ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Dreamsia

    ลำดับตอนที่ #6 : ผู้หลบหนีความจริง

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 49


    ตอนที่ 6 ผู้หลบหนีความจริง



        “วันนี้พอแค่นี้”แจ๊คเอ่ยขึ้นแต่โรสกับเมจิกรีบอุทรณ์ทันที



        “เวลาฉันยังเหลือ”

        

        “ผมอยากอยู่ทำงานต่อให้เสร็จ”



        “ไม่ได้”แจ๊คขึ้นเสียงจนเพื่อหยุดทั้งคู่เอาไว้



        “ลืมไปแล้วว่าข้างนอกนั้นยังมีพวกทัวทีเนียคอยตามเราอยู่ และอีกอย่างฉันต้องกลับออกไปโลกความเป็นจริงเพื่อหาที่อยู่ พวกนายคงไม่คิดนะว่าฉันจะหามันได้จากข้างในนี้”เหตุผลของแจ๊คทำเอาทั้งสองไม่อาจเถียงได้



        “ก่อนอื่นพวกเราต้องปรับเวลาให้ตรงกันก่อน พรุ่งนี้พวกเราจะได้เข้ามาเจอกันได้”แจ๊คแนะพลางมองลงมาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง



        “แต่จะทำอย่างไงล่ะ พวกเราไม่รู้เวลาของแต่ล่ะคนนี้ บางทีพวกเราอาจอยู่กันคนล่ะมุมโลกเลยก็ได้”เมจิกก้มลงมองเวลาตัวเองก่อนจะไปมองของอีกสองคนซึ่งเหลือมากกว่าเขาอีกหลายชั่วโมงเลยแถมแต่คนล่ะก็ไม่เท่ากันด้วย



        “..........ไม่รู้เหมือนกัน”แจ๊คยักไหล่เพราะมันอาจเป็นอย่างที่เมจิกว่าก็ได้



        “ไม่เห็นยาก”โรสยิ้ม



        “แบ่งเวลาให้เมจิกสักสองชั่วโมงได้ไหมพรุ่งนี้พวกเราจะได้มีเวลาเท่ากัน”โรสถามต่อ



        “แบบนั้นก็ดี แต่ให้แค่วันเดียวนะ”แจ๊คก้มลงกดที่นาฬิกาตัวเองดังจึกๆ อยู่ครู่ใหญ่



        “ที่นี้พวกเราต้องเว้นช่วงเวลาไว้ 12 ชั่วโมงถึงจะเข้ามาในทรีเอ็นได้ใหม่ แต่ไหนๆ เวลาพวกเราก็เหลือแค่ 27 ชั่วโมง เพราะงั้นฉันอยากให้ทุกคนพอออกไปแล้วนับเวลาถอยหลังให้กับตัวเองไป 19 ชั่วโมงแล้วค่อยเข้ามาในทรีเอ็นใหม่”โรสแนะ



        “แต่อย่าลืมบวกเวลานอนไปด้วยนะ ใช่ว่าเราออกไปแล้วจะตื่นทันทีเลย”แจ๊คเตือนเผื่อโรสจะลืม



        “อืม นั้นไม่ใช่เรื่องยาก สมมุติ เมจิกนอนตอน 3 ทุ่ม นายจะตื่นมาในทรีเอ็นประมาณช่วง 4 ทุ่มและนายก็บวกเวลาที่ใช้ไปในทรีเอ็น อย่างตอนนี้ใช้ไป 4 ก็เท่ากับว่านายออกไปจากที่นี้ตอน ตีสอง ก็เริ่มนับถอยหลังจากตอนตีสองไป 19 ชั่วโมงได้เลย จำได้นะ เมจิก”โรสหันมาย้ำเมจิกเพราะกลัวจะคำนวณพลาด



        “เข้าใจล่ะ”เมจิกพยักหน้ารับ



        “เรื่องที่อยู่ของเป้าหมายฉันจะเป็นคนจัดการให้เอง เพราะคงไม่มีใครอยากจะมาเจอกันในโลกแห่งความเป็นจริงใช่ไหม”แจ๊คอาสาแกมบังคับ



        “แล้วรู้ใช่ไหมว่าจะถามอะไรเขาบ้าง”โรสรีบจดคำถามของตัวเองลงในกระดาษ



        “ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ฉันรู้ว่าจะต้องทำอย่างไง”แจ๊คบ่นแต่ก็รับกระดาษของโรสมาท่องคำถามของเธอก็จะขย้ำทิ้งไป



        “งั้นรีบไปเถอะ พวกเราจะได้ไม่พลาดเรื่องเวลา”หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยแล้วแจ๊คก็เปิดประตูเพื่อพาทุกคนมายังห้องรับแขกเพื่อกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง



        “เฮ้ๆ!!?? นั้นอะไรนะ”แจ๊คยังไม่ทันได้นั่งก็ดีดตัวพรวดแล้วตรงไปที่โรสซึ่งกำลังเขย่าเอายาออกมาจากขวด



        “เห็นแล้วยังจะถาม”โรสทำเป็นไม่สนใจแต่แจ๊คคว้ามือเธอไว้ไม่ให้กินยาเข้าไป



        “แล้วรู้หรือเปล่ายานี้ไม่ดีกับเธอ”แจ๊คถามเสียงเครียด



        “รู้ มันจะทำให้ความทรงจำฉันขาดๆ หายๆ ไปเป็นบางครั้ง”โรสเองพอพูดเรื่องนี้ก็ทำสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัดจนเมจิกต้องแอบหลับตาทำเป็นหลับแล้วแต่หูก็ยังฟังอยู่



        “แต่จะให้ทำไงล่ะ ในเมื่อฉันเป็นพวกผู้หลบหนีความจริง”โรสตะโกนใส่แจ๊คคนทุกคนที่กำลังจะหลับต้องหันมาฟัง



        “..........ฉันก็เป็นเหมือนกัน”แจ๊คกระซิบกระซาบกับตัวเองเบาๆ ถึงโรสจะไม่ได้ยินแต่หูของเมจิกได้ยินชัดทีเดียว



