ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : เอวาผู้ไม่เคยหลับไหล
ตอนที่ 7 เอวาผู้ไม่เคยหลับไหล
    “โกหก!!?? คุณพูดเรื่องอะไรกัน โปรแกรมมนุษย์เทียมนั้นเป็นฝีมือของราชินีเอวาใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น แต่ทำไมถึงมาบอกว่าเป็นฝีมือของตัวคุณเองล่ะ ผมไม่เชื่อหรอก”ฮันซ์ลุกขึ้นตะโกนลั่น หลังจากได้ที่พึ่งได้ฟังเรื่องของแมกคาเรียสมาได้เพียงครู่เดียว
    “เหรอ.........ใช่สินะ ใครๆ ก็รู้กัน”แมกคาเรียสไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางแปลกใจกับอาการของฮันซ์เลยแต่กลับยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอย่างใจเย็น
    “นี่คุณจะเล่นตกลงอะไรกับผมกันแน่ คุณแมกคาเรียส”ฮันซ์กำลังคิดว่าตัวเองอาจมาเสียเที่ยวก็เป็นได้
    “เปล่าเลย ฮันซ์ สิ่งที่เล่นตลกกับเธออยู่คือไอ้นี้ต่างหากล่ะ”แมกคาเรียสลุกขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มลงมาที่กลางหน้าของเขาจนถึงกับเซล้มลงมานั่งที่โซฟาตามเดิม
    “โปรแกรมฉุกเฉินรหัส A052”แมกคาเรียสพูดขึ้นลอยๆ ขณะที่ตัวเองก็กลับลงมานั่งลงตามเดิม
    “ฉุกเฉิน รหัส A!!?? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเคยได้ยินคำพวกนี้มาก่อน”ฮันซ์เอามือกุมหัวราวกับมันกำลังจะพองบีบทะลักออกมาข้างนอก
    “ไม่แปลก ไม่ใช่เฉพาะเธอหรอกฮันซ์ทุกคนที่อยู่ในทรีเอ็นจะมีคำนี้อยู่ในหัวกันแทบทุกคน มันเป็นรหัสที่ใช้ในการปลูกถ่ายความทรงจำใหม่ลงไปไงล่ะ”แมกคาเรียสพูดพลางจ้องตาฮันซ์ที่ตอนนี้เบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด
    “ปลูกถ่ายความทรงจำ!!?? นี้คุณจะบอกว่าผมถูกล้างสมองงั้นเหรอ”ฮันซ์ทำท่าจะลุกขึ้นอีกแต่เอวีน่าใช้มือกดไหล่เขาไว้
    “ใจเย็นๆ พ่อหนุ่ม”
    “ขอบใจ เอวีน่า”แมกคาเรียสส่งยิ้มให้ก่อนจะหันมาคุยกับฮันซ์ต่อ
    “ฮันซ์ ฉันไม่อยากจะขู่ให้เธอกลัวหรอกนะ แต่ในทรีเอ็นมันมีซอกมุมมืดอีกมากมายที่เธอไม่รู้จัก ไม่เพียงแต่ข้างในนั้น ที่ข้างนอกก็ยังมีกลุ่มองค์กรที่กำลังพัฒนาให้ทรีเอ็นเป็นอาวุธอยู่ด้วย และการล้างสมองก็เป็นเพียงขั้นตอนแรกๆ ที่พวกนั้นพัฒนากันไปสำเร็จแล้ว.........นี้ถ้าไม่มี แกน คอยดูแลอยู่ตอนนี้ทรีเอ็นก็คง.........”แมกคาเรียสพอเอ่ยถึงแกนขึ้นมาก็ทำหน้าเศร้าหมองลงและเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
    “เอาเป็นว่า ถึงพวกนั้นจะเปลี่ยนความทรงจำเธอไปนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีอันตรายหรือผลกระทบอะไรมากนัก ตัวเธอเองก็ยังคงเป็นฮันซ์อยู่ ที่พวกนั้นใส่ไปในหัวเธอก็มีแต่เรื่องของฉันกับเอวา ความผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทรีเอ็นมันมักจะถูกโยนให้ความผิดของเอวา ก็แน่ล่ะ เพราะเอวามีตัวตนไว้ก็เพื่อสิ่งนั้นอยู่แล้ว”
    “แล้วนี้คุณจะให้ผมเชื่อคุณมากกว่าสิ่งที่อยู่ในหัวผมงั้นสิ”ฮันซ์ยิ้มแห้งๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ภายในหัวเขามันสับสนวุ่นวายไม่รู้จะเชื่อสิ่งใดดีอีกต่อไปแล้ว
    “นั้นเป็นสิ่งที่เธอต้องตัดสินใจเอง ฮันซ์”แมกคาเรียสยิ้มให้
    “เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องของฉันกันดีกว่าซึ่งฉันบอกได้เลยว่า ความทรงจำของฉันที่ได้อยู่ภายใต้การดูแลปกป้องจาก แกน นั้นเป็นของจริงอย่างน้อยก็สำหรับฉัน”แมกคาเรียสเริ่มเล่าเรื่องของเขาต่อซึ่งฮันซ์ก็ทำใจให้ลืมเรื่องอื่นได้อย่างยากเย็นแต่สุดท้ายด้วยท่าทางผ่อนคลายไม่มีท่าทีจะเสแสร้งของแมกคาเรียสก็ทำให้ฮันซ์คลายความระแวงใจลงไปจนสามารถเปิดใจรับฟังได้อีกครั้ง
    “ถึงไหนนะ อ้อ ใช่ๆ ตอนที่ฉันสร้างโปรแกรมมนุษย์เทียม อันที่จริงมันเป็น AI ระบบสมองกลเทียมที่มีความคิดจำลองมาจากมนุษย์ ซึ่งจะใช้สำหรับพัฒนาพวกทัวทีเนียให้ตัดสินใจได้อย่างมีศิลธรรมมากขึ้น แต่ก็ผิดพลาดขึ้นมาจนได้”ถึงตอนนี้แมกคาเรียสทำหน้าโกรธแค้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
    “เพราะพวกมัน พวกองค์กร 13 O’clock พวกมันขโมยเอาผลงานของฉันไปทำต่อ และใช้ในการทดลองสร้างเป็น มนุษย์เทียมขึ้นมาโดยมีแต่ความรู้สึกนึกคิดเพียงแต่ความรุนแรง พวกมันเลือกใช้สถานที่ทดสอบในทรีเอ็นเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากโลกภายนอก และแน่ล่ะถึงแกนจะพยายามป้องกันไว้แต่ก็ช้าไปแล้ว มีคนตาย........อย่างที่เธอรู้ จากนั้นพวกมันก็โยนความผิดไปที่เอวา และจับฉันไปล้างสมองก่อนจะถีบส่งออกมาจากทรีเอ็น........แต่โชคดีที่แกนป้องกันความทรงจำของฉันไว้ให้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
    และด้วยคำแนะนำของ แกน ว่าให้ฉันแสร้งทำเป็นลืมเรื่องในทรีเอ็นให้หมดและย้ายออกมาให้ห่างไกลสายตาของผู้คน เพราะงั้นฉันถึงได้มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขได้จนถึงตอนนี้”แมกคาเรียสหยุดพูดลงพลางหันมามองเอวีน่าอีกครั้ง
    “และด้วยความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด แกน ได้จัดหาคนมาอยู่คุ้มกันฉันด้วยในฐานะภรรยาเพื่อไม่ให้ใครสงสัย ซึ่งก็คือ เอวีน่า”แมกคาเรียสสบตากับเอวีน่าอย่างหวาดซึ้งเลยทำให้ฮันซ์รู้ว่าทั้งคู่มีความรู้สึกดีๆ ให้กันมากกว่าเป็นแค่บอดี้การ์ดกับนายจ้าง
    “แล้วแกนล่ะครับ แกนคือใคร และเขาเป็นอะไรกันแน่ในทรีเอ็น”ฮันซ์เห็นว่าแมกคาเรียสพูดถึงแกนบ่อยมากและดูจะมีอิทธิพลทั้งในทรีเอ็นและข้างนอกอยู่พอสมควรเลยต้องรีบถาม
    “.........สำหรับเขา ไว้เราค่อยพูดถึงกันที่หลังเถอะ แต่ตอนนี้ฉันควรจะเล่าเจาะลึกลงไปเกี่ยวกับตัวเอวาให้เธอรู้อีกหน่อยดีกว่า........เอวีน่า ถ้าเธอไม่อยากอยู่ฟังความรักกุ๊กกิ๊กสมัยหนุ่มๆ ของฉันจะไม่อยู่ฟังก็ไม่ว่ากระไรหรอกนะ”แมกคาเรียสร้องบอกอย่างขี้เล่น แต่ถูกเอวีน่ามองตาดุใส่ก่อนจะกระทืบเท้าปึงๆ ออกจากห้องไป
    “ฮะๆๆ เธอยังทำใจที่ผมคบกับเอวาสมัยอยู่ในทรีเอ็นไม่ได้นะ”แมกคาเรียสเขยิบมากระซิบบอกกับฮันซ์
    “เอ่อ แล้วนี้ผมจะเริ่มเรื่องของเอวาตรงไหนดีล่ะเนี่ย อืม ใช่ๆ เธอเป็นราชินีแห่งทรีเอ็น ใครๆ ต่างเรียกเธอว่าอย่างนั้นไม่เว้นแม้แต่พวกทัวรีนัวและทัวทีเนีย แต่อยากให้เธอจำตรงนี้ไว้ให้แม่นๆ เลยนะฮันซ์ เอวา ไม่ใช่คนขององค์กร 13 O’clock แต่เธอคือเหยื่อที่พวกมันเลือกมา”สีหน้าเวลาพูดถึงองค์กร 13 O’clock ของแมกคาเรียสจะดูจริงจังและใส่อารมณ์เป็นพิเศษ
    “เอวาเป็นคนพิเศษ เธอไม่สามารถอยู่ในทรีเอ็นได้เมื่อกับพวกเรา แต่เธอจะตื่นขึ้นมาในทรีเอ็นเป็นบางครั้งบางคราว แต่สามารถอยู่ได้นานกว่าเวลาที่กำหนดไว้โดยที่ไม่สูญเสียความทรงจำหรือสามัญสำนึกของกายเนื้อไปด้วย นั้นคือความพิเศษของเธอ”
    “เอวาเป็นผู้ที่มีมาสเตอร์ซี๊ดด้วยหรือเปล่าครับ!!??”ฮันซ์ขัดขึ้นมา
    “เปล่าๆ เธอไม่ได้มีสิ่งนั้นหรอก เพราะพลังที่เธอมีมันยิ่งใหญ่กว่าที่มาสเตอร์ซี๊ดจะทำได้ซะอีก อืม จะว่าไปถ้าเธอลองรู้จักมาสเตอร์ซี๊ดด้วยล่ะก็ งั้นก็แปลว่า...........”แมกคาเรียสจ้องไปที่ฮันซ์พลางกรีดนิ้วราวกับกำลังพิสมัยของล้ำค่าอยู่
    “ใช่ครับ........ผมคือผู้ครอบครองมาสเตอร์ซี๊ด”ฮันซ์คิดว่าแมกคาเรียสรู้เยอะจนเรื่องนี้ไม่น่าเป็นความลับอีก
    “โหๆ!!?? ไหนดูสิ ถ้าให้เดาฉันว่าเธอคงมีมาสเตอร์ซี๊ดจ้างแห่งกุญแจอยู่ล่ะสิ”แมกคาเรียสคาดเดาได้ถูกเผงแต่ฮันซ์ก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลก ในบรรดาคนที่มีมาสเตอร์ซี๊ดคนที่น่าจะค้นหาคนอื่นได้ดีที่สุดก็มีแต่คนที่ใช้มาสเตอร์ซี๊ดจ้าวแห่งกุญแจเท่านั้น
    “รู้ตั้งแต่ผมมาถึงแล้วเหรอครับ นั้นคงเป็นเหตุผลที่ยอมให้ผมเข้ามาสินะ”ฮันซ์เริ่มใจเย็นลงและคิดประติดประต่อเรื่องได้แล้ว
    “แกน บอกฉันไว้.......ว่าสักวันคนที่มีมาสเตอร์ซี๊ดจ้าวแห่งกุญแจจะมาหาฉันพบ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้เหมือนกัน เอาเถอะฉันไม่สักอะไรมากล่ะกันเพราะเธอเองก็คงไม่ยอมบอกความลับตัวเองออกมาใช่ไหมล่ะ งั้นพวกเรามาคุยเรื่องของเอวากันต่อเถอะ”แมกคาเรียสยิ้มจางๆ พลางก้มลงรินน้ำเพิ่มราวกับขาดมันเสียไม่ได้
    “พลังของ เอวา ไม่ใช่แบบมาสเตอร์ซี๊ดเธอเป็นคนที่เข้ามาในทรีเอ็นโดยที่ไม่มีผู้ชักนำ หรือ ที่เรียกกันว่าทัวรีนัว ทุกคนแปลกใจกับการมาของเธอมาก ไม่เว้นแม้แต่ แกน แต่พอเวลาผ่านไปพวกเราก็ได้ตระหนักถึงความแปลกแยกของเอวาขึ้นมา.......นั้นเพราะเธอสามารถออกคำสั่งกับพวกทัวทีเนียได้”พูดถึงตรงนี้ฮันซ์ก็สะอึกขึ้นมาทันที
    “รวมถึงพวกทัวรีนัวด้วยเหรือเปล่าครับ”ฮันซ์ถามเบาๆ
