ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    D&D (Devil & Demon)

    ลำดับตอนที่ #17 : แคลอรีน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 467
      0
      29 ม.ค. 50

    ตอนที่ 17 แคลอรีน


     

                    "......นะ นี่เกิดอะไรขึ้น!!??"จีวานนี่เอ่ยขึ้นขณะดันหินที่ทับตัวเองออกแต่พอจะลุกขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บไปทั้งตัวเพราะมีแผลใหญ่เจาะเป็นรูอยู่กลางอก


                   
    "จริงสิ เราถูกเจ้าราม่อนเล่นงานเอา........!!?? ท่านแคลอรีน"จีวานนี่นึกขึ้นได้ว่าชีวิตของแคลอรีนยังตกอยู่ในอันตรายเลยจะฝืนลุกขึ้นเพื่อออกตามหาแคลอรีนแต่ว่าพอเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ที่ซากประตูทางเข้าที่เหลือแต่โครงแล้ว


                   
    "สมกับเป็นโฮลี่ มาสเตอร์จริงๆ นะคะ โดนเข้าไปขนาดนั้นยังไม่ตายอีก"เสียงหญิงสาวร้องชมออกมา


                   
    "เธอ......คนที่มากับท่านแคลอรีน"จีวานนี่ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ใช่พวกฟรีเมนที่ย้อนกลับมาเจอเขา เพราะสภาพในตอนนี้เขาไม่สามารถจะต่อสู้หรือเอาตัวรอดได้แน่


                   
    "จีเวลค่ะ ให้ฉันช่วยนะ"จีเวลเดินเข้ามาสอดตัวพยุงปีกจีวานนี่แต่พอเข้ามาใกล้จีวานนี่ก็เห็นบาดแผลหลายแห่งตามตัวของจีเวลเหมือนพึ่งผ่านศึกหนักมาเหมือนกัน

                   

                    "เจอพวกฟรีเมนเล่นมาเหมือนกันเหรอ"จีวานนี่ถามแต่สายตาก็มองหาร่องลอยที่จะตามแคลอรีนไป


                   
    "ใช่......เจอผู้ถือเหรียญเข้า"จีเวลตอบซึ่งทำให้จีวานนี่แปลกใจอยู่ไม่น้อย


                   
    "แต่เธอก็รอดมาได้...กับผู้ถือเหรียญ ยิ่งกว่าเหลือเชื่ออีกนะ"จีวานนี่พูดพร้อมกับหยุดเดินเพราะเริ่มแน่ใจอะไรบางอย่างขึ้นมา


                   
    "แล้วใครว่าฉันรอดล่ะ......"จีเวลเอ่ยเบาๆ และวินาทีนั้นทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหวจนผ่านไปนับนาที ความเงียบที่กำลังบ่งบอกข้อความบางอย่างราวกับเป็นการสื่อสารของทั้งคู่ และพริบตานั้นแทนจะเอ่ยด้วยคำพูดใดทั้งคู่กับสะบัดตัวหันหน้าใส่กัน


                   
    จีวานนี่ฟาดสันมือเปล่าๆ ใส่ต้นคอเล็กๆ ของจีเวลโดยหวังจะหักคอเธอ ส่วนจีเวลก็ฉีกยิ้มกว้างขณะยิ้มเอาปังตอเล่มโตที่เหน็บอยู่ข้างหลังออกมาสะเหวี่ยงตรงเข้าใส่คอของจีวานนี่เหมือนกัน


                   
    เสียงดังบึ้กดังพร้อมกับเสียงกระดูกหักดังกร๊อบร่างของจีเวลกลิ้งขลุกไปกับพื้นก่อนจะพลิกตัวขึ้นมานั่งพลางยกแขนที่ยกมากันส้นมือของจีวานนี่ขึ้นมาดู ซึ่งตอนี้มันหักเป็นสองท่อนไปแล้ว แต่พอจีเวลยกอีกมือขึ้นมาปังตอในมือก็มีเลือดเปรอะอยู่เต็ม


                   
    "คิๆๆ หลุดเลย"จีเวลยิ้มอย่างวิปลาสขณะจ้องมองดูร่างอันไรหัวของจีวานนี่ โดยที่ส่วนหัวนั้นกำลังกลิ้งหมุนอยู่ที่พื้นข้างหน้าแทน


                   
    "......เอากลับบ้านล่ะนะ เพราะต่อให้แกคืนชีพได้กี่ครั้งแต่ถ้าส่วนสำคัญที่สุดของร่างกายอย่างเช่นหัวไม่อยู่แล้ว ก็ลาขาดล่ะ"จีเวลจิกหัวของจีวานนี่ขึ้นมาเดินแกว่งพร้อมกับฮัมเพลงอย่างสบายใจขณะเดินหายเข้าไปในความมืดที่ยิ่งวันจะยิ่งดำมืด


                                                                                   
    ..........................



                   
    เผละ เสียงเหมือนแตงโมโดนทุบแต่ฟังดูเคืองๆ หูหน่อยเพราะนั้นเป็นเสียงของสิ่งที่อยู่ภายในกะโหลกถูกบีบอัดอย่างแรงจนทะลักออกมา ด้วยค้อนปอนล์ที่ทุบหินทุบอิฐให้ละเอียดได้ มันคงไม่ยากไปท่าจะทำแบบนั้นกับหัวของคน


                   
    แต่ถึงเพียงแค่การลงค้อนครั้งแรกเจ้าปีศาจที่อยู่แทบเท้าผมมันจะแน่นิ่งไปแล้ว ทว่าดวงซวยของมันที่ดันเป็นปีศาจที่เหลือตัวสุดท้ายผมเลยยังลงมือทุบมันต่อราวกับกำลังนวดแป้งอยู่เพื่อระบายความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจ


                   
    "คะ คีวิล มันตายแล้วล่ะ"แคลอรีนเดินมากระตุกเสื้อผมเบาๆ และน้ำเสียงของเธอก็แสดงถึงความหวาดกลัวผมอยู่ด้วย ก็ไม่แปลกล่ะเพราะตอนนี้ทั้งตัวผมอาบไปด้วยน้ำเหมือนเดินตากฝนมา