        “ปล่อยมือซิ ฉันจะรีบนอนนะ”โรสสะบัดมือซึ่งแจ๊คก็ยอมปล่อยมือ



        “โรส ฉันมีวิธีช่วยให้เธอหลับได้”แจ๊คเอ่ยขึ้นก่อนโรสจะได้เอายาเข้าปาก



        “หา!!?? จริงเหรอ วิธี”โรสหันมาถามด้วยความยินดีแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยครบพยางค์ก็ถูกมือของแจ๊คจับเข้ากลางใบหน้าและเหวี่ยงหัวเธอกระแทกกับเก้าอี้ที่นั่งตรงส่วนที่แข็ง เสียงดังปังสะนั่นไปทั่วห้องขนาดเมจิกเองก็รู้สึกเจ็บที่หัวแทน



        “ราตรีสวัสดิ์โรส”แจ๊คบอกลาก่อนที่ร่างของโรสจะหายไปจากเก้าอี้เพื่อกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงกลับไปทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพสลบเหมือด



        “ไม่ต้องห่วงหรอกเมจิก อีกสักสองสามครั้งโรสก็เลิกพึ่งยาได้แน่ นายจะเอาด้วยไหมเมจิก”แจ๊คบอกขณะนั่งลงตรงเก้าอี้ของโรส



        “ไม่เป็นไรฮะ ผมหลับเองได้”เมจิกรีบตอบก่อนจะทำใจให้สงบลงเพื่อจะได้หลับได้จริงๆ แต่ก็หลายนาทีทีเดียวเพราะเสียงหัวของโรสตอนกระแทกเก้าอี้มันยังดังอื้ออยู่ในหูเขาอยู่เลย



                    ..................................



        หลังจากตื่นนอนขึ้นมาในเวลาเดิม ทริซก็ได้ทำในสิ่งที่เมเดียแม่บ้านของเขาต้องตกใจถึงขนาดทำกาน้ำชาตกแตก เพราะเช้านี้ทริซไม่ได้นั่งซึมเลยแต่กลับคว่านหากระดาษและเขียนสิ่งที่ต้องการให้กับเมเดียช่วยไปหามาให้กับเขา



        ซึ่งมันมีตั้งแต่หนังสืออักษรเบล(หนังสือสำหรับคนตาบอดที่จะมีตัวหนังสือนูนขึ้นมาให้ใช้นิ้วแกะอ่านได้) คอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมอ่านสิ่งที่พิมพ์หรือข้อความต่างๆ ได้ และอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนทริซก็ยุ่งอยู่กับการสเกตภาพอะไรของเขาโดยไม่ใส่ใจเสียงของเซร่าที่วันนี้วิ่งมาขึ้นรถได้ตรงเวลาเป็นครั้งแรก



        “คุณหนูทริซ หนูเซร่าออกจากบ้านแล้วนะค่ะ”เมเดียหันมาถามทริซก่อนจะได้ออกจากห้องไปหาข้าวของที่ทริซต้องการมา



        ทริซไม่พูดอะไรเพียงแต่หันไปมองทางหน้าต่างครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาวาดรูปต่อ สำหรับคนตาบอดนั้นฝีมือการวาดรูปของทริซก็จัดอยู่ในระดับมืออาชีพทีเดียว



        “แปดโมงสามสิบนาที ต้องแข่งกับเวลาแล้ว”ทริซเงี่ยงหูไปฟังนาฬิกาแขวนแบบสั่งทำพิเศษซึ่งเข็มแต่ล่ะอันที่เลื่อนไปตามตัวเลขนั้นมันจะส่งเสียงออกมาไม่เหมือนกันทำให้ทริซรู้ว่าตอนนั้นมันเป็นเวลากี่โมงแล้ว

        

        ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทริซก็วางรูปวาดลงซึ่งเป็นรูปทัวรีนัวที่เขาจดจำได้ไม่มีวันลืม รูปเหมือนของเอกริสม่า เมื่อวาดรูปเสร็จทริซก็คลานลงจากเตียงแต่เขากลับตกลงมาดังตุบแทน ทว่าเขาก็ไม่สนใจกลับรีบคลานไปที่หน้าต่างและดึงม่านออก



        การได้ถูกแสงแดดทำให้ทริซรู้สึกดีขึ้นมามาก ราวกับว่านี้เป็นส่วนดีที่สุดถ้าไม่เทียบกับในทรีเอ็น แต่สำหรับวันนี้ทริซกลับไม่รู้สึกอย่างออกไปรับลมข้างนอกเลยในหัวเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่จะทำอย่างเร่งด่วน แต่บนใบหน้าของทริซก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาหลังมันหายไปจากใบหน้าเขาหลายปีแล้ว เพราะความรู้สึกตื่นเต้นและสนุกได้กลับมาสู่ชีวิตมันแสนมืดมนของเขาอีกครั้ง



                    .........................



        “เซร่า เป็ดจะขันเป็นไก่หรืออย่างไง เธอถึงได้มาขึ้นรถตรงเวลา เอ่อ แล้วนี้ไหวหรือเปล่า ไม่ต้องแบกไปส่งโรงพยาบาลนะ”โนรีนใช้มือแตะหน้าผากของเซร่าที่พึ่งลงนั่งด้วยสีหน้าซีดเซียวแต่ไม่ได้แค่โนรีนที่สงสัยแต่ทุกคนบนรถต่างหันมามองเธอเป็นสายตาเดียวกันหมดด้วยความแปลกใจ



        “ปวดหัวนิดหน่อย เหมือนเดิมนั้นล่ะ โรคความดันต่ำ”เซร่าบ่นอุบอิบพลางหยิบกระดาษที่เขียนชื่อยาวเป็นหางว่าวเอาไว้ขึ้นมาท่อง



        “รายชื่อของคนที่เสียชีวิตในทรีเอ็น โชคดีจริงๆ ที่เมื่อวานทันสังเกตเห็นตอนที่พวกนั้นไม่ระวัง”เซร่านั้นถึงจะทำเป็นเอะอะโวยวายใช้อารมณ์ตอนที่อยู่ในโลกทรีเอ็น แต่สมองที่ไวและจำจดได้ดีก็ไม่ได้หายไปไหน ทันทีที่เธอเห็นรายชื่อคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ตอนที่เอวาตื่นครั้งก่อนซึ่งพวกแจ๊คดึงขึ้นจอให้เห็นแวบหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบกับชื่อคนที่ยังอยู่ ตอนนั้นเองสมองของเซร่าก็ได้จดจำมันไว้ทั้งหมดแล้ว