    “ไม่ๆ เธอก็รู้นี้ ทัวรีนัวไม่เหมือนกับทัวทีเนียตรงที่พวกเขาเป็นมนุษย์จริงๆ แต่กับทัวทีเนียที่เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นแล้วคงมีคำอธิบายได้ง่ายกว่าว่าทำไมเอวาถึงควบคุมออกคำสั่งพวกนั้นได้”แมกคาเรียสส่ายหน้า
    “ครั้งที่ฉันรู้จักเอวาครั้งแรกนั้น ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกวันนั้นก็เหมือนกับทุกๆ วัน ฉันอยู่ในห้องทำงานของทีมงานที่ซ่อนไว้ด้านนอกของทรีเอ็น”พอแมกคาเรียสเอ่ยถึงเรื่องนี้ฮันซ์ก็สะดุ้งเฮือกทันที
    “ใช่ที่เดียวกับรังลับของเจ้าพวกสตริงเกอร์เปล่าหว่า”ฮันซ์ยิ้มแห้งๆ และฟังแมกคาเรียสเล่าต่อ
    “จู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นมา เล่นเอาฉันตกใจจนแทบหัวใจวายตายแนะตอนนั้น พึ่งมารู้เอาที่หลังว่าแกนเป็นคนแนะนำเธอให้มาพบกับฉันเอง”แมกคาเรียสกำลังเล่าเพลินๆ แต่ฮันซ์ก็ต้องเสียมารยาทขัดขึ้นมาก่อน
    “สรุปว่าแกนเป็นสาเหตุการตื่นของเอวา หรือ เป็นเพราะคุณกันแน่ครับ”ฮันซ์รีบถามเพราะเป็นกังวลเรื่องเวลา
   
    “เปล่าไม่ใช่แกน แต่นั้นล่ะประเด็นของพวกเราฮันซ์ เอวาตื่นขึ้นมาเพราะอะไร หล่อนตื่นขึ้นมาเพื่อตามหาใครบางคน อย่างเช่นครั้งนั้นที่เธอตามหาฉันเพื่อเรียนรู้ความรัก และครั้งนี้ก็เหมือนกันเอวาคงจะรับรู้ถึงใครบางคนที่พิเศษกว่าใครเธอจึ่งตื่นขึ้นมาเพื่อตามหาเขา”แมกคาเรียสเฉลยสิ่งที่ฮันซ์ต้องการอยากรู้ที่สุดออกมาได้ราวกับเป็นเรื่องอาหารเช้าพรุ่งนี้จะเป็นอะไร
    “เพื่อตามหาคน..........ขอบคุณมากครับ คุณแมกคาเรียส”ฮันซ์คิดว่าได้ข้อมูลมาครบแล้วจึ่งเตรียมจะลุกขึ้นลาแต่กลับถูกรั้งตัวไว้ด้วยสีหน้าเงียบขรึมและแววตาที่แสดงความคุ่นเขืองใจออกมาของแมกคาเรียส
    “เธอไม่อยากรู้จักเอวาให้มากกว่านี้เหรอฮันซ์ เธอดั้นด้นมาหาฉันถึงที่นี้เพื่อจะเอาข้อมูลที่ทั้งแกนและทัวรีนัวที่ชื่อเอกริสม่ารู้อยู่แล้วกลับไปรายงานงั้นเหรอ”แมกคาเรียสพูดเสียงเรียบๆ ต่างจากเดิมที่ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง
    “คุณรู้จักเอกริสม่าด้วยเหรอ!!??”ฮันซ์เบิกตากว้างจนแมกคาเรียสรู้ว่าฮันซ์ตกใจกับเรื่องนี้มากแค่ไหน
    “ถ้าฉันรู้จักแกน แต่ไม่รู้จักสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ซึ่งอยู่ข้างกายของเขาเสมอก็คงแปลกพิลึกล่ะ แต่ฉันจะไม่พูดถึงพวกเขาเพราะอย่างน้อยตอนนี้บุญคุณที่พวกนั้นมีกับฉันมันก็ค้ำหัวอยู่..........ในเมื่อตอนนี้เธอได้สิ่งที่ต้องการจากฉันไปแล้ว ถ้าฉันอยากจะขออะไรแลกเปลี่ยนจากเธอกลับมาก็คงจะได้ใช่ไหม ฮันซ์”แมกคาเรียสไม่ยิ้มและแสดงออกทางสีหน้าเลยเป็นสัญญาณเตือนให้ฮันซ์รู้ว่าเขาหมดสิทธิ์จะปฏิเสธได้แน่
    “คุณต้องการอะไรจากผม”ฮันซ์ถามไปตรงๆ
    “ช่วยเอวา อย่าให้พวกองก์กร 13 O’clock หรือทัวรีเนียคนไหนเข้าถึงตัวเธอได้ ค้นหาสาเหตุและทำให้เธอหลับซะ”
    “ให้ผมช่วยราชินีเอวาที่มีพลังมากกว่าผมเนี่ยนะ พูดเป็นเล่นไป”ฮันซ์ถึงจะเป็นคนชอบเสี่ยงและหาเรื่องตื่นเต้นทำแต่เขาก็รู้ว่าลิมิตที่ตัวเองไปถึงได้มันอยู่ตรงไหน และคราวนี้มันเกินลิมิตของเขาไปไกลซะแล้ว
    “ถึงเอวาจะมีพลังแต่เธอก็ยังไม่มีอะไรบางอย่างอีกเยอะ ตัวเธอเองก็เหมือนกันฮันซ์ถึงจะคิดว่าตัวคนเดียวจะทำอะไรไม่ได้ก็เถอะ แต่ฉันคิดว่าคนอย่างเจ้าเอกริสม่าคงไม่ปล่อยให้เธอเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามลำพังแน่ เธอและเพื่อนๆ ของเธอช่วยทำมันได้นะ และถามฉันล่ะก็บอกได้เลยว่านี้เป็นแผนที่เจ้าเอกริสม่าต้องการให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว”แมกคาเรียสพูดเสร็จก็ถอนหายใจและกลับมายิ้มจางๆ ให้
    “ดูเหมือนฉันจะพูดเอาแต่ใจไปหน่อย ขอโทษเธอด้วยนะฮันซ์........ฉันก็แค่คนไร้ค่าที่ไม่สามารถช่วยเอวาได้”สีหน้าของแมกคาเรียสดูแก่ลงไปถนัดตาราวกับมีความทุกข์อันยิ่งใหญ่เกาะกุมหัวใจอยู่
    “ก็ได้ แต่ผมจะทำในสิ่งที่พอทำได้ ถ้าเห็นว่ามันเป็นอันตรายผมจะหยุดทันที ตกลงไหมครับ”ฮันซ์เองก็ไม่ใช่คนไร้หัวใจถึงจะท่าทางจะแข็งกระด้างแต่ภายในนั้นกลับมีคุณธรรมและความเมตตาอยู่สูงทีเดียว
    “ไม่มีอะไรดีกว่านั้นอีกแล้ว”แมกคาเรียสฉีกยิ้มอย่างดีใจ
    “เรายังมีเวลาอีกเยอะ เพราะงั้นฉันอยากให้เธอรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับเอวาอย่างที่ฉันรู้ เราคงต้องไล่เรียงมาตั้งแต่วิธีเข้าทรีเอ็นของเอวาเลย ซึ่งนั้นฉันต้องหาเบาะแสอยู่นานกว่าจะรู้ในที่สุด............เธอรู้ไหมฮันซ์ว่าเอวาเข้ามาในทรีเอ็นโดยไม่ต้องนอนและก็......ไม่ต้องใช้ซี๊ด”แมกคาเรียสเริ่มรู้แล้วว่าฮันซ์จะโผลงออกมาทุกครั้งที่มีเรื่องแปลกใจเลยหยุดเว้นช่วงไว้
    “หา!!?? วิธีเข้าทรีเอ็นโดยไม่ต้องหลับและไม่ต้องใช้ซี๊ด”
    “แปลกใช่ไหมล่ะ ถึงมันจะเป็นสมมุติฐานที่ยังไม่ได้ทำการยืนยันก็เถอะ แต่ฉันเชื่อในคำพูดของเอวา และนั้นก็อธิบายได้ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในทรีเอ็นได้เป็นเวลานานๆ และหลับไปโดยยังคงตัวตนในทรีเอ็นได้อยู่......เพราะตัวตนจริงๆ ของเอวานั้น..........ไม่เคยหลับใหล”แมกคาเรียสยกมือขึ้นห้ามฮันซ์ไม่ให้ขัดเพื่อจะได้เล่าต่อ
    “เพราะการที่เธอไม่ได้นอนเลยอาจทำให้จิตประสาทของเธออ่อนล้า มันก็เหมือนอยู่ในสภาพเหม่อลอยตรงส่วนนี้ฉันเลยเดาว่ามันอาจทำให้ความคิดของเธอสร้างตัวตนขึ้นมาในทรีเอ็นได้โดยใช้เครื่องมือบางอย่างช่วย ตรงส่วนนั้นฉันคงต้องใช้เวลาอธิบายเยอะเลยจะขอข้ามทฤษฎีไปเลยล่ะกันนะ
    เพราะการที่เอวาเข้ามาในทรีเอ็นด้วยวิธีนี้เลยทำให้เอวานั้นมีตัวตนทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงในสภาพไม่เคยหลับไหล และตัวตนของทรีเอ็นในภาคของราชินีเอวาที่ปกติจะอยู่ในสภาพหลับใหล เรื่องปรึกษาการคงอยู่ของเอวาฉันก็รู้เท่านี้ล่ะ แต่ต่อไปเราจะพูดถึงพลังและสิ่งที่พวก 13 O’clock ต้องการจากเธอกัน”แมกคาเรียสจิบกาแฟอึกใหญ่พลางเงียบลงราวกับกำลังทบทวนความทรงจำหรือไม่ก็ปรับอารมณ์ให้ปกติอยู่เวลาพูดถึงพวก 13 O’clock
    “พลังอย่างแรกของเอวาคือการควบคุมพวกทัวทีเนีย แต่ปกติเธอไม่ค่อยสั่งให้พวกนั้นทำอะไรหรอกนะ นอกจากจะใช้พวกนั้นเพื่อการป้องกันตัว แต่การไปไหนมาไหนโดยมีเจ้าพวกนั้นล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ทุกคนเลยเรียกเธอว่าราชินี
    ส่วนพลังอย่างที่สองก็คือการรับข้อมูลโดยตรงของทรีเอ็น ทุกครั้งที่เธอตื่นเธอจะทำการอ่านบันทึกทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาในทรีเอ็น น่าตกใจใช่ไหมล่ะ ฮันซ์ เธอเองก็สามารถรับข้อมูลจากทรีเอ็นได้ แต่ก็อย่างที่รู้ว่าการรับข้อมูลโดยตรงอาจทำให้ถึงตายได้นั้นล่ะฉันถึงบอกว่าพลังของเอวามากกว่าของมาสเตอร์ซี๊ด”แมกคาเรียสทำท่าอยากจะถามเรื่องมาสเตอร์ซี๊ดจากฮันซ์แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะเขาอยากจะต่อเรื่องของเอวาให้จบ
    “และพลังล่าสุดของเธอ พลังอย่างที่สาม พลังที่ใช้ทำลายข้อมูลของทรีเอ็น ไม่ใช่การลบ แต่มันทำให้ข้อมูลสลายหายไปอย่างไร้ร่องลอย”แมกคาเรียสถึงจะพูดเรียบๆ เฉยๆ แต่ฮันซ์กับขนลุกขนพองขึ้นมาทันทีเพราะเขารู้ว่านั้นมันร้ายแรงขนาดไหน
    “คุณบอกว่า พลังล่าสุด?? หมายความว่าไงกันครับ พลังของเอวาไม่ได้มีมาแต่แรกหรอกเหรอ”คำถามของฮันซ์ทำให้แมกคาเรียสหัวเราะอย่างพอใจออกมา
    “ฮ่าๆๆ หัวไวมากฮันซ์ ใช่แล้ว ครั้งแรกที่เอวาเข้ามาในทรีเอ็นก็มีพลังเพียงอย่างเดียวก็คือการควบคุมทัวทีเนีย และครั้งล่าสุดที่เธอตื่นขึ้นมาเพื่อตามหาฉันนั้นเป็นการตื่นครั้งที่ 3 ของเอวา นั้นก็หมายความว่า ทุกครั้งที่เอวาตื่นขึ้นมาเธอจะมีพลังอย่างใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่ง
    และนั้นล่ะ สาเหตุว่าทำไมพวก 13 O’clock ถึงได้มาเกี่ยวพันกับเอวา พวกมันต้องการครอบครองพลังนั้น หรือไม่ เอวาก็อาจเป็นเหยื่อที่พวกมันกำลังใช้ทดลองอยู่ก็เป็นได้”แมกคาเรียสจ้องมาที่ฮันซ์ด้วยดวงตาลุกวาว
    “คำพูดสุดท้ายที่เอวาพูดไว้กับฉันก็คือ ช่วยทำให้ฉันหลับที นั้นไม่ใช่การหลับในทรีเอ็นหรอกนะ แต่เธอหมายถึงการทำให้ตัวตนในโลกความจริงของเธอนั้นหลับ เพราะนั้นเป็นทางเดียวที่จะทำให้ตัวตนในทรีเอ็นของเธอหายไป ช่วยทีนะฮันซ์ ช่วยทำให้เอวาหลับให้ได้”
    “จะให้คนที่ไม่เคยหลับใหลนอนหลับ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการปลุกคนที่ไม่เคยหลับให้ตื่นเลย”ฮันซ์คิดในใจขณะพยักหน้ารับปากแมกคาเรียสโดยที่ตัวเองนั้นไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้เลยแม้แต่น้อย
                    ...............................