                   
    "......เอ่อ ก็ว่างั้นล่ะ"ผมหยุดมือพลางหันไปมองข้างหลังตัวเองที่ตอนนี้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่มีศพนอนเกลื้อน ถึงแม้ลึกๆ ในใจของผมจะรู้สึกสะใจและสาสมเหมือนกับได้ชำระแค้นบ้างส่วนออกไป ทว่าน้ำตาของผมกับไหลเป็นทางทั้งๆ ที่ไม่มีความเศร้าเจือปนอยู่ในความรู้สึกณ.วินาทีนั้นเลย


                   
    แต่ว่าบางอย่างมันกำลังร่ำร้องบอกถึงชีวิตบริสุทธิ์ที่พึ่งดับสูญไปอีกหลายร้อยคน การสูญเสียจุดเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกในขณะที่โลกหมุนไปจะมีคนตายรายหัวแบบนับวินาที ทว่าวินาทีนั้นผมก็ได้ประจักษ์แล้วว่าน้ำตาเหล่านี้มันมาจากความโศกเศร้าของคนที่ผมได้ฆ่าไป


                   
    "....เธอคงจะยังไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองคือ แกรนครูเซส แต่น้ำตานั้นคือสิ่งพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี.......ชายที่ต้องแบกความทุกข์ของโลกไปพร้อมกับย่างก้าวสั้นๆ ของตัวเอง แต่ว่า.....ไม่ใช่ วิธีการแบบนี้ไม่ใช่แกรนครูเซสที่ฉันรู้จัก ความโหดเหี้ยมที่ไร้นโมธรรม ความดิบเถื่อนที่แม้แต่ปีศาจยังต้องหวาดกลัว"แคลอรีนจ้องหน้าของคีวิลด้วยใจที่สับสนหวาดหวั่นไม่มั่นคงดังเดิม ในสายตาของเธอตอนนี้คีวิลเปลี่ยนดังปีศาจจำแลง


                   
    แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือตอนที่คีวิลหันมาเห็นสายตานั้นของแคลอรีน ใจเขาเจ็บปวดจนแทบแตกสลายถึงแม้ตัวเองจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ แต่ตัวตนอีกคนในตัวเขากำลังเสียใจอยู่


                   
    "อย่าสิ เราตัดสินใจแล้ว เราเลือกเส้นทางนี้ เราจะต้องเข้มแข็ง เราจะพลาดไม่ได้ เราต้องอยู่รอด ใช่อยู่รอดต่อไปเพื่อฆ่าปีศาจไปเรื่อยๆ"ผมร้องบอกตัวเองเพื่อให้หนักแน่นแต่กับถูกตัวตนอีกด้านเข้ามาครอบงำได้โดยง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ


                   
    "......อย่าโศกเศร้ากับทางที่ตัวเองย่ำผ่าน แบกรับบาปเอาไว้แต่อย่าจมลึกไปกับมัน ไม่ว่าในที่มืดมิดเท่าใด แสงสว่างของพระองค์ก็จะส่องไปถึงเสมอ"เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเงาจางๆ ที่อยู่ห่างออกไป


                   
    "นายอีกแล้วเหรอ แกรนครูเซส"ผมรู้ว่าเขาคือแกรนครูเซสซึ่งเป็นอีกตัวตนในตัวผมเหมือนกับด้านสว่างก็ว่าได้


                   
    "เพราะเจ้ากำลังหลงทางอีกแล้ว เด็กน้อย"แกรนครูเซสตอบด้วยเสียงราบเรียบ


                   
    "ไม่มั่ง มาคิดๆ ดูแล้วเราเป็นแบบท่านไม่ได้หรอก อัศวินแห่งพระเจ้าที่ตามปกป้องตัวแทนแห่งแสงสว่างอะไรกัน เราก็แค่......ฆาตกร"ผมตอบอย่างอดสู่แต่ใจหนึ่งก็ไม่ได้รังเกียจคำเรียกแทนตัวเช่นนั้นเท่าไร


                   
    "แต่เจ้าก็ยังเป็นเจ้า เด็กน้อย และสิ่งที่เจ้าเป็นอยู่เราก็เห็นว่าสมควรแล้ว"แกรนครูเซสบอกถึงผมจะไม่เห็นใบหน้าเขาตอนนี้แต่จากน้ำเสียงเขาก็แสดงว่าเขาไม่ได้เป็นทุกข์อย่างที่ผมคิดไว้เลย


                   
    "ฮะๆๆ จะบอกว่าที่ผมพึ่งฆ่าคนไปเป็นเบือนั้นก็เป็นสิ่งที่สมควรงั้นสินะ ใช่สิพระเจ้าไม่เคยเห็นค่าของชีวิตอันต่ำต้อยของมนุษย์อยู่แล้ว"ผมพลั้งปากพูดออกไปโดยรู้ว่าแกรนครูเซสนั้นเป็นทาสรับใช้พระเจ้าอยู่


                   
    "เรื่องนี้ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นหรอก แม้แต่พระองค์เอง แต่ว่าบางสิ่งบางอย่างก็มีวิถีทางของมันอยู่ แต่ที่เราบอกว่าสมควรนั้นเพราะว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้นได้ช่วยชีวิตแคลอรีนไว้ อย่างน้อยก็ในอีกสักระยะหนึ่ง"


                   
    "ไม่ใช่!!"ผมตะโกนค้านสุดเสียง


                   
    "เราไม่ได้ทำเพื่อแคลอรีน เราทำเพื่อตัวเอง เราเกลียดชังปีศาจ เกลียดพวกมัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อตัวเราเอง"สิ่งที่พึ่งบอกออกไปนั้นผมคิดว่าต่อให้เป็นแกรนครูเซสก็คงต้องผิดหวังอยู่แน่ๆ ทว่ามันกลับผิดคาดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังออกมา


                   
    "งั้นเจ้าก็ปล่อยให้แคลอรีนตายสิ เด็กน้อย เจ้าก็รู้ ความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริงเมื่อแคลอรีนตายไป โลกมนุษย์จะถูกเปลี่ยนเป็นโลกของปีศาจ เมื่อนั้นเจ้าก็จะได้ระบายความแค้นของตัวเองได้อย่างเต็มที่เลย คนโง่ๆ อย่างเราพูดผิดตรงไหนหรือเปล่า"คำพูดของแกรนครูเซสทำให้ผมต้องผงะและอ้าปากเถียงไม่ออก


                   
    "ทำเพื่อตัวเอง นั้นเป็นแค่คำอ้างที่ใช้หลอกตัวเองเพื่อให้ดูสกปรกพอๆ กับสิ่งที่ได้ทำลงไปเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่น้อยลง แต่ธาตุแท้ของเธอมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ต้องการจะปกป้อง......เพราะสูญเสียทุกอย่างไปก็เลยอยากจะปกป้องสิ่งที่ได้มาใหม่"แกรนครูเซสพูดพร้อมกับที่ผมรู้สึกว่ามีมืออุ่นๆ มาแตะที่ไหล่ราวกับจะปลอบประโลมจิตใจของผมให้หลุดพ้นจากบาป


                   
    "ถ้าเช่นนั่นทำไมนายถึงไม่ทำให้เราเป็นแบบนายล่ะ....อัศวินผู้ทรงธรรม สง่างาม เข้มแข็ง เป็นเทพบุตรที่สมบูรณ์แบบ"ผมถามอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมถ้าเลือกผมเป็นคนที่จะปกป้องแคลอรีนแล้วแต่กลับไม่ให้สิ่งที่แกรนครูเซสมีมาด้วย


                   
    "เป็นแบบเรา......เด็กเลี้ยงแกะที่ไม่สามารถปกป้องแคลอรีนได้นะเหรอ เจ้าต้องการแบบนั้นจริงเหรอ เด็กน้อย"คำตอบของแกรนครูเซสทำให้ผมสะอึกและเดาความคิดเขาขึ้นมาได้รางๆ


                   
    "วิธีของเราไม่ได้ผิดเพียงแต่ไม่ได้ผล และเมื่อวิธีเดิมไม่ได้ผลเราก็อยากจะหาวิธีอื่นมาแทนอย่างที่เจ้าทำอยู่ไง เพราะงั้นเราถึงบอกว่า สมควรแล้ว"พอได้ฟังแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกขบขันขึ้นมา


                   
    "จะบอกว่าตัวคุณที่เป็นเทพบุตรสู้กับพวกปีศาจไม่ไหว เลยจะให้ผมเป็นปีศาจร้ายขึ้นมาสู้แทนงั้นสินะ"


                   
    "จะเทพบุตรหรือปีศาจร้าย แต่ถ้าปลายทางของมันคือยุคใหม่ของมนุษยชาติมันก็สมควรแล้ว อีกอย่างในกฎก็ไม่ได้มีระบุไว้ด้วยไม่ใช่หรือไงว่า อัศวินที่ตามปกป้องเจ้าหญิงจะต้องเป็นเทพบุตรเพียงอย่างเดียว.....ที่สำคัญนะ เด็กน้อย เจ้าเล่นบทพระเอกแสนดีไม่ขึ้นหรอก เชื่อเราเถอะ"แกรนครูเซสทิ้งท้ายอย่างติดตลก


                   
    "ก็ว่าอย่างนั้นล่ะ"ผมยักไหล่อย่างรู้ตัวดี แต่น่าแปลกทุกครั้งที่ผมได้คุยกับแกรนครูเซสมันกลับทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างประหลาดอาจเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจตัวตนจริงๆ ของผมก็เป็นได้


                   
    "ตอนนี้เจ้าได้พักพอแล้ว กลับไปเดินทางของเจ้าต่อเถอะ เราจะอวยชัยให้เจ้าทำสำเร็จ"


                   
    "ก่อนจะไปขอถามอะไรอีกสักอย่าง"ผมทักไว้ก่อนแต่ถึงไม่ต้องถามแต่ผมก็รู้ว่าแกรนครูเซสรู้สิ่งที่ผมจะถามอยู่แล้ว


                   
    "กำลังสงสัยเหรอว่าทำไมเราถึงกำลังเศร้า......แววตาของแคลอรีนทำให้ใจเราสลาย ความรู้สึกของแคลอรีนที่มีต่อเจ้าตอนนี้กำลังทำให้เราเป็นทุกข์ และสายใยอันบอบบางของพวกเจ้าเราไม่อยากให้มันขาดลง ฟังให้ดีเด็กน้อย เจ้าไม่ใช่ตัวแทนเรา เจ้าก็คือเจ้า คนที่สามารถรักได้ และสามารถรับรักจากคนอื่นได้ ซึ่งมันหาใช่เราไม่ ถึงจะต้องเป็นปีศาจร้าย แต่ปีศาจก็มีความรักได้นะ จำคำเราไว้"

                   

                    พอสิ้นเสียงของแกรนครูเซสผมก็เหมือนกับเป็นลมล้มวูบมาข้างหน้าแต่ถูกมือนิ่มๆ มาพยุงตัวเอาไว้


                   
    "คีวิล เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเรียกเธอตั้งนาน"แคลอรีนถามผมซึ่งตอนนี้แววตาที่เธอมองผมไม่ใช่แบบที่หวั่นกลัวแล้ว


                   
    "........ไม่มีอะไร เราไปจากที่นี้กันเถอะ"ก็จะให้ผมบอกได้อย่างไงล่ะว่าพึ่งไปคุยกับแกรนครูเซสมา แต่พอเห็นแคลอรีนเดินขโยกเขยงตามมาช้าๆ ผมก็ต้องหันกลับไปมองเธออีกครั้งเพราะตอนลากเธอมาผมลืมสังเกตไปเลยว่าเธอทั้งบาดเจ็บอยู่และท่อนล่างก็มีเพียงกกน.ตัวเดียวใส่ปิดอยู่


