คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สายสัมพันธ์เลือด
ตอนที่ 7 สายสัมพันธ์เลือด
“ทิเบต!!??”ผมร้องอย่างตกใจเมื่อได้ยินว่าเป้าหมายที่พวกเราต้องมุ่งหน้าไปคือทิเบตซึ่งอยู่แทบเอเชียซึ่งผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าคาโรโร่เคยเหยียบไปในโซนเอเชียด้วย เขาเคยบอกว่ามีปัญหาเรื่องภาษาการพูดเลยไม่ชอบไปในที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ แถมด้วยวัฒนธรรมศาสนาที่แตกต่างทำให้ถูกต้อนรับแบบที่ไม่ค่อยดีนัก
“จริงสิ คีวิลไม่เคยไปที่ทิเบตใช่ไหม”เจรินถามพลางยิ้มแบบไม่ชอบมาพากล
“ปัญหาไม่ใช่เคยไปไม่ไป แต่เพราะฉันไม่คิดจะไปเหยียบเอเชีย ทั้งประวัติสำรอง ที่อยู่ ภาษา แทบทุกอย่างไม่มีอยู่เลยสักอย่าง”ผมยักไหล่เพราะก็อย่างที่พูดเพราะไม่คิดจะไปก็เลยไม่คิดจะเตรียมตัวไว้เลยสักนิด
“แล้วมาคุยว่าเคยไปมาแล้วทั่วโลก”เจรินเริ่มมองผมอย่างดูแคลนซึ่งเธอรู้ว่าจุดอ่อนของผมคือการไม่ชอบให้คนอื่นมาดูถูก
“คนเราก็ต้องมีข้อยกเว้นบ้างสิ”ผมเสริมเพราะเธอตีกว้างไปหน่อย อย่างแถวตะวันออกกลางก็เคยไปมาแล้วถึงจะเพียงแค่ครั้งเดียวก็เถอะ
“เรื่องประวัติที่จะใช้ผ่านเข้าประเทศไม่ต้องห่วงหรอก เราจะแอบเข้าไปกันด้วยเครื่องบินส่วนตัวเพราะตอนนี้ทางพวกฟรีเมนกับบาทหลวงขาวมาเวลคงกางตะข่ายดักรอพวกเราไว้หมดแล้ว อีกอย่างมีฉันนำทางไม่ต้องกลัวหรอก ฉันรู้เส้นทางที่ใช้เล็ดรอดเข้าได้ทุกประเทศแบบไม่ต้องผ่านด่านอะไรเลย”เจรินทุบอกอย่างมั่นใจ
“สมแล้วอยู่มานาน”และแล้วผมก็เห็นประโยชน์ของการอยู่ในนานเป็นไดโนเสารุ่นทวดของเจรินจนได้
“ว่าแต่เธอมีด้วยเหรอ ไอ้เครื่องบินส่วนตัวนะ........ถ้าจำไม่ผิดเธอยังติดหนี้ทั้งกับธนาคารแล้วก็แมกดาเรียอยู่อีกตั้งหลายสิบล้านเลยนะ”แคลอรีนหันมาถามจนเจรินต้องเหงื่อตกและพูดเสียงต่ำๆ ออกมา
“เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยๆ หาเอา”
“.........เจรินไปทำอะไรมาเหรอ ทำไมถึงมีหนี้ท่วมหัวแบบนั้นล่ะ”ผมกระซิบถามกับแคลอรีนที่ดูท่าจะรู้ทุกอย่างของเจรินดี
“หล่อนเป็นพวกติดการพนันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขนาดเคยเสียพนันให้กับคาโรโร่จนต้องแก้ผ้าเดินกลับบ้านมาแล้วด้วยนะ”แคลอรีนกระซิบให้ฟังแต่เจรินก็หูดีจนต้องรีบหันมาร้องห้ามเอาไว้
“........แก่กะโหลกกะลาจริงๆ”ผมถอนหายใจก่อนจะเดินไปหาจีเวลเพื่อปรึกษาเรื่องเครื่องบินเพราะอย่างเธอคงหาให้ได้ไม่ยาก แต่เจรินก็ยังตามกัดผมไม่ปล่อย
“คีวิล พูดงี้หมายความว่าไงหา~~~”
“หนวกหูน่า ถ้าว่างมากก็ช่วยพาแคลอรีนไปซื้อของในเมืองหน่อยล่ะกัน เดี๋ยวพอหาเครื่องได้แล้วเราจะออกเดินทางกันเลย”ผมรู้ว่าแคลอรีนมาแบบตัวเปล่าเพราะเรื่องชุลหุกเลยทำให้ลืมกระเป๋าทิ้งเอาไว้ และผมก็คิดว่าเธอจะทนใส่ชุดเดียวได้ตลอดทั้งเดือนหรอก
“จะบ้าเหรอหน้าที่คุ้มกันท่านแคลอรีนเป็นของนายนะ ถึงจะเป็นในถิ่นตัวเองก็เถอะมันก็ไม่ปลอดภัยหรอก”เจรินร้องว่าแต่มันก็จริงอย่างที่เธอพูดแถมยิ่งเป็นถิ่นของเราศัตรูก็ต้องรู้ว่าเราต้องกลับมาที่นี้แน่ แต่ระหว่างที่ผมกำลังปวดหัวที่ต้องทำทุกอย่างไปซะหมดแคลอรีนก็ช่วยเข้ามาจัดการให้
“ฉันไม่ไปไหนหรอก ว่าแต่เธอนั้นล่ะต้องไปซื้อของตามรายการนี้มาให้”แคลอรีนบอกพลางยื่นสมุดซึ่งเขียนรายการของที่อยากได้ไว้เต็มเล่ม
“เงินล่ะเจ้าค่ะ”เจรินรีบแบมือขอเงินซึ่งแคลอรีนยิ้มแบบเย็นชาใส่
“มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่ยอมให้เธอถือเงินให้ ใช้เงินตัวเองนั้นล่ะกลับมาแล้วฉันจะใช้คืนให้”แคลอรีนพูดดักทางไว้จนเจรินต้องทำหน้าเจ็บใจเดินกระทืบเท้าออกจากบ้านพักไป
“ถึงว่าทำงานที่แมกดาเรียให้มาทีไรไม่เคยได้รับค่าจ้างเลย”ผมพึ่งแก้ปริศนาคาใจออกได้อีกหนึ่งอย่าง