                เมจิกได้เข้ามาในทรีเอ็นก่อนเวลาที่นัดไว้เล็กน้อยเลยมาก่อนเป็นคนแรก  ระหว่งที่ยืนรอตรงบันไดเวียนในห้องรับแขกและก็เฝ้าดูผู้คนที่ปรากฎตัวขึ้นมาในเก้าอี้ก่อนจะลืมตาตื่นและลุกขึ้นอย่างร่าเริงซึ่งส่วนใหญ่เมจิกสังเกตเห็นว่าจะรู้จักกันเป็นกลุ่มใหญ่ซะด้วย
    มีหลายคนที่กำลังมายืนรอแบบเดียวกับที่ทริซทำพลางจ้องดูเวลาในนาฬิกาเพื่อรอเพื่อนหรือคนรู้จักเข้ามาจึ่งจะพากันออกไปพร้อมกัน และนอกจากผู้คนมากหน้าแล้วอีกสิ่งที่ยังเห็นก็คือเหล่าทัวรีนัวที่กำลังทำหน้าที่กันอย่างแข็งขัน
    ถึงแม้พวกนี้จะมีการแต่งตัวที่เหมือนกันคือเสื้อโค้ตสีดำยาวมาจนถึงหัวเข่า ข้างในใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวผูกไทไว้อย่างเรียบร้อย รองเท้าหนังสีดำที่ขัดจนมันวับ ทว่าก็มีที่ต่างกันออกไปอย่างเห็นได้ชัดสุดก็คือใบหน้า
    ทัวรีนัวบางคนมีผมทองสีตั้งและใส่ตุ้มหูเป็นแผง ส่วนบางคนก็ใช้ ผ้าโพกหัวไว้ หรือไม่ก็แว่นตาดำ มีแม้แต่พวกที่มีรสนิยมแปลกๆ หรือชอบทำตัวเหมือนกับทัวทีเนียที่จะใส่หน้ากากเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครเลยที่ใส่หมวกปีกแบบเอกริสม่า
และถ้าเทียบกันดูเมจิกรู้สึกว่าเอกริสม่านั้นเป็นทัวรีนัวที่อารมณ์ดีและสุภาพที่สุดแล้ว ถึงเขาจะแปลกๆ อย่างที่แจ๊คหรือโรสบอกก็ตามทีเถอะ เพราะส่วนใหญ่แล้วสำหรับคนที่เข้ามาในทรีเอ็นได้อาทิตย์แรกหรือเดือนแรกก็จะมีทัวรีนัวของตัวเองตามติดทุกฝีเก้า เพื่อคอยสอนหรือแนะนำสิ่งต่างๆ ให้ราวกับเป็นพี่เลี้ยง
    “ฉันรู้นายคิดอะไรอยู่ คงคิดว่าทำไมกิมม่าถึงได้ไม่มาให้ความใส่ใจพวกเราแบบนั้นบ้างใช่ไหมล่ะ”เสียงโรสเอ่ยขึ้นข้างหูของเมจิกทำให้เขาสะดุ้งตัวเบาๆ เพราะไม่ทันสังเกตตอนเธอมาเลยขณะจ้องมองไปยังคนที่พึ่งมาใหม่ที่กลัวจนนั่งพับไปกับพื้นขนาดต้องให้ทัวรีนัวประจำตัวปลอบใจให้อยู่นาน
    “แล้วคุณโรสเคยถามเขาเปล่าล่ะครับ”เมจิกถามขณะยังมองไปที่เดิม
    “เคยสิ ฉันโมโหเอาเรื่องอยู่ตอนนั้น เอ่อ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันตอนมาที่นี้ใหม่ๆ น่ะ เป็นเรื่องแย่ๆ มากๆ ในชีวิตของฉันเลย.........ฉันโมโหกิมม่าที่ทำไมถึงไม่เข้าไปช่วยหรือแนะนำอะไรให้เลย”โรสทำหน้าไม่สบายใจจนเมจิกต้องปล่อยให้เธอพูดตามแต่ใจ
    “แล้วรู้ไหมเขาตอบว่าอย่างไง”โรสเงยหน้าขึ้นมาถาม
   
    “เรียนรู้ด้วยตัวเอง”ทั้งเมจิกและโรสตอบออกมาพร้อมกัน เพราะทั้งคู่เข้าใจแนวความคิดบ้าๆ บอๆ ของเอกริสม่าดี อย่างที่เขาทำอยู่คือการเรียนรู้ด้วยของจริงจะทำให้จำได้ไม่มีลืม
    “คิกๆๆ ว่าแต่นี้พวกเราเข้ามาก่อนเวลาหรือเจ้าแจ๊คมันช้ากันแน่นะ”หลังจากหัวเราะอย่างสนุกสนานกับเมจิกแล้วโรสก็พึ่งนึกได้ว่านี้มันเลยเวลานัดมาแล้วเลยถามเมจิกดู
    “ยังไม่เห็นเขาเข้ามาเลย แต่บางทีเขาอาจเข้ามาก่อนพวกเราก็ได้นะครับ”เมจิกบอกแต่ถึงเวลาจะลดลงไปเรื่อยๆ เขาก็ไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจอะไรแบบโรส เพราะทุกวินาทีที่เขาได้พูดหรือได้มองก็คือช่วงเวลาที่มีค่าสำหรับเขาแล้ว
    “นั้นสิ หรือว่าจะไปที่รังลับตรงหลังบาร์เหล้าแล้ว.........เอางี้เมจิก ฉันจะไปดูแจ๊คที่นั้นดู ส่วนนายรอที่นี้เผื่อเขาเข้ามาที่หลัง ตกลงนะ”โรสบอกโดยไม่รอฟังคำตอบแต่กลับวิ่งพรวดหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
    “ผมก็ว่าจะบอกแบบนั้นอยู่”เมจิกงึมงำกับตัวเองเบาๆ ขณะที่โรสหายไปไกลแล้ว
    แต่ถึงจะรออยู่ตรงนั้นกว่าสิบนาทีเมจิกก็ยังไม่เห็นวี่แววของแจ๊คเลยจนตัวเขาเองก็เริ่มจะเบื่อๆ เพราะตอนนี้ในห้องรับแขกมันก็เริ่มเงียบลงนานๆ ทีถึงจะมีใครโผล่ออกมาจากเก้าอี้ กระทั่งต้องอ้าปากฮ้าวกว้างและบีดขี้เกียจก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งย่องๆ กับพื้นแทน
    “รอใครอยู่เหรอคะ”เสียงหนึ่งถามขึ้นข้างหลังของเมจิก
    “รอเพื่อนนะครับ แต่สงสัยไม่มาแล้วล่ะ”เมจิกตอบเรื่อยๆ แต่ครู่หนึ่งเจ้าของเสียงนั้นก็เดินอ้อมจนมานั่งย่องๆ อยู่ตรงหน้าเขาด้วย
    “ก็แปลว่าตอนนี้เธอว่างอยู่ใช่ไหม”เด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมจิกแต่ตัวเล็กกว่าถามด้วยรอยยิ้มแสนซน
    “เอ่อ คือก็ไม่เชิง”เมจิกรีบหลบสายตาจากเธอทันทีเพราะรู้สึกแปลกๆ เวลาที่มองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของเธอ เรือนผมสีขาวที่ปล่อยยาวของเธอยิ่งทำให้ดูลึกลับ
    “ฉันไม่มีเพื่อนเลย ไปเล่นด้วยกันนะ”หญิงสาวไม่ได้ฟังเมจิกแต่กลับยื่นมือมาแตะมือเขาไว้และขณะนั้นเองเมจิก็รู้สึกเหมือนกำลังหกคะเมนตีลังกาไปข้างหลัง พอรู้สึกตัวอีกครั้งเขาก็ดีดตัวลุกขึ้นเพราะทิวทรรศรอบตัวมันเปลี่ยนไปเป็นสวนเด็กเล่นซึ่งดูจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ แล้วเมจิกเดาว่าน่าจะเป็นในเขตของพวกกิลเลี่ยนอยู่
   
    “เธอทำได้อย่างไง!!??”เมจิกหันกลับมาถามอย่างตกใจกับเด็กสาวที่ตอนนี้เดินไปนั่งชิงช้าและไกวตัวเบาๆ
    “เพื่อนของเธอก็ทำได้ไม่ใช่เหรอ.........คนที่ชื่อแจ๊ค”เด็กสาวตอบพลางแกล้งทำสีหน้าแบบเดียวกับเมจิกเป็นการล่อเลียน
    “อะ อ่ะ ใช่”เมจิกกลับไม่ได้คิดมากไปกว่าที่เข้าใจอยู่ตอนนี้ว่า เด็กคนนี้ก็คงเป็นผู้ครอบครองมาสเตอร์ซี๊ดและอาจเป็นคนรู้จักกับแจ๊คที่อยู่มานานและกว้างขวางเอาเรื่อง
    “ไหนๆ ถ้าไม่มีแจ๊คก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไงดีอยู่แล้ว..........ช่างมันเถอะถึงเราจะอยู่กับพวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”เมจิกใคร่ครวญในใจดูก่อนจะยักไหล่และหันมาเล่นกับเด็กสาวซึ่งตัวเขาก็อยากทำแบบนั้นอยู่แล้วด้วย
    “เอ๋?? นี้เธอไม่มีนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเหรอ”หลังจากเล่นไปอยู่ครู่หนึ่งเมจิกพึ่งสังเกตเห็นว่าที่ข้อมือของเด็กสาวไม่มีนาฬิกาที่ทุกคนในทรีเอ็นต้องมี
    “ไม่มีหรอก แต่ฉันรู้เวลานะ”เด็กสาวตอบพลางฉีกยิ้มให้
    “พิลึกคน”เมจิกเห็นท่าทางร่าเริงของเด็กสาวแล้วก็นึกขำเพราะทุกคนในนี้ถึงจะแสดงท่าทีมีความสุขอยู่แต่ก็มีสีหน้าเป็นกังวลด้วยกันทั้งนั้นขณะก้มลงมองไปที่นาฬิกาข้อมือ
    เมจิกได้เล่นกับเด็กสาวแปลกหน้าอย่างสนุกสนานโดยไม่มีเรื่องอะไรมากวนใจ ตัวเมจิกเองก็ชอบอยู่แล้วเพราะเคยได้ยินแต่เสียงเด็กแถวบ้านที่เล่นกันดังแววมาแต่ไกลๆ ไม่เคยได้ลองมาเล่นกับเขาดูเลยสักครั้งถึงแม้ใจจะอยากเล่นมากแค่ไหนก็ตามที ส่วนเด็กสาวก็เล่นราวกับไม่ได้เล่นมาเป็นปีๆ แล้วเหมือนกัน
    แต่เมื่อทั้งคู่เล่นจนในสวนเด็กเล่นนั้นไม่มีอะไรให้เล่นแล้วก็กลับมานั่งที่ชิงช้าและเด็กสาวก็เริ่มเอ่ยปากถามบางเรื่องกับเมจิกขึ้นมาซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ราวกับพยายามทำความรู้จักเขาอยู่