        “แหมๆ แจ๊ค ฉันรู้เธอเก่งแต่ว่านะ ฉันก็มีวิธีการของฉันเหมือนกัน เรื่องอะไรจะปล่อยให้นายทำเอาหน้าอยู่คนเดียวกันล่ะ”เซร่าคิดในใจแต่ตอนนั้นเธอก็สะดุ้งขึ้นเบาๆ กับความคิดตัวเองเพราะถึงแม้จะเล็กน้อยแต่นั้นเป็นครั้งแรกที่ความคิดที่เป็นของโรสได้แสดงซ่อนทับออกมาในความคิดของเซร่า



        “ระวังหน่อยนะโรส ระวังอย่าให้ตัวตนในทรีเอ็นไปปนเปกับชีวิตจริงเป็นอันขาด”เซร่านึกถึงคำพูดที่เอกริสม่าเคยบอกเธอครั้งแรกที่พบกัน



        “ไม่เป็นไรๆ แค่เราเหนื่อยไปเท่านั้น ฉันคือเซร่า ส่วนโรสก็คือโรส ใช่แล้วๆ”เซร่าพยายามคิดอย่างหนักแน่นก่อนจะเก็บรายชื่อลงไปและหันไปฟังโนรีนที่เล่าเรื่องของฮันซ์ที่หายไปจากบ้านกลางดึกโดยมีโน้ตทิ้งไว้เพียงแค่ว่า “ไปเดินเล่น”



                    ..............................



        ฮันซ์นั้นต่างไปจากทริซและเซร่าเขาได้เข้าๆ ออกๆ ทรีเอ็นมาจนสามารถควบคุมเวลาตื่นของตัวเองได้ ทันทีที่ออกจากทรีเอ็นเขาก็ตื่นขึ้นมากลางดึกและรีบทำการหาที่อยู่ของแมกคาเรียส



        “อืม~~ ถ้าจะหาคนก็ต้องให้ตำรวจหาให้สินะ”ฮันซ์กำลังคิดอยู่ว่าจะไปหาที่ไหนแต่พอนึกได้เขาก็รีบเก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านไปทันทีโดยทิ้งโน้ตไว้แผ่นเดียว



        และการให้ตำรวจช่วยหาของฮันซ์นั้นกลับเป็นเขาแอบลอบเข้ามาใช้คอมพิวเตอร์ถึงในสถานีตำรวจซะเอง เพื่อหารายชื่อของคนที่ต้องการจะหาไม่นานนักเขาก็พบชื่อของคนที่หาอยู่แต่ก็มีอยู่หลายแมกคาเรียส



        “ห้า คนเหรอ งั้นต้องดูว่าในห้าคนี้มีใครน่าจะเกี่ยวข้องกับทรีเอ็นบ้างส”ฮันซ์เริ่มต้นหาดูแต่กลับไปติดใจคนคนหนึ่งซึ่งมีที่อยู่ระแวกเดียวกับเขามาก่อน



        “บังเอิญเกินไปหรือเปล่า คนนี้เคยอยู่เมืองเดียวกับเราจนเมื่อปีก่อนถึงย้ายกลับไปที่ประเทศกรีก อายุก็..........35 ปี..........ง่ายขนาดนี้เลเยหรอ”ฮันซ์เพ่งดูอยู่และพยายามหาจุดเชื่อมโยงจากคนอื่นดูแต่ก็ไม่มีเลย สุดท้ายฮันซ์เลยต้องรีบจดที่อยู่และเผ่นออกจากสถานีตำรวจ



        “จากนี้ไปที่กรีก นั่งเครื่องบินก็ 6 ชั่วโมง พอไหวน่า”ฮันซ์รีบวิ่งไปขวางกลางถนนเพื่อให้รถคันหนึ่งที่แล่นมาหยุดจอด เขาฉลาดพอจะรู้ว่าดึกขนาดนี้จะหาแท็กซี่คงต้องใช้เวลา



        แถมทันทีที่เจ้าของรถลงมาโวยวายใส่ ฮันซ์ก็รีบตีท่ารนรานและพูดภาษาอื่นออกมาทันที จนกลายเป็นว่าเจ้าของรถเข้าใจว่าฮันซ์เป็นชาวต่างชาติที่กำลังหาทางไปสนามบินอยู่.......ฉะนั้นฮันซ์เลยได้นั่งรถไปสนามบินอย่างสบายใจเฉิบ



        “เดินทางคนเดียวเหรอค่ะ”พนักงานขายตั๋วที่สนามบินถามราวกับว่าคนทุกคนที่ไปไหนมาไหนคนเดียวจะเป็นผู้ร้ายซะหมด แต่ฮันซ์จัดการปัญหาด้วยการชี้มาที่เจ้าของรถใจบุญที่มาส่งเขาเมื่อครู่ซึ่งตอนนี้ยังคงยืนโบกมือให้เพื่อรอดูว่าฮันซ์จะสามารถคุยกับคนขายตั๋วรู้เรื่องไหม



        “พ่อผม”ฮันซ์บอก



        “อ่อค่ะ นี้ค่ะตั๋วของคุณ เดินทางอย่างมีความสุขนะค่ะ”พนักงานยิ้มให้อย่างเสแสร้างสุดๆ



                    ................................





                     “วางตรงนั้นเลยค่ะ”เมเดียชี้นิ้วบอกให้พวกช่างยกของเข้ามาวางในห้องนอนของทริซซึ่งมันมีกระดาษเขียนโน้ตแปะอยู่ทั่วห้องว่าจะให้วางอะไรไว้ตรงไหน ส่วนตัวทริซเองก็นั่งรถเข็นมาสะกิดเรียกเมเดียพร้อมกับส่งรูปวาดของเขาให้เธอดู



        ระหว่างที่เมเดียกำลังมองดูรูปด้วยรอยยิ้มจางๆ กระดาษโน้ตชิ้นเล็กๆ ก็ถูกยื่นแทรกลงมา “รู้จักหรือเคยเห็นชายคนนี้ไหม” ข้อความในโน้ตบอกไว้



        “ไม่เลยคะ คุณหนู แล้วนี้เห็นเขาได้อย่างไงเหรอค่ะ ก็ในเมื่อ............”เมเดียไม่กล้าพูดต่อเพราะกลัวทำร้ายจิตใจของทริซ



        “ช่างเถอะ แต่ถ้าเห็นชายคนนี้แถวๆ บ้าน รีบบอกฉันทันทีนะ”ข้อความใหม่ถูกเขียนขึ้นด้วยสีหน้าที่เก็บความรู้สึกไว้อย่างมิดชิดของทริซ