“แล้วคงเข้าใจแล้วสินะว่าทำไมเจรินถึงตามเธอติดเลย เพราะเธอเป็นตัวทำเงินที่ไม่เคยมีปากมีเสียเรื่องเงินด้วย”แคลอรีนเสริมให้ก่อนจะชี้ให้ไปที่จีเวลที่กำลังลงมาจากชั้นบนพอดี
และก็อย่างที่คิดไว้ตระกูลร่ำรวยเช่นนี้สำหรับเครื่องบินสักลำเป็นอะไรที่หาง่ายมาก แถมจีเวลเองก็ยังเก่งเรื่องการขับพาหนะทุกอย่างซะด้วยต่อให้เป็นเครื่องบินจัมโบ้ก็เถอะ แต่ปัญหาบางอย่างก็ยังไม่หมดไปหลังจากที่พวกเราตรวจดูแผนที่กันแล้วจึ่งพบว่าจากนี้ไปยังทิเบตต้องใช้เวลากว่า 15 ชั่วโมงเลยทีเดียวกว่าจะถึง ซึ่งระหว่างนั้นเราจะไม่สามารถลงจอดที่ไหนได้เลย
“น้ำมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ให้ฉันขับเครื่องคนเดียว 15 ชั่วโมงมีสิทธิ์โหม่งพสุธาได้นะ”จีเวลบอกเสร็จก็หันมามองหน้าผมราวกับเห็นผมเห็นนักบินมืออาชีพ
“แค่เรือยังพอไหว แต่เครื่องบินชาตินี้ฝันไปเถอะ”ผมรีบยกมือออกตัวไว้ก่อนจนจีเวลต้องหันไปมองแคลอรีนที่เป็นความหวังต่อไป
“คงไม่คิดว่าคนที่ตัวเท่าเด็กอายุ 13 อย่างฉันจะขับเครื่องบินได้หรอกนะ อ้อ แล้วไม่ต้องไปหวังกับเจรินหรอก แค่รถหล่อนยังขับไม่เป็นเลย”แคลอรีนบอกเสร็จพวกเราก็ต้องคิดหนักว่าจะหาใครมาเป็นนักบินให้อีกคนดี เฟอเมสเองก็ขับไม่ได้แน่แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะยังไปต่อกับพวกเราหรือเปล่า
“เฮ้ๆ พวกเราลืมใครไปหรือเปล่า”จีเวลทำท่านึกขึ้นได้ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“.......ให้ตายเถอะ ลืมเขาไปได้ไงนะ”ผมเองก็นึกออกแล้วและไม่อยากเชื่อเลยว่าจะลืมคนที่อยู่ใต้จมูกตัวเองไปได้
“ใครเหรอ??”แคลอรีนกระตุกเสื้อถาม
“ก็เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ แล้วก็หัวหน้าตระกูลซูเลย์มาเรสคนปัจจุบัน เคราน์ เออซองลากู ปีเซซาโร่ที่ 17 หรือพูดง่ายๆ ก็คือ พ่อของจีเวลนั้นล่ะ”ผมตอบโดยที่พึ่งนึกออกเหมือนกันว่าตั้งแต่มาที่นี้ก็หลายวันแล้วแต่ยังไม่ได้เจอหน้าเขาเลย
“ตอนนี้พ่อไม่อยู่ที่บ้านนี้หรอก แต่ไม่ต้องห่วงฉันมีวิธีตามตัวเขาแบบเร่งด่วน”จีเวลบอกพลางหยิบมือถือขึ้นมากดเหมือนกับส่งเมล์ไปหา แต่ท่าทางที่เธอยิ้มแบบมีเลสนัยตอนกดโทรศัพท์เล่นเอาผมใจคอไม่ค่อยดีเลย
และก็หน้าเหลือเชื่อที่เย็นวันนั้นเออซองลากูก็กลับมาถึงบ้านราวกับเหาะมาจากฟ้า เออซองลากู เป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบางแต่ถึงจะอายุเข้าวัย 40 แล้วแต่ใบหน้าก็ยังคงดูหนุ่มแน่นผิวเขาขาวซีดเหมือนกับผีดูดเลือดแถมเขี้ยวของเขาก็ยาวจนบางทีหลงคิดไปว่าคนนี้อาจมีเชื้อสายมาจากผีดูดเลือดจริงๆ ก็ได้ และก็น่าทึ่งมากที่เขาเป็นคนเดียวในตระกูลนักฆ่าที่มือไม่เคยเปื้อนเลือดเลย สาเหตุน่ะเหรอเพราะเขาเป็นคนกลัวเลือดอย่าแรงแค่เห็นก็เป็นลมแล้ว แต่สายเลือดนักฆ่าในตัวเขาก็ยังเข้มข้นอยู่ทุกวันนี้จึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่เลือดเย็นทำลายคู่แข่งมานักต่อนัก ทั้งขายอาวุธสงครามและจ้างวานฆ่าคนดังอีกนับไม่ถ้วน และยิ่งหลังจากที่ภรรยาเขาตายไปเขาจึ่งเร่งสะสมทรัพย์สินโดยไม่เลือกวิธีการเพื่อใช้สร้างเครือข่ายในการกำจัดพวกปีศาจจนถึงทุกวันนี้
“จีเวล!!?? ไอ้เวรที่ไหนมันทำลูกพ่อท้อง~~~”คำแรกที่เขาโผล่หน้าออกมาเล่นเอาทั้งผมกับแคลอรีนแทบสำลักน้ำชาที่ดื่มกันอยู่
“คีวิลค่ะ แถมบอกว่าจะไม่รับผิดชอบด้วย แงง~~~”เธอชี้นิ้วป้ายความผิดมาใส่ผมแบบหน้าด้านๆ แถมยังแกล้งร้องไห้ขึ้นมาอีกสงสัยเธอคงยังไม่หายแค้นผมเรื่องที่ทิ้งเธอไว้เมื่อคราวก่อนแน่ๆ