    “พึ่งเข้ามาในทรีเอ็นแต่กลับไม่มีทัวรีนัว คิกๆๆ เหมือนเด็กโดนทิ้งเลยเนอะ”เด็กสาวหัวเราะคิกคักเมื่อเมจิกเล่าว่าเขาได้เห็นหัวทัวรีนัวของตัวเองแบบนับครั้งได้
    “ถึงจะฟังแล้วรู้สึกไม่ดี แต่ก็ใช่ล่ะนะ”เมจิกยิ้มแห้งๆ
    “แล้วเธอล่ะ อยู่ที่นี้มากี่ปีแล้ว ฉันว่าคงนานแล้วล่ะสินะ”เมจิกถามกลับไปบ้าง
    “ใช่นานมากเลย 3 ปีแล้ว”เด็กสาวตอบขณะนั่งนับนิ้ว
    “โห!!?? ตั้งสามปีถ้านับอายุในทรีเอ็นแก่กว่าแจ๊คอีกนะเนี่ย”เมจิกหัวเราะเป็นการใหญ่จนเด็กสาวทำหน้างอนใส่และหันมาระดมทุบใส่ต้นแขนเขาเป็นการใหญ่
    “แต่จะว่าไป เธอยู่นี้มาตั้ง 3 ปีแล้ว แต่ทำไมไม่มีเพื่อนเลยล่ะ”เมจิกพอถามเรื่องนี้เด็กสาวก็ทำหน้าซึมลงกะทันหันราวกับพูดไปแทงใจดำเธอเข้า และการสนทนาของทั้งคู่ก็หยุดอยู่แค่นั้นเด็กสาวไม่พูดอะไรออกมาอีกส่วนเมจิกก็รู้สึกว่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามออกไปแต่ก็อึกอักใจที่จะหาเรื่องชวนคุยกับคนที่พึ่งรู้จักกัน
    “ฉันไม่สบายอยู่นะ........ถึงจะบอกว่าอยู่มา 3 ปีก็เถอะ แต่จริงๆ แล้วเวลาที่มีมันน้อยจริงๆ”หญิงสาวเริ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางหันมาจ้องหน้าเมจิกด้วยสายตาประหลาด
    “เธอชอบ........อยากได้อะไรมากที่สุดเหรอ เมจิก”
    “ฉัน.......”เมจิกไม่เคยมีใครถามแบบนี้กับเขามาก่อนจนตัวเขาเองก็ลืมสิ่งที่ต้องการไปแล้ว แต่แวบหนึ่งในความทรงจำที่แสนเย็นยะเยือกแต่น่ามหัศจรรย์ก็โผล่ขึ้นมา
    “ฉันอยากเห็นหิมะ”เมจิกตอบ เพราะเขาคิดว่านี้อาจเป็นสิ่งเดียวก็เป็นได้ที่เขาอาจไม่ได้เห็นในทรีเอ็น
    “คิกๆๆ นี้เธอคงมาจากประเทศที่ไม่มีหิมะตกเลยหรือไงกัน”เด็กสาวหัวเราะแต่กลับเป็นเมจิกที่หน้าแดงเพราะไม่รู้จะบอกไงดีว่าเขาแทบจะเกิดมากับหิมะเลยก็ว่าได้แต่ถึงจะเคยสัมผัสแต่เขาก็ไม่เคยเห็นรูปร่างของละอองเย็นๆ ที่ตกลงมาจากฟ้าดูสักครั้ง
    “นี่ถ้าจะถามแล้วมาหัวเราะเยาะแบบนี้........อย่า!!?? ไม่จริง”เมจิกกำลังจะหันไปร้องว่าแต่ตอนนี้เขาก็ได้เห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังล่วงผ่านหน้าเขาไป สิ่งที่ดูเหมือนปุยนุ่นเล็กๆ สีขาวๆ ดูบริสุทธิ์และสวยงาม
    “หิมะไง เมจิก”เด็กสาวยิ้มบอกพลางชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งขณะนี้กำลังมีหิมะโปรยปรายลงมาทั่วทุกสาระแห่ง
                ..........................
    “นี้มันหมายความว่าไงกันเหรอ แกน”เอกริสม่าเอ่ยถามขึ้นขณะยืนอยู่ในห้องที่มีจอผ่านเรียงอยู่รอบฝาพนังซึ่งตอนนี้มันก็เป็นภาพของเมืองที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย
    “เอวา เธอแสดงตัวแล้ว”เสียงชายคนหนึ่งตอบกลับมา เสียงที่ดังอู้อี้และก้องสะท้อนเหมือนพูดผ่านเครื่องดัดเสียงซึ่งเสียงพูดนั้นดังมาจากหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ตรงกลางห้องซึ่งภายในเห็นเพียงเงารางๆ ของคนคนหนึ่งเท่านั้น
    “ทั้งๆ ที่ตัวตนเธอยังคงนั่งอยู่ในปราสาทนาฬิกาตายงั้นเหรอ”เอกริสม่าพูดอย่างสงสัยขณะมองไปยังจอภาพที่มีเงาหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรบางๆ คลุมอยู่รอบด้าน
    “การพัฒนาของสภาพจิต”เสียงชายหนุ่มในหลอดแก้วตอบกลับมาอีกครั้ง
    “เอ๋!!?? การพัฒนาสภาพจิตจนสามารถแยกจิตออกไปเป็นอีกร่างได้งั้นเหรอ เรื่องแบบนี้ไม่เห็นคุณเคยพูดถึงเลยนี้ แกน”เอกริสม่าถามอย่างเรื่อยๆ ซึ่งคราวนี้แกนก็ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับมา
    “เรื่องนั้นคงต้องมาศึกษากันดูที่หลัง แต่ตอนนี้คุณคิดเหมือนกันไหมว่าพลังของเอวาคราวนี้มันอย่างไงๆ อยู่”เอกริสม่าพูดอย่างเดินวนไปวนมาแสดงความกังวลใจถึงแม้จะทำหน้าตายอยู่ก็ตามที
    “คิดว่าไงล่ะ กิมม่า”เสียงแกนถามย้อนกลับมา
    “ไม่ล่ะ............ไม่คิดจะดีกว่า”เอกริสม่าส่ายหน้า
    “ใช่แล้ว กิมม่า ไม่ต้องคิดหรอก เพราะนั้นคือพลังแบบเดียวกับที่ฉันมี พลังที่ไว้สร้างสรรค์ พลังแห่งการสร้างของ แกน”แกนตอบออกมาโดยไม่แสดงความประหลาดใจในน้ำเสียงเลย
    “พลังในการควบคุม พลังในการเรียนรู้ พลังในการทำลาย และนี้เธอยังได้พลังในการสร้างไปอีก มันเกิดขึ้นได้อย่างไงกัน แกน ถึงจะเป็นฝีมือของ 13 O’clock ก็เถอะนะ แต่แบบนี้มันเกิดลิมิตที่พวกนั้นทำได้แล้วนี่น่า พลังในการสร้างเป็นพลังของคุณคนเดียวไม่ใช่เหรอ”เอกริสม่าร้องถามแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีกครู่ใหญ่
    “........บาที..........เราอาจต้องรอคำตอบที่เด็กพวกนั้นมาหาให้”
                    ...........................
    “แบบนี้เอง การตื่นของเอวาทุกครั้งจะมีเงื่อนไขตรงกันอย่าง คือ ช่วงเวลาที่มีสมาชิกใหม่เข้าสู่ทรีเอ็นเป็นจำนวนมากๆ”ฮันซ์กำลังมองข้อมูลที่แสดงอยู่บนคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของแมกคาเรียสซึ่งมันมีข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจแสดงอยู่
    “ถูกแล้ว ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินปกติ เพราะมันเป็นการอำพรางของพวก 13 O’clock ในการส่งคนหรืออะไรบางอย่างแปลกปลอมเข้ามาสู่ทรีเอ็น ตรงนี้ฉันว่ามันอาจกระทบกระเทือนความคิดที่ถูกเชื่อมโยงเข้ากับทรีเอ็นของเอวาเข้าโดยบังเอิญ”แมกคาเรียสที่ยืนอยู่ข้างหลังคอยอธิบายเสริมให้ทุกอย่างที่ฮันซ์ต้องการจะรู้
    “แต่มันก็ไม่น่าเกี่ยวกับการระบุตัวคนที่จะเข้ามาในช่วงนั้นของเอวาเลยนี้ เธอจะรู้ได้อย่างไงว่าใครพิเศษหรือน่าสนใจอย่างที่เธอต้องการ เพราะทุกคน............”พอคิดว่าทุกคนในทรีเอ็นนั้นเหมือนกันหมดฮันซ์ก็ถึงกับชะงักขึ้นมาทันที
    “คิดออกแล้วใช่ไหมฮันซ์ ว่ามีใครแปลกแยกอยู่ในบรรดาคนที่เธอรู้จักอยู่”แมกคาเรียสยิ้มให้ขณะเดินมาปิดคอมลง
    “ไม่จริงน่าก็เจ้านั้น......เดี๋ยวก่อน!!?? คนที่พึ่งเข้ามาในทรีเอ็นช่วงนี้ คนที่พิเศษกว่าคนอื่น ไม่น่าเชื่อ!!?? เมจิกเองหรอกเหรอ สาเหตุของการตื่นของเอวาครั้งนี้”ฮันซ์ลุกพรวดขึ้นด้วยสีหน้าซีดเผือก
    “รีบไปเถอะ ฮันซ์ เธอคือผู้ที่รู้ความจริงทุกอย่างแล้ว เข้าไปแก้ไขมันซะ เร็วเข้าเพื่อนๆ ของเธอรออยู่นะ”แมกคาเรียสชี้นิ้วไปที่เตียงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงซอกตู้หนังสือราวกับเตรียมมันไว้ให้ฮันซ์อยู่แล้ว แต่พอฮันซ์ทิ้งตัวลงไปบนเตียงนั้นก็รู้ตัวทันทีว่าตอนนี้ความรู้สึกเขากำลังปั่นป่วนจนไม่อาจข่มตาให้หลับได้
    “เหล้าอุ่นๆ สักแก้วคงทำให้เธอหลับลงได้”แมกคาเรียสเดินเข้ามาก้มลงข้างเตียงพลางยื่นแก้วที่ใส่เหล้าไว้ครึ่งหนึ่งให้
    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ คุณแมกคาเรียส แล้วผมจะตอบแทนคุณให้รอฟังข่าวดีตอนผมตื่นมาอีกครั้งได้เลย”ฮันซ์หันมาบอกก่อนจะกระดกเหล้าลงคอไปหมดในอึกเดียว
    “แล้วฉันจะรอฮันซ์ ส่วนตอนนี้ หลับฝันดีนะ”
                ..................................