        “พวกหนังสือเบลได้มาแค่บางเล่มนะค่ะ รายชื่อที่คุณหนูสั่งมาบางเล่มไม่มีแบบเป็นอักษรเบลตอนนี้เลยให้คนรู้จักกำลังทำให้อยู่ คงไม่น่าเกินอาทิตย์หน้า”เมเดียเอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศพลางเฝ้าดูพวกช่างกำลังลงโปรแกรมของคอมให้อยู่

        

        ส่วนทริซก็แสดงท่าทางร้อนรนอยากให้มันเสร็จเร็วๆ ออกมาอย่างชัดเจน เพราะมันเป็นนิสัยประจำตัวเขาที่ชอบใช้นิ้วถูไปมาบนที่วางแขนจนตอนนี้หนังที่หุ้มไว้ได้ลอกออกจนเปลี่ยนเป็นสีอื่นแล้ว



        “...........เครื่องส่งรหัสมอส.........คู่มือการใช้............ให้ตายสิของแบบนี้เขาเลิกใช้กันมาตั้งกี่ชาติแล้วเนี่ย”เมเดียจ้องมองของชิ้นสุดท้ายที่ถูกยกมาตั้งไว้ข้างเตียงด้วยสีหน้านึกขำ



        “ของที่สั่งไว้เรียบร้อยแล้วคะ คุณหนูทริซ จะเอาอะไรเพิ่มอีกไหมค่ะ”เมเดียเดินเข้ามาถามขณะเข็นรถเข็นของทริซให้พ้นออกมาจากหน้าต่าง



        “เท่านี้ล่ะ ขอบคุณมาก”ทริซยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ซึ่งเหมือนกับเขียนเตรียมไว้อยู่แล้ว



        หลังจากนั่นเขาก็พาตัวเองไปยังหน้าโต๊ะคอมและลงมือค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่เขาตั้งใจไว้โดยไม่ได้ยินเสียงร้องถามเรื่องอาหารกลางวันของเมเดียเลย



        คอมพิวเตอร์สำหรับคนตาบอดของทริซนั้น เวลากดลงบนคีย์บอร์ดมันก็จะมีเสียงพูดดังขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาพึ่งกดตัวอะไรลงไป ส่วนเมาส์นั้นเวลาเคอเซอ(ลูกศรในจอคอม)ถูกเลื่อนไปที่ไอคอนหรือจุดแสดงข้อมูลใดบนหน้าจอมันก็จะมีเสียงพูดบอกออกมาเหมือนกัน



        ของเหล่านี้สำหรับทริซแล้วหามันมาง่ายยิ่งกว่าหาลูกอมซะอีก เพราะว่าพี่ชายเขาเป็นคนคิดค้นโปรแกรมพวกนี้ขึ้นมาเองเพื่อสำหรับคนตาบอดอย่างทริซโดยเฉพาะ ทริซที่เป็นน้องชายเลยได้ฟังสิ่งเหล่านี้จากพี่ชายเขาอยู่บ่อยๆ แต่พอเขาเสียไปทริซก็เลยลืมเลื่อนเรื่องพวกนี้ตามไปด้วยจนกระทั่งวันนี้ที่เขาเริ่มมีประกายความหวังใหม่ๆ ในชีวิตเข้ามา



        “ค้นหา......ทรีเอ็น”เสียงจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้น แต่สิ่งที่ทริซกำลังค้นหาไม่ใช่เป็นชายชื่อแมกคาเรียส ทว่าสิ่งที่เขาอยากรู้นั้นก็คือใครเป็นสร้างทรีเอ็น และมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไงตั้งแต่เมื่อไร ความอยากรู้ที่ทริซไม่เคยมีมาก่อนถาโถมใส่ตัวเขาจนต้องแสดงอาการร้อนใจขึ้นมาอีก



        “1705 ข้อความที่ค้นเจอ”เสียงของคอมพิวเตอร์เอ่ยขึ้นใหม่หลังจากทำการค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง



        “อ่านทุกข้อความ”ทริซพิมพ์ลงไปอย่างรวดเร็วจนไม่ต้องรอฟังเสียงที่ดังขึ้นมาว่าเขาพิมพ์ถูกหรือไม่ หลังจากนั้นทริซก็นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อถึงแม้จะมีกลิ่นอาหารกลางวันอันหอมฉุยที่เมเดียยกมาตั้งให้ข้างโต๊ะก็ตามที



        “ใครรู้จักทรีเอ็นบ้าง”เสียงอ่านข้อความหนึ่งผ่านไป ทำให้ทริซคิดว่ามีอีกหลายคนที่อยากเข้าไปในนั้น



        “ใครพาฉันเข้าสู่ทรีเอ็นได้ฉันจะให้เงินมากกว่าที่พวกคุณจะได้หมดในชาตินี้”อีกข้อความที่ดังขึ้นมาจนทริซต้องหัวเราะในใจเพราะนี้ถ้าเป็นเขาก็คงยอมแรกทุกอย่างที่มีเพื่อเข้าไปในโลกที่คนพิการอย่างเขากลายเป็นคนปกติขึ้นมาได้



        หลังจากข้อความผ่านไปเกือบครึ่งทางซึ่งก็มีแต่คำถามเดิมๆ มีคนอยากรู้ว่าทรีเอ็นคืออะไร แต่กลับไม่มีคำตอบ มีหลายคนอยากได้ซี๊ดจนตั้งเงินรางวัลไว้มหาศาล หรือบางคนขอแค่ข้อมูลบางอย่างของทรีเอ็น แต่ก็อีกไม่มีการตอบกลับเลย ซึ่งทริซก็ลองตอบกลับไปดู เขาอธิบายโลกทรีเอ็นที่เขารู้จักออกไป แต่ทว่าข้อความเขากลับไม่ถูกแสดงขึ้นมา



        “ตอบไม่ได้..........แปลว่ามีคนที่ไม่ต้องการให้ทรีเอ็นถูกเปิดเผยสินะ”ทริซคิดในใจไปเรื่อยๆ กับเรื่องนี้ กระทั่งมีเสียงข้อความหนึ่งผ่านเข้ามาในหู “ฉันรู้จักกับทีมงานผู้สร้าง ถ้าอยากรู้รายละเอียดมาที่โฮมเพจของฉันสิ”