“คุณคีวิล~~~ ถ้าคุณเอ่ยปากอยากได้ลูกสาวผม ผมก็จะยกให้ทันทีอยู่แล้วแท้ๆ แต่เรื่องท้องก่อนแต่งนี้ผมรับไม่ได้~~~~”เออซองลากูร้องโหยหวนแต่เขาก็ยังคงให้ความเคารพผมอยู่มากไม่ใช่เพราะว่าผมอายุมากว่าพ่อของเขา แต่ว่าเพราะผมเป็นคนที่ช่วยให้ภรรยาเขาหลุดพ้นจากการสิงสู่ของพวกปีศาจ ถึงแม้สำหรับผมจะไม่คิดว่าการกระทำของตัวเองมันจะดีเลิศแบบที่พวกเขาคิดอยู่ก็ตามที
“เออซอง ต่อให้ฉันเมาจนไม่ได้สติ หรือนายยกสมบัติทั้งหมดมากองตรงหน้า.........แต่ยังก็ไม่มีวันไปยุ่งกะยายเด็กกะโปโลคนนี้เด็ดขาดจำไว้”ผมร้องว่ากลับอย่างฉุนขาด
“ใจร้าย~~~”จีเวลแกล้งทำมารยาร้องไห้หนักขึ้นจนเออซองลากูยังมามองผมอย่างพยาบาท
“ทำให้ลูกสาวที่แสนน่ารักของผมต้องร้องไห้ ยอมไม่ได้แล้ว”เออซองลากูเริ่มโกรธจัดจนคว้าปืนขึ้นมาถือไว้และผมก็รู้ล่ะว่านี้คือสิ่งที่จีเวลหวังไว้
“เลิกเล่นได้แล้วจีเวล เดี๋ยวพ่อเธอก็หลุดโลกไปอีกหรอก”ผมรีบดึงจีเวลขึ้นมากระซิบบอกก่อนที่เออซองจะเริ่มหลุดโลกไปจริงๆ
“งั้นต้องสัญญาก่อนว่าคราวนี้ห้ามทิ้งฉันไว้คนเดียวอีก”จีเวลชูนิ้วก้อยขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มเยาะเพราะเธอรู้ว่าผมไม่มีทางเลือก
“......ยายบ้า เอาก็ได้แต่อย่ามาเป็นตัวถ่วงนะ”ผมจำใจต้องสัญญาไป
“ไม่มีทาง อย่าลืมสิใครเป็นคนช่วยพวกนายเอาไว้ตั้งสองครั้งแล้วนะ”จีเวลรีบทวงบุญคุณแต่ก็อย่างที่เธอพูดจริงๆ ถ้าไม่ได้จีเวลผมก็คงตายไปแล้วสองรอบ
การเจรจากับเออซองลากูเป็นไปอย่างราบรื่นถึงเขาจะติดงานอยู่หลายแห่งแต่เมื่อถูกขอร้องจากจีเวลคนที่เป็นคนบ้าลูกสาวอย่างเขาจึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ลง และต้องยอมรับอีกเรื่องหนึ่งว่าการที่มีเออซองลากูมาร่วมเดินทางด้วยทำให้ผมอุ่นใจมาก เพราะถึงเขาจะยังไม่เคยฆ่าคนด้วยมือตัวเองมาก่อนแต่ฝีมือยิงปืนของเขาแม่นจนหาตัวจับยากเลยทีเดียว ปัญหาที่เหลืออยู่ตอนนี้จึ่งอยู่ที่ตัวเฟอเมสเท่านั้นว่าเขาจะสามารถก้าวผ่านความเศร้าแล้วมุ่งหน้าไปกับพวกเราได้ต่อหรือเปล่า
................................
ที่ตึกสาขาใหญ่ของแมกดาเรียในตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นแหล่งกบดาลของเปล่าปีศาจจากทั่วสารทิศไปแล้ว ผู้ที่ต่อต้านจะถูกฆ่าอย่างไม่ปราณีคนที่พอจะมีฝีมือหน่อยก็สามารถหนีไปได้บ้างแต่ส่วนใหญ่ก็ไปไม่ได้ไกล
แถมมาเวลยังจะวางตัวเป็นบาทหลวงขาวผู้นำสูงสุดของแมกดาเรียต่อไป ใช้ความน่าเชื่อถือของตัวเองหลอกคนอื่นๆ ถึงแม้จะมีข่าวลือเล็ดรอดออกไปถึงหูภายนอกบ้างแล้วแต่ก็ยังหาหลักฐานที่จะใช้ยืนยันไม่ได้ แถมมาเวลยังคอยระวังเรื่องการเรียกระดมพลโดยจะสั่งให้พวกโฮลี่ ไกด์ออกทำงานแต่หารู้ไมว่านั้นคือกับดักที่จะหลอกพวกโฮลี่ ไกด์ไปฆ่าทีล่ะคนๆ
“แผนของมาเวลดูเหมือนจะใช้กับโฮลี่ ไกด์ระดับไนท์ขึ้นไปไม่ได้นะ พวกมันจมูกไวมาก ไหวตัวจนหลบหนีจากสายตาพวกเราไปหมดแล้ว”
“พวกโฮลี่ ไกด์นะปล่อยมันไปเถอะ คราวนี้ขอเพียงเราเข้าถึงตัวแคลอรีนได้ทุกอย่างก็จบแล้ว”
“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ตอนนี้หล่อนเจอกับแกรนครูเซสแล้ว ถึงจะดูไม่เก่งกาจเหมือนคนก่อนก็เถอะ แต่อย่าพึ่งประมาทไปเชี่ยว”พวกแวนเดลฮาร์ดกำลังถกเถียงกันอยู่ในห้องมึดๆ กันเพียง 3 คน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนที่สี่เดินเข้ามาในห้อง
“......แล้วฟิซิโอ้ล่ะ”มาเวลเอ่ยถามขึ้นขณะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ
“ยังไม่ตาย แต่คงเสียตาไปข้างหนึ่ง ดีที่กระสุนไปทะลุไปถึงสมอง เท่าที่ดูอาการคงต้องพักไปอีกสักระยะ”เสียงหนึ่งตอบกลับมา
“งั้นแบบนี้ฉันก็ไม่ต้องหาร่างฟรีเมนใหม่ให้กับโอโนมุดแล้วสินะ”มาเวลพูดอย่างปัดรำคาญพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบทิ้งมาดบาทหลวงผู้ยิ้มอย่างอบอุ่นไปในทันที