                   
    ถึงเธอจะไม่แสดงความอายออกมาให้เห็นแต่ก็คงไม่ดีถ้าจะให้เธอออกไปทั้งสภาพแบบนี้ ผมเลยออกหาเสื้อผ้าหรืออะไรบางอย่างมาให้เธอเพราะเสื้อผ้าผมเองมันก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด และพอหาผ้าซึ่งเป็นผ้าคลุมลำโพงที่ไว้กันน้ำค้างมาผมก็รีบเอามาห่อตัวแคลอรีนพลางอุ้มขึ้นมาเพราะดูเธอจะหนาวมากด้วย


                   
    ".......ขอโทษนะ"ผมกล่าวขอโทษขึ้นมาลอยๆ ซึ่งแคลอรีนก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะว่าเรื่องไหน


                   
    "ขอโทษทำไม คีวิล"แคลอรีนถามพลางจ้องหน้าผมด้วยความรู้สึกประหลาดใจ แต่ตัวผมกลับไม่กล้าสบตากับหล่อนเลยมองตรงไปแต่ข้างหน้าอย่างเดียวทั้งๆ ที่ปากก็พึ่งจะเอ่ยคำขอโทษออกไปเป็นหนที่สอง


                   
    "ขอโทษ"


                   
    "........อืม"แคลอรีนหยุดตั้งคำถามและเพียงพยักหน้ารับเบาๆ


                   
    "ขอโทษ"ผมยังขอโทษเธอต่อราวกับเป็นคนกลางที่ส่งคำขอโทษแทนแกรนครูเซสออกมา

                   

                    "อืม"แคลอรีนรับอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มที่เริ่มกลับมาบนใบหน้าของเธอ


                   
    "ขอโทษ"


                   
    "อืม รู้แล้วล่ะ"


                                                                                   
    ........................



                   
    สามวันต่อมา


                   
    ข่าวที่กรุงโรมได้เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกพร้อมกับการโจนจันถึงวันสิ้นโลก แต่ประเด็นก็เริ่มถึงเหวี่ยงโทษไปที่ผู้ก่อการร้ายแทน แต่ถึงแบบนั้นเรื่องศพที่พบในโคโลเซี่ยมก็ได้เป็นเหตุต้องปิดเมือง เพราะถือเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญมากไม่เคยมีคดีฆาตกรไหนจะมีคนตายมากเท่านี้ และวิธีการฆ่าก็โหดเหี้ยมมากด้วยเช่นกัน


                   
    ".....ตายไป 280 กว่าๆ พวกเราทั้งนั้น"ฟิซิโอ้บอกพลางหันกลับมาจากทีวีที่เปิดดูข่าวอยู่โดยที่บนโต๊ะประชุมยังมี โอโนมุด กับ เมคุม่า ซึ่งเหลือกันเพียงสองคนนั่งอยู่


                   
    "เจ้านี้มันใช่ แกรนครูเซส แน่เหรอ โอโนมุด"เมคุม่าหันมาถาม


                   
    "ไม่ผิดหรอก แต่เรื่องนี้ข้าก็แปลกใจเหมือนกันล่ะ วิธีการมันโหดยิ่งกว่าพวกเราอีกนะเนี่ย"


                   
    "ดูเหมือนแกรนครูเซสจะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาซะแล้วสินะ"เมคุม่าถอนหายใจออกมาเพราะตอนนี้จำนวนของฟรีเมนแทบจะไม่เหลือแล้ว แต่ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดผัวะออกพร้อมกับจีเวลเดินมาที่นั่งที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่โดยวางขวดโหลที่ใส่หัวของจีวานนี่ไว้บนโต๊ะให้ทุกคนได้เห็นด้วย


                   
    "ได้มาล่ะ หัวของโฮลี่มาสเตอร์ จีวานนี่ ทีนี้ก็เหลือแค่ 4 ล่ะ"จีเวลพูดขึ้นพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบโดยไม่สนใจจะอธิบายอะไร

                   

                    "ผู้ถือเหรียญสินะ แล้วราม่อนล่ะ"เมคุม่าถาม

                   

                    "ตายแล้ว เจอบทบรรเลงเญซิกเข้าไป ดวงวิญญาณเลยแตกสลายไปเลย ส่วนร่างมันก็โดนทำลายแถมยังโดนยึดแหวนกลับไปอีก........ราม่อนจบเห่แล้ว"จีเวลยักไหล่แบบว่าตัวหล่อนเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเลย


                   
    "บทบรรเลงเญซิกส่วนที่อยู่กับแคลอรีนแน่เลย ไหนว่าเธอเลิกใช่มันแล้วไง"เมคุม่าทำหน้าหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิมแต่โอโนมุดยังคงนิ่งเฉย


                   
    "คงเข้าตาจนไง สงสัยพวกเราจะบีบเธอมากไปหน่อย ที่นี้พวกเราก็เจอปัญหาใหญ่ล่ะ ไหนจะแกรนครูเซสบ้าเลือด แล้วจะยังแคลอรีนที่สติแตกหันกลับมาใช้บทบรรเลงเญซิกส่วนต้องห้ามอีก"โอโนมุดบอกเสร็จก็หันไปมองจีเวลเหมือนจะบอกกลายๆ ว่าจะให้เธอเข้าไปแฝงตัวในกลุ่มของคีวิลต่อ


                   
    "อย่ามองแบบนั้นสิ งานของฉันคือตามล่าหัวของพวกโฮลี่มาสเตอร์นะ ส่วนเรื่องของแคลอรีนกับแกรนครูเซสมันงานของพวกนาน"จีเวลบอกอย่างไม่แหย่แสแต่ส่วนหนึ่งเพราะเธอก็เสียวๆ จะถูกจับได้เหมือนกัน


                   
    "เอาล่ะสิ ร่างสิงสู่ของเมคุม่าก็ยังไม่พร้อมจะใช้งาน ส่วนผู้ถือเหรียญก็มีงานอื่นต้องทำ เจ้าราม่อนก็มาชิงตายไปซะก่อนอีก แบบนี้พวกเราคงต้องออกโรงกันเองแล้วล่ะ โอโนมุด"ฟิซิโอ้เอ่ยขึ้นเสร็จโอโนมุดก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที


                   
    "จะเล่นใครก่อนดี"มันถามฟิซิโอ้ซึ่งในบรรดาร่างสิงสู่ฟิซิโอ้นั้นต่างออกไป เขามีความนึกคิดที่เยือกเย็นและรอบคอบจนแม้แต่พวกปีศาจยังต้องฟังเขา


                   
    "ไม่น่าถามก็เจ้าแกรนครูเซสนะสิ ส่วนแคลอรีนฉันจะเก็บไว้ให้แกไปจัดการนะ เมคุม่า"ฟิซิโอ้หันมาบอกเมคุม่าซึ่งก็พยักหน้ารับ แต่ก่อนจะได้ก้าวออกมาจากห้องมาเวลก็เดินเข้ามา


                   
    "ว่าแล้วพวกนายต้องอยู่กันที่นี้ ฟิซิโอ้ โอโนมุด เขาคนนั้นต้องการพบพวกนายแนะ"มาเวลบอกพร้อมกับหันหลังกลับเพื่อนำทาง


                   
    "เขากลับมาตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"ฟิซิโอ้ถามแต่จริงๆ ตัวเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นักหรอก


                   
    "เขาอยู่ที่นี้มาตั้งแต่ตอนที่แคลอรีนหนีไปนั้นล่ะ เอ่อ นายเองก็ระวังปากไว้หน่อยก็ดีนะ ฟิซิโอ้ เขาไม่ชอบให้ใครมาเล่นลิ้นด้วย"มาเวลเอ่ยปากเตือนด้วยสีหน้าซีเรียสซึ่งก็บอกได้เลยว่านี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น


                   
    มาเวลพาพวกเขาเดินมายังห้องทำงานของตัวเองซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว แต่เป็นของใครอีกคนที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ที่หันไปทางหน้าต่างอยู่


                   
    "พามาแล้วครับ"มาเวลเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะถอยออกจากห้องและปิดประตูลงเบาๆ ส่วนฟิซิโอ้ก็ถึงจะได้ไม่เชิญแต่ก็พาตัวเองไปนั่งตรงเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว


                   
    ".......ราม่อนเสร็จไปแล้วแบบนี้ นายเองก็คงคิดจะไปจัดการเองสินะ"เสียงที่เอ่ยขึ้นทำให้ฟิซิโอ้ถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะเขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน


                   
    "นาย!!??"เขาลุกพรวดจากเก้าอี้ด้วยความตกใจแต่โอโนมุดกลับยื่นมือมากดไหล่ของฟิซิโอ้เป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็นลง


                   
    ".......ฟรีเมนถูกแกรนครูเซสค้นพบจุดอ่อนแล้ว ขืนส่งพวกฟรีเมนออกไปอีกก็มีแต่จะเป็นเหยื่อให้มันเล่นงานเอา พวกนายเองก็ไม่ต่างกันหรอก......แต่ถ้าจะไปกัน ก็เอาสิ่งนั้นไปด้วยเถอะ"เขาพูดพลางยื่นมือออกมานอกเก้าอี้ที่บังตัวอยู่และชี้ไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังนอนหลับด้วยสีหน้าทรมานอยู่ตรงโซฟา


                   
    ".....!!?? ปากกากระดูกขาวของข้า"โอโนมุดที่ปกติจะเงียบขรึมถึงกลับร้องออกมาอย่างแตกตื่นเมื่อได้จ้องผู้หญิงคนนั้นจนแน่ใจ


                   
    "นายเป็นเจ้าของมัน เพราะงั้นคงรู้วิธีเอาออกมาสินะ"


                   
    "ขอบใจท่านจริงๆ"โอโนมุดรีบมาสิงร่างของฟิซิโอ้และเดินไปจิกหัวของผู้หญิงขึ้นมาเตรียมจะลากออกจากห้องไปแต่กลับถูกเรียกตัวไว้ก่อน


                   
    "เดี๋ยวก่อนอย่าพึ่งรีบร้อน ยังมีอีกหลายเรื่องต้องคุยกัน"เขาบอกพลางชี้นิ้วบอกให้นั่งลงก่อนซึ่งโอโนมุดมีแต่ต้องยอมทำตาม


                   
    "เรื่องแรกถ้านายได้สู้กับแกรนครูเซส จงฆ่าเขาซะแต่อย่าได้ตัดหัวหรือทำลายร่างเขา"


                   
    "หา!!?? แต่แบบนั้นมันก็คืนชีพขึ้นมาได้สิ"โอโนมุดงงมากที่ได้ยินแบบนั้น


                   
    "ใช่ ฉันต้องการให้เขาคืนชีพ หรืออีกนัยหนึ่งฉันต้องการเก็บเขาไว้อยู่"พอเห็นโอมุดไม่พูดอะไรเขาเลยเอ่ยขึ้นต่อ


                   
    "อย่างที่สอง....พวกนายต้องปล่อยแคลอรีนไปก่อนจนกว่าฉันจะเป็นคนสั่ง"แต่อันนี้ทำให้โอโนมุดนั่งไม่ติดลุกขึ้นมาร้องถามเสียงดัง

                   

                    "ทำไมต้องปล่อย แคลอรีนไปด้วย เธอเป็นตัวแทนแห่งแสงนะ"


                   
    "ใช่ เรารู้เพราะเราก็เป็นตัวแทนแห่งความมืด แต่เพราะเรามีอะไรที่อยากจะพิสูจน์อีกหน่อย และจากสายตาของเราตอนนี้........แคลอรีนกำลังจะหมดศรัทธาต่อพระเจ้าแล้ว"คำพูดของเขาทำให้โอโนมุดถึงกับยิ้มออกมาได้เพราะต่างก็เข้าใจความหมายนั้นดี