       
                                                                (จบตอน)
    “โกหก!!?? คุณพูดเรื่องอะไรกัน โปรแกรมมนุษย์เทียมนั้นเป็นฝีมือของราชินีเอวาใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น แต่ทำไมถึงมาบอกว่าเป็นฝีมือของตัวคุณเองล่ะ ผมไม่เชื่อหรอก”ฮันซ์ลุกขึ้นตะโกนลั่น หลังจากได้ที่พึ่งได้ฟังเรื่องของแมกคาเรียสมาได้เพียงครู่เดียว
    “เหรอ.........ใช่สินะ ใครๆ ก็รู้กัน”แมกคาเรียสไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางแปลกใจกับอาการของฮันซ์เลยแต่กลับยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอย่างใจเย็น
    “นี่คุณจะเล่นตกลงอะไรกับผมกันแน่ คุณแมกคาเรียส”ฮันซ์กำลังคิดว่าตัวเองอาจมาเสียเที่ยวก็เป็นได้
    “เปล่าเลย ฮันซ์ สิ่งที่เล่นตลกกับเธออยู่คือไอ้นี้ต่างหากล่ะ”แมกคาเรียสลุกขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มลงมาที่กลางหน้าของเขาจนถึงกับเซล้มลงมานั่งที่โซฟาตามเดิม
    “โปรแกรมฉุกเฉินรหัส A052”แมกคาเรียสพูดขึ้นลอยๆ ขณะที่ตัวเองก็กลับลงมานั่งลงตามเดิม
    “ฉุกเฉิน รหัส A!!?? ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเคยได้ยินคำพวกนี้มาก่อน”ฮันซ์เอามือกุมหัวราวกับมันกำลังจะพองบีบทะลักออกมาข้างนอก
    “ไม่แปลก ไม่ใช่เฉพาะเธอหรอกฮันซ์ทุกคนที่อยู่ในทรีเอ็นจะมีคำนี้อยู่ในหัวกันแทบทุกคน มันเป็นรหัสที่ใช้ในการปลูกถ่ายความทรงจำใหม่ลงไปไงล่ะ”แมกคาเรียสพูดพลางจ้องตาฮันซ์ที่ตอนนี้เบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด
    “ปลูกถ่ายความทรงจำ!!?? นี้คุณจะบอกว่าผมถูกล้างสมองงั้นเหรอ”ฮันซ์ทำท่าจะลุกขึ้นอีกแต่เอวีน่าใช้มือกดไหล่เขาไว้
    “ใจเย็นๆ พ่อหนุ่ม”
    “ขอบใจ เอวีน่า”แมกคาเรียสส่งยิ้มให้ก่อนจะหันมาคุยกับฮันซ์ต่อ
    “ฮันซ์ ฉันไม่อยากจะขู่ให้เธอกลัวหรอกนะ แต่ในทรีเอ็นมันมีซอกมุมมืดอีกมากมายที่เธอไม่รู้จัก ไม่เพียงแต่ข้างในนั้น ที่ข้างนอกก็ยังมีกลุ่มองค์กรที่กำลังพัฒนาให้ทรีเอ็นเป็นอาวุธอยู่ด้วย และการล้างสมองก็เป็นเพียงขั้นตอนแรกๆ ที่พวกนั้นพัฒนากันไปสำเร็จแล้ว.........นี้ถ้าไม่มี แกน คอยดูแลอยู่ตอนนี้ทรีเอ็นก็คง.........”แมกคาเรียสพอเอ่ยถึงแกนขึ้นมาก็ทำหน้าเศร้าหมองลงและเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
    “เอาเป็นว่า ถึงพวกนั้นจะเปลี่ยนความทรงจำเธอไปนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีอันตรายหรือผลกระทบอะไรมากนัก ตัวเธอเองก็ยังคงเป็นฮันซ์อยู่ ที่พวกนั้นใส่ไปในหัวเธอก็มีแต่เรื่องของฉันกับเอวา ความผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทรีเอ็นมันมักจะถูกโยนให้ความผิดของเอวา ก็แน่ล่ะ เพราะเอวามีตัวตนไว้ก็เพื่อสิ่งนั้นอยู่แล้ว”
    “แล้วนี้คุณจะให้ผมเชื่อคุณมากกว่าสิ่งที่อยู่ในหัวผมงั้นสิ”ฮันซ์ยิ้มแห้งๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ภายในหัวเขามันสับสนวุ่นวายไม่รู้จะเชื่อสิ่งใดดีอีกต่อไปแล้ว
    “นั้นเป็นสิ่งที่เธอต้องตัดสินใจเอง ฮันซ์”แมกคาเรียสยิ้มให้
    “เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องของฉันกันดีกว่าซึ่งฉันบอกได้เลยว่า ความทรงจำของฉันที่ได้อยู่ภายใต้การดูแลปกป้องจาก แกน นั้นเป็นของจริงอย่างน้อยก็สำหรับฉัน”แมกคาเรียสเริ่มเล่าเรื่องของเขาต่อซึ่งฮันซ์ก็ทำใจให้ลืมเรื่องอื่นได้อย่างยากเย็นแต่สุดท้ายด้วยท่าทางผ่อนคลายไม่มีท่าทีจะเสแสร้งของแมกคาเรียสก็ทำให้ฮันซ์คลายความระแวงใจลงไปจนสามารถเปิดใจรับฟังได้อีกครั้ง
    “ถึงไหนนะ อ้อ ใช่ๆ ตอนที่ฉันสร้างโปรแกรมมนุษย์เทียม อันที่จริงมันเป็น AI ระบบสมองกลเทียมที่มีความคิดจำลองมาจากมนุษย์ ซึ่งจะใช้สำหรับพัฒนาพวกทัวทีเนียให้ตัดสินใจได้อย่างมีศิลธรรมมากขึ้น แต่ก็ผิดพลาดขึ้นมาจนได้”ถึงตอนนี้แมกคาเรียสทำหน้าโกรธแค้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
    “เพราะพวกมัน พวกองค์กร 13 O’clock พวกมันขโมยเอาผลงานของฉันไปทำต่อ และใช้ในการทดลองสร้างเป็น มนุษย์เทียมขึ้นมาโดยมีแต่ความรู้สึกนึกคิดเพียงแต่ความรุนแรง พวกมันเลือกใช้สถานที่ทดสอบในทรีเอ็นเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากโลกภายนอก และแน่ล่ะถึงแกนจะพยายามป้องกันไว้แต่ก็ช้าไปแล้ว มีคนตาย........อย่างที่เธอรู้ จากนั้นพวกมันก็โยนความผิดไปที่เอวา และจับฉันไปล้างสมองก่อนจะถีบส่งออกมาจากทรีเอ็น........แต่โชคดีที่แกนป้องกันความทรงจำของฉันไว้ให้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
    และด้วยคำแนะนำของ แกน ว่าให้ฉันแสร้งทำเป็นลืมเรื่องในทรีเอ็นให้หมดและย้ายออกมาให้ห่างไกลสายตาของผู้คน เพราะงั้นฉันถึงได้มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขได้จนถึงตอนนี้”แมกคาเรียสหยุดพูดลงพลางหันมามองเอวีน่าอีกครั้ง
    “และด้วยความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด แกน ได้จัดหาคนมาอยู่คุ้มกันฉันด้วยในฐานะภรรยาเพื่อไม่ให้ใครสงสัย ซึ่งก็คือ เอวีน่า”แมกคาเรียสสบตากับเอวีน่าอย่างหวาดซึ้งเลยทำให้ฮันซ์รู้ว่าทั้งคู่มีความรู้สึกดีๆ ให้กันมากกว่าเป็นแค่บอดี้การ์ดกับนายจ้าง
    “แล้วแกนล่ะครับ แกนคือใคร และเขาเป็นอะไรกันแน่ในทรีเอ็น”ฮันซ์เห็นว่าแมกคาเรียสพูดถึงแกนบ่อยมากและดูจะมีอิทธิพลทั้งในทรีเอ็นและข้างนอกอยู่พอสมควรเลยต้องรีบถาม
    “.........สำหรับเขา ไว้เราค่อยพูดถึงกันที่หลังเถอะ แต่ตอนนี้ฉันควรจะเล่าเจาะลึกลงไปเกี่ยวกับตัวเอวาให้เธอรู้อีกหน่อยดีกว่า........เอวีน่า ถ้าเธอไม่อยากอยู่ฟังความรักกุ๊กกิ๊กสมัยหนุ่มๆ ของฉันจะไม่อยู่ฟังก็ไม่ว่ากระไรหรอกนะ”แมกคาเรียสร้องบอกอย่างขี้เล่น แต่ถูกเอวีน่ามองตาดุใส่ก่อนจะกระทืบเท้าปึงๆ ออกจากห้องไป
    “ฮะๆๆ เธอยังทำใจที่ผมคบกับเอวาสมัยอยู่ในทรีเอ็นไม่ได้นะ”แมกคาเรียสเขยิบมากระซิบบอกกับฮันซ์
    “เอ่อ แล้วนี้ผมจะเริ่มเรื่องของเอวาตรงไหนดีล่ะเนี่ย อืม ใช่ๆ เธอเป็นราชินีแห่งทรีเอ็น ใครๆ ต่างเรียกเธอว่าอย่างนั้นไม่เว้นแม้แต่พวกทัวรีนัวและทัวทีเนีย แต่อยากให้เธอจำตรงนี้ไว้ให้แม่นๆ เลยนะฮันซ์ เอวา ไม่ใช่คนขององค์กร 13 O’clock แต่เธอคือเหยื่อที่พวกมันเลือกมา”สีหน้าเวลาพูดถึงองค์กร 13 O’clock ของแมกคาเรียสจะดูจริงจังและใส่อารมณ์เป็นพิเศษ
    “เอวาเป็นคนพิเศษ เธอไม่สามารถอยู่ในทรีเอ็นได้เมื่อกับพวกเรา แต่เธอจะตื่นขึ้นมาในทรีเอ็นเป็นบางครั้งบางคราว แต่สามารถอยู่ได้นานกว่าเวลาที่กำหนดไว้โดยที่ไม่สูญเสียความทรงจำหรือสามัญสำนึกของกายเนื้อไปด้วย นั้นคือความพิเศษของเธอ”
    “เอวาเป็นผู้ที่มีมาสเตอร์ซี๊ดด้วยหรือเปล่าครับ!!??”ฮันซ์ขัดขึ้นมา
    “เปล่าๆ เธอไม่ได้มีสิ่งนั้นหรอก เพราะพลังที่เธอมีมันยิ่งใหญ่กว่าที่มาสเตอร์ซี๊ดจะทำได้ซะอีก อืม จะว่าไปถ้าเธอลองรู้จักมาสเตอร์ซี๊ดด้วยล่ะก็ งั้นก็แปลว่า...........”แมกคาเรียสจ้องไปที่ฮันซ์พลางกรีดนิ้วราวกับกำลังพิสมัยของล้ำค่าอยู่
    “ใช่ครับ........ผมคือผู้ครอบครองมาสเตอร์ซี๊ด”ฮันซ์คิดว่าแมกคาเรียสรู้เยอะจนเรื่องนี้ไม่น่าเป็นความลับอีก
    “โหๆ!!?? ไหนดูสิ ถ้าให้เดาฉันว่าเธอคงมีมาสเตอร์ซี๊ดจ้างแห่งกุญแจอยู่ล่ะสิ”แมกคาเรียสคาดเดาได้ถูกเผงแต่ฮันซ์ก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลก ในบรรดาคนที่มีมาสเตอร์ซี๊ดคนที่น่าจะค้นหาคนอื่นได้ดีที่สุดก็มีแต่คนที่ใช้มาสเตอร์ซี๊ดจ้าวแห่งกุญแจเท่านั้น
    “รู้ตั้งแต่ผมมาถึงแล้วเหรอครับ นั้นคงเป็นเหตุผลที่ยอมให้ผมเข้ามาสินะ”ฮันซ์เริ่มใจเย็นลงและคิดประติดประต่อเรื่องได้แล้ว
    “แกน บอกฉันไว้.......ว่าสักวันคนที่มีมาสเตอร์ซี๊ดจ้าวแห่งกุญแจจะมาหาฉันพบ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้เหมือนกัน เอาเถอะฉันไม่สักอะไรมากล่ะกันเพราะเธอเองก็คงไม่ยอมบอกความลับตัวเองออกมาใช่ไหมล่ะ งั้นพวกเรามาคุยเรื่องของเอวากันต่อเถอะ”แมกคาเรียสยิ้มจางๆ พลางก้มลงรินน้ำเพิ่มราวกับขาดมันเสียไม่ได้
    “พลังของ เอวา ไม่ใช่แบบมาสเตอร์ซี๊ดเธอเป็นคนที่เข้ามาในทรีเอ็นโดยที่ไม่มีผู้ชักนำ หรือ ที่เรียกกันว่าทัวรีนัว ทุกคนแปลกใจกับการมาของเธอมาก ไม่เว้นแม้แต่ แกน แต่พอเวลาผ่านไปพวกเราก็ได้ตระหนักถึงความแปลกแยกของเอวาขึ้นมา.......นั้นเพราะเธอสามารถออกคำสั่งกับพวกทัวทีเนียได้”พูดถึงตรงนี้ฮันซ์ก็สะอึกขึ้นมาทันที
    “รวมถึงพวกทัวรีนัวด้วยเหรือเปล่าครับ”ฮันซ์ถามเบาๆ