“ถึงหามาเจ้าโอโนมุดมันก็ไม่ยอมหรอก เพราะนอกจากฟิซิโอ้เป็นร่างที่เข้ากับมันได้ดีที่สุดแล้ว พวกเรายังจำเป็นต้องใช้ความฉลาดของเขาอยู่อีกมาก.......แถมฟิซิโอ้กับโอโนมุดพวกนั้นมีสายใยความสัมพันธ์ที่เหนี่ยวแน่นแบบที่นายไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ว่าแต่เรื่องการหาสิ่งนั้นล่ะ ตกลงไปถึงไหนแล้ว”
“อ้อ เครื่องประดับของพวกแกใช่ไหม”มาเวลทำหน้าแบบพึ่งนึกออก
“ก็ถ้าไม่นับเหรียญแห่งราคะที่ถูกเก็บไว้กับศพของอัสวินแกรนครูเซสที่พวกเราหาเจอแล้ว ที่เหลืออีก 3 ชิ้นก็ถูกแยกกันเก็บไว้ในที่ต่างๆ เท่าที่รู้นะ ก็มีแหวนแห่งพลังที่แคลอรีนส่วมอยู่ติดตัวตลอดเวลา ก็ถ้าฆ่าเธอไม่ได้คงจะหาทางเอามาลำบาก ส่วนสร้อยคอแห่งอำนาจเห็นว่าเพราะไม่สามารถมีใครถือครองมันไว้ได้เลยถูกนำไปทิ้งไว้ที่ก้นทะเลแต่ตอนนี้กำลังให้คนกู้มันขึ้นมาให้อยู่ อันสุดท้ายที่พวกนายเรียกว่าปากกากระดูกแห่งซะตากรรม ถึงตอนนี้เท่าที่รู้มันหายสาบสูญไปแล้วเราตามรอยมันมาได้ถึงเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนจากผู้ครอบครองคนสุดท้ายหลังจากนั้นเหมือนกับว่ามันหายไปซะเฉยๆ ไม่มีใครรู้ว่ามันถูกซ่อนหรือเก็บไว้ที่ใคร”มาเวลพูดจบพวกแวนเดลฮาร์ดก็ทำเสียงหึมๆ เหมือนกับหนักใจที่ยังไม่สามารถหาของที่ต้องการกลับคืนมาได้
“แล้วพานบรรจุปัญญาล่ะ ได้ข่าวของมันบ้างไหม”
“พานบรรจุปัญญา.........ไม่รู้เหมือนกัน แม้แต่ในพระคัมภีร์เองก็มีเขียนถึงแค่ 4 อย่าง ไม่เคยมีบันทึกเกี่ยวกับ พาน ที่ว่าเลย”มาเวลยักไหล่แบบจบปัญญา
“มันต้องมีอยู่แน่ๆ มันเป็นของซีราวู ถึงมันจะไม่ยอมร่วมมือกับพวกเราก็เถอะ แต่ถ้าเราได้พานบรรจุปัญญามาครอบครองไว้มันจะยิ่งช่วยเพิ่มอำนาจพลังให้กับเรามากขึ้น”
“ถ้างั้นคงต้องไปหาซีราวูที่ว่านั้นแล้วล่ะ เพราะแบบนี้คงอยู่กับเจ้าตัวเขาแล้วล่ะมั่ง”เมเวลบอกแต่พวกแวนเดลฮาร์ดไม่คิดแบบนั้น
“ซีราวูเองก็เหมือนกับพวกเราถูกแกรนครูเซสแย่งเอาเครื่องมือสื่อพลังไป เพราะงั้นในสงครามครั้งที่สองซีราวูถึงไม่ยอมเข้าร่วมด้วย”
“.......งั้นก็พอดีเลย ท่านผู้นั้นที่พึ่งตื่นขึ้นมาได้มอบหมายงานใหม่ให้พวกนายพอดี ไม่แน่ว่าอาจจะได้เบาะแสอะไรจากงานนี้ก็ได้”มาเวลบอกพร้อมกับโยนซองเอกสารไว้บนโต๊ะ
“งานอะไร??”
“ไปตามฆ่าแคลอรีนน่ะสิ เป้าหมายกำลังมุ่งหน้าไปที่ทิเบต”มาเวลร้องบอกด้วยแววตาลุกวาวเพราะตราบใดแคลอรีนยังไม่ตายเขาเองก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้สนิท
“........งานนี้ข้าทำเอง”เสียงแวนเดลฮาร์ดคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับดึงซองเอกสารไปถือไว้และลุกขึ้นเดินออกจากห้องมา
“ฝากด้วยล่ะ อย่างไงคนที่ได้เครื่องมือสื่อพลังกลับคืนมาแล้วอย่างเธอก็เหมาะสมกับงานนี้ที่สุดแล้ว”แวนเดลฮาร์ดอีกคนบอก
“แน่นอน ข้ารัฟเรเซียนิ้วนางของซาตาน ศิลปินผู้หยิบยื่นเหรียญแห่งราคะ จะเป็นคนฆ่าตัวแทนของพระเจ้าเอง”เสียงตอบนั้นจากเสียงผู้หญิงก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเสียงนุ่มลึกของมาเวลและทันทีที่รัฟเรเซียหันหน้ากลับมาทั้งรูปร่างหน้าตาก็กลายเป็นของมาเวลที่นั่งมองอย่างตกตะลึงกับปีศาจที่แปลงโฉมได้เหมือนเขาทุกระเบียดนิ้ว
“อย่าลืมเอาแหวนแห่งพลังที่อยู่กับหล่อนมาคืนให้ข้าด้วยล่ะ”เสียงแวนเดลฮาร์ดที่แทบไม่พูดเลยเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะดังกึกก้อง
“แล้วจะแถมนิ้วของแคลอรีนมาเป็นของฝากให้ด้วย”รัฟเรเซียพูดจบก็ปิดประตูตามหลังดังโครมในห้องจึ่งกลับมาสู่ความมืดมิดอีกครั้งเหลือเพียงไฟจากบุหรี่ที่ส่องแสงวูบๆ ที่อยู่บนปากที่แสยะยิ้มกว้างของมาเวล
..................................