        ทริซสะดุ้งสุดตัวก่อนและพิมพ์ค้นหาโฮมเพจดังกล่าวทันที แต่ทว่าโฮมเพจนั้นก็ถูกปิดไปแล้ว เล่นเอาทริซหัวเสียจนอยากจะกลับไปนอนบนเตียงถ้าไม่มีอะไรตงิดขึ้นมาในหัวของเขาซะก่อน



        “ไม่ได้ปิดเองแน่ ดูจะบังเอิญไปหน่อยล่ะมั่งที่ทั้งการโพสตอบหรือการนำข้อมูลมาเผยแพร่ถูกล็อกไว้หมดแบบนี้ แปลว่าต้องมีคนคอยจัดการเรื่องนี้อยู่............ต้องมีเงือนงำอะไรบ้างสิน่า”ทริซรีบตั้งหน้าค้นหาใหม่ เขาเริ่มจากหาเวลาที่ทรีเอ็นเริ่มปรากฎขึ้นมาและจากข้อมูลของแจ๊คด้วยทำให้เดาได้ว่าทรีเอ็นเริ่มมีมาได้ราวสามปีแล้ว



        จากนั้นทริซก็หาข่าวที่เกี่ยวกับโปรแกรมรุ่นใหม่ที่น่าจะมีเคล้าโครงเหมือนกับทรีเอ็น ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมจำลองความฝันของคนไปถึงโปรแกรมฝึกนักบินอวกาศ แต่ก็ไม่มีอันไหนที่จะทำท่าว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย เพราะถ้าแม้แต่ข่าวเกมส์คอมพิวเตอร์ที่สามารถจำลองโลกของตัวเองขึ้นมาแล้วล่ะก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว



        “............เอ๋ เดี๋ยวก่อนเกมส์จำลองโลกงั้นเหรอ.........เหมือนกับเคยได้ยินพี่เล่าถึงเรื่องนี้แฮะ”ระหว่างที่ทริซกำลังจะปิดคอมพิวเตอร์เขาก็นึกอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้เลยเปลี่ยนใจกะทันหัน



        “ใช่จริงๆ ด้วย.........นี้เป็นเกมส์ที่พี่สร้าง เป็นโปรแกรมเกมส์ที่ใช้เป็นผลงานเพื่อขอรับปริญญาโทตอนอยู่มหาลัย..........แต่ไม่เห็นเกี่ยวกับทรีเอ็นเลย ใช่แล้วถ้าพี่เรามีส่วนเกี่ยวข้องกับทรีเอ็นด้วยจริงๆ งั้นเราก็ต้องเป็นคนแรกสิที่ได้เข้าไปในทรีเอ็น ใช่แล้วมันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”ตอนนี้ทริซได้ปล่อยทุกอย่างลงและพาความคิดตัวเองไปในสมัยที่เขายังมีพี่ชายที่รักและเอาใจใส่เขา ช่วงเวลาที่ชีวิตของทริซมีความสุขและสว่างไสวที่สุด



                    ....................................



        “เซร่า........อ้าว เซร่าไม่ได้มาเหรอ”อาจารย์หันไปมองทั่วห้องเมื่อไม่เห็นเด็กนักเรียนคนโปรดที่หัวฟูมองเห็นชัดแต่ไกลถึงแม้จะชอบนั่งเหม่อแต่ไม่มีคำถามใดที่ไม่มีคำตอบจากปากของเซร่า



        “อยู่ห้องพยาบาลคะ เซร่าบอกว่าหน้ามืดไม่สบาย สงสัยเพราะตื่นเช้าเกินไปหน่อย”โนรีนเป็นคนตอบแทนและพอเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเซร่าในห้องก็มักจะเห็นเป็นเรื่องขำขันจนพากันหัวเราะกลบเสียงของอาจารย์ที่ถอนหายใจอย่างผิดหวังเล็กๆ ที่นักเรียนคนโปรดไม่ได้อยู่ในชั้น



        แต่นี้เป็นอีกครั้งที่เซล่าร้องด่าตัวเองอยู่หลายหน “ทำไมถึงไม่คิดให้ได้เร็วกว่านี้นะ.........ป่วยการเมือง” เพราะนี้นอกจากเธอไม่ต้องตรงเป็นเป้าให้กลั่นแกล้งของพวกอานิต้าแล้ว เธอยังสามารถมีเวลาอ่านหนังสือที่ตัวเองต้องการได้ในห้องเงียบๆ ที่มีแต่อาจารย์ผู้หญิงที่ชอบนั่งหลับเป็นคนดูแลห้องพยาบาล



        แต่ไม่ใช่กับวันนี้เซร่ามีเรื่องต้องทำเลยแอบออกไปจากห้องพยาบาล หรือจริงๆ ต้องบอกว่าเดินออกไปอย่างผึ่งผ่ายเลยเพราะอาจารย์ถ้าไม่หลับเขาก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องนักเรียนเดินออกไปจากห้องนี้หรอก



        เธอตรงไปที่ห้องสมุดซึ่งตอนนี้ร้างว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่ใช่เพราะว่ายังอยู่ในชั่วโมงเรียน แต่มันว่างแบบนี้ทุกเวลานั้นล่ะ พวกที่ต้องการจะหาข้อมูลก็จะตรงเข้ามายืมหนังสือก่อนจะรีบกลับออกไป สาเหตุก็เพราะในห้องสมุดนี้มีบรรณาลักษณ์ที่เป็นภูมิแพ้อยู่ เธอจะจามทุกสิบนาทีตามมาด้วยเสียงสั่งน้ำมูกที่เสียดหูแล้วแบบนี้ใครกันอยากจะมานั่งอ่านหนังสือ



        “แหม ตอนนี้ฉันล่ะชอบที่นี้จัง”เซร่าหัวเราะกับตัวเองเพราะปกติเธอจะไม่ค่อยชอบเข้ามาในนี้ด้วยสาเหตุเดียวกับคนอื่นๆ แต่ว่าเพราะเป็นแบบนี้จึ่งทำให้เธอเข้ามาใช้ได้โดยไม่ต้องหลบเลี่ยงสายตาของใครหรือต้องคอยมาตอบคำถามว่าทำไมถึงไม่อยู่ในห้องเรียน



        “ข่าวของเมือง อืม~~~ เมื่อปีก่อน”เซร่าไปตรงโต๊ะที่บันทึกข่าวเก่าๆ เอาไว้ เธอเลื่อนย้อนกลับไปเมื่อปีก่อนช่วงเวลาเดียวกับที่ได้รับทราบเรื่องการตื่นของราชินีเอวา