    “ไม่ๆ เธอก็รู้นี้ ทัวรีนัวไม่เหมือนกับทัวทีเนียตรงที่พวกเขาเป็นมนุษย์จริงๆ แต่กับทัวทีเนียที่เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นแล้วคงมีคำอธิบายได้ง่ายกว่าว่าทำไมเอวาถึงควบคุมออกคำสั่งพวกนั้นได้”แมกคาเรียสส่ายหน้า
    “ครั้งที่ฉันรู้จักเอวาครั้งแรกนั้น ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกวันนั้นก็เหมือนกับทุกๆ วัน ฉันอยู่ในห้องทำงานของทีมงานที่ซ่อนไว้ด้านนอกของทรีเอ็น”พอแมกคาเรียสเอ่ยถึงเรื่องนี้ฮันซ์ก็สะดุ้งเฮือกทันที
    “ใช่ที่เดียวกับรังลับของเจ้าพวกสตริงเกอร์เปล่าหว่า”ฮันซ์ยิ้มแห้งๆ และฟังแมกคาเรียสเล่าต่อ
    “จู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นมา เล่นเอาฉันตกใจจนแทบหัวใจวายตายแนะตอนนั้น พึ่งมารู้เอาที่หลังว่าแกนเป็นคนแนะนำเธอให้มาพบกับฉันเอง”แมกคาเรียสกำลังเล่าเพลินๆ แต่ฮันซ์ก็ต้องเสียมารยาทขัดขึ้นมาก่อน
    “สรุปว่าแกนเป็นสาเหตุการตื่นของเอวา หรือ เป็นเพราะคุณกันแน่ครับ”ฮันซ์รีบถามเพราะเป็นกังวลเรื่องเวลา
   
    “เปล่าไม่ใช่แกน แต่นั้นล่ะประเด็นของพวกเราฮันซ์ เอวาตื่นขึ้นมาเพราะอะไร หล่อนตื่นขึ้นมาเพื่อตามหาใครบางคน อย่างเช่นครั้งนั้นที่เธอตามหาฉันเพื่อเรียนรู้ความรัก และครั้งนี้ก็เหมือนกันเอวาคงจะรับรู้ถึงใครบางคนที่พิเศษกว่าใครเธอจึ่งตื่นขึ้นมาเพื่อตามหาเขา”แมกคาเรียสเฉลยสิ่งที่ฮันซ์ต้องการอยากรู้ที่สุดออกมาได้ราวกับเป็นเรื่องอาหารเช้าพรุ่งนี้จะเป็นอะไร
    “เพื่อตามหาคน..........ขอบคุณมากครับ คุณแมกคาเรียส”ฮันซ์คิดว่าได้ข้อมูลมาครบแล้วจึ่งเตรียมจะลุกขึ้นลาแต่กลับถูกรั้งตัวไว้ด้วยสีหน้าเงียบขรึมและแววตาที่แสดงความคุ่นเขืองใจออกมาของแมกคาเรียส
    “เธอไม่อยากรู้จักเอวาให้มากกว่านี้เหรอฮันซ์ เธอดั้นด้นมาหาฉันถึงที่นี้เพื่อจะเอาข้อมูลที่ทั้งแกนและทัวรีนัวที่ชื่อเอกริสม่ารู้อยู่แล้วกลับไปรายงานงั้นเหรอ”แมกคาเรียสพูดเสียงเรียบๆ ต่างจากเดิมที่ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง
    “คุณรู้จักเอกริสม่าด้วยเหรอ!!??”ฮันซ์เบิกตากว้างจนแมกคาเรียสรู้ว่าฮันซ์ตกใจกับเรื่องนี้มากแค่ไหน
    “ถ้าฉันรู้จักแกน แต่ไม่รู้จักสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ซึ่งอยู่ข้างกายของเขาเสมอก็คงแปลกพิลึกล่ะ แต่ฉันจะไม่พูดถึงพวกเขาเพราะอย่างน้อยตอนนี้บุญคุณที่พวกนั้นมีกับฉันมันก็ค้ำหัวอยู่..........ในเมื่อตอนนี้เธอได้สิ่งที่ต้องการจากฉันไปแล้ว ถ้าฉันอยากจะขออะไรแลกเปลี่ยนจากเธอกลับมาก็คงจะได้ใช่ไหม ฮันซ์”แมกคาเรียสไม่ยิ้มและแสดงออกทางสีหน้าเลยเป็นสัญญาณเตือนให้ฮันซ์รู้ว่าเขาหมดสิทธิ์จะปฏิเสธได้แน่
    “คุณต้องการอะไรจากผม”ฮันซ์ถามไปตรงๆ
    “ช่วยเอวา อย่าให้พวกองก์กร 13 O’clock หรือทัวรีเนียคนไหนเข้าถึงตัวเธอได้ ค้นหาสาเหตุและทำให้เธอหลับซะ”
    “ให้ผมช่วยราชินีเอวาที่มีพลังมากกว่าผมเนี่ยนะ พูดเป็นเล่นไป”ฮันซ์ถึงจะเป็นคนชอบเสี่ยงและหาเรื่องตื่นเต้นทำแต่เขาก็รู้ว่าลิมิตที่ตัวเองไปถึงได้มันอยู่ตรงไหน และคราวนี้มันเกินลิมิตของเขาไปไกลซะแล้ว
    “ถึงเอวาจะมีพลังแต่เธอก็ยังไม่มีอะไรบางอย่างอีกเยอะ ตัวเธอเองก็เหมือนกันฮันซ์ถึงจะคิดว่าตัวคนเดียวจะทำอะไรไม่ได้ก็เถอะ แต่ฉันคิดว่าคนอย่างเจ้าเอกริสม่าคงไม่ปล่อยให้เธอเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามลำพังแน่ เธอและเพื่อนๆ ของเธอช่วยทำมันได้นะ และถามฉันล่ะก็บอกได้เลยว่านี้เป็นแผนที่เจ้าเอกริสม่าต้องการให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว”แมกคาเรียสพูดเสร็จก็ถอนหายใจและกลับมายิ้มจางๆ ให้
    “ดูเหมือนฉันจะพูดเอาแต่ใจไปหน่อย ขอโทษเธอด้วยนะฮันซ์........ฉันก็แค่คนไร้ค่าที่ไม่สามารถช่วยเอวาได้”สีหน้าของแมกคาเรียสดูแก่ลงไปถนัดตาราวกับมีความทุกข์อันยิ่งใหญ่เกาะกุมหัวใจอยู่
    “ก็ได้ แต่ผมจะทำในสิ่งที่พอทำได้ ถ้าเห็นว่ามันเป็นอันตรายผมจะหยุดทันที ตกลงไหมครับ”ฮันซ์เองก็ไม่ใช่คนไร้หัวใจถึงจะท่าทางจะแข็งกระด้างแต่ภายในนั้นกลับมีคุณธรรมและความเมตตาอยู่สูงทีเดียว
    “ไม่มีอะไรดีกว่านั้นอีกแล้ว”แมกคาเรียสฉีกยิ้มอย่างดีใจ
    “เรายังมีเวลาอีกเยอะ เพราะงั้นฉันอยากให้เธอรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับเอวาอย่างที่ฉันรู้ เราคงต้องไล่เรียงมาตั้งแต่วิธีเข้าทรีเอ็นของเอวาเลย ซึ่งนั้นฉันต้องหาเบาะแสอยู่นานกว่าจะรู้ในที่สุด............เธอรู้ไหมฮันซ์ว่าเอวาเข้ามาในทรีเอ็นโดยไม่ต้องนอนและก็......ไม่ต้องใช้ซี๊ด”แมกคาเรียสเริ่มรู้แล้วว่าฮันซ์จะโผลงออกมาทุกครั้งที่มีเรื่องแปลกใจเลยหยุดเว้นช่วงไว้
    “หา!!?? วิธีเข้าทรีเอ็นโดยไม่ต้องหลับและไม่ต้องใช้ซี๊ด”
    “แปลกใช่ไหมล่ะ ถึงมันจะเป็นสมมุติฐานที่ยังไม่ได้ทำการยืนยันก็เถอะ แต่ฉันเชื่อในคำพูดของเอวา และนั้นก็อธิบายได้ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในทรีเอ็นได้เป็นเวลานานๆ และหลับไปโดยยังคงตัวตนในทรีเอ็นได้อยู่......เพราะตัวตนจริงๆ ของเอวานั้น..........ไม่เคยหลับใหล”แมกคาเรียสยกมือขึ้นห้ามฮันซ์ไม่ให้ขัดเพื่อจะได้เล่าต่อ
    “เพราะการที่เธอไม่ได้นอนเลยอาจทำให้จิตประสาทของเธออ่อนล้า มันก็เหมือนอยู่ในสภาพเหม่อลอยตรงส่วนนี้ฉันเลยเดาว่ามันอาจทำให้ความคิดของเธอสร้างตัวตนขึ้นมาในทรีเอ็นได้โดยใช้เครื่องมือบางอย่างช่วย ตรงส่วนนั้นฉันคงต้องใช้เวลาอธิบายเยอะเลยจะขอข้ามทฤษฎีไปเลยล่ะกันนะ
    เพราะการที่เอวาเข้ามาในทรีเอ็นด้วยวิธีนี้เลยทำให้เอวานั้นมีตัวตนทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงในสภาพไม่เคยหลับไหล และตัวตนของทรีเอ็นในภาคของราชินีเอวาที่ปกติจะอยู่ในสภาพหลับใหล เรื่องปรึกษาการคงอยู่ของเอวาฉันก็รู้เท่านี้ล่ะ แต่ต่อไปเราจะพูดถึงพลังและสิ่งที่พวก 13 O’clock ต้องการจากเธอกัน”แมกคาเรียสจิบกาแฟอึกใหญ่พลางเงียบลงราวกับกำลังทบทวนความทรงจำหรือไม่ก็ปรับอารมณ์ให้ปกติอยู่เวลาพูดถึงพวก 13 O’clock
    “พลังอย่างแรกของเอวาคือการควบคุมพวกทัวทีเนีย แต่ปกติเธอไม่ค่อยสั่งให้พวกนั้นทำอะไรหรอกนะ นอกจากจะใช้พวกนั้นเพื่อการป้องกันตัว แต่การไปไหนมาไหนโดยมีเจ้าพวกนั้นล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ทุกคนเลยเรียกเธอว่าราชินี
    ส่วนพลังอย่างที่สองก็คือการรับข้อมูลโดยตรงของทรีเอ็น ทุกครั้งที่เธอตื่นเธอจะทำการอ่านบันทึกทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาในทรีเอ็น น่าตกใจใช่ไหมล่ะ ฮันซ์ เธอเองก็สามารถรับข้อมูลจากทรีเอ็นได้ แต่ก็อย่างที่รู้ว่าการรับข้อมูลโดยตรงอาจทำให้ถึงตายได้นั้นล่ะฉันถึงบอกว่าพลังของเอวามากกว่าของมาสเตอร์ซี๊ด”แมกคาเรียสทำท่าอยากจะถามเรื่องมาสเตอร์ซี๊ดจากฮันซ์แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะเขาอยากจะต่อเรื่องของเอวาให้จบ
    “และพลังล่าสุดของเธอ พลังอย่างที่สาม พลังที่ใช้ทำลายข้อมูลของทรีเอ็น ไม่ใช่การลบ แต่มันทำให้ข้อมูลสลายหายไปอย่างไร้ร่องลอย”แมกคาเรียสถึงจะพูดเรียบๆ เฉยๆ แต่ฮันซ์กับขนลุกขนพองขึ้นมาทันทีเพราะเขารู้ว่านั้นมันร้ายแรงขนาดไหน
    “คุณบอกว่า พลังล่าสุด?? หมายความว่าไงกันครับ พลังของเอวาไม่ได้มีมาแต่แรกหรอกเหรอ”คำถามของฮันซ์ทำให้แมกคาเรียสหัวเราะอย่างพอใจออกมา
    “ฮ่าๆๆ หัวไวมากฮันซ์ ใช่แล้ว ครั้งแรกที่เอวาเข้ามาในทรีเอ็นก็มีพลังเพียงอย่างเดียวก็คือการควบคุมทัวทีเนีย และครั้งล่าสุดที่เธอตื่นขึ้นมาเพื่อตามหาฉันนั้นเป็นการตื่นครั้งที่ 3 ของเอวา นั้นก็หมายความว่า ทุกครั้งที่เอวาตื่นขึ้นมาเธอจะมีพลังอย่างใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่ง
    และนั้นล่ะ สาเหตุว่าทำไมพวก 13 O’clock ถึงได้มาเกี่ยวพันกับเอวา พวกมันต้องการครอบครองพลังนั้น หรือไม่ เอวาก็อาจเป็นเหยื่อที่พวกมันกำลังใช้ทดลองอยู่ก็เป็นได้”แมกคาเรียสจ้องมาที่ฮันซ์ด้วยดวงตาลุกวาว
    “คำพูดสุดท้ายที่เอวาพูดไว้กับฉันก็คือ ช่วยทำให้ฉันหลับที นั้นไม่ใช่การหลับในทรีเอ็นหรอกนะ แต่เธอหมายถึงการทำให้ตัวตนในโลกความจริงของเธอนั้นหลับ เพราะนั้นเป็นทางเดียวที่จะทำให้ตัวตนในทรีเอ็นของเธอหายไป ช่วยทีนะฮันซ์ ช่วยทำให้เอวาหลับให้ได้”
    “จะให้คนที่ไม่เคยหลับใหลนอนหลับ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการปลุกคนที่ไม่เคยหลับให้ตื่นเลย”ฮันซ์คิดในใจขณะพยักหน้ารับปากแมกคาเรียสโดยที่ตัวเองนั้นไม่มีความมั่นใจว่าจะทำได้เลยแม้แต่น้อย
                    ...............................