ทางด้านพวกคีวิลก็เตรียมตัวจะออกเดินทางกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนเออซองลากูจะถูกใจเจรินเป็นพิเศษทั้งๆ ที่ในสายตาของคีวิลเธอเป็นผู้หญิงที่แทบไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลยตั้งแต่หัวจรดเท้า
“คุณผู้หญิงเรียกผมว่า เออเซ่ ก็ได้นะครับ”เออซองลากูเริ่มเข้าไปทำการเอาอกเอาใจเจรินซึ่งก็ยิ้มรับเป็นอย่างดี
“.......ทำเรื่องหย่ากับสามีเก่าเรียบร้อยแล้วเหรอ”แคลอรีนเดินผ่านมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นเป็นการดักคอเจรินไว้เพราะหล่อนทำท่าจ้องตระคลุบเหยื่ออยู่ยิ่งรวยๆ แบบเออซองลากูด้วยแล้ว
“กรี๊ด~~ พูดอะไรนะแคลอรีนอีตานั้นฉันฟ้องหย่าจนหมดตัวไปตั้งนานแล้ว”เจรินรีบเข้ามาร้องว่าก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเออซองลากู
“แฮะๆ ยังโสดค่ะ เด็กคนนี้เขาล้อเล่น”เจรินรีบผลักให้แคลอรีนรีบเดินออกไปห่างๆ แต่แคลอรีนก็หันมามองอย่างยิ้มๆ ให้กับผมที่กำลังยืนอยู่หลังเออซองลากู
“ทำตัวแบบนี้ แม่ของจีเวลจะเสียใจเอานะ”ดูเหมือนคำพูดผมจะแทงใจเออซองลากูน่าดูเพราะเขาทรุดฮวบลงไปนั่งกอดเข่าร้องไห้ทันที
“นี่เลิกเล่นกันได้แล้ว รีบขนของไปขึ้นเครื่องเร็ว แล้วนี่มีใครขึ้นไปตามเฟอเมสยัง”จีเวลที่แต่งชุดนักบินเต็มยศอย่างกะกำลังจะออกไปรบวิ่งเข้ามาในบ้านและร้องโวยวายโหวกเหวกทันที
“ฉันไปตามเอง”ผมอาสาเพราะในฐานะที่ต้องดูแลเขาต่อจากคาโรโร่จึ่งไม่สมควรจะทิ้งไว้เฉยๆ แบบนี้ แต่ยังไม่ทันก้าวขึ้นบันไดไป เฟอเมสก็เดินลงมา แต่ชุดที่เขาส่วมอยู่เล่นเอาพวกเราทุกคนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน เพราะมันเป็นชุดบาทหลวงสีดำที่คาโรโร่ใส่อยู่ประจำ
“จะไปทิเบตเหรอ......ผมพอพูดภาษาพื้นเมืองที่นั้นได้”เฟอเมสบอก ในตอนนี้เขาดูสงบลงอย่างประหลาด และมีบางส่วนในตัวเฟอเมสที่ดันไปคลายกับคาโรโร่จนทำให้พวกเราต่างจ้องเขาแบบลืมตัว
“?? เป็นอะไรกันไปเหรอ”เฟอเมสถามเมื่อเห็นพวกเรายืนนิ่งไม่พูดอะไร
“ชุดนั้น.........”ผมชี้นิ้วไปที่ชุดแล้วถามอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“อืม ชุดของหลวงพ่อคาโรโร่ไง........ผมตัดสินใจแล้ว ต่อไปนี้ผมจะวางปืนและจะเดินตามรอยเท้าของท่านอย่างเต็มตัว อีกอย่างในแฟมิรี่ของพวกเราตอนนี้ยังไม่มีคนที่เก่งเรื่องบทสวดแบบจริงๆ จังๆ สักคนเลยไม่ใช่เหรอ”เฟอเมสบอกก่อนจะหยิบปืนของตัวเองออกมาและยื่นให้ผม
“ช่วยถือมันแทนผมด้วยนะ เพราะสักวัน........คุณอาจต้องใช้มันกับผมเหมือนกับที่ใช้กับท่านคาโรโร่”คำพูดของเฟอเมสยากจะบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไงกันแน่ ระหว่างไว้เนื้อเชื่อใจผมแบบเดียวกับคาโรโร่ หรือ ต้องการประชดสิ่งที่ผมทำลงไปเลยจะย้ำหัวตะปูให้ผมรู้สึกเจ็บยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไงผมก็รู้สึกโล่งอกที่เห็นเขาเดินต่อได้ด้วยตัวเอง
“เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”แคลอรีนเองก็คิดแบบนั้นเลยเดินมาสะกิดผมให้บอกทุกคนให้ออกเดินทางได้แล้ว
“ไปกันเถอะ ไปดูกันว่าคาโรโร่ทิ้งอะไรไว้ให้พวกเราที่ทิเบต”
และแล้วพวกเราก็มุ่งหน้า 15 ชั่วโมงสู่ทิเบต ระหว่างการเดินทางพวกเราต่างใช้เวลาอย่างเต็มที่โดยที่ผมได้ฟังเรื่องราวรายละเอียดของสงครามศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเติมจากปากของแคลอรีน ส่วนเจรินเองก็คอยใช้โน้ตบุ๊ตของเธอตามข่าวของโฮลี่ ไกด์คนอื่นๆ ที่ยังรอดอยู่ ที่ออกจะแปลกตาไปสักหน่อยก็คงเห็นจะเป็นเฟอเมสที่นั่งฝึกบทสอดอยู่คนเดียวตลอดเวลาถึงแคลอรีนจะมีคำแนะนำเยอะแยะที่พอสามารถจะสอนให้ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองเสียมากกว่า
“อีก 2 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ไม่งีบหน่อยเหรอ”จีเวลหันมาถามผมซึ่งตอนนี้เหลือเพียงผมกับเธอเท่านั้นที่ยังไม่หลับ
“กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นะ”ผมตอบเพราะยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งคิดหนักว่าสิ่งที่คาโรโร่ทิ้งไว้ให้มันคืออะไร
“........อาจารย์ ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”จีเวลเริ่มพูดแปลกๆ
“ปกติคนอย่างเธอชอบเค้นคอถามไม่ใช่เหรอ.........อยากยึกยักจะถามอะไรก็ถามเลย”
“........อาจารย์แน่ใจแล้วเหรอที่จะช่วยเธอ เอ่อ......แคลอรีนน่ะ”จีเวลก็คงกลัวผมโกรธที่ถามแบบนี้เลยพูดแบบเกรงใจเป็นพิเศษ
“ทุกวันนี้ฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่.........แต่ว่า ฉันรู้สึกว่ามันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่จะทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ อีกอย่างข้อความในจดหมายของคาโรโร่มันก็ทำให้ฉันคิดว่าอาจมีความหมายบางอย่างอยู่อย่างเช่นทำไมถ้าต้องการให้ฉันเป็นแค่บอดี้การ์ดก็ไม่น่าควรให้แคลอรีนเข้ามามีส่วนร่วมกับชีวิตฉันเลยในฐานะคนในแฟมิรี่ คงเข้าใจนะ มันเหมือนกับนายจ้างกับลูกจ้างนั้นล่ะ ทำงานโดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัวมันจะดีกว่าอยู่แล้ว.....แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งใด ถ้าฉันยังตามคุ้มครองแคลอรีนต่อไปพวกมันต้องโผล่มาอีกแน่ และนั้นก็จะช่วยให้ฉันล้างแค้นพวกมันได้ พวกฟรีเมนที่ก่อเรื่องขึ้นจนทำให้ฉันต้องยิงคาโรโร่”ผมพูดอย่างปกติแต่จีเวลคงดูออกว่าข้างในผมมันเดือดดาลแค่ไหนเธอเลยไม่ถามอะไรต่ออีก
“........ตอนนี้เธออาจจะยังไม่รู้ แต่ฉันรู้ดีที่สุดสาเหตุที่ทำให้พวกเรามาพบกัน วันเวลาที่ถูกหยุดไว้เมื่อตอนนั้นของฉันที่ตอนนี้กลับเริ่มเดินต่ออีกครั้ง........เพราะเธอสาบานไว้กับฉันแล้วว่าจะกลับมาเมื่อถึงเวลา........แกรนครูเซส”แคลอรีนที่แอบฟังคีวิลอยู่พอได้ยินก็ยิ้มจางๆ และพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงนอนต่อ
.........................