        เธอมองหาแต่ข่าวอาชญากรรม การตาย หรืออุบัติเหตุ ไม่ก็เรื่องแปลกๆ และมันก็มีเยอะซะด้วย “6 ศพในคืนเดียว ตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ”ข่าวพาดหัวที่เซร่าเห็นแล้วไม่ต้องเดาเลยว่านี้ต้องเป็นพวกที่เข้าไปในทรีเอ็นแน่ แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ การพาดหัวในเช้าวันต่อๆ มาก็เป็นแบบเดียวกันหมด จนมีการตั้งขึ้นมาว่า “สัปดาห์แห่งความตาย”



        “จะว่าไปเรื่องนี้ก็เคยได้ยินอยู่เหมือนกันนะ แต่ทางทีวีถูกสั่งให้ระงับไม่ให้พูดถึงเรื่องนี้สุดท้ายมันก็เงียบหายไป ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรนึกว่าเป็นแค่โรคอะไรบางอย่าง แต่พอมาตอนนี้มันเกี่ยวกับทรีเอ็นอย่างไม่ต้องสงสัย



        “ทั้งหมดก็...........62 ศพ ใน 5 วัน......เอ๋!!?? เดี๋ยวก่อน 62 ศพ ตายแบบไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันในเมืองเดียวกันเนี่ยนะ”เซร่าผงะขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยเนื้อตัวสั่นเทา เธอพบอะไรผิดปกติที่อยู่ใต้จมูก



        “นี้หมายความว่าในเมืองนี้มีคนที่เข้าไปในทรีเอ็นเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”เซร่าไม่อยากจะคิดเลยว่าในจำนวนเพื่อนร่วมชั้นของเธอจะมีคนที่เดินสวนกันในทรีเอ็นสักกี่คนกัน และในจำนวนนั้นเซร่าก็ไม่หวังให้มีอานิต้าอยู่ด้วยแน่



                    ...................................



                   เมื่อมาถึงกรีกแล้วฮันซ์ก็ใช้วิธีโบกแท็กซี่และให้ไปตามที่อยู่ซึ่งจดอยู่ในกระดาษ แต่ด้วยความช่างระวังตัวของเขาจึ่งเปิดแผนที่กางดูไปด้วยเพราะส่วนมากแท๊กซี่ตามสนามบินมักจะมีเล่ห์เหลี่ยมที่จะเอาไว้ลอกต้มตุ๋นนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว อย่างเช่นการพาอ้อม



        “โห นี้คุณครับไม่ไว้ใจกันเลยเหรอถึงได้พกแผนที่มากางดูไปด้วย”แท๊กซี่ที่เห็นผู้โดยสารก้มๆ เงยๆ มาตลอดทางก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้



        “เปล่าครับ ผมแค่จำทางไว้ตอนเวลากลับ”ฮันซ์แก้ตัวไปได้อย่างแนบเนียนเพราะต้องการรักษาน้ำใจไว้จนกว่าจะถึงปลายทาง



        “บ้านหลังนั้นล่ะครับ จะให้จอดรอไหม”แท็กซี่บอกพลางชี้ไปบ้านบนเนินซึ่งติดกับทะเล



        “ไม่ต้องครับ ขอบคุณ”ฮันซ์รีบรถจากรถพลางมองดูเวลาอยู่เป็นระยะ



        “...........เวลายังเหลือตั้ง 10 ชั่วโมง คงพอให้กลับไปทัน”ฮันซ์คำนวนเวลาจนมั่นใจแล้วจึ่งกดอ๊อดเรียก



        บ้านที่สร้างจากอิฐศิลาสองชั้นพอทำให้เดาอายุอันเก่าแก่ของตัวบ้านได้ไม่ยาก ส่วนที่สวนหน้าบ้านก็มีสภาพดีต้นไม้ขึ้นเขียวอย่างเป็นระเบียบแสดงให้เห็นว่ามีคนดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ นั้นช่วยให้ฮันซ์อุ่นใจว่ามาคราวนี้อย่างน้อยก็ต้องเจอใครบ้าง



        “ใครค่ะ”เสียงร้องถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจดังขึ้นพร้อมกับประตูหน้าบ้านที่ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ หญิงร่างท้วมผิวสีซีดใส่ผ้ากันเปื้อนที่สะอาดเกินกว่าจะเป็นผ้ากันเปื้อน ดวงตาเล็กยี่ได้กรอบแววตามองมาที่ฮันซ์อย่างระแวดระวัง



        “ผมมาหาคุณแมกคาเรียสครับ”ฮันซ์ร้องบอกออกไปพลางยิ้มให้เพื่อแสดงความเป็นมิตร



        “มีธุระอะไรกับสามีฉัน”เธอถามแต่ก็ยังไม่เดินมาเปิดประตูรั้วให้แสดงความไม่ไว้วางใจอย่างเห็นได้ชัด



        “ผมกับคุณแมกคาเรียสเราเคยอยู่เมืองเดียวกันมาก่อนครับ ผมเพียงแค่อยากจะมาเยี่ยมเท่านั้น”ฮันซ์รีบบอกเมื่อเห็นมือของหญิงสาวไปจับอยู่ที่ขอบประตูเตรียมจะปิดมันลง



        “จากเมืองเดียวกัน!!??.........กลับไปซะเถอะ สามีฉันไม่อยู่”เธอโกหกไม่เนียนไม่เท่าไร



        “เดี๋ยวครับ ผม..........ช่วยบอกเขาว่า ผมมาจากทรีเอ็น”ฮันซ์เห็นว่าไม่มีทางเลือกเลยเสี่ยงเปิดเผยตัวออกไปแต่นั้นก็ทำให้หญิงสาวมีสีหน้าตื่นกลัวจนรีบปิดประตูให้เร็วกว่าเดิม



        “หยุดก่อน เอวีน่า ให้เค้าเข้ามา”เสียงของชายวัยกลางคนดังมาจากในบ้าน ทำให้หญิงสาวลังเลหันมามองฮันซ์สลับกลับมองเข้าไปในบ้านอย่างหวาดวิตก