                   
    "เอาล่ะทีนี้ก็เรื่องสุดท้าย พวกแคลอรีนยังอยู่ในโรมอยู่แน่นอน เพราะงั้นนายจงไปหาพวกเธอที่นั้นเถอะ"เขาพูดจบก็หมุนเก้าอี้ให้หันมาทางโอโนมุดซึ่งทำให้มันเห็นหน้าเขาอย่างชัดเจนจนต้องแสยะยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม


                   
    "โชคดีนะ"


                   
    "ไม่จริง!!?? ตัวแทนแห่งความมืดเป็นเขาหรือเนี่ย เป็นไปได้ไง!!"เจรินที่แอบมาสืบข่าวโดยซ่อนตัวอยู่ในปล่องระบายอากาศและแอบฟังมาตั้งแต่แรกพอได้เห็นหน้าของตัวแทนของฝ่ายมืดแล้วก็ต้องตกใจจนเกือบจะเผลอส่งเสียงออกมา


                   
    "ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบไปบอกเรื่องนี้ให้แคอลรีนรู้"เจรินค่อยๆ คลายถอยออกมา แต่พอถึงทางแยกแล้วหมุนตัวกลับมาเธอได้เห็นหน้าของจีเวลที่นั่งยิ้มอยู่หน้าแทบจะติดกับเธอ


                   
    "เจอหนูแล้ว จี๊ดๆ"


                   
    แล้วเสียงกรีดร้องของเจรินก็ดังขึ้นจนมาถึงห้องทำงานที่โอโนมุดนั่งอยู่ มีเสียงการต่อสู้ตามมาจนเขาทำท่าจะลุกไปดูแต่กลับถูกตัวแทนยกมือห้ามไว้

                   

                    "แค่หนูน่ะ"เขาบอกพร้อมกับเสียงนั้นเงียบลง แต่กลับเป็นเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามาแทน


                   
    และเมื่อเสียงฝีเท้าหยุดลงประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมกับจีเวลที่อยู่ในสภาพโชกเลือดแต่ในมือของเธอก็ถือหัวของเจรินมาด้วย เธอฉีกยิ้มขณะเดินเอาหัวนั้นมาวางลงบนโต๊ะทำงาน


                   
    "เหลืออีก 3"

                   

                                                                                    .........................

    .


                   
    นี้เป็นวันที่สี่แล้วที่พวกเรายังอยู่ในกรุงโรม ถึงแม้ผมจะไม่ชอบอยู่ที่ไหนนานๆ แต่คราวนี้มันจำเป็นเพราะการเคลื่อนไหวตัวตอนนี้จะยิ่งทำให้เป็นจุดเด่นและพบเห็นได้ง่าย สิ่งที่พวกเราทำได้จึงมีเพียงหมกตัวอยู่เงียบๆ ในบ้านพักของพาซีย่าที่เป็นโฮลี่ไกด์คนสนิทของแคลอรีน


                   
    แต่ในสี่วันที่ผ่านไปผมก็มีเรื่องที่ต้องตกใจอยู่เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ทั้งศพของจีวานนี่ที่ส่วนหัวหายไปจนไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่พวกสานุศิษย์ของเขาก็ได้เก็บรักษาส่วนที่เหลือเอาไว้เป็นอย่างดีจนกว่าจะนำส่วนหัวกลับคืนมาได้


                   
    ทว่าผมกลับผิดสังเกตมากเมื่อเห็นเฟอเมสกลับมาในวันรุ่งขึ้นโดยที่ไม่โดนตัดหัวไปด้วย แต่กลับเป็นจีเวลที่หายเงียบไปโดยไม่มีแม้แต่ข่าวพบศพของเธอ มีปริศนาอีกมากมายให้ผมต้องคบคิดอีกมากและยิ่งต้องทวีการระวังตัวขึ้นไปอีก


                   
    ส่วนแคลอรีนก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนักตอนนี้เลยหายดีจนเดินเหินได้ตามปกติแถมยังได้พาซีย่าเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาอีก แต่อีกอย่างที่แคลอรีนเปลี่ยนไปและมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ อยู่ก็คือการที่เธอเฝ้าจับตาดูผมแทบจะทุกฝีเก้าเลย


                   
    ไม่ว่าเวลาตื่นนอนขึ้นมาที่ผมจะเห็นเงาของเธอแวบผ่านประตูออกไปทุกครั้ง หรือเวลานั่งเหม่อๆ อยู่ในห้องก็จะเห็นสายตาของแคลอรีนมองผ่านเข้ามาในห้องดูผมเป็นระยะราวกับกลัวว่าจะหายตัวไปอีก


                   
    หลังจากคืนนั้นเราก็แทบไม่ได้พูดกันเลยนอกจากปรึกษากันเล็กๆ น้อยๆ เธอคุยกับพาซีย่าเพียงหนึ่งนาทีก็มากกว่าที่คุยกับผมหนึ่งวัน เธอคุยกับเฟอเมสทุกวันแต่กลับผมกลับเป็นวันเว้นวัน เธอนอนตอนกลางวันมากขึ้น และเปลี่ยนมาแอบเฝ้าดูผมที่ชอบอยู่ตอนกลางคืนแทน


                   
    กระทั่งคืนที่ห้าผมก็ทนสายตาที่ไม่รู้จะเอาไงกับผมดีของแคลอรีนไม่ไหว เลยเดินมาที่ประตูและเปิดมันออกจนเห็นหลังแคลอรีนกำลังเดินหนีไปที่ห้องของตัวเอง


                   
    "หยุดก่อน ไม่ต้องมาแอบดูฉันแบบนี้ก็ได้ มีอะไรก็บอกมาเลยสิ"ผมร้องถามเธอก่อนจะได้หลบเข้าไปในห้อง เธอหยุดกึกลงและเอียงหน้าเฉยเหม่ยมาทางผม


                   
    "เปล่าสักหน่อย ฉันลุกไปเข้าห้องน้ำมา"แคลอรีนแก้ตัวแต่ผมรีบเดินไปคว้ามือเธอมา


                   
    "เข้าห้องน้ำภาษาอะไรมือยังเปื้อนฝุ่นที่ขอบประตูห้องฉันอยู่เลย"ผมจับได้คาหนังคาเขาจนแคลอรีนต้องหลบหน้าไป


