั่นสิ พี่ก็คิดอยู่เหมือนกัน คงอยากท้าทายตำรวจ ไม่ก็พิสูจน์ความสามารถของตัวเองล่ะมั้ง แต่พวกมันก็เก่งจริง...ฉกของได้เร็วจนตามไม่ทันเลยล่ะ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลยนอกจากรูปรอยเท้าเล็กๆ บนบัตร เห็นทีไรก็เจ็บใจว่าพวกมันทำงานสำเร็จโดยที่ตำรวจยังไม่ทันตั้งตัวเลย”
“รอยเท้า?” คยูฮยอนทวนคำ
“อืม รอยเท้าแมว เพราะพวกมันใช้ชื่อในการโจรกรรมว่า Cats’ แล้วพวกมันก็...” พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคยูฮยอนมองเขาอย่างสนใจกับเรื่องที่เล่า แววตาใสซื่อนั้นเป็นประกายวิบวับจนน่าแปลก “คยูชอบเรื่องนี้เหรอ”
“เอ่อ...ครับ น่าสนใจดี เรื่องแมว...”
“แมวก็น่ารักดีตราบใดที่มันไม่ขโมยของ” คังอินแค่นหัวเราะ เขาก้มลงกินวาฟเฟิลโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของคยูฮยอน “วาฟเฟิลอร่อยจังนะ ของอร่อยแบบนี้ไม่จ่ายเงินคงไม่ได้”
คยูฮยอนยิ้มบางๆ เขาสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของฝ่ายนั้นมีวิปปิ้งครีมเลอะติด ดวงตากลมโตจับจ้องอย่างพอใจ คังอินไม่รู้ตัวสักนิด เขายังคงสนใจวาฟเฟิลในจาน ไม่ทันสังเกตว่าแมวบางตัวที่ยืนอยู่ตรงนั้นกำลังตวัดลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง
.
.
.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น