        “ไม่เป็นไร เชื่อผมเถอะ”เสียงในบ้านบอกซ้ำจนเธอยอมเดินมาเปิดประตูรั้วให้กับฮันซ์



        “เธอตามหาเขาเจอได้อย่างไง”เอวีน่าถามเสียงแหลมซึ่งพยายามบีบให้มันเบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนในบ้านได้ยิน



        “ผมว่าคุณแมกคาเรียสรู้วิธีนะ”ฮันซ์เลี่ยงจะตอบซึ่งก็ทำให้หญิงสาวร่างท้วมทำหน้าไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมามากขึ้นกว่าเดิม



        พอเข้ามาในตัวบ้านได้เอวีน่าก็รีบปิดล็อกมันก่อนจะเดินตามฮันซ์ราวกับเป็นเงา เธอจะชี้นิ้วบอกทางเป็นระยะจนเข้ามาถึงห้องด้านในซึ่งเป็นห้องอ่านหนังสือ มีเผาผิงที่มอดดับกับสุนัขนอนเหยียดตัวนิ่งจนดูไม่ออกว่ามันนอนหลับตายไปแล้วกันแน่



        “เชิญนั่ง แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ”เสียงชายหนุ่มดังรอดมาจากกองหนังสือบนโต๊ะทำงานตั้งเรียกกันสูงท่วมหัว



        “สวัสดีครับ ผมชื่อฮันซ์”ฮันซ์แนะนำตัวเองก่อนจะชำเหลืองไปมองที่เอวีน่าราวกับเธอตั้งใจจะยืนฟังด้วยซึ่งฮันซ์ไม่ต้องการเลย



        “ไม่ต้องห่วงเธอพูดทุกอย่างต่อหน้าเอวีน่าได้ ถึงเธอจะไม่เคยเข้าไปในทรีเอ็น แต่รับรองเธอรู้เยอะกว่าคนที่เคยอยู่ในนั้นมาเป็นปีๆ ซะอีก”เสียงพูดนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับชายร่างสูงที่หลุดขึ้นจากเก้าอี้จนทำให้เห็นใบหน้านั้น



        แมกคาเรียสเป็นชายผิวสีซีดเหมือนกับภรรยา แต่ดวงตาเขากลมโตขอบตาดำคล้ำ รูปหน้าดูเหมือนคนป่วยอาการหนัก แต่รูปร่างเขาก็ดูกำยำแข็งแรงดีอยู่ เขาลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานมานั่งลงที่โซฟาตรงกับข้ามกับฮันซ์พลางยื่นมือออกมาทักทาย



        “ผม แมกคาเรียส ผู้ที่หนีออกมาจากทรีเอ็น หรือจะพูดให้ถูก..........ผมคือ อาเคเรสผู้หลบหนีความจริง”



        “.........ทุกคนในทรีเอ็นก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือไงกัน คุณแมกคาเรียส”ฮันซ์พยายามรักษาสีหน้าให้ดูปกติถึงแววตาเขาจะแสดงความเศร้าหมองออกมาอย่างเด่นชัดก็ตามที



        “เอาล่ะ ฮันซ์ ก่อนผมจะถามคุณว่ามาหาผมที่นี้ด้วยเรื่องอะไร คุณอยากจะดื่มอะไรดี บรั่นดีสักแก้ว หรือ ชาอุ่นๆ ที่ไว้ทานกับของว่าง”แมกคาเรียสถามอย่างใจดีผิดกับหน้าตาของเขาที่ดูชวนให้คิดว่าเป็นคนอืมครึม



        “อะไรก็ได้ครับ แต่ตอนนี้เวลาของผมมีไม่เยอะแล้ว”ฮันซ์รีบจะเข้าเรื่องให้เร็วที่สุดพลางชำเหลืองมองนาฬิกาที่ข้อมือ



        “ที่ทรีเอ็นเกิดเรื่องงั้นเหรอ”แมกคาเรียสพอเห็นท่าทางของฮันซ์ก็เดาเรื่องได้ทันทีเลยหันมาทำท่าจริงจังขึ้น



        “ใช่ครับ เรื่องใหญ่มาก และเรื่องนี้คุณอาจพอให้เบาะแสอะไรบ้างอย่างได้ด้วย”



        “เรื่องของ เอวา ใช่ไหม”แมกคาเรียสถามพลางจับจ้องฮันซ์พยักหน้าเบาๆ ส่วนเอวีน่าถึงกับตกใจหน้าซีดลงกว่าเดิม



        “เธอตื่นขึ้นมาอีกแล้ว และทัวรีนัวของผมก็อยากให้ผมมาหาสาเหตุการตื่นของเธอครั้งนี้ คุณที่เป็นสาเหตุการตื่นครั้งก่อนของ เอวา พอจะบอกอะไรได้บ้างไหมครับ”ฮันซ์ถามออกไปอย่างตรงๆ ถึงแม้จะเอวีน่าที่ยืนทำท่าน่ารำคาญอยู่ข้างหลังก็ตามที



        “เอวา.........จากตอนนั้นมาก็ปีกว่าแล้วสินะ”แมกคาเรียสเอ่ยชื่อของเอวาด้วยสายตาเหม่อลอยพลางทิ้งตัวนั่งอย่างผ่อนคลาย ความคิดเขากำลังย้อนกลับไปสู่ครั้งแรกที่ได้พบกับสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดสำหรับชีวิตเขา



        “ฮันซ์........เธอมีเวลาเท่าไรในการฟังเรื่องของคนไร้ค่าเช่นฉัน”แมกคาเรียสถามพลางหันไปยิ้มให้กับเอวีน่าเป็นเชิงบอกว่าขอเครื่องดื่มอะไรเย็นๆ หน่อยก็ดีเพราะดูท่างานนี้คงต้องคุยกันยาว



        “10 ไม่สิ 9 ชั่วโมงครับ ไม่นับเวลาเดินทางกลับเมืองอีก”ฮันซ์มองนาฬิกาก่อนจะตอบ



        “เวลาเดินทาง.......ไม่จำเป็นหรอก เธอสามารถหลับที่นี้ได้เพื่อเข้าสู่ทรีเอ็น เพราะงั้นฉันจะถือว่าเธอมีเวลาให้ฉัน 9 ชั่วโมงนิดๆ ล่ะกัน นั้นคงพอสำหรับพาเธอย้อนไปฟังอดีตของฉัน”แมกคาเรียสเอ่ยด้วยสีหน้าที่ยับยู้ยี่แต่ก็มีรอยยิ้มฉีกเฉียงอยู่ที่มุมปากด้วยจนเดาไม่ออกว่ามันเป็นอดีตแบบไหนกันแน่ แต่อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ได้คืบหน้าไปอีกหน่อยแล้ว



                               ..................................