                   
    "ถ้าทำให้เธอรู้สึกอึดอัดฉันขอโทษ"แคลอรีนขอโทษพลางสะบั้นมือออกจากผมและรีบหนีเข้าไปในห้องและปิดประตูใส่หน้าผมดังปัง


                   
    ".......บอกฉันทีสิ แกรนครูเซส ฉันไม่เข้าใจแคลอรีนเลย ต้องทำอย่างไงฉันถึงจะเข้าใจเธอได้"ผมทิ้งตัวนั่งพิงประตูห้องของแคลอรีนพลางเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ โดยไม่หวังจะได้ยินเสียงตอบกลับมา แต่คราวนี้เขากลับตอบมาแทบจะในทันที


                   
    "ดูด้วยตาตัวเองเลยจะดีกว่า"เสียงของแกรนครูเซสเอ่ยขึ้นพร้อมกับที่ทำให้ผมวูบหลับไป


                   
    พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งผมก็เห็นว่าตัวเองได้มาอยู่ในปราสาทหลังโตถึงจะเก่าโบราณมากแล้วแต่ก็แสดงถึงฐานะของคนที่อาศัยในนี้ได้ และพอผมเดินสำรวจปราสาทจนมาถึงทางเดินลงบันไดก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งทะลุตัวผมไป


                   
    "ท่านแคลอรีนคะ อย่าวิ่งหนีไปแบบนี้สิ คุณท่านแค่อยากคุยด้วยเท่านั้น"เสียงผู้หญิงอีกคนร้องเรียกไล่ตามหลังมาซึ่งพอผมหันไปจึ่งเห็นพาซีย่ากำลังไล่ตามเด็กหญิงมา


                   
    "ไม่เอา ท่านพ่อจะดุฉันที่ฉันแอบเรียนเรื่องเวทมนต์ดำของพวกแม่มดน่ะสิ"เสียงแหลมๆ ของแคลอรีนร้องตอบกลับมาพร้อมกับที่ผมหันไปข้างหลังตัวเองและเห็นแคลอรีนที่เหมือนกับปัจจุบันทุกระเบียดนิ้ว


                   
    "ก็มันไม่ดีไงคะ นายท่านถึงได้ห้าม ถ้าเรื่องนี้มีใครรู้เขาท่านจะโดนจับไปเผาได้นะคะ"


                   
    "ไม่มีทาง และถ้ามีใครคิดจะมาจับฉันล่ะก็ ฉันจะเป็นฝ่ายจับมันถ่วงแม่น้ำซะแทน"แคลอรีนร้องตอบแต่ก็ยังคงวิ่งหนีขึ้นไปต่อจนในที่สุดก็ไปหยุดยืนอยู่ตรงหอคอยที่มีช่องให้มองออกไปได้


                   
    ซึ่งพอผมแนบตาไปที่ช่องนั้นบ้างจึ่งเห็นว่าแคลอรีนกำลังเฝ้าดูบางอย่างอยู่ ที่ริมฝั่งแม่น้ำติดกับเนิ่นดินกำลังมีชายหนุ่มคนหนึ่งไล่ต้อนฝูงแกะอยู่อย่างเกลียดคล้าน และผมมั่นใจว่านั้นคือแกรนครูเซสไม่ผิดแน่


                   
    "ฉันจะเป็นแม่มดให้ได้"แคลอรีนพูดกับตัวเองแต่ขณะนั้นพาซีย่าก็วิ่งหอบตามมาจนทัน


                   
    "ทำไมท่านแคลอรีนต้องฝั่งใจอยากจะเป็นแม่มดถึงขนาดนั้นล่ะคะ"พาซีย่าถามแต่ก็ไม่คิดจะวิ่งไล่แคลอรีนอีกแล้ว


                   
    ".....ถ้าฉันเป็นแม่มด ฉันก็จะทำให้เขาตกหลุมรักฉันไปได้ตลอดชีวิต"แคลอรีนพูดพร้อมกับแก้มที่แดงระเรือง ใบหน้าและแววตาของเธอดูมีความสุขอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน


                   
    "เด็กน่อเด็ก"ผมอดขำไม่ได้แต่มันก็สมกับเป็นความคิดของเด็กๆ อยู่แล้ว แต่ระหว่างที่ผมจ้องใบหน้าที่สดใสและไร้เดียงสาของแคลอรีนอยู่เวลารอบตัวก็เดินไปอย่างรวดเร็วยามเช้ากับกลางคืนสลับเปลี่ยนไปแค่ชั่ววินาที


                   
    และเมื่อมันหยุดในคืนที่ฟ้ามืดผมก็มาอยู่ที่ห้องนอนของแคลอรีนซึ่งเธอกำลังนั่งเท้าคางอยู่ที่ขอบหน้าต่างพลางมองดูแสงไฟจากตะเกียงที่ผูกไว้ตรงปลายไม้ของคนเลี้ยงแกะ เขากำลังยืนอยู่ตรงในแม่น้ำและจมลงไปครึ่งตัว แต่กลับหันหน้ามามองแคลอรีนพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมา และวินาทีนั้นผมเห็นปากของเขาขยับและถ้าผมอ่านปากเขาไม่ผิดเขากำลังพูดว่า


                   
    "ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไม.....ขอโทษนะ"


                   
    เมื่อนั้นผมก็หันไปเห็นแสงไฟจากตะเกียงที่เดินมาเป็นขบวนยาวตรงมาที่ปราสาท เวลาหมุนเร็วขึ้นอีกครั้งแต่ผมก็ทันเห็นว่าเหตุการณ์มันเป็นอย่างไง มันเหมือนกับชาวบ้านรวมตัวกันมาจับแม่มดที่คาดว่าจะเป็นแคลอรีน แต่เพียงผมเห็นแวบเดียวผมก็มั่นใจว่าพวกนี้มันไม่ใช่มนุษย์ แต่ถูกพวกปีศาจสิงสู่อยู่ พวกมันฆ่าล้างครอบครัวของแคลอรีนและจับตัวเธอไปทรมาน