“เจริน เจริน ตื่นเถอะ”ผมเขย่าปลุกเจรินให้ตื่นขึ้นมาซึ่งเธอนอนน้ำลายยืดได้น่าเกลียดมาก
“อ่ะๆ อยู่ไหนกันแล้ว”เธอลุกขึ้นมาแบบสะลึมสะลือ
“ถึงที่เธอบอกแล้วแต่ไม่เห็นมีรันเวย์ที่จะใช้ลงจอดได้เลย”ผมรีบถามเพราะน้ำมันมันใกล้จะหมดแล้วแล้วจากบินวนดูหลายรอบ
“อ้อ รันเวย์ที่ใช้ลงน่ะเหรอ มันจะไปมีได้ไงล่ะ ไม่เห็นเหรอมันมีแต่ภูเขาแบบนี้อ่ะ”เจรินชี้ไปนอกหน้าต่างซึ่งอย่างที่เธอพูดจริงๆ มันเต็มไปด้วยเขาหาที่เรียบๆ ยาวๆ ไม่ได้เลย
“แล้วจะให้ลงจอดไงล่ะเฟ้ยแบบนี้”ผมเริ่มโมโหเพราะเหมือนโดนหลอกมาอย่างไงก็ไม่รู้
“ไม่ต้องห่วงๆ ฉันเตรียมไว้แล้ว”เจรินยิ้มบอกพลางโยนร่มชูชีพแจกให้กับทุกคน
“อย่าบอกนะว่า........”ผมชี้มาที่ร่มชูชีพในมือและไม่อยากจะเชื่อว่าหล่อนจะคิดวิธีได้สิ้นคิดแบบนี้
“ชัวร์.........เราจะโดดลงไป”เจรินพยักหน้าให้ก่อนจะเปิดประตูเครื่องออก
“เอ่อ ขอประทานโทษนะครับ แล้วเครื่องบินของผมล่ะ”เออซองลากูหันมาถามแบบพอมีความหวัง แต่เจรินกับตบไหล่ปลอบใจ
“ทำประกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“.........”พวกเรานิ่งเงียบเพื่อไว้อาลัยให้กับซะตากรรมของเครื่องบินลำนี้
“ฉันเริ่มอยากรู้แล้วสิ ว่าเธอใช้ชีวิตตลอดพันกว่าปีนี้มายังไง”ผมถามขณะออกมายืนอยู่ขอบประตูเครื่องเตรียมจะโดดลงไปเป็นคู่สุดท้ายพร้อมกับเจริน
“เชื่อเถอะ.........นายไม่อยากรู้แน่”เจรินตอบก่อนจะผลักผมโดดลงมาจากเครื่องพร้อมกัน
ทุกคนลงถึงพื้นได้ยากปลอดภัยและมองดูควันไฟที่เกิดขึ้นจากเครื่องบินที่พึ่งพุ่งลงโหม่งพื้นพวกเราต่างหวังว่ามันคงไม่ทิ่มหัวลงใส่หลังคาบ้านใครเข้า แต่เนื่องจากเจรินคำนวนผิดทำให้พวกเราลงผิดจุดต้องเสียเวลาเดินข้ามเขาเป็นลูกๆ เสียเวลาวันหนึ่งเพื่อไปยังเป้าหมาย
“หา~~~ วัดของพระลามะงั้นเหรอ”ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเจรินอธิบายถึงสถานที่ที่จะไปให้ฟัง
“ไม่ผิดแน่ ที่อยู่ที่คาโรโร่เขียนบอกฉันมันเป็นที่นั้นแน่”เจรินบอกขณะกลับมาจากการถามทางชาวบ้านระแวกนั้น
“แล้วเขาจะให้พวกเราเข้าไปเหรอ”เฟอเมสถามขึ้นเพราะเขาใส่ชุดบาทหลวงอยู่แบบนี้แค่ในหมู่บ้านก็มองเขาแบบแปลกๆ แล้ว
“ก็ต้องลองดู เดินไปอีก 10 นาทีก็น่าจะถึงแล้ว”เจรินยักไหล่ก่อนจะเดินนำทางไปเพราะมาถึงที่นี้แล้วไม่ไปต่อก็ไม่มีความหมายอะไร
แต่ระหว่างเดินกันไปผมจัดแจ้งให้แคลอรีนใช้ผ้าคลุมศีรษะและใบหน้าไว้ เพราะสีผมของเธอมันดูสะดุดตาไหนจะยังรูปร่างใบหน้าที่เหมือนกับตุ๊กตาตัวน้อยที่เรียกให้คนอื่นหันมาดูทุกครั้งที่เดินผ่านอีก
“ไม่ต้องห่วงหรอก คีวิล ตั้งแต่มาที่นี้ยังไม่รู้สึกถึงพวกปีศาจเลย”แคลอรีนบอกพลาจับมือผมไว้เพื่อให้หายกังวล
“กันไว้ก่อน ฉันไม่เคยไว้ใจอะไรทั้งนั้นล่ะ”ผมพูดอย่างที่คิดและเป็นคติประจำใจที่มองทุกอย่างตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงใครจะไปรู้ล่ะว่าอีกไม่กี่ก้าวข้างหน้าพวกเราอาจจะเป็นประตูนรกก็ได้ และสิ่งที่ผมคิดไว้ก็เกิดขึ้นเร็วเกินคาดเมื่อมีกลุ่มคนวิ่งออกมาจากซอกซอยสองข้างตรงมาล้อมพร้อมกับเรา และคนพวกนี้ท่าทางไม่น่าไว้ใจอย่างที่สุดก็เล่นใช้ผ้าปิดหน้าปิดตาไว้หมดเลย
“เขาถามว่าพวกเราเป็นใคร”เฟอเมสหันมาบอกหลังจากฟังพวกมันแหกปากโวยวายใส่
“บอกมันพวกเราเป็นแค่นักเดินทางมารับของที่เพื่อนคนหนึ่งทิ้งไว้ที่นี้ แล้วก็ช่วยบอกพวกมันไปต่อด้วยว่า ไม่ต้องตะโกนแหกปากเหมือนคนป่าก็ได้”แต่ถึงจะพูดไปแบบนั้นก็เชื่อได้เลยว่าเฟอเมสไม่ได้แปลประโยคหลังให้พวกมันฟังด้วยแน่ๆ ไม่งั้นพวกมันคงไม่ยอมยืนทนฟังแบบนี้หรอก
“โฮลี่ ไกด์........โฮลี่ ไกด์”พวกมันเริ่มเรียกพวกเราเบาๆ แถมพูดไม่ค่อยชัดอีกต่างหาก
“ใช่ พวกเราคือโฮลี่ ไกด์”ผมตอบเพราะพอเข้าใจว่าพวกมันกำลังจะสื่ออะไร พร้อมกับหยิบตาทาลอนที่เป็นสัญลักษณ์ของโฮลี่ ไกด์ให้มันดู