                เมจิกได้เข้ามาในทรีเอ็นก่อนเวลาที่นัดไว้เล็กน้อยเลยมาก่อนเป็นคนแรก  ระหว่งที่ยืนรอตรงบันไดเวียนในห้องรับแขกและก็เฝ้าดูผู้คนที่ปรากฎตัวขึ้นมาในเก้าอี้ก่อนจะลืมตาตื่นและลุกขึ้นอย่างร่าเริงซึ่งส่วนใหญ่เมจิกสังเกตเห็นว่าจะรู้จักกันเป็นกลุ่มใหญ่ซะด้วย
    มีหลายคนที่กำลังมายืนรอแบบเดียวกับที่ทริซทำพลางจ้องดูเวลาในนาฬิกาเพื่อรอเพื่อนหรือคนรู้จักเข้ามาจึ่งจะพากันออกไปพร้อมกัน และนอกจากผู้คนมากหน้าแล้วอีกสิ่งที่ยังเห็นก็คือเหล่าทัวรีนัวที่กำลังทำหน้าที่กันอย่างแข็งขัน
    ถึงแม้พวกนี้จะมีการแต่งตัวที่เหมือนกันคือเสื้อโค้ตสีดำยาวมาจนถึงหัวเข่า ข้างในใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวผูกไทไว้อย่างเรียบร้อย รองเท้าหนังสีดำที่ขัดจนมันวับ ทว่าก็มีที่ต่างกันออกไปอย่างเห็นได้ชัดสุดก็คือใบหน้า
    ทัวรีนัวบางคนมีผมทองสีตั้งและใส่ตุ้มหูเป็นแผง ส่วนบางคนก็ใช้ ผ้าโพกหัวไว้ หรือไม่ก็แว่นตาดำ มีแม้แต่พวกที่มีรสนิยมแปลกๆ หรือชอบทำตัวเหมือนกับทัวทีเนียที่จะใส่หน้ากากเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครเลยที่ใส่หมวกปีกแบบเอกริสม่า
และถ้าเทียบกันดูเมจิกรู้สึกว่าเอกริสม่านั้นเป็นทัวรีนัวที่อารมณ์ดีและสุภาพที่สุดแล้ว ถึงเขาจะแปลกๆ อย่างที่แจ๊คหรือโรสบอกก็ตามทีเถอะ เพราะส่วนใหญ่แล้วสำหรับคนที่เข้ามาในทรีเอ็นได้อาทิตย์แรกหรือเดือนแรกก็จะมีทัวรีนัวของตัวเองตามติดทุกฝีเก้า เพื่อคอยสอนหรือแนะนำสิ่งต่างๆ ให้ราวกับเป็นพี่เลี้ยง
    “ฉันรู้นายคิดอะไรอยู่ คงคิดว่าทำไมกิมม่าถึงได้ไม่มาให้ความใส่ใจพวกเราแบบนั้นบ้างใช่ไหมล่ะ”เสียงโรสเอ่ยขึ้นข้างหูของเมจิกทำให้เขาสะดุ้งตัวเบาๆ เพราะไม่ทันสังเกตตอนเธอมาเลยขณะจ้องมองไปยังคนที่พึ่งมาใหม่ที่กลัวจนนั่งพับไปกับพื้นขนาดต้องให้ทัวรีนัวประจำตัวปลอบใจให้อยู่นาน
    “แล้วคุณโรสเคยถามเขาเปล่าล่ะครับ”เมจิกถามขณะยังมองไปที่เดิม
    “เคยสิ ฉันโมโหเอาเรื่องอยู่ตอนนั้น เอ่อ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันตอนมาที่นี้ใหม่ๆ น่ะ เป็นเรื่องแย่ๆ มากๆ ในชีวิตของฉันเลย.........ฉันโมโหกิมม่าที่ทำไมถึงไม่เข้าไปช่วยหรือแนะนำอะไรให้เลย”โรสทำหน้าไม่สบายใจจนเมจิกต้องปล่อยให้เธอพูดตามแต่ใจ
    “แล้วรู้ไหมเขาตอบว่าอย่างไง”โรสเงยหน้าขึ้นมาถาม
   
    “เรียนรู้ด้วยตัวเอง”ทั้งเมจิกและโรสตอบออกมาพร้อมกัน เพราะทั้งคู่เข้าใจแนวความคิดบ้าๆ บอๆ ของเอกริสม่าดี อย่างที่เขาทำอยู่คือการเรียนรู้ด้วยของจริงจะทำให้จำได้ไม่มีลืม
    “คิกๆๆ ว่าแต่นี้พวกเราเข้ามาก่อนเวลาหรือเจ้าแจ๊คมันช้ากันแน่นะ”หลังจากหัวเราะอย่างสนุกสนานกับเมจิกแล้วโรสก็พึ่งนึกได้ว่านี้มันเลยเวลานัดมาแล้วเลยถามเมจิกดู
    “ยังไม่เห็นเขาเข้ามาเลย แต่บางทีเขาอาจเข้ามาก่อนพวกเราก็ได้นะครับ”เมจิกบอกแต่ถึงเวลาจะลดลงไปเรื่อยๆ เขาก็ไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจอะไรแบบโรส เพราะทุกวินาทีที่เขาได้พูดหรือได้มองก็คือช่วงเวลาที่มีค่าสำหรับเขาแล้ว
    “นั้นสิ หรือว่าจะไปที่รังลับตรงหลังบาร์เหล้าแล้ว.........เอางี้เมจิก ฉันจะไปดูแจ๊คที่นั้นดู ส่วนนายรอที่นี้เผื่อเขาเข้ามาที่หลัง ตกลงนะ”โรสบอกโดยไม่รอฟังคำตอบแต่กลับวิ่งพรวดหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
    “ผมก็ว่าจะบอกแบบนั้นอยู่”เมจิกงึมงำกับตัวเองเบาๆ ขณะที่โรสหายไปไกลแล้ว
    แต่ถึงจะรออยู่ตรงนั้นกว่าสิบนาทีเมจิกก็ยังไม่เห็นวี่แววของแจ๊คเลยจนตัวเขาเองก็เริ่มจะเบื่อๆ เพราะตอนนี้ในห้องรับแขกมันก็เริ่มเงียบลงนานๆ ทีถึงจะมีใครโผล่ออกมาจากเก้าอี้ กระทั่งต้องอ้าปากฮ้าวกว้างและบีดขี้เกียจก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งย่องๆ กับพื้นแทน
    “รอใครอยู่เหรอคะ”เสียงหนึ่งถามขึ้นข้างหลังของเมจิก
    “รอเพื่อนนะครับ แต่สงสัยไม่มาแล้วล่ะ”เมจิกตอบเรื่อยๆ แต่ครู่หนึ่งเจ้าของเสียงนั้นก็เดินอ้อมจนมานั่งย่องๆ อยู่ตรงหน้าเขาด้วย
    “ก็แปลว่าตอนนี้เธอว่างอยู่ใช่ไหม”เด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมจิกแต่ตัวเล็กกว่าถามด้วยรอยยิ้มแสนซน
    “เอ่อ คือก็ไม่เชิง”เมจิกรีบหลบสายตาจากเธอทันทีเพราะรู้สึกแปลกๆ เวลาที่มองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของเธอ เรือนผมสีขาวที่ปล่อยยาวของเธอยิ่งทำให้ดูลึกลับ
    “ฉันไม่มีเพื่อนเลย ไปเล่นด้วยกันนะ”หญิงสาวไม่ได้ฟังเมจิกแต่กลับยื่นมือมาแตะมือเขาไว้และขณะนั้นเองเมจิก็รู้สึกเหมือนกำลังหกคะเมนตีลังกาไปข้างหลัง พอรู้สึกตัวอีกครั้งเขาก็ดีดตัวลุกขึ้นเพราะทิวทรรศรอบตัวมันเปลี่ยนไปเป็นสวนเด็กเล่นซึ่งดูจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ แล้วเมจิกเดาว่าน่าจะเป็นในเขตของพวกกิลเลี่ยนอยู่
   
    “เธอทำได้อย่างไง!!??”เมจิกหันกลับมาถามอย่างตกใจกับเด็กสาวที่ตอนนี้เดินไปนั่งชิงช้าและไกวตัวเบาๆ
    “เพื่อนของเธอก็ทำได้ไม่ใช่เหรอ.........คนที่ชื่อแจ๊ค”เด็กสาวตอบพลางแกล้งทำสีหน้าแบบเดียวกับเมจิกเป็นการล่อเลียน
    “อะ อ่ะ ใช่”เมจิกกลับไม่ได้คิดมากไปกว่าที่เข้าใจอยู่ตอนนี้ว่า เด็กคนนี้ก็คงเป็นผู้ครอบครองมาสเตอร์ซี๊ดและอาจเป็นคนรู้จักกับแจ๊คที่อยู่มานานและกว้างขวางเอาเรื่อง
    “ไหนๆ ถ้าไม่มีแจ๊คก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไงดีอยู่แล้ว..........ช่างมันเถอะถึงเราจะอยู่กับพวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”เมจิกใคร่ครวญในใจดูก่อนจะยักไหล่และหันมาเล่นกับเด็กสาวซึ่งตัวเขาก็อยากทำแบบนั้นอยู่แล้วด้วย
    “เอ๋?? นี้เธอไม่มีนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเหรอ”หลังจากเล่นไปอยู่ครู่หนึ่งเมจิกพึ่งสังเกตเห็นว่าที่ข้อมือของเด็กสาวไม่มีนาฬิกาที่ทุกคนในทรีเอ็นต้องมี
    “ไม่มีหรอก แต่ฉันรู้เวลานะ”เด็กสาวตอบพลางฉีกยิ้มให้
    “พิลึกคน”เมจิกเห็นท่าทางร่าเริงของเด็กสาวแล้วก็นึกขำเพราะทุกคนในนี้ถึงจะแสดงท่าทีมีความสุขอยู่แต่ก็มีสีหน้าเป็นกังวลด้วยกันทั้งนั้นขณะก้มลงมองไปที่นาฬิกาข้อมือ
    เมจิกได้เล่นกับเด็กสาวแปลกหน้าอย่างสนุกสนานโดยไม่มีเรื่องอะไรมากวนใจ ตัวเมจิกเองก็ชอบอยู่แล้วเพราะเคยได้ยินแต่เสียงเด็กแถวบ้านที่เล่นกันดังแววมาแต่ไกลๆ ไม่เคยได้ลองมาเล่นกับเขาดูเลยสักครั้งถึงแม้ใจจะอยากเล่นมากแค่ไหนก็ตามที ส่วนเด็กสาวก็เล่นราวกับไม่ได้เล่นมาเป็นปีๆ แล้วเหมือนกัน
    แต่เมื่อทั้งคู่เล่นจนในสวนเด็กเล่นนั้นไม่มีอะไรให้เล่นแล้วก็กลับมานั่งที่ชิงช้าและเด็กสาวก็เริ่มเอ่ยปากถามบางเรื่องกับเมจิกขึ้นมาซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ราวกับพยายามทำความรู้จักเขาอยู่
    “พึ่งเข้ามาในทรีเอ็นแต่กลับไม่มีทัวรีนัว คิกๆๆ เหมือนเด็กโดนทิ้งเลยเนอะ”เด็กสาวหัวเราะคิกคักเมื่อเมจิกเล่าว่าเขาได้เห็นหัวทัวรีนัวของตัวเองแบบนับครั้งได้