                   
    ปานรูปไม้กางเขนบนหลังของแคลอรีนที่ผมเคยเห็นที่แม้มันก็เป็นแผลที่เกิดจากเหล็กเผาไฟที่แนบลงบนตัวเธอเพื่อการทรมาน ผมได้แต่เฝ้าดูไม่อาจขยับเขยื้อนได้ถึงแม้อยากจะเข้าไปช่วยเธอมากแค่ไหน


                   
    ทุกอย่างจบลงเมื่อรุ่งเช้าของวันใหม่มาถึง แคลอรีนที่ถูกทรมานมาทั้งคืนถูกจับตรึงไม้เพื่อเตรียมจะเผาทั้งเป็นส่วนพาซีย่าเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน เธอถูกบีบบังคับให้สารภาพว่าเป็นแม่มดแต่แคลอรีนกลับแกล้งทำเป็นพึมพำเหมือนจะสาปแช่งใส่คนพวกนั้นโดยไม่กลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองเลย


                   
    "เผามัน เผามัน"เสียงร้องตะโกนยัวยุดังขึ้นพร้อมกับคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้น แต่วาระสุดท้ายของแคลอรีนเธอกลับหลับตาลงและสอดมนต์ต่อพระผู้เป็นเจ้าและทันใดนั้นปฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับเธอเมื่อคบไฟทุกอันจู่ๆ ก็ดับลงพร้อมกัน แต่ปฏิหาริย์นั้นชาวบ้านกับเห็นว่าเป็นอำนาจของปีศาจแทน


                   
    พวกชาวบ้านยังไม่เลิกแต่รีบจุดคบเพลิงขึ้นมาใหม่และโยนใส่ฝางใต้เท้าของแคลอรีนทันที แต่ไฟกับไม่ลุกไหม้ขึ้นมา คราวนี้ชาวบ้านบางส่วนเริ่มเห็นแล้วว่านี้เป็นปฏิหาริย์ของพระเจ้าเลยเริ่มหันมาเถียงกัน แต่ตอนนั้นพวกคนที่ถูกปีศาจสิงอยู่ก็ตะโกนขึ้นมา


                   
    "แม่มด มันคือแม่มด"มันตะโกนพร้อมกับหยิบหอกไม้เตรียมจะรุมแทงใส่ พวกชาวบ้านที่เห็นต่างก็กำลังจะทำตามแต่แล้วเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปมองชายเลี้ยงแกะที่แต่งตัวมอมแมมยืนอยู่


                   
    "พอได้แล้วหรือยัง"เขาเอ่ยขึ้นพลางเดินผ่านพวกชาวบ้านที่เปิดทางให้เขาอย่างไม่รู้ตัว


                   
    "ขอให้พระองค์เมตตาต่อคนบาป ละเว้นความโง่เขลาของมนุษย์ด้วยเถอะ พระองค์"เขาพึมพำตลอดทางที่เดินแต่บางคนพอได้เห็นเขาก็ถึงกับคุกเข่าลงและประสานมือขึ้นมาสอดมนต์ตามทันที


                   
    กระทั่งเขาไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าแคลอรีนพลางวางไม้เท้าลงข้างตัวก่อนจะคุกเข่าลงจูบลงที่เท้าที่เปื้อนดินของเธอ


                   
    "เราใคร่ขอถามท่าน ว่าท่านใช่ผู้ศรัทธาหรือไม่"แคลอรีนพยักหน้าตอบ


                   
    "ท่านจะเป็นผู้แบกรับความทรมานของพระองค์ไปตลอดชีพหรือไม่"คำถามนี้ของชายเลี้ยงแกะทำให้แคลอรีนลืมตาขึ้นมาจ้องเขาเป็นครั้งแรกพร้อมกับรอยยิ้มที่ยินดี


                   
    "เรายอมรับ"ทันทีที่แคลอรีนรับคำผมก็เห็นวิญญาณของคนในครอบครัวของเธอปรากฏขึ้นมาอยู่เหนือร่างเธอ ซึ่งนั้นแสดงว่าบ่วงกรรมของ Mabo เริ่มต้นขึ้นแล้วกับเธอ


                   
    ".......ถ้าเช่นนั้น เราจะขอเป็นผู้แบกรับความทุกข์ทั้งปวงรวมถึงความทุกข์ของท่านนับแต่วันนี้ เรา........แกรนครูเซส จะปกป้องท่านด้วยชีวิต ตัวแทนแห่งแสงสว่าง"ทันทีที่แกรนครูเซสประกาศตนขึ้นมาเชือกที่มัดแคลอรีนอยู่ก็ขาดสะบั้นพร้อมกับร่างของเธอร่วงลงมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา


                   
    แต่พวกปีศาจก็ตื่นตกใจที่ตัวแทนแห่งแสงปรากฏตัวขึ้นมาแล้วเลยรีบตรงเข้ามาหวังจะปลิดชีวิตแต่กลับถูกแกรนครูเซสหันมาเปลี่ยนไม้เท้าในมือเป็นดาบที่คมกริบตัดร่างของพวกปีศาจจนขาดสองท่อน


                   
    "พาเธอไปด้วย"แคลอรีนชี้นิ้วไปที่พาซีย่า


                   
    "คุณผู้หญิง ท่านยังมีอะไรให้อาวรณ์อีกไหม"แกรนครูเซสเดินตรงเข้ามาถามพาซีย่า


                   
    "ไม่ค่ะ เราเพียงปรารถนาจะปกป้องท่านแคลอรีน ขอแค่นั้นก็เกินพอแล้ว"พาซีย่าตอบพร้อมกับเชือกที่มัดเธอยืนก็ขาดบ้าง


                   
    "งั้นจงไปด้วยกัน เรายังต้องการคนที่จะมาช่วยอีกเยอะ"


                                                                   
    ...............................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×