        “ถึงจะบอกว่าให้รอเวลาให้ครบ 19 ชั่วโมงถึงค่อยเข้าไปในทรีเอ็นก็เถอะนะ แต่นี้มันเลยเวลานอนมาแล้วมันง่วงนะเนี่ย”เซร่านอนบ่นกับตัวเองบนเตียงนอนสายตาก็จ้องแต่เพดานสีน้ำเงินกับนาฬิกาแขวนข้างฝาที่กำลังส่งเสียงติกต๊อกอยู่



        “สี่ทุ่ม อีกสามชั่วโมงแนะ เฮ้ย ไม่เอานะๆ อย่าพึ่งหลับๆ”เซร่าลุกขึ้นจากเตียงมาตบหน้าตัวเองเพื่อปลุกให้ตาที่กำลังเลื่อนลงมาเด้งกลับขึ้นไป



        “ไม่ไหวแล้ว ขืนอยู่แบบนี้ต่อไปหลับทั้งยืนแน่”เซร่าลุกขึ้นอย่างแนวแน่ก่อนจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและวิ่งเสียงดังตึกๆ ลงมาจากห้อง



        “หนูเซร่าจะไปไหนเหรอจ๊ะ นี้มันดึกแล้วนะ”แม่ของเซร่าที่นั่งดูทีวีอยู่ร้องถามขึ้นมา



        “ไปวิ่งคะ”



        “ไปวิ่ง.........ตอนสี่ทุ่มเนี่ยนะ”แม่ของเซร่าหันไปมองนาฬิกาก่อนจะกลับมามองหลังลูกสาวที่ตอนนี้หายออกไปทางประตูหน้าบ้านแล้ว



        “แจ๊คจะได้อะไรมาบ้างนะ ถึงบอกว่าแมกคาเรียสอะไรนั้นจะเป็นสาเหตุการตื่นของราชินีเอวาครั้งก่อนก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่ามันจะเกี่ยงข้องกับการตื่นครั้งนี้ด้วยนี่น่า”ขณะวิ่งไปเซร่าก็คิดถึงแต่เรื่องของราชินีเอวาเต็มหัวไปหมด



        “..........แต่นี้หมายความว่า ทรีเอ็นจะต้องปิดตัวเองอีกครั้งแล้ว ไม่มีใครบอกได้ด้วยว่าจะกี่วัน บางอาจเป็นเดือน หรือแย่สุดๆ.........ราชินีอาจทำให้ทรีเอ็นปิดไปตลอดกาลเลยก็ได้”พอเซร่าคิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็รู้สึกห่อเหี่ยวเลยต้องรีบสลัดความคิดนี้ไปและคิดเรื่องใหม่ขึ้นมาแทน



        กระทั่งไม่ทันสังเกตเลยว่าตอนนี้เธอได้วิ่งจนมาวนกลับมาอยู่หน้าบ้านด้วยเองแล้ว แต่ครั้นจะเข้าไปในบ้านมันก็ยังเหลือเวลาอีกมาก เซร่าเลยเลือกที่จะนั่งอยู่กับพื้นเย็นๆ และเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวที่ประดับเต็มผืนผ้าสีดำขนาดใหญ่ที่เรียกว่าราตรี



        แต่ในขณะนั้นเองเซร่าก็รู้สึกตัวว่าไม่ใช่มีเพียงเธอเท่านั้นที่กำลังเฝ้ามองดูดวงดาวอยู่ เธอหันกลับไปที่ข้างบ้าน คฤหาสน์ของตละกูลเซียล์ที่ปกติเธอไม่เคยมองมันด้วยซ้ำ คราวนี้สายตาเธอจับจ้องมันจนเกือบจะบังคับสายตาตัวเองให้มองไปทางอื่นไม่ได้เลย



        ภาพของเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนรถเข็นที่ระเบียงชั้นสาม กำลังเงยหน้าขึ้นบนฟ้าถึงแม้สายตาคู่นั้นจะไม่เห็นอะไรเลยก็ตามแต่จิตนาการของเขาก็ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่กำลังเป็นจิตกรวาดแต้มจุดกลุ่มดาวลงบนพื้นที่สีดำตามแต่ใจตัวเองแทน ผมสีเงินพลิ้วไสวต้องกับแสงจันทร์ดูน่าหลงใหล



        และก่อนที่เซร่าจะจ้องมองทริซจะลืมหายใจไปนั้น ก็มีเสียงเรียกเธอดังขึ้นมาจากข้างหลังจนเธอสะดุ้งตื่นจากภาพชวนฝันตรงหน้า



        “หนูเซร่า มายืนเหม่ออะไรหน้าบ้าน ลูกเพี้ยนไปแล้วเหรอ”เสียงแม่ของเซร่าร้องถามอย่างแปลกใจพลางตรงเข้ามาสำรวจดูตัวลูกสาวว่ามีอะไรผิดแปลกไปไหม



        “โธ่ แม่ หนูสบายดีคะ อย่าทำเหมือนกับว่าถ้าหนูไม่ยอมอยู่ในห้องทั้งวันแล้วโลกจะแตกได้ไหม”เซร่าทำแก้มบวมเป็นการแสดงว่ากำลังงอนอยู่

        

        “โธ่ๆ ลูกเซร่าตัวน้อยๆ ของแม่ เป็นความผิดของแม่เองที่ไม่เอาใจใส่ลูกเท่าที่ควร จนต้องมาเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีแบบนี้”แม่ของเซร่าเริ่มเผอหนัก



        “แม่คะ เข้าบ้านไปกินยาเถอะ”เซร่าบอกเสียงละห้อยก่อนจะเดินจ้ำพรวดเข้าบ้านไป



        โดยที่การยอกล้อของแม่ลูกที่รักใคร่สนิทสนมกันนั้นก็ได้ยินชัดเต็มสองหูของทริซที่นั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้เข็นของเขา สำหรับคนตาบอดที่ไม่รู้ว่าสิ่งรอบข้างกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรแล้ว สายสัมพันธ์ความรักระหว่างแม่ของเซร่าและตัวเซร่าเองนั้น ทริซก็ยังคิดว่ามันยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย



                    .............................





                                                                            (จบตอน)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×