    “ถึงจะฟังแล้วรู้สึกไม่ดี แต่ก็ใช่ล่ะนะ”เมจิกยิ้มแห้งๆ
    “แล้วเธอล่ะ อยู่ที่นี้มากี่ปีแล้ว ฉันว่าคงนานแล้วล่ะสินะ”เมจิกถามกลับไปบ้าง
    “ใช่นานมากเลย 3 ปีแล้ว”เด็กสาวตอบขณะนั่งนับนิ้ว
    “โห!!?? ตั้งสามปีถ้านับอายุในทรีเอ็นแก่กว่าแจ๊คอีกนะเนี่ย”เมจิกหัวเราะเป็นการใหญ่จนเด็กสาวทำหน้างอนใส่และหันมาระดมทุบใส่ต้นแขนเขาเป็นการใหญ่
    “แต่จะว่าไป เธอยู่นี้มาตั้ง 3 ปีแล้ว แต่ทำไมไม่มีเพื่อนเลยล่ะ”เมจิกพอถามเรื่องนี้เด็กสาวก็ทำหน้าซึมลงกะทันหันราวกับพูดไปแทงใจดำเธอเข้า และการสนทนาของทั้งคู่ก็หยุดอยู่แค่นั้นเด็กสาวไม่พูดอะไรออกมาอีกส่วนเมจิกก็รู้สึกว่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถามออกไปแต่ก็อึกอักใจที่จะหาเรื่องชวนคุยกับคนที่พึ่งรู้จักกัน
    “ฉันไม่สบายอยู่นะ........ถึงจะบอกว่าอยู่มา 3 ปีก็เถอะ แต่จริงๆ แล้วเวลาที่มีมันน้อยจริงๆ”หญิงสาวเริ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางหันมาจ้องหน้าเมจิกด้วยสายตาประหลาด
    “เธอชอบ........อยากได้อะไรมากที่สุดเหรอ เมจิก”
    “ฉัน.......”เมจิกไม่เคยมีใครถามแบบนี้กับเขามาก่อนจนตัวเขาเองก็ลืมสิ่งที่ต้องการไปแล้ว แต่แวบหนึ่งในความทรงจำที่แสนเย็นยะเยือกแต่น่ามหัศจรรย์ก็โผล่ขึ้นมา
    “ฉันอยากเห็นหิมะ”เมจิกตอบ เพราะเขาคิดว่านี้อาจเป็นสิ่งเดียวก็เป็นได้ที่เขาอาจไม่ได้เห็นในทรีเอ็น
    “คิกๆๆ นี้เธอคงมาจากประเทศที่ไม่มีหิมะตกเลยหรือไงกัน”เด็กสาวหัวเราะแต่กลับเป็นเมจิกที่หน้าแดงเพราะไม่รู้จะบอกไงดีว่าเขาแทบจะเกิดมากับหิมะเลยก็ว่าได้แต่ถึงจะเคยสัมผัสแต่เขาก็ไม่เคยเห็นรูปร่างของละอองเย็นๆ ที่ตกลงมาจากฟ้าดูสักครั้ง
    “นี่ถ้าจะถามแล้วมาหัวเราะเยาะแบบนี้........อย่า!!?? ไม่จริง”เมจิกกำลังจะหันไปร้องว่าแต่ตอนนี้เขาก็ได้เห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังล่วงผ่านหน้าเขาไป สิ่งที่ดูเหมือนปุยนุ่นเล็กๆ สีขาวๆ ดูบริสุทธิ์และสวยงาม
    “หิมะไง เมจิก”เด็กสาวยิ้มบอกพลางชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งขณะนี้กำลังมีหิมะโปรยปรายลงมาทั่วทุกสาระแห่ง
                ..........................
    “นี้มันหมายความว่าไงกันเหรอ แกน”เอกริสม่าเอ่ยถามขึ้นขณะยืนอยู่ในห้องที่มีจอผ่านเรียงอยู่รอบฝาพนังซึ่งตอนนี้มันก็เป็นภาพของเมืองที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย
    “เอวา เธอแสดงตัวแล้ว”เสียงชายคนหนึ่งตอบกลับมา เสียงที่ดังอู้อี้และก้องสะท้อนเหมือนพูดผ่านเครื่องดัดเสียงซึ่งเสียงพูดนั้นดังมาจากหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ตรงกลางห้องซึ่งภายในเห็นเพียงเงารางๆ ของคนคนหนึ่งเท่านั้น
    “ทั้งๆ ที่ตัวตนเธอยังคงนั่งอยู่ในปราสาทนาฬิกาตายงั้นเหรอ”เอกริสม่าพูดอย่างสงสัยขณะมองไปยังจอภาพที่มีเงาหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรบางๆ คลุมอยู่รอบด้าน
    “การพัฒนาของสภาพจิต”เสียงชายหนุ่มในหลอดแก้วตอบกลับมาอีกครั้ง
    “เอ๋!!?? การพัฒนาสภาพจิตจนสามารถแยกจิตออกไปเป็นอีกร่างได้งั้นเหรอ เรื่องแบบนี้ไม่เห็นคุณเคยพูดถึงเลยนี้ แกน”เอกริสม่าถามอย่างเรื่อยๆ ซึ่งคราวนี้แกนก็ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับมา
    “เรื่องนั้นคงต้องมาศึกษากันดูที่หลัง แต่ตอนนี้คุณคิดเหมือนกันไหมว่าพลังของเอวาคราวนี้มันอย่างไงๆ อยู่”เอกริสม่าพูดอย่างเดินวนไปวนมาแสดงความกังวลใจถึงแม้จะทำหน้าตายอยู่ก็ตามที
    “คิดว่าไงล่ะ กิมม่า”เสียงแกนถามย้อนกลับมา
    “ไม่ล่ะ............ไม่คิดจะดีกว่า”เอกริสม่าส่ายหน้า
    “ใช่แล้ว กิมม่า ไม่ต้องคิดหรอก เพราะนั้นคือพลังแบบเดียวกับที่ฉันมี พลังที่ไว้สร้างสรรค์ พลังแห่งการสร้างของ แกน”แกนตอบออกมาโดยไม่แสดงความประหลาดใจในน้ำเสียงเลย
    “พลังในการควบคุม พลังในการเรียนรู้ พลังในการทำลาย และนี้เธอยังได้พลังในการสร้างไปอีก มันเกิดขึ้นได้อย่างไงกัน แกน ถึงจะเป็นฝีมือของ 13 O’clock ก็เถอะนะ แต่แบบนี้มันเกิดลิมิตที่พวกนั้นทำได้แล้วนี่น่า พลังในการสร้างเป็นพลังของคุณคนเดียวไม่ใช่เหรอ”เอกริสม่าร้องถามแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีกครู่ใหญ่
    “........บาที..........เราอาจต้องรอคำตอบที่เด็กพวกนั้นมาหาให้”
                    ...........................
    “แบบนี้เอง การตื่นของเอวาทุกครั้งจะมีเงื่อนไขตรงกันอย่าง คือ ช่วงเวลาที่มีสมาชิกใหม่เข้าสู่ทรีเอ็นเป็นจำนวนมากๆ”ฮันซ์กำลังมองข้อมูลที่แสดงอยู่บนคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของแมกคาเรียสซึ่งมันมีข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจแสดงอยู่
    “ถูกแล้ว ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินปกติ เพราะมันเป็นการอำพรางของพวก 13 O’clock ในการส่งคนหรืออะไรบางอย่างแปลกปลอมเข้ามาสู่ทรีเอ็น ตรงนี้ฉันว่ามันอาจกระทบกระเทือนความคิดที่ถูกเชื่อมโยงเข้ากับทรีเอ็นของเอวาเข้าโดยบังเอิญ”แมกคาเรียสที่ยืนอยู่ข้างหลังคอยอธิบายเสริมให้ทุกอย่างที่ฮันซ์ต้องการจะรู้
    “แต่มันก็ไม่น่าเกี่ยวกับการระบุตัวคนที่จะเข้ามาในช่วงนั้นของเอวาเลยนี้ เธอจะรู้ได้อย่างไงว่าใครพิเศษหรือน่าสนใจอย่างที่เธอต้องการ เพราะทุกคน............”พอคิดว่าทุกคนในทรีเอ็นนั้นเหมือนกันหมดฮันซ์ก็ถึงกับชะงักขึ้นมาทันที
    “คิดออกแล้วใช่ไหมฮันซ์ ว่ามีใครแปลกแยกอยู่ในบรรดาคนที่เธอรู้จักอยู่”แมกคาเรียสยิ้มให้ขณะเดินมาปิดคอมลง
    “ไม่จริงน่าก็เจ้านั้น......เดี๋ยวก่อน!!?? คนที่พึ่งเข้ามาในทรีเอ็นช่วงนี้ คนที่พิเศษกว่าคนอื่น ไม่น่าเชื่อ!!?? เมจิกเองหรอกเหรอ สาเหตุของการตื่นของเอวาครั้งนี้”ฮันซ์ลุกพรวดขึ้นด้วยสีหน้าซีดเผือก
    “รีบไปเถอะ ฮันซ์ เธอคือผู้ที่รู้ความจริงทุกอย่างแล้ว เข้าไปแก้ไขมันซะ เร็วเข้าเพื่อนๆ ของเธอรออยู่นะ”แมกคาเรียสชี้นิ้วไปที่เตียงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงซอกตู้หนังสือราวกับเตรียมมันไว้ให้ฮันซ์อยู่แล้ว แต่พอฮันซ์ทิ้งตัวลงไปบนเตียงนั้นก็รู้ตัวทันทีว่าตอนนี้ความรู้สึกเขากำลังปั่นป่วนจนไม่อาจข่มตาให้หลับได้
    “เหล้าอุ่นๆ สักแก้วคงทำให้เธอหลับลงได้”แมกคาเรียสเดินเข้ามาก้มลงข้างเตียงพลางยื่นแก้วที่ใส่เหล้าไว้ครึ่งหนึ่งให้
    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ คุณแมกคาเรียส แล้วผมจะตอบแทนคุณให้รอฟังข่าวดีตอนผมตื่นมาอีกครั้งได้เลย”ฮันซ์หันมาบอกก่อนจะกระดกเหล้าลงคอไปหมดในอึกเดียว
    “แล้วฉันจะรอฮันซ์ ส่วนตอนนี้ หลับฝันดีนะ”
                ..................................
       
                                                                (จบตอน)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น