“โฮลี่ ไกด์ๆ”พวกมันเริ่มซุบซิบกันอย่างแตกตื่นจนมีคนหนึ่งเดินแหวกเข้ามาหา
“พวกคุณเป็นเพื่อนกับท่านคาโรโร่ใช่ไหม”เขาพูดภาษาเดียวกับพวกเราได้ โอ้ว ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ใช่ แล้วคุณคือ.........”ผมเดินออกไปเป็นตัวแทนยื่นมือไปจับทักทาย
“ผมชื่อ ฟา กุติ ท่านคาโรโร่ช่วยเหลือผมไว้หลายอย่าง จริงสิคุยกันที่นี้คงไม่สะดวกตามผมมาทางนี้ครับ”ฟา กุติรีบเดินนำทางพลางหันไปตะโกนบอกกับคนอื่นๆ จนมีบางส่วนแยกย้ายกันไปส่วนที่เหลือก็เดินตามหลังพวกเรามาพลางคอยอธิบายให้กับพวกชาวบ้านที่เดินเข้ามาถามด้วย
ฟา กุติเป็นหนุ่มผิวสีโกนหัวแบบพระแต่แต่งตัวแบบชาวบ้านทั่วไป ดวงตาเล็กยี่และตาดำเล็กเลยทำให้ดูเป็นคนที่ค่อนข้างน่ากลัวแต่การพูดการจาเขาเข้าหูเลยทีเดียว แขนขาใหญ่ขัดกับรูปร่างเล็กตันของเขา ในที่นี้ดูเหมือนฟา กุติจะเป็นเหมือนหัวหน้าหรือแกนนำของพวกที่โผกหน้าอยู่เพราะดูพวกมันฟังเขาทุกอย่างเลย
“ขออภัยด้วย แต่ผมคงพาพวกท่านเข้าไปทางหน้าวัดไม่ได้ พวกชาวบ้านไม่ชอบให้คนต่างชาติเข้าไปยุ่งที่วัดเท่าไร แต่ไม่ต้องห่วงผมจะพาเข้าทางด้านหลังเอง”ฟา กุติหันมาบอกพลางพาเดินอ้อมลัดเลาะมาตามเชิงเขาเรื่อยๆ ซึ่งวัดที่ว่าถูกสร้างไว้ที่ยอดเขาซึ่งอยู่สูงขึ้นไปอีก
“ของที่คาโรโร่ฝากไว้อยู่ที่วัดจริงๆ เหรอ”ผมถามเพราะคิดว่าฟา กุติน่าจะรู้เรื่องอยู่บ้าง
“ของ?? ผมไม่ทราบว่าของอะไร แต่ท่านคาโรโร่เคยบอกไว้ว่าถ้ามีโฮลี่ ไกด์มาที่นี้ ให้พาไปพบกับท่านเจ้าอาวาส บางทีพวกคุณต้องไปถามท่านดูแทนนะครับ”ฟา กุติบอกก่อนจะชี้ให้ดูบันไดที่คดเคี้ยวซึ่งพาไปสู่ยอดเขาแต่แค่เห็นพวกผมก็รู้สึกปวดขาขึ้นมาแล้ว และก็อย่างที่คิดไว้เพียงขึ้นมาได้ครึ่งทางแคลอรีนก็เริ่มออกอาการให้เห็น
“..........ขึ้นมาสิ”ผมนั่งย่องๆ ให้แคลอรีนขึ้นขี่หลัง
“อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็กๆ สิ”แคลอรีนพูดแบบไม่พอใจก่อนจะรีบเดินแซงหน้าผมไปแต่แค่ไม่กี่ขั้นเธอก็ทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
“ไม่ต้องฝืนหรอก ขึ้นมาเถอะ”ผมดึงแขนแคลอรีนขึ้นมาจนในที่สุดเธอก็ยอมขึ้นขี่หลังผมจนได้
“ไหวไหม”เฟอเมสหันมาถามพลางช่วยรับสัมภาระไปช่วยถือให้
“สบาย แต่ว่า.......แคลอรีนนี้หนักกว่าที่คิดแฮะ”ผมแกล้งแซวเล่นๆ ถึงแม้ตัวเธอจะเบาเท่าลูกแมวก็ตามทีแต่ก็ไม่วายจะทำให้เธอโมโหจนเขกหัวผมตลอดทางไม่ยอมหยุด
“สองคนนั้นเข้ากันได้เร็วจังเลยเนอะ”จีเวลเดินมาถามเจรินแต่เธอก็อมยิ้ม
“นั้นสิเนอะไม่รู้ทำไม”เจรินตอบแบบเป็นนัยๆ จนจีเวลต้องขมวดคิ้วแบบคิดหนัก
พอมาถึงที่แล้วพวกเราก็ต้องตกใจกับความละเอียดละออและความสวยงามของสิ่งปลูกสร้างด้านบนนี้ มันเป็นสิ่งที่ได้นำเอาวัฒนธรรมและความเชื่อมาผสมสร้างเป็นรูปแบบออกมาได้อย่างตระการตา แต่ระหว่างที่พวกเรากำลังชมกันเพลินตาอยู่ก็มีลุงแก่ๆ ในชุดนักบวชเดินเข้ามาหา
“ท่านผู้นี้คือ เจ้าอาวาสของวัดนี้ ชื่อ อี๋เฉิน”ฟา กุติรีบแนะนำพลางยกมือไหว้เจ้าอาวาสอย่างนอบน้อมจนทำให้พวกเราต้องทำตามเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
“........คนไหนที่ชื่อ คีวิล หรือ”เจ้าอาวาสเอ่ยถามแถมยังพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื้อ
“ผมเองครับ”
“........คาโรโร่เป็นคนดี เขาก็ชอบพูดเรื่องเธอให้ฟังอยู่บ่อยๆ”เจ้าอาวาสบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะแบมือมาที่ผม
“เขาบอกว่าหนี้ทั้งหมดของเขาให้มาเก็บที่เธอแนะ”จู่ๆ ก็มาเจอทวงหนี้ใส่แบบนี้ถึงจะเป็นผมก็เถอะก็ทำหน้าไม่ถูกเหมือนกันแต่เจรินกับแคลอรีนกลับหัวเราะคิกคักอยู่ข้างหลังแทน
“ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ พวกเจ้ามากันที่นี้ก็แปลว่าคาโรโร่คงตายไปแล้วใช่ไหมล่ะ........เอาเถอะในเมื่อตายไปแล้วก็ถือว่ายกหนี้กันไป พวกเจ้ามาตามสิจะมาเอาของที่คาโรโร่ทิ้งไว้ให้ไม่ใช่เหรอ”เจ้าอาวาสหัวเราะชอบใจเหมือนกับต้องการจะเห็นสีหน้าผมเมื่อกี้มากกว่า แต่ก็ยังดีที่เขาดูเป็นคนที่พูดจาเข้าใจง่ายไม่รีรอถ่วงเวลาพวกเราไว้กับรีบพาไปแทน
หลังจากเดินผ่านอาคารหลายแห่งพวกเราก็มาถึงที่ฟา กุติเรียกว่าเรือนรับรองแขกที่ซึ่งคาโรโร่เคยมาพักอาศัยอยู่ตอนมาที่นี้ มันอยู่ห่างจากอาคารอื่นค่อนข้างไกลและไม่มีลูกวัดคนไหนเข้ามาใกล้ด้วย เพราะข้างในไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นไม้เรียบๆ มีเพียงพระพุทธรูปสูงหลายเมตรตั้งอยู่ด้านใน
เจ้าอาวาสเดินเข้ามาจนถึงด้านหลังพระพุทธรูปและบอกให้ฟา กุติเปิดพื้นไม้ออก ซึ่งมีช่องลับลงไปข้างใต้ หลังจากเดินลงกันมาหลายเมตรพวกเราก็พบห้องใต้ดินที่กว้างเอาการ มันถูกกักไว้เป็นห้องๆ เหมือนเดินอยู่ในคอนโด ซึ่งฟา กุติมาอธิบายให้ฟังว่าคาโรโร่ใช้ที่นี้ในการค้นคว้าวิจัยอะไรบางอย่างอยู่ แต่ก่อนจะได้ฟังอะไรมากไปกว่านั้น เจ้าอาวาสก็หยุดเดินนำทางเพราะมาถึงห้องสุดท้ายที่อยู่ด้านในสุด
“.......ระวังตัวด้วย มีปีศาจอยู่ข้างใน”ผมรีบหันไปกระซิบบอกทุกคน ซึ่งดูเหมือนว่าแคลอรีนกับเจรินจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว
“ขอถามท่านเจ้าอาวาส อะไรอยู่ข้างหลังประตูนั้น”ผมร้องถามอย่างไม่กลัวเสียมารยาทเพราะมันเหมือนพวกเรากำลังถูกหลอกให้มาติดกับซะแล้ว
“........คงรู้สึกถึงสิ่งที่อยู่ข้างในประตูนี้ใช่ไหม......ไม่ต้องกลัวเพราะซะตากรรมอย่างไงก็ต้องทำให้พวกเจ้าต้องมาพบกันอยู่แล้ว”เจ้าอาวาสเริ่มพูดอะไรแปลกจนผมไม่เข้าใจ
“ทุกคนถอยไป เฟอเมสดูแลแคลอรีนด้วย”ผมร้องบอกพลางชักปืนออกมา
“ใจเย็นไว้ก่อนครับ”ฟา กุติรีบร้องห้ามแต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพวกใครกันแน่เลยหันปืนเล็งไปทางเขาด้วย
“ที่อยู่ข้างหลังประตูนี้คือของที่คาโรโร่ฝากให้เธอไม่ผิดหรอก อาตมาทำหน้าที่นำทางให้เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนจะเปิดเข้าไปดูเองหรือจะเดินกลับออกไปก็เป็นเรื่องที่พวกเจ้าต้องตัดสินใจแล้ว อาตมาขอตัว”เจ้าอาวาสบอกเสร็จก็เดินผ่านผมไปอย่างไม่หยี่หรา และคนแบบนี้ผมก็เคยเจอมาบ้างเลยรู้ว่าเขาไมได้พูดโกหกแน่เลยยอมลดปืนลง
“.........เปิดประตูดูเถอะคีวิล”แคลอรีนพยักหน้าบอกเพราะถึงตอนนี้แล้วก็น่าจะเสี่ยงดวงดูดีกว่ากลับออกไปมือเปล่า
“อืม...”ผมรับคำเพราะก็คิดแบบนั้น จะเป็นปีศาจหรืออะไรผมก็ไม่กลัวหรอก แต่ถ้ามีของที่คาโรโร่คิดว่าจะมีประโยชน์กับพวกเราทิ้งไว้ผมก็จะขอรับมันไป
มือของผมค่อยๆ ดันประตูออก มันเป็นประตูเหล็กที่ไม่มีกลอนหรือลูกบิดประตู แค่ผลักเบาๆ มันก็เปิดออกแล้วไม่เหมือนกับห้องที่ใช้เก็บของสำคัญที่ควรจะมีการใส่กุญแจให้ดูแน่นหนาเลย ผมชะงักมือไว้ก่อนจะผลักมันออกไปสุดบาน ปลายประสาทสัมผัสของผมได้เกิดการตอบสนองบางอย่างที่อยู่หลังประตูบานนี้ บางอย่างที่สันชาตญาณผมกำลังร้องบอกว่าอันตรายและควรถอยกลับออกมา แต่กลับเป็นหัวใจที่เต้นแรงอย่างลิงโลด รอยยิ้มแบบไร้สาเหตุผุดขึ้นมาบนใบหน้าผมเปลี่ยนให้กลายเป็นอีกคนทันที
“สวัสดี เจ้าผู้มีกรรม”เสียงปีศาจเอ่ยทักอย่างเย็นยะเยือก ปีศาจหนุ่มรูปงามในชุดสูทสีน้ำเงินสะอาดตากำลังนั่งไขว้ห้างอยู่บนเก้าอี้ที่เป็นของสิ่งเดียวที่อยู่ในห้องนั้น ดวงตาที่แหลมเสี้ยวจ้องมองมาอย่างเลือดเย็นพอๆ กับรอยยิ้มแสนชั่วร้ายบนใบหน้านั้น และต่อให้ต้องตายไปสักกี่ครั้งผมก็ไม่มีวันลืมสายตาคู่นี้กับสูทสีน้ำเงินของมันไปได้เด็ดขาด
“ซีราวู~~~~~”
..............................
ความคิดเห็น